วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อร่อยจริงหนอ....เมาลิดนบีชงด้วยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อร่อยจริงหนอ....เมาลิดนบีชงด้วยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
อับดุลการีม มิลมาล อัลอัชอะรีย์อั้ลอุรดูนีย์
12 ธันวาคม 2016 ·
#ทำไมต้องยืนขึ้นเวลาซอลาวาต
เรื่องของการยืนขึ้นขณะที่มีการเริ่มการกล่าวซอลาวาต หรือ กล่าวมัรฮาบัน ในตำรา"บัรซันยี"ปกเล่มสีแดง ที่บ้านเราส่วนใหญ่ใช้กันประเด็นนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งกลุ่มวะห์บีย์คณะใหม่เข้าใจผิดและนำมาซึ่งการฮุ่ก่มว่า "บิดอะห์ด่อลาละห์" เพราะนบีและซอฮาบัตไม่เคยทำ
ขอชี้แจงว่า การยืนขึ้นในขณะดังกล่าว เป็นเรื่องที่บรรดาผู้รู้ได้ส่งเสริมเพื่อเป็นการให้เกียรติ กับสถานะเกียรติอันสูงส่งของท่านศาสดา ซ๊อลลั้ลอฮู้อะลัยฮี่ว่าอาลี่ฮี่ว้าซั้ลลัม ไม่ใช่เรื่องวายิบแต่ประการใด อันเนื่องมาจาก สถานที่ใดที่มีการซอลาวาต มีการซิกรุ้ลเลาะห์ สถานที่ดังกล่าวจะถูกห้อมล้อมจากบรรดาม่าลาอีกะห์ และการเคลื่อนไหวของผู้คนที่แสดงออกในอิริยาบทต่างๆไม่ว่าจะเป็นการยืน การนั่ง ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธา ตามที่อั้ลกุรอานได้กล่าวไว้ในซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 103
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ فَاذْكُرُوا اللَّهَ قِيَامًا وَقُعُودًا وَعَلَىٰ جُنُوبِكُمْ ۚ
"ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว ก็จงซิกรุ้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอนเอกเขนกของพวกท่าน"
จากหลักฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของหลักการอิสลาม แน่นอนว่า ต้องเป็นอั้ลกุรอาน และนี่คือ หลักฐานที่ได้จากอั้ลกุรอาน ทีบ่งชี้ถึงสภาพการของผู้ที่รำลึกนึกถึงอั้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอน และแน่นอนว่า การทำเมาลิดนบี มีการอ่านอั้ลกุรอาน มีการซิกรุ้ลเลาะห์ มีการซอลาวาตและกล่าวชีวประวัติของท่านศาสดา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การกระทำดังกล่าวนี้ ด้วยกัยการยืน ซอลาวาตก็คือที่มาจากคำสั่งใช้ของอั้ลเลาะห์(ซ.บ.)นั่นเอง เพราะซอลาวาต ก็คือ การรำลึกนึกถึงอั้ลเลาะห์
@@@@
ชี้แจง
แปลกนะ.... คนเราสุนนะฮนบีไม่รู้จักพอกับสุนนะฮนบี พยายามที่จะผลิตสิ่งใหม่ขึ้นมาในเรื่องอิบาดะฮในศาสนาโดยการเอาหะดิษและอัลกุรอ่านมาชงเอง กินเองและให้คนอาวามกิน
แปลกหนอ.. คนเราบางคน เป็นนกรู้ไปเสียทุกอย่าง รู้ว่าอายะฮใหน หะดิษบทใหนเป็นหลักฐานทำเมาลิดนบี โดยที่ปราชญ์ในยุคสะลัฟสามร้อยปีแรกยังไม่รู้เลย ..เก่งจริงหนอ
1. การยืนให้เกียรติ เป็นสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯไม่ชอบ ดังหะดิษที่ว่า ท่านนาบี (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า
من أحب أن يتمثل له الناس قياماً فليتبوأ مقعده من النار
