หลักการรับรองคุณลักษณะอัลลอฮตามทัศนะสะลัฟแท้ไม่แอบอ้าง
มาดูหลักการของสะลัฟแท้ๆไม่ใช่สะลัฟจีนแดง ต่อไปนี้
1.อัลหาฟิซอบีบักร์ อัลคอฏีบ (ฮ.ศ 463) กล่าวว่า
أما الكلام في الصفات، فإن ما روي منها في السنن الصحاح، فمذهب السلف إثباتها وإجراؤها على ظواهرها ونفي الكيفية والتشبيه عنها
สำหรับคำพูด ในบรรดาสิฟาต(บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ)นั้น แท้จริง สิ่งที่ถูกรายงานจากมัน ในบรรดาสุนนะฮที่เศาะเฮียะ ตามทัศนะของสะลัฟ คือ การรับรองมัน และปล่อยมัน บนบรรดาความหมายภายนอก(ที่มีมาตามตัวบท)ของมัน และปฏิเสธ การอธิบายรูปแบบวิธีการ(ว่าเป็นอย่างไร)และปฏิเสธการเปรียบเทียบจากมัน - ดู อิบาตสิฟัตอัลอุลูว์ของอิบนุกุดามะฮ หน้า 29
.
......
ในทัศนะสะลัฟ เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮที่ได้ถูกรายงานในบรรดาสุนนะฮที่เศาะเฮียะคือ ยืนยัน/รับรอง บรรดาสิฟาต ตามความหมายภายนอกของมันที่มีมาตามตัว และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร และปฏิเสธการเปรียบกับบรรดาคุณลักษณะของมัคลูค
2. อิบนุอับดิลบัร (ฮ.ศ 368) กล่าวว่า
أهل السنة مجمعون على الإقرار بالصفات الواردة في الكتاب والسنة، وحملها على الحقيقة لا على المجاز، إلا أنهم لم يكيفوا شيئاً من ذلك،
ชาวสุนนะฮ พวกเขามีมติบน การยอมรับ บรรดาสิฟาต(คุณลักษณะของอัลลอฮ) ที่ปรากฏมา ในอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ) และบนการถือมันตามความหมายจริง(หะกีกัต) ไม่ถือตามความหมายในเชิงอุปมา(มะญาซ) นอกจากพวกเขา ไม่อธิบายรูปแบบสิ่งใดๆจากดังกล่าว (ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร) -อัตตัมฮีต 7/145
3. ท่านกอฎีย์อบูยะอฺลา(เสียชีวิตปี ฮ.ศ 458)ในหนังสือ อิบฏอลุตตะวีล ว่า
لا يجوز رد هذه الأخبار ولا التشاغل بتأويلها، والواجب حملها على ظاهرها وأنها صفات لله عز وجل لا تشبه صفات الموصوفين بها من الخلق .. ويدل على إبطال التأويل أن الصحابة ومن بعدهم حملوها على ظاهرها ولم يتعرضوا لتأويلها ولا صرفها عن ظاهرها، فلو كان التأويل سائغاً- يعني على ما زعم من قال إن في الحمل على ظاهرها تشبيه- لكانوا إليه أسبق لما فيه من إزالة التشبيه
ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธบรรดาหะดิษเหล่านี้ และไม่อนุญาตให้สาละวนอยู่กับการตีความมัน และจำเป็นจะต้องถือมันตามความหมายภายนอกของมัน และแท้จริงบรรดาสิฟัตของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง นั้น ไม่มีความคล้ายคลึงกับบรรดาสิฟัต(คุณลักษณะ)ของบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะด้วยมันจากมัคลูค ...และ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการตีความเป็นโมฆะ คือ บรรดาเศาะหาบะฮและ ผู้ที่อยู่สมัยหลังจากพวกเขา ได้ถือมันตามความหมายภายนอกของมัน และพวกเขาไม่ได้แสดงการคัดค้านด้วยการตีความ และไม่ได้เปลี่ยนความหมายจากความหมายภายนอกของมัน เพราะถ้า ปรากฏว่าการตีความเป็นสิ่งอนุญาต ตามความเข้าใจของผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงการถือตามความหมายภายนอกของมัน เป็นการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบอัลลอฮว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค) แน่นอน พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะอ) ได้กระทำล่วงหน้าในมันมาก่อนแล้วจากการขจัดการตัชบิฮ - อัลอุลูวลิอะลียิลฆ็อฟฟาร หน้า 250-251 (ดูอิบฏอลลุตตะวีลาต 1/ 143,171) ดูสำเนาที่แนบมา
....
