วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง




ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
การผูกขาดมัซอับเราบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิและอันตราย แล้วการผูกขาด ยึดติด ผู้รู้ รักกันเพื่อบุคคลนี้ เกลียดชังกัน เป็นศัตรูกัน แตกแยกกัน เพื่อปกป้องทัศนะบุคคลนี้ มันต่างกันตรงใหนหรือ
ชัยค์มุฮัมหมัด สุลต่่าน อัลคอ็จญนะดีย์ ร.ฮ กล่าวว่า
فمن يتعصَّب لواحد معيَّن غير رسول الله - صلَّى الله عليه وسلَّم - ويرى أن قوله هو الصواب الذي يجب اتِّباعُه دون الأئمة الآخرين، فهو ضالٌّ جاهل،
ดังนั้น ใครก็ตามที่ยึดติดกับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ อื่นจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และเห็นว่า คำพูดของเขาถูก ที่จำเป็นต้องตามเขาผู้นั้น โดยไม่ตามบรรดาปราชญ์คนอื่นๆ เขาผู้นั้นคือ ผู้ที่หลุ่มหลงและโง่เขลา - 
رسالة "هل المسلم مُلْزَم باتباع مذهب معيَّن من المذاهب الأربعة؟" لمحمد سلطان المعصومي الخجندي، ص 54.
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
ومن تعصب لواحد بعينه من الأئمة دون الباقين فهو بمنزلة من تعصب لواحد بعينه من الصحابة دون الباقين: كالرافضي الذي يتعصب لعلي دون الخلفاء الثلاثة وجمهور الصحابة، وكالخارجي الذي يقدح في عثمان وعلي رضي الله عنهما؛ فهذه طرق أهل البدع والأهواء الذين ثبت بالكتاب والسنة والإجماع أنهم مذمومون، خارجون عن الشريعة والمنهاج الذي بعث الله به رسوله -صلى الله عليه وسلم

และผู้ใดยึดติด กับคนหนึ่งคนใด เป็นการเฉพาะแก่เขา จากบรรดาอิหม่าม โดยไม่ยึดติด(ไม่ตาม)บรรดาคนอื่นๆที่เหลือ เขาก็อยู่ในฐานะเดียวกับผู้ที่ยึดติดคนหนึ่งคนใด โดยเฉพาะ จากบรรดาเศาะหาบะฮ โดย ไม่ตามบรรดาเศาะหาบะฮอื่นๆที่เหลือ เช่น พวกชีอะฮรอฟิเฎาะฮ ที่ยึดติดกับท่านอาลี โดยไม่ตามบรรดาเคาะลิฟะฮสามท่านและบรรดาเศาะหาบะฮส่วนใหญ่ และพวกเคาะวาริจญ ที่พูดให้ร้ายท่านอุษมานและท่านอาลี (ร.ฎ) ดังนั้นเหล่านี้คือ บรรดาแนวทาง ของอะฮลุลบิดอะฮและนักตามอารมณ์ ซึ่ง ได้ยืนยันด้วยอัลกิตาบ ,อัสสุนนะฮ และอัลอิจญมาอฺ ว่าแท้จริงพวกเขาคือบรรดาผู้ถูกตำหนิ ,คือผู้ที่ออกจาก ชะรีออะฮและแนวทาง ที่อัลลอฮทรงแต่งตั้งรอซูลของพระองค์ (ศอ็ลฯ)ด้วยมัน -
فَمَنْ تَعَصَّبَ لِوَاحِدِ مِنْ الْأَئِمَّةِ بِعَيْنِهِ فَفِيهِ شَبَهٌ مِنْ هَؤُلَاءِ سَوَاءٌ تَعَصَّبَ لِمَالِكِ أَوْ الشَّافِعِيِّ أَوْ أَبِي حَنِيفَةَ أَوْ أَحْمَد أَوْ غَيْرِهِمْ . ثُمَّ غَايَةُ الْمُتَعَصِّبِ لِوَاحِدِ مِنْهُمْ أَنْ يَكُونَ جَاهِلًا بِقَدْرِهِ فِي الْعِلْمِ وَالدِّينِ وَبِقَدْرِ الْآخَرِينَ فَيَكُونُ جَاهِلًا ظَالِمًا وَاَللَّهُ يَأْمُرُ بِالْعِلْمِ وَالْعَدْلِ وَيَنْهَى عَنْ الْجَهْلِ وَالظُّلْمِ . قَالَ تَعَالَى : { وَحَمَلَهَا الْإِنْسَانُ إنَّهُ كَانَ ظَلُومًا جَهُولًا }
