วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ละหมาดกุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบ่าหรืออ่านดัง (ภาค 2)



ละหมาดกุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบ่าหรืออ่านดัง (ภาค 2)
มีพี่น้องถามมาว่า มีคนบอกว่า ละหมาดคุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบา และมองว่าอ่านดังเป็นเรืองแปลก แปลก อาจจะเพราะการตักลิดแต่ไม่ศึกษาข้อเท็จจริง จึงมองว่าแปลก จึงขอนำรายละเอียดชี้แจงดังนี้
การละหมาดสุริยุปราคา มีสุนนะฮให้อ่านดังด้วยหลักฐานต่อไปนี้
صلاةُ كُسوفِ الشَّمسِ صَلاةٌ جهريَّة، وهذا مذهبُ الحَنابِلَة (1) ، والظاهريَّة (2) ، وقولُ أبي يُوسفَ ورِواية عن محمَّد بن الحسنِ من الحَنَفيَّة (3) ، وقول للمالكيَّة (4) ، وهو قولُ طائفةٍ من السَّلف (5) ، واختاره ابنُ خُزَيمةَ (6) ، وابنُ المنذرِ (7) ، وابنُ العربيِّ (8) ، والشوكانيُّ (9) ، وابنُ عُثَيمين (10) ، وابنُ باز
ละหมาดสุริยุปราคา คือ การละหมาดอ่านเสียงดัง นี้คือ มัซฮับ อัลหะนาบะละฮ(1) อัซซอฮิรียะฮ(2) และเป็นทัศนะของอบียูซุฟ และรายงานหนึ่ง จากมุหัมหมัด บิน อัลหะซัน เป็นส่วนหนึ่งจากปราชญ์หะนะฟียะฮ(3) และทัศนะของปราชญ์มัซฮับมาลิกียะฮ (4) และเป็นทัศนะกลุ่มหนึ่งจากสะลัฟ (5) และ อิบนุคุซัยมะฮ (6) อิบนุอัลมุนซีร (7) อิบนุอัลอะเราะบีญ์(8) อัชเชากานีย์ (9) อิบนุอุษัยมีน (10) และอิบนุบาซ(10)ได้เลือกมัน(หมายถึงเลือกทัศนะอ่านดัง)
........
แหล่งอ้างอิง
1.((كشاف القناع)) للبُهوتي (2/62)، وينظر: ((المغني)) لابن قدامة (2/313).
2.قال ابنُ حزم: (قَطْعُ عائشةَ، وعُروةَ، والزُّهريِّ، والأوزاعيِّ بأنَّه عليه السَّلام جهَر فيها أَوْلى من ظُنونِ هؤلاء) ((المحلى)) (3/319)، ونقلَه النوويُّ عن داود الظاهريِّ. يُنظر: ((المجموع)) للنووي (5/52
3.قال ابنُ عابدين: (وقال أبو يوسف: يَجهَر، وعن محمَّد رِوايتان) ((حاشية ابن عابدين)) (2/182). ويُنظر: ((بدائع الصنائع)) للكاساني (1/281).
4.قال ابنُ المنذر: (ممَّن رُوِّينا عنه أنه جهَر بالقراءة في صلاة الكسوف: عليُّ بن أبي طالب، وفَعَل ذلك عبدُ الله بن يزيد، وبحضرته البَراءُ بن عازب وزيدُ بن أرقمَ، وبه قال أحمدُ، وإسحاق) ((الإشراف)) (2/304). وقال ابنُ قدامة: (وأمَّا الجهر فقد رُوي عن علي رضي الله عنه، وفَعَله عبدُ الله بن زيد وبحضرته البَراءُ بن عازب وزيد بن أرقم، وبه قال أبو يوسف، وإسحاق، وابن المنذر) ((المغني)) (2/314). وقال النوويُّ: (قال الخطَّابي: الذي يجيء على مذهب الشافعي أنَّه يَجهَر في كسوف الشمس، كذا نقلَه الرافعيُّ عن الخطابي، ولم أرَه في كتاب الخطَّابي) ((المجموع)) (5/52).
