วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ท่านเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลหรือ









ท่านเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลหรือ
เวลากล่าวปฏิญานตน ก็กล่าวปฏิญานว่า " ไม่มีประเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ "และแท้จริงมุหัมหมัด คือศาสนาทูตของอัลลอฮ" แต่ทำไม่การยึดเอาคำสอนศาสนา จึงไม่หยุดอยู่ที่คำสอนของอัลลอฮและคำสอนของรอซูลของพระองค์ หรือว่า รู้และเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูล
พระองค์ทรงตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ عَلِيمٌ
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า (ในการกระทำใด ๆ) เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้-อัลหุญะรอต/1
อิบนุกะษีร กล่าวว่า
قَالَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : ( لَا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ ) : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ
อาลี บิน อบี ฏอ็ลหะฮ ได้กล่าวว่ารายงานจาก อิบนุอับบาส เกี่ยวกับอายะฮที่ว่า(พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า อัลลอฮและร่อซูลของพระองค์) หมายถึง พวกเจ้าอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนะฮ “- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 7 หน้า 364 อรรถาธิบาย อายะฮที่ 1 ซุเราะฮ อัลหุญรอต
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
أَيْ لَا تَقُولُوا حَتَّى يَقُولَ ، وَلَا تَأْمُرُوا حَتَّى يَأْمُرَ ، وَلَا تُفْتُوا حَتَّى يُفْتِيَ ، وَلَا تَقْطَعُوا أَمْرًا حَتَّى يَكُونَ هُوَ الَّذِي يَحْكُمُ فِيهِ وَيَمْضِيهِ ، رَوَى عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ.
หมายถึง พวกท่านอย่าพูด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล) พูด ,ท่านอย่างสั่ง จนกว่าเขาสั่ง ,ท่านอย่าฟัตวา จนกว่าเขาฟัตวา (ตัดสินชี้ขาด) และพวกเจ้าอย่า ตัดสินสิ่งใดอย่างเด็ดขาด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล)จะชี้ขาด ในมันและตัดสินมัน ,อาลี บิน อบีฏอ็ลหะฮ รายงานจาก อิบนุอับบาส (ร.ฎ) ว่า พวกเจ้าอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนะฮ- เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/51
หมายความว่า อย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใด ก่อนทีอัลลอฮหรือรอซูลกล่าวไว้ ,อย่าสั่งสิ่งใด ก่อนที่ อัลลอฮหรือรอซูล สั่ง ,อย่าฟัตวาหรือชี้ขาดเกี่ยวกับประเด็นใดก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสินชี้ขาด และอย่ากล่าวตัดสินสิ่งเป็นการเด็ดขาด ก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสิน
เพราะฉะนั้น การที่ท่านส่งเสริมให้คนอาวามทำสิ่งใด หรือตัดสินว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นผิด และสิ่งนั้นถูก โดยไม่ปรากฏคำสอนจากอัลลอฮและรอซูล ก็เท่ากับว่าท่านยกตัวเองว่าเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลใช่ไหม..แล้วสองคำปฏิญานที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวมันเพื่ออะไร.????
والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อยากได้บุญที่คนอื่นยกให้ รู้ไหมใครคือเจ้าของบุญ





อยากได้บุญที่คนอื่นยกให้ รู้ไหมใครคือเจ้าของบุญ


มุสลิมในสังคมบ้านเรา มีจำนวนไม่น้อย ที่มีความหวังผลบุญจากคนอื่น แต่ตัวเอง ไม่ขยันทำอะมั้ลอิบาดะฮ ไม่สนใจเรียน เงื่อนไขของอิบาดะฮที่จะนำไปสู่การได้บุญ
การตอบแทนผลบุญนั้น ผู้ที่ตอบแทนคือ อัลลอฮ ตาอาลา พระองค์คือเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งผลบุญ ทรงตอบแทนผลบุญแก่ผู้ที่ทำความดี ที่ทรงพอพระทัย
...
ในอัลกุรอ่าน กล่าวถึง คำว่า "ผลบุญ"(الثواب ) เช่น

وَلأُدْخِلَنَّهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الأَنْهَارُ ثَوَابًا مِّن عِندِ اللّهِ وَاللّهُ عِندَهُ حُسْنُ الثَّوَابِ

และแน่นอนข้าจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น ทั้งนี้เป็นรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม -อาลิ อิมรอน :195
คำว่า " ษะวาบ" แปลว่า รางวัลตอบแทน ซึ่ง มักจะเรียกกันว่า "ผลบุญ"


