วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

เมือเป็นบิดอะฮจะให้บอกว่าเป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ




เมือเป็นบิดอะฮจะให้บอกว่าเป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ


วาทะกรรมหนึ่งที่ได้ยินจนชินหู ได้เห็นจนชินตา คือ "อะไรๆก่อหาว่าบิดอะฮ" 
ความจริงคำว่า "บิดอะฮ"เป็นสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวและเตือนให้ระวัง ไม่ใช่เป็นคำพูดที่มาจากบรรดาคนที่ถูกฉายาว่า "วะฮบีย" และคณะใหม่ แต่อย่างใด


عَنِ الْعِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : وَعَظَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَوْعِظَةً ، وَجَلَتْ مِنْهَا الْقُلُوبُ ، وَذَرَفَتْ مِنْهَا الْعُيُونُ ، فَقُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، كَأَنَّهَا مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ ، فَأَوْصِنَا ، قَالَ : أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللَّهِ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ ، وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ بَعْدِي فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ رَوَاهُ أَبُو دَاوُدَ وَالتِّرْمِذِيُّ ، وَقَالَ حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ

: “จากอัลอิรบาฏ บินสารียะฮฺ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ให้ข้อตักเตือนแก่พวกเรา ด้วยข้อเตือนที่กินใจที่ทำให้หัวใจสะท้าน และทำให้น้ำตาคลอ พวกเราได้กล่าวว่าโอ้รซูลุลลอฮ "มันเปรียบเสมือนข้อตักเตือนอำลา ฉะนั้นได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด ท่านกล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พร้อมทั้งรับฟังและเชื่อฟังแม้ว่าผู้สั่งใช้พวกท่านจะเป็นบ่าว(ทาส)ก็ตาม เพราะผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในสุนนะฮฺของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาคอลีฟะฮฺที่ปราดเปรื่องและได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดมันด้วยฟันกราม และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา )เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”( รายงานโดย อบูดาวุด และ อัต-ติรมีซีย์)
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) อธิบายว่า

قَوْلُهُ : وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ تَحْذِيرٌ لِلْأَمَةِ مِنَ اتِّبَاعِ الْأُمُورِ الْمُحْدَثَةِ الْمُبْتَدَعَةِ ، وَأَكَّدَ ذَلِكَ بِقَوْلِهِ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ وَالْمُرَادُ بِالْبِدْعَةِ : مَا أُحْدِثَ مِمَّا لَا أَصْلَ لَهُ فِي الشَّرِيعَةِ يَدُلُّ عَلَيْهِ ، فَأَمَّا مَا كَانَ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الشَّرْعِ يَدُلُّ عَلَيْهِ ، فَلَيْسَ بِبِدْعَةٍ شَرْعًا ، وَإِنْ كَانَ بِدْعَةً لُغَةً ، وَفِي " صَحِيحِ مُسْلِمٍ " عَنْ جَابِرٍ ، أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَقُولُ فِي خُطْبَتِهِ : إِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّهِ ، وَخَيْرَ الْهَدْيِ هَدْيُ مُحَمَّدٍ ، وَشَرَّ الْأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ .


คำพูดของท่านนบีที่ว่า(พวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด) คือ การเตือนให้ระวัง แก่อุมมะฮ จากการปฏิบัติตามบรรดาสิ่งใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา และดังกล่าวนั้นถูกเน้นด้วยไม่มีที่มา(รากฐาน)ในศาสนบัญญัติ ที่แสดงบอกบนมัน สำหรับสิ่งที่ไม่รากฐานจากบทบัญญัติ ที่แสดงบอกไว้บนมัน มันไม่ใช่บิดอะฮ และแม้จะเป็นบิดอะฮตามความหมายในทางภาษาก็ตาม และในเศาะเฮียะมุสลิม รายงานจากญาบีร ว่าแท้จริง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวในคุฏบะฮของท่านว่า "แท้จริง คำพูดที่ดี คือ คัมภีร์อัลลอฮ และทางนำที่ดีคือ ทางนำมุหัมหมัด และ บรรดาสิ่งที่ชั่วร้ายคือ บรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา)และทุกบิดอะฮคือ ความหลงผิด- ดู ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม ๒/๑๒๗
และอิบนุเราะญับได้กล่าวอีกว่า