ความว่า "ใครก็ตามที่ชอบให้ผู้คนยืนขึ้น เพื่อให้เกียรติแก่ตัวเขาเอง พึงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺได้เตรียมที่นั่งแก่เขาที่ทำมาจาก ไฟนรก" (บันทึกโดยอีหม่ามอะหมัด อาบูดาวุดและติรมีซีย์ รายงานจากท่านมูอาวียะฮฺ (ร.ฏ.) เป็นสายสืบที่ศอฮีหฺ)
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عَبْدِ الرَّحْمَنِ أَخْبَرَنَا عَفَّانُ أَخْبَرَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ حُمَيْدٍ عَنْ أَنَسٍ قَالَ لَمْ يَكُنْ شَخْصٌ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ وَكَانُوا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُومُوا لِمَا يَعْلَمُونَ مِنْ كَرَاهِيَتِهِ لِذَلِكَ
คำแปลตัวบท
รายงานจากอะนัส กล่าวว่า "ไม่มีบุคคลใดที่เป็นที่รักยิ่งแก่พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮ) ยิ่งไปกว่ารซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และปรากฏว่าเมื่อพวกเขาเห็นท่านรซูล พวกเขาก็ไม่เคยยืนแก่ท่านรอซูล เพราะพวกเขารู้ดีว่า ท่านรังเกียจพฤติกรรมดังกล่าวนั้น " - รายงานโดย อัตติมิซีย์
رواه الترمذي (2754) وصححه الألباني في صحيح الترمذي
มีอีกหะดิษที่คนทำเมาลิดชอบเอามาอ้าง การยืนให้เกียรติ นบี เมื่อกล่าวเศาะละวาตในพิธีเมาลิดคือ
มีรายงานจากอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่า :
أَنَّ أَهْلَ قُرَيْظَةَ نَزَلُوا عَلَى حُكْمِ سَعْدٍ بنِ مُعَاذٍ، فَأَرْسَلَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم إِلَيْهِ، فَجَاءَ فَقَالَ: «قُومُوا إِلَى سَيِّدِكُمْ أَوْ قَالَ خَيْرِكُمْ».
ความว่า ชาวเผ่ากุร็อยเซาะฮฺได้ตกลงจะยอมรับการติดสินคดีของสะอัด บิน มุอาซ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงส่งคนไปเชิญให้สะอัดมาพบ เมื่อสะอัดมาถึงท่านนบีก็กล่าวว่า “พวกท่านจงลุกขึ้นไปหาหัวหน้าของพวกท่าน – หรือท่านได้กล่าวว่า - คนที่ดีที่สุดของพวกท่าน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 6262 สำนวนเป็นของท่าน, มุสลิม : 1768)
..........
หะดิษไม่ใช่การสั่งให้ยืนให้เกียรติ แต่สังให้ไปพยุงสะอัด บิน มุอาซ ลงมาจากพาหนะ เพราะเขาบาดเจ็บ โดยมีสำนวนหนึ่งระบุว่า
وَفِي لَفْظٍ : «قُوْمُوا إِلَى سَيِّدِكُمْ فَأَنْزِلُوهُ».
และในสำนวนอื่นรายงานว่า “พวกท่านจงลุกขึ้นไปยังหัวหน้าของพวกท่านแล้วพยุงเขาลงมา” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอะห์มัด : 25610 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 67)
...............
ไม่มีแบบอย่างในยุคสะลัฟ ที่นัดชุมนุมกันยืนเศาะละวาตนบี พร้อมๆกัน อย่างที่มีการทำพิธีเมาลิด ในปัจจุบัน
.................
2. นาย อับดุลการีม มิลมาล อัลอัชอะรีย์อั้ลอุรดูนีย์ อ้างในซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 103 ในการยืนเศาะวาตนบีในพิธีเมาลิดนบีคือ
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ فَاذْكُرُوا اللَّهَ قِيَامًا وَقُعُودًا وَعَلَىٰ جُنُوبِكُمْ ۚ
"ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว ก็จงซิกรุ้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอนเอกเขนกของพวกท่าน"
................