ดังนั้น ผู้ใด ผูกขาดกับคนหนึ่งคนใด จากบรรดาอิหม่าม เป็นการเฉพาะ ในมัน (ในกรณีนี้) คือ ความคล้ายคลึงกับพวกเขาเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะยึดติดกับ มาลิก ,ชาฟีอี ,อบูหะนีฟะฮ ,อะหมัด หรือ คนอื่นจากพวกเขา หลังจากนั้น ท้ายที่สุด ของผู้ที่ยึดติดกับคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา(เป็นการเฉพาะ) เขาก็เป็นคนที่ญาฮีด(ผู้ที่ไม่รู้)ความสามารถของเขา ในความรู้และศาสนา และ(ไม่รู้)ความสามารถของบรรดาคนอื่นๆ เขาก็เป็นคนที่โง่เชลาที่อธรรม และอัลลอฮนั้นทรง ใช้ ด้วยการให้มีความรู้และความยุติธรรม และห้ามจากความโง่เขลาและการอธรรม อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (และมนุษย์ได้แบกรับมัน แท้จริงเขา ( มนุษย์ ) เป็นผู้อธรรมงมงายยิ่ง ) 
- มัจญมัวะอัลฟะตาวา 2/252
สรุป 
1. คนที่ผูกขาดยึดติดกับคนหนึ่งคนใดจากอิหม่ามสี่หรือคนอื่นๆ เป็นการเฉพาะก็ไม่ต่างอะไรกับพวกชีอะฮรอฟิเฎาะ และเคาะวาริจญที่ยึดตัดตัวบุคคลเป็นเฉพาะ โดยไม่ตามคนอื่นๆ 
2. คนที่คนที่ผูกขาดยึดติดกับคนหนึ่งคนใดจากอิหม่ามสี่ หรือคนอื่นๆเป็นการเฉพาะ เขาไม่รู้ว่า คนที่เขายึดติดและคนอื่นที่เขาไม่ตามนั้น ต่างก็มีระดับความสามารถ ในเรื่องความรู้และศาสนา ไม่ใช่อิหม่ามข้าหรืออาจารย์ข้าเท่านั้นที่เก่ง ที่มีความรู้จริง
3. คนที่ผูกขาดยึดติดกับคนหนึ่งคนใดจากอิหม่ามสี่หรือคนอื่นเป็นการเฉพาะ เขาคือผู้ที่โง่เขลา ที่อธรรมต่อผู้อื่น 
............
การยึดติด ผูกขาดช่องทีวีของมุสลิม ช่องใดเป็นการเฉพาะ ช่องอื่นฉันไม่ดู ไม่ฟัง ตามอารมณ์ ความรู้สึก ไร้เหตุผล การยึดติด อาจารย์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ คนอื่นฉันไม่ฟัง คนอื่นผิด อีกทั้งพูดให้ร้ายแก่ผู้ที่เห็นต่างกับอาจารย์ที่ตนตะอัศศุบ มันต่างอะไรกันหรือ กับผู้ที่สังกัดมัซฮับที่ท่านเข้าใจว่า เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง "ว่าแต่เขา แต่ทุกวันนี้ อิเหนาเป็นเอง" 
ลองอ่าน คำสอนของปราชญ์ที่ยึดแนวสะละลัฟดูบ้าง แล้วให้เป็นกระจกส่องดูตัวเองบ้าง ว่า เป็นเช่นไร
โอ้..ผู้ที่เรียกตัวเองว่า ชาวสุนนะฮทั้งหลาย กลัวบิดอะฮกันไม่ใช่หรือ รู้ไหมว่า การผู้กขาด และยึดติด ตัวบุคคลเป็นการเฉพาะ คือบิดอะฮในยุคศศตวรรษที่สี่
อิหมามอัชชันกิฏีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
فَتَقْلِيدُ الْعَالِمِ الْمُعَيَّنِ مِنْ بِدَعِ الْقَرْنِ الرَّابِعِ ، وَمَنْ يَدَّعِي خِلَافَ ذَلِكَ ، فَلْيُعَيِّنْ لَنَا رَجُلًا وَاحِدًا مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْأُوَلِ ، الْتَزَمَ مَذْهَبَ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ ، وَلَنْ يَسْتَطِيعَ ذَلِكَ أَبَدًا ; لِأَنَّهُ لَمْ يَقَعِ الْبَتَّةَ .