อีกคำหนึ่ง คือ การตอบแทน (الأجر ) เช่น

الَّذِينَ اسْتَجَابُواْ لِلّهِ وَالرَّسُولِ مِن بَعْدِ مَا أَصَابَهُمُ الْقَرْحُ لِلَّذِينَ أَحْسَنُواْ مِنْهُمْ وَاتَّقَواْ أَجْرٌ عَظِيمٌ

คือบรรดาผู้ที่ตอบรับอัลลอฮ์ และร่อซูลหลังจากที่บาดแผลได้ประสบแก่พวกเขา สำหรับบรรดาผู้กระทำดีในหมู่พวกเขาและมีความยำเกรงนั้น คือรางวัลอันยิ่งใหญ่หลวง -อาลิ อิมรอน :172


การตอบแทน หรือผลบุญ นั้น จะถูกกล่าวพร้อมกับ การทำความดีเสมอ หมายถึง การตอบแทนผู้ทำความดี ไม่ใช่ตอบแทนแทนผู้ที่รอส่วนบุญจากคนอื่น
การทำความดี และละเว้นความชั่ว เป็นบททดสอบอย่างหนึ่งจากอัลลอฮ แก่บ่าว เพื่อจะได้พิสูจน์ ถึงความศรัทธาของเขา
อัลกุรอ่านระบุไว้ว่า

أَمْ حَسِبْتُمْ أَن تَدْخُلُواْ الْجَنَّةَ وَلَمَّا يَعْلَمِ اللّهُ الَّذِينَ جَاهَدُواْ مِنكُمْ وَيَعْلَمَ الصَّابِرِينَ

[3.142] หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวนสวรรค์ ทั้งๆ ที่อัลลอฮ์ยังมิได้(จำแนกให้)รู้ชัด(ว่าใครคือ) บรรดาผู้ที่ต่อสู้ (ญิฮาด) ในหมู่พวกเจ้า และ(ยังมิได้จำแนกให้แน่ชัด)ให้ทรงรู้(ว่าใครคือ)บรรดาผู้ที่อดทนด้วย – อาลิอิมรอน/142

อิบนุกะษีร อธิบายว่า

أَيْ : لَا يَحْصُلُ لَكُمْ دُخُولُ الْجَنَّةِ حَتَّى تُبْتَلَوْا وَيَرَى اللَّهُ مِنْكُمُ الْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِهِ وَالصَّابِرِينَ عَلَى مُقَارَنَةِ الْأَعْدَاءِ . 

หมายถึง การเข้าสวรรค์ จะไม่ได้แก่พวกเจ้า จนกว่า พวกเจ้าจะถูกทดสอบ และอัลลอฮได้เห็นในหมู่พวกเจ้า บรรดาผู้ที่เสียสละในหนทางของพระองค์ และบรรดาผู้ที่อดทน ต่อการเผชิญกับบรรดาศัตรู - อิบนุกะษีร 2/127
จะเห็นได้ว่า ผู้ที่จะได้รับรางวัลตอบแทน คือ การได้เข้าสวรรค์นั้น ต้องมีผลงาน ต้องผ่านการทดสอบการเสียสละและความอดทน
การตั้งความหวังว่า เมื่อตาย แล้วจะได้นอนรอรอส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้
นั้น เป็นความหวัง ของคนที่เห็นแก่ได้แต่ขี้เกียจสร้างผลงาน แบบนี้ มั่นใจหรือว่าจะประสบความสำเร็จในวันกิยามะฮ

والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เรียนจนถึงหลุมฝังศพหรือว่าจะเรียนในหลุมฝังศพกันแน่







เรียนจนถึงหลุมฝังศพหรือว่าจะเรียนในหลุมฝังศพกันแน่

มีหะดิษปลอมบทหนึ่งมักจะถูกนำมาอ้างเพื่อส่งเสริมให้เรียน คือ


اطلبوا العلم من المهد الى اللحد

พวกท่านจงแสวงหาความรู้ตั้งแต่อยู่ในเปลจนกระทั้งถึงหลุมฝังศพ

แต่ยังมีหะดิษเฎาะอีฟและนักวิชาการบางท่านระบุว่าหะดิษปลอม ส่งเสริมให้จัดการเรียนการสอนคนตายที่อยู่ในหลุมศพคือ หะดิษที่ว่า

