วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564

คิดจะพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานหรือ?

 

 

คิดจะพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานหรือ?
หญิงหม้ายแต่งงานโดยไม่ขออนุญาตวะลีได้ไหม
มีพี่น้องถามมาทางข้อความส่วนตัว เห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาตอบเพื่อให้ได้อ่าน และเตือนผู้ชายเมียเผลอทั้งหลายที่แอบพาแม่หม้ายไปนิกะห์โดยไม่บอกให้ผู้ปกครองฝ่ายหญิง(วะลี)ทราบ
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
“ أيما امرأةٍ نُكحتْ بغيرِ إذنِ وليِّها ؛ فنكاحُها باطلٌ, فنكاحُها باطلٌ, فنكاحُها باطلٌ فإنْ دخل بها ؛ فلها المهرُ بما استحلَّ منْ فرجِها, فإنِ اشتجَروا ؛ فالسُّلطانُ وليُّ من لا وليَّ لهُ
ความว่า “สตรีท่านใดที่แต่งงานโดยมิได้รับอนุญาตจากวะลีย์ของนาง เช่นนี้การแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ, การแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ และการแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ (ท่านรอซูลกล่าวสามครั้ง) และหากเขามีเพศสัมพันธ์กับนาง ต้องให้มะหัรแก่นาง จากที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง, และหากบรรดาวะลีมีความขัดแย้งกัน ผู้ีอำนาจปกครอง เป็นผู้ปกครอง(วะลี)สำหรับคนที่ไม่มีผู้ปกครอง(วะลี)".
رواه الترمذي ( 1102 ) وأبو داود ( 2083 ) وابن ماجه ( 1879 ) .
وصححه الألباني في إرواء الغليل ( 1840 ) .
กล่าวคือ การแต่งงานนั้นจะต้องขออนุญาตผู้ปกครอง ไม่ว่าหญิงสาวหรือหญิงหม้าย แต่ถ้าบรรดาคนที่มีสิทธิเป็นวาลีของนาง ขัดขวาง ไม่ให้แต่งงานกับชายที่คู่ควรกับนางตามศาสนบัญญัติ ก็ให้มอบหมายให้ผู้มีอำนาจทำหน้าที่เป็นวาลีแทน
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า
 
وإذا تعذر من له ولاية النكاح انتقلت الولاية إلى أصلح من يوجد ممن له نوع ولاية في غير النكاح كرئيس القرية وأمير القافلة ونحوه .
 
และเมื่อผู้ที่มีวะลีนิกะห มีอุปสรรค์ ขัดขวาง การเป็นวาลีก็ให้เลื่อนไปยังผู้ที่เหมาะสมที่มีอยู่ จากผู้ที่มีอำนาจปกครอง อื่นจากการนิกะห์ เช่น หัวหน้าหมู่บ้าน ,ผู้นำกองคาราวาน และในทำนองนั้น(เช่น โต๊ะอิหม่าม-ผู้แปล) -ดูอัลอิคติยารอต 350
อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
فإن لم يوجد للمرأة ولي ولا سلطان فعن أحمد ما يدل على أنه يزوجها رجل عدل بإذنها .
แล้วหากไม่มีวะลีและผู้มีอำนาจปกครอง สำหรับผู้หญิงคนนั้น รายงานจากอะหมัด สิ่งที่แสดงบอกว่า ให้ผู้ชายที่มีความยุติธรรมทำการแต่งงานให้แก่นาง ด้วยการอนุญาติของนาง - อัลมุฆนีย 9/362
เพื่อให้ชัดเจนย่งขึ้น ขอนำฟัตวาของชัยค์บินบาซต่อไปนี้คือ
لجواب:
من شرط صحة النكاح: صدوره عن ولي، سواء كانت المرأة بكرا أو ثيبا؛ لقول النبي - صلى الله عليه وسلم- : «لا نكاح إلا بولي»، وقوله - صلى الله عليه وسلم- : «لا تزوج المرأة المرأة، ولا المرأة نفسها»، ولكن الأيم لا بد من إذنها صريحا، وهي الثيب، أما البكر فيكفي سكوتها، لقول النبي - صلى الله عليه وسلم- : «لا تنكح الأيم حتى تستأمر، ولا تنكح البكر حتى تستأذن، قالوا: يا رسول الله وكيف إذنها؟ قال: أن تسكت» متفق على صحته.
 