ดังนั้นการตักลิด(การเชื่อตาม)ผู้รู้เป็นการเฉพาะ เป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮในศตวรรษที่สี่ และผู้ใดขัดแย้ง(เห็นต่างดังกล่าว)ก็จงระบุเจาะจง ให้เรา มาสักคน จากคนที่อยู่ในศตวรรษสามแรก ว่า เขายึดติด(สังกัด)มัซฮับคนหนึ่งเป็นการเจาะจง และเขาไม่สามารถดังกล่าว(หมายถึงไม่สามาถระบุว่าคนยุคแรกคนใดสังกัดมัซฮับแบบเจาะจงให้แก่เรา) ตลอดไป เพราะแท้จริง มันไม่เกิดขึ้นเลย – ตัฟสีร อัฎวาอุลบะยาน ๗/๓๐๗
............
อิหม่ามอัชชันกีฏีย์ ท้าว่า ช่วยบอกมาสักคนซิ ว่าคนในยุคสะลัฟ ใครบ้างที่ผูกขาดทัศนะคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะบ้าง ท่านบอกว่าไม่มีหรอก และผู้เขียนขอกล่าวว่า แล้วที่บอกว่า ตามสะลัฟ ตามสะลัฟจริงหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/5/59

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อุลามาอฺบ่มแก๊ซ






อุลามาอฺบ่มแก๊ซ
ปัจจุบัน สังเกตุจากโลกโซเซียล เช่น ในเฟสบุค เว็บไซด์ในกระดานบอร์ด หรือ นอกโลกโซเซียล เช่นทีวี และเวทีการกุศล จะพบว่า มีอุลามาอฺเกิดขี้นมากมายยิ่งกว่าดอกเห็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุลามาอฺบ่มแก็ซ ได้ยิน ได้ฟังเขามา ก็ทำตัวเป็นปราชญ์ชี้นำคน ออกฟัตวา และพิพากษา คนนั้นผิด คนนี้ถูก โดยขาดความเข้าใจและพิจาณาประเด็นต่างอย่างรอบคอบ เพียงแต่ครูว่ามา ฉันก็ว่าไป ในทำนองขี้ตามช้าง รู้กันมางูๆปลาๆ (snake snake fish fish) ก็ร้อนวิชา กล่าวหาคนไปทั่ว ว่าผิด และที่ถูกคือ ฉันเพียงผู้เดียว บางคนอ่านอาหรับ ยังไม่คล่อง แปลยังไม่ประสีประสาด้วยซ้ำ
การเรียนมาเพื่อที่จะอวดความรู้ ยากดัง อยากมีชื่อเสียง ให้สังคมยอมรับ ว่าเป็นหนึ่งในยุทธจักรผู้รู้ (อุลามาอ) นั้น ท่านนบี ศอ็ลฯได้เตือนเอาไว้
عن أبي هريرة رضي الله عنه قال: سمعت رسول الله صلى الله عليه وعلى آله وسلم يقول: "إن أول من تُسَعَّرُ بهم النار يوم القيامة ثلاثة، فذكرهم وذكر منهم رجلاً تعلّم العلم وعلّمه وقرأ القرآن، فأُتي به فعرَّفه نعمه فعَرَفها، قال: فما عملتَ فيها؟ قال: تعلّمتُ العلمَ وعلَّمتُه وقرأتُ فيك القرآن. قال: كذبتَ، ولكنك تعلمتَ العلمَ ليقال: عالم، وقرأتَ القرآنَ ليقال: هو قارئ، فقد قيل. ثم أُمر به فسُحِب على وجهه حتى أُلقي في النار
มีรายงานจากอบู ฮุรอยเราะห์ รอฎิยัลลอฮูอันฮู เขาได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม กล่าวว่า
"แท้จริงบุคคลแรกที่พวกเขาถูกนำไปเข้านรก ในวันกิยามะห์นั้น สามจำพวก
แล้วท่านนบี ได้กล่าวถึงพวกเขา จากพวกเขานั้น มีชายคนหนึ่งได้ศึกษาหาวิชาความรู้ และได้สอนมัน และได้อ่านอัลกุรอ่าน แล้วเขาได้ถูกนำมา และได้ให้เขารับทราบถึงความโปรดปรานของเขา แล้วเขาก็ได้รับทราบยอมรับในความโปรดปรานนั้น
แล้วอัลลอฮ์ ได้ถามเขาว่า ท่านได้ทำอะไรในความโปรดปรานนั้น ?