อายะฮนี้ ไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมการยืนเศาะละวาตในพิธีเมาลิดนบี อย่างที่นาย อับดุลการีมชงเอง
มาดู อิหม่ามอัลบัฆวีย์ (ร.ฮ) อธิบาย ดังนี้
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ ) يَعْنِي : صَلَاةَ الْخَوْفِ ، أَيْ : فَرَغْتُمْ مِنْهَا ، ( فَاذْكُرُوا اللَّهَ ) أَيْ صَلُّوا لِلَّهِ ( قِيَامًا ) فِي حَالِ الصِّحَّةِ ، ( وَقُعُودًا ) فِي حَالِ الْمَرَضِ ، ( وَعَلَى جُنُوبِكُمْ ) عِنْدَ الْحَرَجِ وَالزَّمَانَةِ ، وَقِيلَ : اذْكُرُوا اللَّهَ بِالتَّسْبِيحِ وَالتَّحْمِيدِ وَالتَّهْلِيلِ وَالتَّمْجِيدِ ، عَلَى كُلِّ حَالٍ .
(ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว) หมายถึง ละหมาดในยามหวาดกลัว (เศาะลาตุลเคาฟฺ) คือ พวกเจ้าเสร็จจากมัน(จากเศาะลาตุลเคาฟฺ) (พวกเจ้าจงระลึกถึงอัลลอฮ ) หมายถึง พวกเจ้าจงละหมาดเพื่ออัลลอฮ (โดยการยืน) ในยามที่สุขภาพดี (และโดยการนั่ง) ในยาม เจ็บป่วย (นั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า) ขณะที่ มีอุปสรรค์และอ่อนแอ (เช่นเป็นอัมพาต) และถูกกล่าวว่า (มีผู้กล่าวว่า) หมายถึง พวกเจ้าจง ซิกรุลลอฮ ด้วยการตัสเบียะ ,ตะหมีด ,ตะฮลี้ล และตัมญีด บนทุกสภาพ - ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ เล่ม 2 หน้า 282
.............
ไม่มีหนทางใดที่จะเอาอายะฮนี้ ไปโยงกับ การทำพิธีเมาลิดนบีเลย แปลก...เอาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ มาชง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมบิดอะฮ ไม่รู้จักละอายอัลลอฮบ้างหรือไร สุนนะฮนบี ที่มีอยู่ไม่พออีกหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/12/60

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การซิกริลละฮเป็นหมู่คณะพร้อมกันด้วยเสียงดัง


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การซิกริลละฮเป็นหมู่คณะพร้อมกันด้วยเสียงดัง
การจัดพิธีซิกริลละฮหมู่   การกระทำแบบนี้มีแบบอย่างจากอัสสุนนะฮหรือไม่ โปรดอ่านรายละเอียดต่อไปนี้
1.อิบาดะฮใดๆที่ศาสนา ได้มีบัญญัติเอาไว้กว้างๆ ไม่เจาะจงเวลา และสถานที่ หากมาจำกัดเวลาหรือสถานที่ โดยมีความเชื่อว่ามีความประเสริฐ กว่า เวลาอื่นหรือสถานที่อื่น สิ่งนั้นคือ บิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงตัวอย่างของบิดอะฮว่า
ومنها التزام الكيفيات والهيئات المعينة كالذكر بهيئة الاجتماع على صوت واحد، واتخاذ يوم ولادة النبي صلى الله عليه وسلم عيدا وما أشبه ذلك.