فَكُلُّ مَنْ أَحْدَثَ شَيْئًا ، وَنَسَبَهُ إِلَى الدِّينِ ، وَلَمْ يَكُنْ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الدِّينِ يَرْجِعُ إِلَيْهِ ، فَهُوَ ضَلَالَةٌ ، وَالِدَيْنُ بَرِيءٌ مِنْهُ ، وَسَوَاءٌ فِي ذَلِكَ مَسَائِلُ الِاعْتِقَادَاتِ ، أَوِ الْأَعْمَالُ ، أَوِ الْأَقْوَالُ الظَّاهِرَةُ وَالْبَاطِنَةُ


แล้วทุกคนที่ประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปอ้างว่าเป็นศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีที่มาในศาสนา ที่จะกลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด โดยที่ ศาสนา นั้น เป็นอิสระจากมัน, ในเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ อะกีดะฮ หรือ การปฏิบัติศาสนกิจ หรือ คำพูด ที่แสดงออกมาโดยภายนอก และภายในใจก็ตาม 
ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม ๒/๑๒๘


>>>>>
การสอนให้ปฏิบัติตามสุนนะฮและให้ระวังบิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ เป็นคำสอนที่มาจากท่านนบี สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้มาจากคำสอนของวะฮบีย์ แล้วจะให้คนที่ถูกฉายาว่าวะฮบีย์ เปลี่ยนคำว่า"บิดอะฮ"ให้เป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ ?และถ้าให้พันจากพันธนาการคำว่า"วะฮบีย์"จากคอของเขา โดยการให้เขามายอมรับสิ่งที่เป็นบิดอะฮอย่างนั้นหรือ?

والله أعلم بالصواب

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

บรรดาอุลามาอฺทุกคนเป็นทายาทนบีจริงหรือ




อุลามาอฺทุกคนเป็นทายาทนบีจริงหรือ

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

فَضْلُ الْعَالِمِ عَلَى الْعَابِدِ كَفَضْلِ الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ عَلَى سَائِرِ الْكَوَاكِبِ، وَإِنَّ الْعُلَمَاءَ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ، وَإِنَّ الأَنْبِيَاءَ لَمْ يُوَرِّثُوْا دِيْنَارًا وَلاَ دِرْهَمًا، وَلَكِنْ وَرَّثُوْا الْعِلْمَ، فَمَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ

“ความประเสริฐของผู้รู้ที่โดดเด่นเหนือผู้ปฏิบัติอิบาดะฮฺเปรียบเสมือนความประเสริฐของดวงจันทร์ในคืนจันทร์เพ็ญที่โดดเด่นเหนือดาวดวงอื่นๆ และแท้จริงบรรดาอุละมาอ์คือทายาทผู้รับมรดกจากบรรดานบี และแท้จริงบรรดานบีไม่ได้ทิ้งมรดกแม้แต่หนึ่งดีนารหรือหนึ่งดิรฮัม แต่ทว่าพวกเขาได้ทิ้งมรดกแห่งความรู้ ดังนั้นผู้ใดรับมรดกแห่งความรู้ (จากพวกเขา) แท้จริงเขาได้รับเอาส่วนแบ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์” (เศาะหีห, บันทึกโดยอะหมัด, เล่ม 5 หน้า 196, ดดาริมีย์, เล่ม 1 หน้า 83, อบูดาวูด, เล่ม 3 หน้า 318, อัตติรมิซีย์, เล่ม 4 หน้า 153, อิบนุมาญะฮฺ, เล่ม 1 หน้า 81)
อุลามาอฺแบบใดที่เป็นทายาทสืบทอดมรดกของบรรดานบี?
อุลามาอฺที่ได้ชื่อว่า เป็นทายาทสืบทอดมรดกทางวิชาการจากบรรดานบีนั้น คือ บรรดาอุลามาอฺ หรือนักวิชาการ ที่เผยแพร่ความจริง ที่เขาได้เรียนรู้มา และคำว่า “ความจริง” ในที่นี้ หมายถึง ความรู้ที่ได้จาก คัมภีร์ของอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และ บรรดาหะดิษจากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สิ่งที่ยืนยัน ดังกล่าวคือ คำตรัสของอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