เขาได้กล่าวว่า ฉันได้ศึกษาหาวิชาความรู้ และฉันได้สอนมัน และได้อ่านอัลกุรอ่านเพื่อท่าน(เพื่ออัลลอฮฺ)
อัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า เจ้าโกหก เจ้าได้ศึกษาหาวิชาความรู้ เพื่อให้มีคนกล่าวเจ้าว่า เจ้าคือผู้ที่มีความรู้ และที่เจ้าอ่านอัลกุรอ่าน เพื่อให้มีกล่าวแก่เจ้าว่า เจ้าคือ นักอ่าน และก็มีคนกล่าวเช่นนั้น
แล้วอัลลอฮฺ ได้มีคำสั่งให้นำเขาไปในสภาพที่คว่ำหน้า และเขาถูกโยนลงไปในไฟนรก .-รายงานโดยมุสลิม
ท่านนบี กล่าวว่า
مَنْ طَلَبَ الْعِلْمَ لِيُجَارِيَ بِهِ الْعُلَمَاءَ أَوْ لِيُمَارِيَ بِهِ السُّفَهَاءَ أَوْ يَصْرِفَ بِهِ وُجُوهَ النَّاسِ إِلَيْهِ أَدْخَلَهُ اللَّهُ النَّارَ
ความว่า : ผู้ใดศึกษาหาความรู้ มีจุดประสงค์เพื่อจะโต้เถียงกับผู้รู้(อุลามาอฺ) หรือผู้ไร้การศึกษา หรือเพื่อให้ผู้อื่นหันมองเขา (เพื่อชื่อเสียงเงินทอง) แน่แท้อัลลอฮฺจะให้เขาเข้านรก (รายงานโดย อัตตัรมีซีย์ 7/414)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إِنَّ اللَّهَ لاَ يَقْبِضُ الْعِلْمَ انْتِزَاعًا يَنْتَزِعُهُ مِنَ العِبَادِ، وَلَكِنْ يَقْبِضُ الْعِلْمَ بِقَبْضِ الْعُلَمَاءِ، حَتَّى إِذَا لَمْ يُبْقِ عَالِمًا اتَّخَذَ النَّاسُ رُءُوسًا جُهَّالًا فَسُئِلُوا فَأَفْتَوْا بِغَيْرِ عِلْمٍ فَضَلُّوا وَأَضَلُّوا» (البخاري برقم 100، ومسلم برقم 2673)
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่เก็บความรู้ด้วยการถอดถอนออกจากมนุษย์ แต่ทว่าจะเก็บความรู้ด้วยการให้บรรดาผู้รู้เสียชีวิต จนกระทั่งไม่มีผู้รู้หลงเหลืออยู่ ผู้คนก็จะยึดเอาคนโง่เขลาเป็นผู้นำ แล้วพวกเขาถูกถามปัญหา พวกเขาเหล่านั้นก็ออกคำวินิจฉัยโดยไม่มีความรู้ ตัวพวกเขาเองก็ผิดพลาด และทำให้ผู้อื่นผิดพลาดไปด้วย” (อัล-บุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 100 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2673)
อิบนุกอยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَقَالَ ابْنُ سِيرِينَ : لَأَنْ يَمُوتَ الرَّجُلُ جَاهِلًا خَيْرٌ لَهُ مِنْ أَنْ يَقُولَ مَا لَا يَعْلَمُ
อิบนุสิรีน กล่าวว่า " การที่คนๆนั้น ได้เสียชีวิตลงในสภาพที่ญาฮีล(ผู้ไม่มีความรู้) ดีกว่า เขาพูดสิ่งที่เขาไม่รู้จริง - เอียะลามอัลมุวักกิอีน ๒/๑๒๗
.....