และส่วนหนึ่งจากมัน(จากบิดอะฮอัลอิฎอฟียะฮ)คือ การยึดติดกับบรรดาวิธีการและรูปแบบ ที่ถูกเจาะจง เช่น การซิกริลละฮ ด้วยรูปแบบการชุมนุม (เป็นหมู่คณะ)ด้วยกล่าวพร้อมๆเป็นเสียงเดียว และ การถือเอาวันเกิดนบี ศอ็ลฯ เป็น วันอีด (วันเฉลิมฉลอง) และสิ่งที่คล้ายๆกันกับดังกล่าวนั้น - อัลเอียะติศอม 1/45
2. การซิกริลละฮพร้อมๆกันเป็นหมู่คณะ ด้วยเสียงดัง ไม่มีแบบอย่างจากสุนนะฮและการกระทำของชาวสะลัฟผู้ทรงธรรม
عَنْ أَبِي مُوسَى الْأَشْعَرِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : كُنَّا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَكُنَّا إِذَا أَشْرَفْنَا عَلَى وَادٍ هَلَّلْنَا وَكَبَّرْنَا ، ارْتَفَعَتْ أَصْوَاتُنَا ؛ فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( يَا أَيُّهَا النَّاسُ ، ارْبَعُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ ؛ فَإِنَّكُمْ لَا تَدْعُونَ أَصَمَّ وَلَا غَائِبًا ؛ إِنَّهُ مَعَكُمْ إِنَّهُ سَمِيعٌ قَرِيبٌ ، تَبَارَكَ اسْمُهُ وَتَعَالَى جَدُّهُ )
รายงานจากอบีมูซา อัลอัชอะรีย์ (ร.ฎ) กล่าวว่า พวกเราเคยอยู่พร้อมกับท่านนบี ศอ็ลฯ เมื่อพวกเรามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง พวกเราก็กล่าวตะฮลีล (กล่าวคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลละฮ) และกล่าวตักบีร( กล่าวว่า อัลลอฮุอักบัร) ด้วยเสียงอันดัง แล้วท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า (ประชาชนทั้งหลายจงสุภาพอ่อนโยนต่อตัวของพวกท่าน(ด้วยการลดเสียงให้ต่ำขณะขอดุอาอฺ) เพราะแท้จริงพวกท่านไม่ได้ร้องขอต่อผู้ที่หูหนวกและไม่ได้ร้องขอต่อผู้ที่ไม่อยู่(ต่อหน้าพวกเจ้า เพราะ) แท้จริงพระองค์ทรงอยู่กับพวกเจ้า แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินและอยู่เคียงพวกเจ้าเสมอ" (อัลบุคอรีย์ เลขที่ 4202, มุสลิม เลขที่ 2704)
3. ส่วนมีการอ้างการซิกริลละฮด้วยเสียงดังหลังจากละหมาดฟัรดูเสร็จนั้น โดยการอ้างรายงานอิบนุอับบาสนั้น มีคำตอบดังนี้
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ ابْنُ بَطَّالٍ : وَفِي " الْعُتْبِيَّةِ " عَنْ مَالِكٍ أَنَّ ذَلِكَ مُحْدَثٌ . قَالَ : وَفِي السِّيَاقِ إِشْعَارٌ بِأَنَّ الصَّحَابَةَ لَمْ يَكُونُوا يَرْفَعُونَ أَصْوَاتَهُمْ بِالذِّكْرِ فِي الْوَقْتِ الَّذِي قَالَ فِيهِ ابْنُ عَبَّاسٍ مَا قَالَ . قُلْتُ : فِي التَّقْيِيدِ بِالصَّحَابَةِ نَظَرٌ ، بَلْ لَمْ يَكُنْ حِينَئِذٍ مِنَ الصَّحَابَةِ إِلَّا الْقَلِيلُ ، وَقَالَ النَّوَوِيُّ : حَمَلَ الشَّافِعِيُّ هَذَا الْحَدِيثَ عَلَى أَنَّهُمْ جَهَرُوا بِهِ وَقْتًا يَسِيرًا لِأَجْلِ تَعْلِيمِ صِفَةِ الذِّكْرِ ، لَا أَنَّهُمْ دَاوَمُوا عَلَى الْجَهْرِ بِهِ ، وَالْمُخْتَارُ أَنَّ الْإِمَامَ وَالْمَأْمُومَ يُخْفِيَانِ الذِّكْرَ إِلَّا إِنِ احْتِيجَ إِلَى التَّعْلِيمِ .