- حَدَّثَنَا أَبُو عَقِيلٍ أَنَسُ بْنُ سَلْمٍ الْخَوْلَانِيُّ ، ثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ بْنِ الْعَلَاءِ الْحِمْصِيُّ ، ثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ عَيَّاشٍ ، ثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ الْقُرَشِيُّ ، عَنْ يَحْيَى بْنِ أَبِي كَثِيرٍ ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الْأَوْدِيِّ ، قَالَ : شَهِدْتُ أَبَا أُمَامَةَ وَهُوَ فِي النَّزْعِ ، فَقَالَ : إِذَا أَنَا مُتُّ ، فَاصْنَعُوا بِي كَمَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - أَنْ نصْنَعَ بِمَوْتَانَا ، أَمَرَنَا رَسُولُ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فَقَالَ : " إِذَا مَاتَ أَحَدٌ مِنْ إِخْوَانِكُمْ ، فَسَوَّيْتُمِ التُّرَابَ عَلَى قَبْرِهِ ، فَلْيَقُمْ أَحَدُكُمْ عَلَى رَأْسِ قَبْرِهِ ، ثُمَّ لِيَقُلْ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَسْمَعُهُ وَلَا يُجِيبُ ، ثُمَّ يَقُولُ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَسْتَوِي قَاعِدًا ، ثُمَّ يَقُولُ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَقُولُ : أَرْشِدْنَا رَحِمَكَ اللَّهُ ، وَلَكِنْ لَا تَشْعُرُونَ . فَلْيَقُلْ : اذْكُرْ مَا خَرَجْتَ عَلَيْهِ مِنَ الدُّنْيَا شَهَادَةَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، وَأَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ ، وَأَنَّكَ رَضِيتَ بِاللَّهِ رَبًّا ، وَبِالْإِسْلَامِ دِينًا ، وَبِمُحَمَّدٍ نَبِيًّا ، وَبِالْقُرْآنِ إِمَامًا ، فَإِنَّ مُنْكَرًا وَنَكِيرًا يَأْخُذُ وَاحِدٌ مِنْهُمْا بِيَدِ صَاحِبِهِ وَيَقُولُ : انْطَلِقْ بِنَا مَا نَقْعُدُ عِنْدَ مَنْ قَدْ لُقِّنَ حُجَّتَهُ ، فَيَكُونُ اللَّهُ حَجِيجَهُ دُونَهُمَا " . فَقَالَ رَجُلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، فَإِنْ لَمْ يَعْرِفْ أُمَّهُ ؟ قَالَ : " فَيَنْسُبُهُ إِلَى حَوَّاءَ ، يَا فُلَانَ بْنَ حَوَّاءَ

คำแปลตัวบท

จากสะอีด บุตร อับดุลลอฮ อัลเอาดีย กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านอบีอุมามะฮ โดยที่เขา กำลังไกล้จะเสียชีวิต
เมื่อฉันได้เสียชีวิต พวกท่านจงจัดการเกี่ยวกับฉัน ดังที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้ใช้กับเรา ให้จัดการกับบรรดาผู้ตายของเรา ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ใช้กับเราโดยท่านกล่าวว่า " เมื่อคนใดจากพี่น้องของพวกท่านได้เสียชีวิต พวกท่านจงทำให้ดินบนกุบูรของเขาเรียบเสมอ และคนหนึ่งจากพวกท่าน จงยืนทางปลายของกุบูรของเขา หลังจากนั้น เขาจงกล่าวว่า "โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) บุตร ของนางผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) ดังนั้น เขาก็ได้ทำให้มัยยิดได้ยิน โดยที่มัยยิดก็จะไม่ทำการตอบสนอง หลังจากนั้น เขาก็กล่าวอีกว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง แล้วมัยยิดก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นเขากล่าวว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง ดังนั้น มัยยิดจึงกล่าวว่า ท่านจงชี้แนะแก่เราด้วยเถิด ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาต่อท่าน โดยที่พวกท่านทั้งหลายไม่รู้ตัวหรอก ดังนั้น เขากล่าวว่า "ท่าน(มัยยิด) จงกล่าวกับถ้อยคำที่ท่านดำรงอยู่บนมัน โดยที่ท่านได้จากลาออกจากโลกดุนยา กับคำปฏิญานว่า แท้จริง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์ และมุหัมมัดนั้นเป็นบ่าว และเป็นศาสนาทูตของพระองค์ และแท้จริง ฉันได้พอใจด้วยกับการที่อัลเลาะฮ์ทรงเป็นผู้อภิบาล และด้วยกับอิสลามนั้น คือศาสนา และนบีมุหัมมัด คือ ศาสนทูต และอัลกุรอานคือ อิมาม ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงเดินไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) เกี่ยวกับผู้ที่ถูกสอนกับหลักฐาน(ที่แสดงถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว (หมายถึงเขาได้ตอบคำถามของมุงกัรนะกีรแล้ว) เพราะอัลลอฮ"เป็นหลักฐาน(ที่เป็นคำตอบ)ของเขาที่ไม่ใช่มุงกัรและนะกีร ดังนั้น มีชายคนหนึ่ง ถามท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ว่า หากเขา(ผู้อ่านตัลกีน) ไม่รู้จักมารดาผู้ตายล่ะครับ ? ท่านร่อซูลตอบว่า ก็ให้เขาอ้างไปยังมารดาของที่ชือ เฮาวาอ์ คือ(กล่าวว่า) โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ชื่อ...) บุตร ของพระนางเฮาวาอ์
คำวิจารณ์หะดิษ