การเป็นผู้รู้ที่ชำนาญการ นั้นต้องสะสมประสบการ และความรู้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลายาวนาน ซึ่งจะเห็นได้จากประวัติอุลามาอฺคนสำคัญๆ เพราะฉะนั้น ไม่ควรรีบร้อน ริจะเป็นอุลามาอฺก่อนเวลาอันสมควร ที่เรียกว่า "อุลามาอฺบ่มแก๊ซ " เพราะจะทำให้สังคมสับสนวุ่นวาย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๘/๕/๕๙

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เมื่อเขาสั่งวะฮบีให้ไปขี่อูฐ







เมื่อเขาสั่งวะฮบีให้ไปขี่อูฐ
Hamdan Yakee
30 เมษายน เวลา 19:57 น.
อัสสาลามูอาลัยกูม
ถึงวะฮาบีเลยน่ะ วาฮาบีนิหชอบมากเลยเนอะฮากูม คนอื้นว่าบิดอะ ทำอันโน้นก้อบิดอะ ทำอันนี้ก้อบิดอะ ชอบอ้างว่า ที่ทำมานบีเคยทำไหมครับบ
ถ้ายังนั้น การที่เราทำยุวตอนนี้ก้อเป่งบิดอะสิน่ะ เฟสบุค รถยน อัลกุรอานสมัยนบีม่มีบาริส ถ้ายังนั้นคนที่ทำบาริสนั้นก้อเป่งบิดอะสิ แต่พวกวาฮาบีนี้ เวลาบอกว่า เฟสบุค บิดอะ รถยน บิดอะ มันก้อตอบว่าอันนี้เป่งเรื่องดุนยาอีก ถ้าตามบนีจิงน่ะ ก้ออย่าช้ที่ม่มีในสมัยนบีสิ เช่น รถ เปลี่ยนจากรถเป่งอุฐสิ และอื่นๆอีก
....................
ชี้แจง
มีคนบางส่วน มักจะย้อนถาม แก่ผู้ที่ห้ามเรื่องบิดอะฮว่า “ แล้วเล่นเฟส” บิดอะฮไหม ? เพราะนบี ศอ็ลฯ ไม่เคยสอนให้เล่นเฟส.....หรือโต้ว่า ถ้าตามนบี ทำไมไม่ไปขี่อูฐ ....คิดไปก็ขำไป คิดไปก็สงสารว่าเขาไม่รู้จักแยกแยะว่า อะไรคือ บิดอะฮทางศาสนา อะไรคือ บิดอะฮเกี่ยวกับทางโลก
มาดู คำอธิบายของ อิบนุอับดิลบัร (ฮ.ศ 368-463) ปราชญ์อวุโสผู้ลือนามแห่งมัซฮับมาลิกีย์ดังนี้
وَأَمَّا قَوْلُ عُمَرَ : نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ فِي لِسَانِ الْعَرَبِ : اخْتِرَاعُ مَا لَمْ يَكُنْ وَابْتِدَاؤُهُ ، فَمَا كَانَ مِنْ ذَلِكَ فِي الدِّينِ خِلَافًا لِلسُّنَّةِ الَّتِي مَضَى عَلَيْهَا الْعَمَلُ فَتِلْكَ بِدَعَةٌ لَا خَيْرَ فِيهَا وَوَاجِبٌ ذَمُّهَا ، وَالنَّهْيُ عَنْهَا ، وَالْأَمْرُ بِاجْتِنَابِهَا ، وَهِجْرَانُ مُبْتَدِعِهَا ، إِذَا تَبَيَّنَ لَهُ سُوءُ مَذْهَبِهِ . وَمَا كَانَ مِنْ بِدْعَةٍ لَا تُخَالِفُ أَصْلَ الشَّرِيعَةِ وَالسُّنَّةِ فَتِلْكَ نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ - كَمَا قَالَ عُمَرُ - لِأَنَّ أَصْلَ مَا فَعَلَهُ سُنَّةٌ .