อิบนุบัฏฏอ็ล ได้กล่าวว่า และในหนังสืออัลอุตบียะฮ (ฟิกฮมัซฮับมาลิกี) รายงานจากมาลิก ว่า การกระทำดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ เขากล่าวว่า ใน ความหมาย(ของหะดิษ)นั้น คือ บอกให้รู้วา แท้จริง บรรดาเศาะหาบะฮ พวกเขาไม่ได้กล่าวเสียงดัง ด้วยการซิกริลละฮ ในเวลาที่อิบนุอับบาสพูด สิ่งที่เขากล่าว เกี่ยวกับมัน "ข้าพเจ้า(อิบนุบัฏฏอ็ล)กล่าวว่า" ในการเจาะจง บรรดาเศาะหาบะฮ นั้น ต้องพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีเศาะหาบะฮในเวลานั้น นอกจากจำนวนน้อย และอันนะวาวีย์ กล่าวว่า "อัชชาฟิอี ได้ให้ความหมายหะดิษนี้ว่า พวกเขาซิกริลละฮเสียงดัง ในเวลาสั้นๆ เพราะต้องการสอนลักษณะ/รูปแบบการซิริลละฮ ไม่ใช่พวกเขาซิกริลละฮด้วยเสียงดังตลอดไป (คือไม่ได้กล่าวเสียงดังเป็นประจำ-ผู้แปล) และ สิ่งที่เป็นทางเลือก คือ แท้จริง ผู้ที่เป็นอิหม่าม และมะอฺมูม ให้เขาทั้งสองซิกริลละฮเบาๆ ยกเว้น เมื่อต้องการที่จะสอน (การซิกริลละฮ) - ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 326
สรุปคือ
1.การกล่าวซิกริลละฮเสียงดัง เป็นบิดอะฮในทัศนะอิหม่ามมาลิก
2.ในขณะที่อิบนุอับบาสพูดนั้น บรรดาเศาะหาบะฮไม่ได้กล่าวซิกริลละฮด้วยเสียงดังแล้ว
3. ในการเจาะจงว่าบรรดาเศาะหาบะฮกล่าวซิกริลละฮด้วยเสียงดังนั้น เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะในเวลานั้น บรรดาเศาะหาบะฮมีจำนวนน้อย
3.ความเข้าใจของอิหม่ามชาฟิอี เกี่ยวกับหะดิษนี้คือ เหล่าเศาะหาบะฮซิกริลละฮเสียงดัง ในเวลาสั้นๆเท่านั้นเพื่อสอนวิธิซิกริลละฮ
4. ตามทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น ให้อิหม่ามและมะอมูมซิกริลละฮเบาๆ ยกเว้นในกรณีที่ต้องการจะสอนวิธีซิกริลละฮ
ชัยค์ท่านมุหัมหมัด เราชีดริฏอ กล่าวว่า
إنه ليس من السنة أن يجلس الناس بعد الصلاة بقراءة شيء من الأذكار ، والأدعية المأثورة ، ولا غير المأثورة برفع الصوت وهيئة الاجتماع
ไม่มีจากอัสสุนนะฮ การที่ผู้คนนั่งหลังละหมาด ด้วยการอ่านสิ่งใดจากบรรดาซิกีร และบรรดาดุอามะฮษูเราะฮ และ อื่นจากดูอามะอฺษูเราะฮ ด้วยเสียงดังพร้อมๆกัน และในลักษณะที่เป็นหมู่คณะ - ฟะตาวา เช็คมุหัมหมัดรอชีด เล่ม 4 หน้า 359
อิบนุอัลหาจญ กล่าวว่า
ينبغي أن ينهى الذاكرون جماعة في المسجد قبل الصلاة، أو بعدها، أو في غيرهما من الأوقات . لأنه مما يشوش بها
สมควรบรรดาผู้ซิกิร เป็นหมู่คณะ จะถูกห้าม ในมัสยิด ก่อนละหมาด หรือหลังจากละหมาด หรือในบรรดาเวลาอื่นจากทั้งสองนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่สร้างความรบกวนด้วยมัน -อิศลาหุลมัสญิด ของอัลกอซิมีย์ หน้า 111
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/12/60