رواه الطبراني في الكبير وفي إسناده جماعة لم أعرفهم

รายงานโดย อัฎฎอ็บรอนีย ในอัลกะบีร และในสายสืบของมัน มีบรรดาผู้รายงานกลุ่มหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้จักพวกเขา - ดูมัจญมัวะซะวาอิด เล่ม 3 บทว่าด้วย การตัลกีนมัยยิต หลังจากฝัง (باب تلقين الميت بعد دفنه)

1. อัลอิซ บิน อับดุสสลาม กล่าวว่า "

لم يصح في التلقين شيء وهو بدعة
ไม่มี (หะดีษ) ที่เศาะหีหฺในเรื่องตัลกีนแม้แต่หะดีษเดียว และมันคือ (การกระทำที่) บิดอะฮฺ (ฟะตาวาอัลอิซ บิน อับดุสสลาม หน้า 427)

2. เจ้าของหนังสือเอานุลมะอฺบูด กล่าวว่า

والتلقين بعد الموت قد جزم كثير أنه حادث

และการอ่านตัลกีนหลังจากเสียชีวิต แท้จริงได้มีอุละมาอฺจำนวนมากยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ (8/268)
3. ศ็อนอานีย์ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ท่านยังอ้างว่ามีระบุในหนังสืออัลมะนารด้วยว่า

إن حديث التلقين لا يشك أهل المعرفة بالحديث في وضعه
แท้จริง หะดีษตัลกีน บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับหะดีษไม่สงสัยเลยถึงความเป็นหะดีษเมาฎูอฺของมัน (สุบุลุสสลาม 2/113)
สิ่งที่แปลกไม่ต่างกับนิยาย ข้อความที่ว่า คือ

فَإِنَّ مُنْكَرًا وَنَكِيرًا يَأْخُذُ وَاحِدٌ مِنْهُمْا بِيَدِ صَاحِبِهِ وَيَقُولُ : انْطَلِقْ بِنَا مَا نَقْعُدُ عِنْدَ مَنْ قَدْ لُقِّنَ حُجَّتَهُ ، فَيَكُونُ اللَّهُ حَجِيجَهُ دُونَهُمَا

ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงเดินไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) เกี่ยวกับผู้ที่ถูกสอนกับหลักฐาน(ที่ชี้เป็นถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว (หมายถึงเขาได้ตอบคำถามของมุงกัรนะกีรแล้ว) "
คือ เมื่อมลาอิกะฮมุงกัร นะกัร เห็นมีการสอนคนตายในหลุมศพแล้ว เขาทั้งสองก็ชวนกันกลับ คนตายก็ไม่ถูกสอบสวน ....ถ้าไม่เรียกนิยาย แล้วจะเรียกว่าอะไรดี
والله أعلم بالصواب

แนวทางในการดะอวะฮตามคำสอนอัลกุรอ่าน




แนวทางในการดะอวะฮตามคำสอนอัลกุรอ่าน

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

ادْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ
...
ความว่า “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า - อัลนะหลุ/125
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า

يَقُولُ تَعَالَى آمِرًا رَسُولَهُ مُحَمَّدًا - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - أَنْ يَدْعُوَ الْخَلْقَ إِلَى اللَّهِ بِالْحِكْمَةِ 

พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง ทรงสั่ง รอซูลของพระองค์ ,มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ให้ดะอวะฮมนุษย์ไปสู่อัลลอฮด้วยฮิกมะฮ


قَالَ ابْنُ جَرِيرٍ : وَهُوَ مَا أَنْزَلَهُ عَلَيْهِ مِنَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ ( وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ ) أَيْ : بِمَا فِيهِ مِنَ الزَّوَاجِرِ وَالْوَقَائِعِ بِالنَّاسِ ذَكَّرَهُمْ بِهَا ؛ لِيَحْذَرُوا بَأْسَ اللَّهِ تَعَالَى .