จากเงื่อนไขของการนิกะหฺที่ใช้ได้ คือ การนิกะหนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากวะลี(ผู้ปกครองฝ่ายหญิง) ไม่ว่าหญิงนั้นจะเป็นหญิงสาวหรือแม่หม้ายก็ตาม เพราะแท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า "(การแต่งงานจะใช้ไม่ได้นอกจากจะต้องมีวะลี")และคำกล่าวของท่านนบีที่ว่า "(สตรีจะไม่แต่งงาน(ทำพิธีนิกะห)ให้กับสตรี และสตรีจะไม่แต่งงานด้วยตัวของนางเอง )
แต่หญิงหม้ายที่โสด จะต้องเกิดจากการอนุญาตของนางชัดเจน โดยที่นางอยู่ในสภาพหญิงหม้าย ,สำหรับหญิงสาว(ที่ไม่เคยผ่านการแต่งงาน) พอเพียงกับการนิ่งเงียบของนาง เพราะคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า (ไม่อนุญาตให้หญิงหม้ายถูกนิกาหฺ จากกว่านางจะถูกขอคำสั่งเสียก่อน และหญิงบริสุทธิ์ (ผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน) จะไม่ถูกแต่งงานจนกว่านางจะถูกขออนุญาตเสียก่อน, บรรดาเศาะหาบะฮฺกล่าวถามว่า การยินยอมของนางเป็นเช่นไร? ท่านรสูลตอบว่า คือการนิ่งของนางนั่นเอง -มุตตะฟักฮอะลัยฮิ
 
وروى مسلم في صحيحه عن النبي - صلى الله عليه وسلم- أنه قال: «الأيم أحق بنفسها من وليها، والبكر يستأذنها أبوها وإذنها صماتها»، ومعنى قوله - صلى الله عليه وسلم- : «الأيم أحق بنفسها من وليها» أنه ليس لوليها تزويجها إلا بإذن صريح منها؛ جمعا بين الأحاديث في هذا الباب، وهذا هو قول جمهور أهل العلم، وهو الحق الموافق للأحاديث الصحيحة. والله ولي التوفيق.
 
และรายงานโดยมุสลิม ในเศาะเฮียะของเขา จากนบี ศฮ็ลฯ ว่าแท้จริงท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า(หญิงหม้ายนั้น นางมีสิทธิ์ (ตอบรับการแต่งงาน) ด้วยตัวของนางมากกว่าวะลีย์ของนาง ส่วนหญิงบริสุทธิ์นั้น บิดาของนางจะต้องขออนุญาตินาง ซึ่งการอนุญาตของนางคือการนิ่งเงียบ ) และความหมาย คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า (หญิงหม้ายนั้น นางมีสิทธิ์ (ตอบรับการแต่งงาน) ด้วยตัวของนางมากกว่าวะลีย์ของนาง)หมายถึง วะลี(ผู้ปกครอง)ของนาง จะจัดการแต่งงานนางไม่ได้นอกจาก ด้วยการอนุญาตชัดเจนจากนาง ,โดยรวมระหว่างบรรดาหะดิษ ในเรื่องนี้ และนี้คือทัศนะญุมฮูร (ส่วนใหญ่)ของนักวิชาการ และมันคือ ความจริงที่สอดคล้องกับบรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะ -วัลลอฮุวะลียุตเตาฟิก -มัจญมัวะฟะตาวาชัยค์บิน บาซ 21/38-40
...............
สรุปว่า
ไม่ว่าการแต่งงานหญิงสาวหรือแม่หม้าย ผู้ปกครองฝ่ายหญิงจะต้องรับรู้ และการแต่งงานนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากวะลีของฝ่ายหญิง ส่วนในกรณีบรรดาวาลีฝ่ายหญิง เช่น พ่อ ,ปู พ่ชาย น้องชาย เป็นต้น ขัดขวาง และชายที่จะแต่งงานด้วยคู่ควรกับนางตามหลักศาสนบัญญัติ ก็ให้เลื่อนการเป็นวะลีทำพิธีนิกะหฺ ไปยังผู้ผู้มีอำนาจปกครอง ถ้าไม่มีก็ให้แต่งตั้งผู้ชายที่มีความยุติธรรม จัดการทำพิธีนิกะหฺ โดยการอนุญาตของหญิงนั้น
จะเห็นได้ว่า การแต่งงานนั้นผู้ปกครองจะต้องรับรู้ และอนุญาต เป็นอันดับแรก จะใช้วิธีพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานโดยไม่ขออนุญาตวะลีฝ่ายหญิงไม่ได้ เพราะ คนทำหน้าที่นิกะฮคือ ผู้ปกครองฝ่ายหญิง ยกเว้นในกรณีมอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทน
والله أعلم بالصواب
4/6/64
ا