สรุป
1.ไม่อนุญาตให้ตีความบรรดาสิฟาตอัลลอฮ และวาญิบให้ถือตามความหมายภายนอก (หมายถึงความหมายของคำในทางภาษาที่มีมาตามตัวบท)
2.เศาะหาบะฮและคนยุคหลังจากพวกเขา(หมายถึงตาบิอีน) ถือบรรดาสิฟาตตามความหมายภายนอกไม่ตีความ เพราะถ้าอนุญาตให้ตีความจริง พวกเขาก็คงทำมาก่อนหน้านี้แล้ว
การอ้างว่าถ้าถือตามความหมายภายนอกที่มีมาตามตัวบท คือการตัชบีฮ (การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค )นี่คือแนวคิดอะฮลุลบิดอะฮ,แนวคิดญะฮมียะฮและมุอตะซิละฮ ดังที่อิบนุอับดิลบัรได้กล่าวเอาไว้ในอัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 145
สำหรับบรรดาปราชญ์สะลัฟนั้น การรับรองความหมายในทางภาษาของถ้อยคำที่มีมาตามตัวบทนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค ในเมื่อไม่เชื่อว่า เหมือนกับมัคลูคเช่น
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ (ร.ฮ) ปราชญ์สะลัฟรายงานว่า
وقال إسحق بن إبراهيم إنما يكون التشبيه إذا قال يد كيد أو مثل يد أو سمع كسمع أو مثل سمع فإذا قال سمع كسمع أو مثل سمع فهذا التشبيه وأما إذا قال كما قال الله تعالى يد وسمع وبصر ولا يقول كيف ولا يقول مثل سمع ولا كسمع فهذا لا يكون تشبيها وهو كما قال الله تعالى في كتابه ليس كمثله شيء وهو السميع البصير
ท่านอิสหาก อิบนุอิบรอฮีม บินรอฮาวัยฮฺ ได้กล่าวอธิบายว่า การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา ดังที่อัลลอฮตาอาลา ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น”(หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
..
การยืนยันความหมายตามตัวบทจึงไม่ใช่การตัชบิฮ(การเปรียบอัลลอฮกับมุคลูค) อย่าง ที่พวกแนวตรรกทางปัญญา ที่กล่าวหาคนถือความหมายตามตัวบทว่า พวกวะฮบีย์นอกรีต อ้าง และการอ้างการตีความอายาตและหะดิษสิฟาต ที่อ้างว่า ความหมายตามตัวบทเป็นความหมายที่ไม่ต้องการ ไม่ใช่สะลัฟแท้ แต่สะลัฟแอบอ้างหรือสะลัฟจีนแดง
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/2/63
มาดูหลักการของสะลัฟแท้ๆไม่ใช่สะลัฟจีนแดง ต่อไปนี้
1.อัลหาฟิซอบีบักร์ อัลคอฏีบ (ฮ.ศ 463) กล่าวว่า
أما الكلام في الصفات، فإن ما روي منها في السنن الصحاح، فمذهب السلف إثباتها وإجراؤها على ظواهرها ونفي الكيفية والتشبيه عنها
สำหรับคำพูด ในบรรดาสิฟาต(บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ)นั้น แท้จริง สิ่งที่ถูกรายงานจากมัน ในบรรดาสุนนะฮที่เศาะเฮียะ ตามทัศนะของสะลัฟ คือ การรับรองมัน และปล่อยมัน บนบรรดาความหมายภายนอก(ที่มีมาตามตัวบท)ของมัน และปฏิเสธ การอธิบายรูปแบบวิธีการ(ว่าเป็นอย่างไร)และปฏิเสธการเปรียบเทียบจากมัน - ดู อิบาตสิฟัตอัลอุลูว์ของอิบนุกุดามะฮ หน้า 29
.
......