อิบนุญะรีร กล่าวว่า และมันคือ สิ่งที่อัลลอฮได้ประทานมันลงมา แก่เขาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ (และการตักเตือนที่ดี) หมายถึง ด้วยสิ่งที่อยู่ในมัน จากบรรดาข้อห้ามต่างๆและบรรดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ , ให้เขาตักเตือนพวกเขาเหล่านั้นด้วยมัน เพือพวกเขาจะได้ระวัง การลงโทษของอัลลอฮตาอาลา
وَقَوْلُهُ : ( وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ ) أَيْ : مَنِ احْتَاجَ مِنْهُمْ إِلَى مُنَاظَرَةٍ وَجِدَالٍ ، فَلْيَكُنْ بِالْوَجْهِ الْحَسَنِ بِرِفْقٍ وَلِينٍ وَحُسْنِ خِطَابٍ ، كَمَا قَالَ : ( وَلَا تُجَادِلُوا أَهْلَ الْكِتَابِ إِلَّا بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ إِلَّا الَّذِينَ ظَلَمُوا مِنْهُمْ ) [ الْعَنْكَبُوتِ : 46 ] فَأَمَرَهُ تَعَالَى بِلِينِ الْجَانِبِ ، كَمَا أَمَرَ مُوسَى وَهَارُونَ - عَلَيْهِمَا السَّلَامُ - حِينَ بَعَثَهُمَا إِلَى فِرْعَوْنَ فَقَالَ : ( فَقُولَا لَهُ قَوْلًا لَيِّنًا لَعَلَّهُ يَتَذَكَّرُ أَوْ يَخْشَى ) [ طه : 44

คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า ) หมายถึง ผู้ใดจากพวกเขาต้องการโต้แย้งและโต้เถียง ก็ให้เป็นไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยความสุภาพ ,อ่อนโยนและการพูดจาปราศัยที่ดี ดังที่พระองค์ตรัสว่า (และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับพวกอะฮ์ลุลกิตาบเว้นแต่ด้วยวิธีที่ดีกว่า นอกจากบรรดาผุ้อธรรมในหมู่พวกเขา")-อัลอังกะบูต/46 และอัลลอฮตาอาลา ได้ทรงสั่งเขา ให้มีความสุภาพอ่อนโยนดังที่ทรงได้สั่งมูซา และฮารูน (อ.) เมื่อทรงแต่งตั้งคนทั้งสองให้ไปยังฟาโรห์ โดยตรัสว่า(
" แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยน บางทีเขาอาจจะรำลึกขึ้นมา หรือเกิดความยำเกรงขึ้น" (ตอ-ฮา: 44) -ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร 17/322

สรุปคือ แนวทางการดะฮวะฮนั้น จะต้องปฏิบัติดังนี้
1.เรียกร้องไปสู่กิตาบุลลอฮ และสุนนะฮ
2. นำเอาบรรดาข้อห้ามต่างๆและบรรดาเหตุุการต่างๆที่เกิดขึ้นกับมานุษย์ มาตักเตือน เพื่อให้พวกเขาระวังการลงโทษของอัลลอฮ
3. มีความสุภาพอ่อนโยนและพูดจาปราศัยที่ดี

ข้างต้น คือแนวทางดะอฺวะฮที่อัลลอฮ ตาอาลาสอนไว้ ที่บรรดานักดาอีย์ทั้งหลายในปัจจุบัน รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย ยังขาดตกบกพร่องอยู่ไม่น้อยในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ การมีความสุภาพอ่อนโยนในการพูดจา ปราศัย ซึ่งต้องปรับปรุงตัวเองกันอีกมากมาย ,ยังคงห่างใกลจากวิธีการเผยแพร่ตามแบบอย่างบรรพชนยุคสะลัฟ อีกมาก ที่จะเรียกตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ ว่าเผยแพร่ตามวิถีสะลัฟ
والله أعلم بالصواب