สำหรับคำพูดของ อุมัร ที่ว่า “บิดอะฮที่ดี” ในทางภาษาอาหรับ คือ การประดิษฐ์สิ่งที่ไม่มีมาก่อน และการริเริ่มมันขึ้นมา ดังนั้น สิ่งใด จากดังกล่าว ในทางศาสนา ขัดแย้งกับ อัสสุนนะฮ ที่ได้มีการปฏิบัติผ่านมาแล้วบนมัน ,บิดอะฮนั้น ก็ไม่มีความดีใดๆในมัน ,จำเป็นจะต้องตำหนิมัน ,ห้ามจากมัน สั่งให้ห่างใกลจากมัน และปลีกตัวออกจากผู้ที่อุตริมัน เมื่อปรากฏ ว่าเขามีแนวทาง(มัซฮับ)ที่เลว และ สิ่งใด ก็ตามจากบิดอะฮ ที่ไม่ขัดแย้งกับรากฐานของศาสนบัญญัติและอัสสุนนะฮ นั้นคือ บิดอะฮที่ดี ดังสิ่งที่อุมัร ได้กล่าวไว้ เพราะว่าแท้จริง รากฐานของสิ่งที่เขา(อุมัร)กระทำนั้น คือ สุนนะฮ
>>>>>>>>>>
การริเริ่มทำสิ่งใดก็ตาม ในเรื่องของศาสนา หากขัดแย้งกับสุนนะฮที่เคยมีการปฏิบัติ มาก่อน มันคือบิดอะฮที่ไม่มีความดีใดๆและควรหลีกห่างแลตำหนิ ส่วนการริเริมในสิ่งที่มีรากฐานมาจากศาสนบัญญัติและอัสสุนนะฮนั้น มันคือ บิดอะฮที่ดี ดังที่ท่านอุมัรกล่าว เพราะรากฐานหรือที่มาของสิ่งที่ท่านอุมัรทำนั้น คือ สุนนะฮที่นบีศอ็ลฯ เคยทำมาก่อน
คำว่า “บิดอะฮ” ในคำพูดของท่านอุมัร คือ การริเริ่มขึ้นมาใหม่ จากสิ่งที่เคยมีการปฏิบัติมาก่อน
ส่วนกรณี การประดิษฐ์สิ่งใหม่ในทางดุนยานั้น ท่านอิบนุอับดิลบัร(ร.ฎ)ได้ชี้แจงชัดเจนว่า
وَأَمَّا ابْتِدَاعُ الْأَشْيَاءِ مِنْ أَعْمَالِ الدُّنْيَا فَهَذَا لَا حَرَجَ فِيهِ وَلَا عَيْبَ عَلَى فَاعِلِهِ
สำหรับ การประดิษฐสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ที่เกี่ยวกับบรรดาการกระทำ ทางดุนยา(หรือทางโลก)นั้น ไม่มีความผิดใดๆ ในมัน และไม่มีการตำหนิใดๆแก่ผู้ที่กระทำมัน - ดู อัลอิสติซกาซ เล่ม 2 หน้า 67
>>>>>>>>>>>>
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ที่กล่าวถึง บิดอะฮที่ต้องห้ามคือ บิดอะฮทางศาสนา ไม่ใช่ทางโลก ต้องแยกให้ถูก ไม่ใช่ใช้วาทะกรรมว่า ถ้าตามนบี ทำไมไม่ไปขี่อูฐ หรือ ถามว่า เล่นเฟสบุคบิดอะฮไหม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/5/59

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรมบิดเบือนอัลกุรอ่านใส่ร้ายวะฮบีย์


 
 
 
วาทกรรมบิดเบือนอัลกุรอ่านใส่ร้ายวะฮบีย์
Hasan Dueres Al-ashairah
4 ชม.
"วะฮาบีย์ คือ พรรคพวกของชัยตอน"
โดย ปรมาจารย์ อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ !!