الَّذِينَ يُبَلِّغُونَ رِسَالَاتِ اللَّهِ وَيَخْشَوْنَهُ وَلَا يَخْشَوْنَ أَحَدًا إِلَّا اللَّهَ وَكَفَى بِاللَّهِ حَسِيبًا

บรรดา (นะบี) ผู้ที่ได้เผยแผ่สาสน์ทั้งหลายของอัลลอฮฺ และพวกเขากลัวเกรงพระองค์ และไม่กลัวเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงชำระสอบสวน – อัลอะฮซาบ/36
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)อธิบายว่า


يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : سُنَّةُ اللَّهِ فِي الَّذِينَ خَلَوْا مِنْ قَبْلِ مُحَمَّدٍ مِنَ الرُّسُلِ ، الَّذِينَ يُبَلِّغُونَ رِسَالَاتِ اللَّهِ إِلَى مَنْ أُرْسِلُوا إِلَيْهِ ، وَيَخَافُونَ اللَّهَ فِي تَرْكِهِمْ تَبْلِيغَ ذَلِكَ إِيَّاهُمْ ، وَلَا يَخَافُونَ أَحَدًا إِلَّا اللَّهَ ، فَإِنَّهُمْ إِيَّاهُ يَرْهَبُونَ إِنْ هُمْ قَصَّرُوا عَنْ تَبْلِيغِهِمْ رِسَالَةَ اللَّهِ إِلَى مَنْ أُرْسِلُوا إِلَيْهِ . يَقُولُ لِنَبِيِّهِ مُحَمَّدٍ : فَمِنْ أُولَئِكَ الرُّسُلِ الَّذِينَ هَذِهِ صِفَتُهُمْ فَكُنْ ، وَلَا تَخْشَ أَحَدًا إِلَّا اللَّهَ

อัลลอฮ ผู้ซึ่ง เกียรติพระองค์นั้นสูงส่ง ตรัสว่า สุนนะฮตุลลอฮ(แบบแผนของอัลลอฮ)ในบรรดารอซูล ก่อนนบีมุหัมหมัด คือ บรรดาผู้ที่เผยแพร่ สาส์นแห่งอัลลอฮ ไปยังผู้ที่พวกเขาถูกส่งมา และพวกเขากลัวอัลลอฮ ในการละทิ้งการเผยแผ่สาส์นดังกล่าว ไปยังพวกนั้น และพวกเขาไม่เกรงกลัวผู้ใด นอกจากอัลลอฮเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเกรงกลัวต่อพระองค์ หากพวกเขา ละเลยจากการเผยแพร่สาส์น ของอัลลอฮ ไปยังผู้ที่พวกเขาถูกส่งมา ยังผู้นั้น ,พระองค์จึงตรัสแก่นบีของพระองค์ว่า “เจ้าจงเป็นดังบรรดารอซูลที่มีคุณลักษณะเหล่านี้ และ เจ้าอย่ากลัวคนหนึ่งคนใด นอกจากอัลลอฮ เท่านั้น – ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 10 หน้า 278
........................
จากอายะฮอัลกุรอ่านข้างต้น และคำอธิบายของอิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏอ็บรีย์ แสดงให้เห็นว่า อุลามาอฺ ที่สืบทอดเจตนารมณ์ของอัลลอฮ และ เป็นทายาทสืบทอดมรดกทางศาสนาของนบี นั้น เคือ อุลามาอฺหรือ ผู้รู้ที่นำสาส์นของอัลลอฮ รวมถึง คำสอนของนบีของเขา เผยแผ่ไปยังประชาชน และเขาไม่เกรงกลัวผู้ใด นอกจากอัลลอฮ เขาไม่กลัวจะเสียผลประโยชน์ หรือ เสียคะแนนนิยม หากเผยแผ่ความจริงที่ขัดต่อความเชื่อและประเพณีของประชาชนที่ไม่ถูกต้อง และเขาไม่ปิดบังความจริงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า


"إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنْزَلْنَا مِنَ الْبَيِّنَاتِ وَالْهُدَى مِنْ بَعْدِ مَا بَيَّنَّاهُ لِلنَّاسِ فِي الْكِتَابِ أُولَئِكَ يَلْعَنُهُمُ اللَّهُ وَيَلْعَنُهُمُ اللَّاعِنُونَ

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาและนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกเขานอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ" - อัลบะเกาะเราะฮ/174
...........
والله أعلم بالصواب