ในทัศนะสะลัฟ เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮที่ได้ถูกรายงานในบรรดาสุนนะฮที่เศาะเฮียะคือ ยืนยัน/รับรอง บรรดาสิฟาต ตามความหมายภายนอกของมันที่มีมาตามตัว และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร และปฏิเสธการเปรียบกับบรรดาคุณลักษณะของมัคลูค
2. อิบนุอับดิลบัร (ฮ.ศ 368) กล่าวว่า
أهل السنة مجمعون على الإقرار بالصفات الواردة في الكتاب والسنة، وحملها على الحقيقة لا على المجاز، إلا أنهم لم يكيفوا شيئاً من ذلك،
ชาวสุนนะฮ พวกเขามีมติบน การยอมรับ บรรดาสิฟาต(คุณลักษณะของอัลลอฮ) ที่ปรากฏมา ในอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ) และบนการถือมันตามความหมายจริง(หะกีกัต) ไม่ถือตามความหมายในเชิงอุปมา(มะญาซ) นอกจากพวกเขา ไม่อธิบายรูปแบบสิ่งใดๆจากดังกล่าว (ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร) -อัตตัมฮีต 7/145
3. ท่านกอฎีย์อบูยะอฺลา(เสียชีวิตปี ฮ.ศ 458)ในหนังสือ อิบฏอลุตตะวีล ว่า
لا يجوز رد هذه الأخبار ولا التشاغل بتأويلها، والواجب حملها على ظاهرها وأنها صفات لله عز وجل لا تشبه صفات الموصوفين بها من الخلق .. ويدل على إبطال التأويل أن الصحابة ومن بعدهم حملوها على ظاهرها ولم يتعرضوا لتأويلها ولا صرفها عن ظاهرها، فلو كان التأويل سائغاً- يعني على ما زعم من قال إن في الحمل على ظاهرها تشبيه- لكانوا إليه أسبق لما فيه من إزالة التشبيه
ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธบรรดาหะดิษเหล่านี้ และไม่อนุญาตให้สาละวนอยู่กับการตีความมัน และจำเป็นจะต้องถือมันตามความหมายภายนอกของมัน และแท้จริงบรรดาสิฟัตของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง นั้น ไม่มีความคล้ายคลึงกับบรรดาสิฟัต(คุณลักษณะ)ของบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะด้วยมันจากมัคลูค ...และ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการตีความเป็นโมฆะ คือ บรรดาเศาะหาบะฮและ ผู้ที่อยู่สมัยหลังจากพวกเขา ได้ถือมันตามความหมายภายนอกของมัน และพวกเขาไม่ได้แสดงการคัดค้านด้วยการตีความ และไม่ได้เปลี่ยนความหมายจากความหมายภายนอกของมัน เพราะถ้า ปรากฏว่าการตีความเป็นสิ่งอนุญาต ตามความเข้าใจของผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงการถือตามความหมายภายนอกของมัน เป็นการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบอัลลอฮว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค) แน่นอน พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะอ) ได้กระทำล่วงหน้าในมันมาก่อนแล้วจากการขจัดการตัชบิฮ - อัลอุลูวลิอะลียิลฆ็อฟฟาร หน้า 250-251 (ดูอิบฏอลลุตตะวีลาต 1/ 143,171) ดูสำเนาที่แนบมา
....
สรุป
1.ไม่อนุญาตให้ตีความบรรดาสิฟาตอัลลอฮ และวาญิบให้ถือตามความหมายภายนอก (หมายถึงความหมายของคำในทางภาษาที่มีมาตามตัวบท)
2.เศาะหาบะฮและคนยุคหลังจากพวกเขา(หมายถึงตาบิอีน) ถือบรรดาสิฟาตตามความหมายภายนอกไม่ตีความ เพราะถ้าอนุญาตให้ตีความจริง พวกเขาก็คงทำมาก่อนหน้านี้แล้ว
การอ้างว่าถ้าถือตามความหมายภายนอกที่มีมาตามตัวบท คือการตัชบีฮ (การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค )นี่คือแนวคิดอะฮลุลบิดอะฮ,แนวคิดญะฮมียะฮและมุอตะซิละฮ ดังที่อิบนุอับดิลบัรได้กล่าวเอาไว้ในอัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 145
สำหรับบรรดาปราชญ์สะลัฟนั้น การรับรองความหมายในทางภาษาของถ้อยคำที่มีมาตามตัวบทนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค ในเมื่อไม่เชื่อว่า เหมือนกับมัคลูคเช่น
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ (ร.ฮ) ปราชญ์สะลัฟรายงานว่า
وقال إسحق بن إبراهيم إنما يكون التشبيه إذا قال يد كيد أو مثل يد أو سمع كسمع أو مثل سمع فإذا قال سمع كسمع أو مثل سمع فهذا التشبيه وأما إذا قال كما قال الله تعالى يد وسمع وبصر ولا يقول كيف ولا يقول مثل سمع ولا كسمع فهذا لا يكون تشبيها وهو كما قال الله تعالى في كتابه ليس كمثله شيء وهو السميع البصير
ท่านอิสหาก อิบนุอิบรอฮีม บินรอฮาวัยฮฺ ได้กล่าวอธิบายว่า การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา ดังที่อัลลอฮตาอาลา ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น”(หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
..
การยืนยันความหมายตามตัวบทจึงไม่ใช่การตัชบิฮ(การเปรียบอัลลอฮกับมุคลูค) อย่าง ที่พวกแนวตรรกทางปัญญา ที่กล่าวหาคนถือความหมายตามตัวบทว่า พวกวะฮบีย์นอกรีต อ้าง และการอ้างการตีความอายาตและหะดิษสิฟาต ที่อ้างว่า ความหมายตามตัวบทเป็นความหมายที่ไม่ต้องการ ไม่ใช่สะลัฟแท้ แต่สะลัฟแอบอ้างหรือสะลัฟจีนแดง
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/2/63