ท่านปรมาจารย์ (العلامة) อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ เสียชีวิตในปีที่ 1241 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ท่านได้กล่าวถึงพวกวะฮาบีย์เอาไว้ ในตำราของท่าน ในขณะที่ได้ทำการอธิบายอายะฮฺอัล-กุรอาน ในประโยคที่ว่า ..
(إِنَّ الشَّيْطَانَ لَكُمْ عَدُوٌّ فَاتَّخِذُوهُ عَدُوًّا إِنَّمَا يَدْعُو حِزْبَهُ (فاطر الآية 6)
“แท้จริง มารร้ายชัยตอนนั้น เป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริงมันเรียกร้องพลพรรคของมัน” (ซูเราะฮฺ ฟาฏิร : 6)
หลังจากนั้น ท่านปรมาจารย์ อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ ก็ได้กล่าวอธิบายว่า ..
وقيل هذه الآية نزلت في الخوارج الذين يحرّفون تأويل الكتاب والسنة ويستحلون بذلك دماء المسلمين وأموالهم كما هو مُشَاهَدٌ الآن في نَظَائِرهم وهم فرقة بأرض الحجاز يقال لهم الوهابية يحسبون أنهم على شيء ألا إنهم هم الكاذبون استحوذ عليهم الشيطان فأنساهم ذكر الله أولئك حزب الشيطان ألا إن حزب الشيطان هم الخاسرون نسأل الله الكريم أن يقطع دابرهم
“บางคนกล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเพื่อ(ตำหนิ)กลุ่มเคาะวาริจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำการบิดเบือนตีความอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ(ไปตามอารมณ์ของพวกเขา) ซึ่งพวกเขาอนุญาตให้หลั่งเลือดมุสลิมด้วยกันได้ และอนุญาตให้ยึดทรัพย์สินของมุสลิมด้วยกันได้ ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดเหมือนๆ กับพวกเขา และคนกลุ่มนี้นั้นเป็นกลุ่มชนที่อยู่ที่แคว้นหิญาซ และพวกเขาถูกเรียกว่า อัล-วะฮาบียะฮฺ ซึ่งพวกเขาทั้งหลายคิดว่า พวกเขาได้ตั้งมั่นอยู่บนสิ่งหนึ่ง แต่มิใช่เลย พวกเขาทั้งหลายเป็นพวกที่โกหก และชัยตอนได้มามีอำนาจเหนือพวกเขา ซึ่งพวกมันได้ทำให้พวกเขาหลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ตะอาลา และพวกเขาเหล่านั้น(พวกวะฮาบีย์) เป็นพรรคพวกของชัยตอน และแท้จริงพรรคพวกของชัยตอนนั้น พวกเขาเป็นผู้ที่ขาดทุน และเราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ตะอาลา ให้ห่างไกลจากการดำเนินตามแนวทางของคนกลุ่มนี้”
ดู ตำรา حاشية العلامة الصاوي على تفسير الجلالين โดย เชค อะหฺมัด บิน มุหัมมัด อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ เล่มที่ 5 หน้าที่ 78
วัลลอฮุ ตะอาลา อะลา วะ อะลัม
............
ชี้แจง
ผมได้ชี้แจงเรื่องนี้หลายรอบแล้ว ที่อาชาอิเราะฮแกนนำได้เขียนไว้ในหนังสือโจมตีวะฮบีย์ ที่ตัดตอนข้อความบางส่วนจากตัฟสีรศอวีย์
ในข้อความที่ว่า وَقِيْلَ هَذِهِ الأيَةُ نَزَلَتْ فِىْ الخَوَارِجِ (และได้ถูกกล่าว ว่าอายะฮนี้ประท่านลงมา เกี่ยวกับเคาะวาริจญ.....)
คำว่า "ได้ถูกกล่าว หรือมีผู้กล่าว" ใครคือผู้กล่าวตัวจริง แบบนี้เป็นการอ้างที่ไม่มีน้ำหนัก
และนายHasan Dueres Al-ashairah ไปคัดข้อความ ที่นักฟิตนะฮ จงใจตัดเอาข้อความท่อนนี้ เพื่อทำลายความเชื่อถือ เช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ และกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “วะฮบีย” ทั้งๆที่มีข้อความที่ท่านเช็คศอวีย์ ได้อ้างมีต่อไปอีกว่า
وقيل نزلت في لليهود والنصارى
ได้ถูกกล่าวว่า มันถูกประทานลงมา เกี่ยวกับ ยะฮูดและ นะศอรอ
และ อัศศอวีย์ได้กล่าวอีกว่า
قيل نزلت في الشيطان....................................
และถูกกล่าวว่า มันถูกประทานลงมา เกี่ยวกับ ชัยฏอน ......................................
จึงเกิดคำถามขึ้นว่า “ทำไมผู้เขียน บทความบิดเบือนใส่ร้ายวะฮบีย์ จึง เลือกเอา ประโยคแรก ที่มีคำว่า “วะฮบียะฮ “ ทำไม่ ไม่บอกว่า มีผู้กล่าวว่า “อายะฮนี้ประทานลงมาเกี่ยวกับ ยะฮูด และนะศอรอ ด้วย และบ้างก็ว่าประทานลงมาเกี่ยวกับชัยฏอนที่ยุยงให้มนุษย์เห็นดีเห็นงามตามที่มันยุยง และขอถามว่า มีหลักฐานหะดิษบทใดหรือ ที่มายืนยันสนับสนุนข้อความที่ท่านเลือกเพื่อโจมตีวะฮบี
มาดูตัฟสีรปราชญ์สะลัฟ มันต่างราวฟ้ากับดินจาก การบิดเบือนของแกนนำอาชาอิเราะฮเขียนและ คุณ Hasan Dueres Al-ashairah ไปกอ็ปมาเล่นวะฮบีย์ มาดูข้อเท็จจริงที่ปราศจากอคติและฟิตนะฮ ข้างล่าง
ท่านอิบนุญะรีร ปราชญ์ตัฟสีร ยุคสะลัฟได้อ้างการอธิบายของท่านเกาตาดะฮว่า
حَدَّثَنَا بِشْرٌ قَالَ : ثَنَا يَزِيدُ قَالَ : ثَنَا سَعِيدٌ ، عَنْ قَتَادَةَ قَوْلَهُ ( إِنَّ الشَّيْطَانَ لَكُمْ عَدُوٌّ فَاتَّخِذُوهُ عَدُوًّا ) فَإِنَّهُ لَحَقٌّ عَلَى كُلِّ مُسْلِمٍ عَدَاوَتَهُ ، وَعَدَاوَتُهُ أَنْ يُعَادِيَهُ بِطَاعَةِ اللَّهِ ( إِنَّمَا يَدْعُو حِزْبَهُ ) وَحِزْبُهُ : أَوْلِيَاؤُهُ ( لِيَكُونُوا مِنْ أَصْحَابِ السَّعِيرِ ) أَيْ : لِيَسُوقَهُمْ إِلَى النَّارِ فَهَذِهِ عَدَاوَتُهُ
บิชรุน ได้เล่าแก่เรา เขากล่าวว่า ยะซีด ได้เล่าแก่เรา เขากล่าวว่า “สะอีด ได้เล่าเรา ว่า รายงานจากเกาะตาดะฮ เกียวกับอายะฮที่ว่า(“แท้จริง มารร้ายชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู) ดังนั้น เป็นหน้าทีเหนือมุสลิมทุกคน ต้องเป็นศัตรู กับมัน และการเป็นศัตรูกับมัน คือ เป็นปฏิภักษ์(ศัตรู)ต่อมันด้วยการภักดีต่ออัลลอฮ (แท้จริง มันเรียกร้องพลพรรคของมัน) และพลพรรคของมัน หมายถึง บรรดาสหายของมัน (เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง) หมายถึง เพื่อมันจะได้ลากพวกเขาลงสู่นรก และนี่คือ การเป็นศัตรูของมัน – ตัฟสีรอัฏอบรีย์ เล่ม ๑๐ หน้า ๔๔๐ 
.............
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า การตัฟสีรที่แฝงด้วยอคติ กับ การตัฟสีรของสะลัฟผู้ทรงธรรม ต่างกันราวฟ้ากับดินเลยที่เดียว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/4/59