5.قال الشوكانيُّ: (إلَّا أنَّ الجهر أَوْلى من الإسرار؛ لأنَّه زيادة، وقد ذهب إلى ذلك أحمد وإسحاق، وابن خزيمة وابن المنذر، وغيرهما من محدِّثي الشافعية، وبه قال صاحبَا أبي حنيفة، وابنُ العربيِّ من المالكيَّة) ((نيل الأوطار)) (3/395).
6.قال ابنُ المنذر: (بالقول الأوّل «أي: الجهر» أقول؛ لحديثِ النبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم أنه جهَر بالقِراءة) ((الإشراف)) (2/304).
7.قال ابن العربي: (والجهرُ عندي أَوْلى؛ لأنَّها صلاةُ الجماعة، يُنادي لها كما يُنادي للصبح: الصلاة جامعة، ويَخطُب لها كما في بعضِ الرِّوايات) ((عارضة الأحوذي)) (3/42).
8.قال الشوكانيُّ: (الجهر أَوْلى من الإسرار؛ لأنَّه زيادة) ((نيل الأوطار)) (3/395).
9.قال ابنُ عثيمين: (السُّنَّة في صلاة الكسوف الجهرُ، سواء في الليل أو في النهار، وهو كذلك؛ لحديث عائشةَ) ((الشرح الممتع)) (5/183).
10.قال ابنُ باز: (السُّنةُ الجهرُ في صلاة الكسوف؛ لأنَّ الرسول صلَّى اللهُ عليه وسلَّم جهَر فيها عند حصولِ الكسوف، وصلَّى بالناس) ((فتاوى نور على الدرب)) (13/393).
หลักฐานคือ
1.จากอัสสุนนะฮ
عن عائشةَ رَضِيَ اللهُ عنها: ((أنَّ النبيَّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم جهَرَ في صلاةِ الخُسوفِ))
รายงานจากอาอีฉะฮ (ร.ฏ) แท้จริง ท่านนบี ศ็อลฯ อ่านเสียงดังในละหมาดสุริยุปราคา
رواه البخاري (1065)، ومسلم (901).
2.เหตุผลที่อ่านดัง
أنَّها نافلةٌ شُرِعتْ لها الجماعة، فكان مِن سُننها الجهرُ، كصلاةِ الاستسقاءِ، والعيد، والتَّراويح
แท้จริงมัน(ละหมาดสุริยุปราคา )คือละหมาดอาสา(สุนัต) ถูกบัญญัติให้ละหมาดญะมาอะฮสำหรับมัน และส่วนหนึ่งจากแบบอย่างของมันคือ การอ่านดัง เช่น ละหมาดขอฝน ,ละหมาดอีดและละหมาดตารอเวียะ -
((المغني)) لابن قدامة (2/314)، ((الاستذكار)) لابن عبد البر (2/415). قال ابنُ عبد البَرِّ: (ومِن حُجَّة مَن قال بالجهر في صلاة الكسوف: إجماعُ العلماء على أنَّ كلِّ صلاة سُنَّتها أن تُصلَّى في جماعةٍ من الصلوات المسنونات، فسنتها الجهرُ كالعيدين والاستسقاء، قالوا: فكذلك الكسوف) ((الاستذكار)) (2/415).
............
กล่าวคือการละหมาดสุนัตสุริยุปราคานั้น เป็นละหมาดที่มีบัญญัติให้ปฏิบัติในรูปของญะมาอะฮ ซึ่งทุกๆละหมาดสุนัตที่มีบัญญัติให้ปฏิบัติในรูปแบบญะมาอะฮนั้นแบบอย่างของมัน คือ การอ่านดัง
......
หลักฐานการอ่านดังในละหมาดสุริยุปราคา นั้น มีน้ำหนัก -ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ มันฮัจญ์ อัตเตาฟิก วัตตัรเญียะ บัยนะมุคตะละฟิลหะดิษ ของ ดร. อับดุลมะญีด มุหัมหมัด บิน อิสมาอีล อัสสูสูต หน้า 491 (ดูสำเนา หนังสือที่แนบมา)

อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/62





เอกสารอ้างอิง


 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เอาเงินซะกาตมาสร้างและบูรณะมัสยิดได้ไหม









เอาเงินซะกาตมาสร้างและบูรณะมัสยิดได้ไหม
ยุคหลังๆ การสร้างมัสยิด การบูรณะมัสยิด มีกระแสแรงมาก แต่ละปีงานการกุศุลสร้างมัสยิด บูรณะมัสยิด ตบแต่งมัสยิด มีมาไม่ขาดสาย จึงนำเสนอบทความนี้ให้พี่น้องอ่านและพิจารณาว่า มันสมควรหรือหากเราเอาเงินซะกาตไปสร้างหรือบูรณะมัสยิด
السؤال
هل يجوز لي أن أستخدم مال الزكاة في بناء مسجد؟.
คำถาม
อนุญาตให้ข้าพเจ้าใช้ทรัพย์สินซะกาต ในการสร้างมัสยิดไหม?
نص الجواب
الحمد لله
سئلت اللجنة الدائمة هل يجوز صرف الزكاة على المسجد لترميمه وفرشه ونحو ذلك من الزكاة فأجابت :
คำตอบ
อัลหัมดุลิลละฮ
คณะกรรมการถาวร(เพื่อการวิจัยวิชาการและตอบปัญหา) ได้ถูกถาม ว่า "จายซะกาตให้แก่มัสญิด เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมมัสยิดและปูพื้นมัสยิด และในทำนองนั้นจากซะกาตได้ไหม แล้วอัลลุจญะนะฮดาอิมะฮตอบว่า
أما الزكاة فهي مخصوصة لثمان جهات عينها الله تعالى بقوله : ( إنما الصدقات للفقراء والمساكين والعاملين عليها والمؤلفة قلوبهم وفي الرقاب والغارمين وفي سبيل الله وابن السبيل ) التوبة ، ومن ذلك يتضح أن المساجد ليست من الجهات الثمان المذكورة في الأية ، والمحصور إخراج الزكاة فيها . وبالله التوفيق
สำหรับ ซะกาตนั้น มันถูกเจาะจงเฉพาะ 8 ด้านเท่านั้น ซึ่งอัลลอฮตาอาลาได้เจาะจงเป็นการเฉพาะด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า ( “ ความจริงซะกาตนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของคนยากไร้ คนขัดสน เจ้าหน้าที่ซะกาต ผู้ที่ศรัทธาใหม่ สำหรับการไถ่ตัว คนมีหนี้สิน สำหรับวิถีทางแห่งอัลเลาะห์ และคนที่เดินทาง..) ซูเราะอัตเตาบะฮ /” และจากดังกล่าวนั้น มันทำให้ชัดเจนว่า แท้จริง มัสยิด ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาด้านทั้งแปด(ผู้มีสิทธิ์รับซะกาตทั้งแปด) ที่ถูกระบุในอายะฮ และสิ่งที่ถูกจำกัด การจ่ายซะกาตอยู่ในมัน -วะบิลลาฮิตเตาฟิก -ฟะตาวาอิสลามียะฮ 2/91
ในฟิกฮอัลอิสลามีย์ ของ ดร.วะฮบะฮอัซซุหัยลีย์ระบุว่า
اتفق جماهير فقهاء المذاهب على أنه لا يجوز صرف الزكاة إلى غير من ذكر الله تعالى، من بناء المساجد والجسور والقناطر والسقايات وجري الأنهار وإصلاح الطرقات، وتكفين الموتى والتوسعة على الأضياف، وبناء الأسوار، .........ونحو ذلك من القرب التي لم يذكرها الله تعالى مما لا تمليك فيه؛ لأن الله سبحانه وتعالى قال: {إنما الصدقات للفقراء....} [التوبة: 60]، وكلمة إنما للحصر والإثبات، تثبت المذكور وتنفي ما عداه
บรรดาปราชญ์ฟิกฮมัซฮับต่างๆส่วนใหญ่(ญุมฮูร) เห็นฟ้องกันว่า ไม่อนุญาตให้จ่ายซะกาต แก่อื่นจากผู้ที่อัลลอฮตาอาลาได้ระบุไว้ เช่น การสร้างมัสยิด ,สร้างสะพาน ,สร้างเขื่อน สร้างแอ่งน้ำ, ขุดคลอง ,ปรับปรุงถนนหนทาง,การห่อศพ ,การให้ความสะดวกบรรดาแขกมาเยือน ,การสร้างกำแพง........ และในทำนองนั้น จากการอิบาดะฮที่อัลลอฮตาอาลาไม่ได้ระบุมันเอาไว้ จากสิ่งที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในมัน เพราะ เพราะแท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ) ตรัสวา( ความจริงซะกาตนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาคนยากไร้....) และคำว่า "อินนะมา"(انما ) เพื่อการจำกัดความและการยืนยัน ,ยืนยันสิ่งที่ถูกระบุไว้ และปฏืเสธสิ่งที่อื่นจากนั้น - ดูฟิกฮอัลอิสลามมีย์ เล่ม 2 หน้า 876 (ดูสำเนาที่แนบมา)
..........
สรุปคือ มัสยิด หรือการสร้างมัสยิดไม่ได้ระบุไว้ในประเภทของผู้มีสิทธิ์รับซะกาต ในทัศนะปราชญ์ฟิกฮมัซฮับส่วนใหญ่จึงไม่อนุญาตให้นำทรัพย์สินซะกาต มาสร้างมัสยิด
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/12/62







ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ตัดตอนคำพูดอิหม่ามอัลอัชอะรีย์ เพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ


ตัดตอนคำพูดอิหม่ามอัลอัชอะรีย์ เพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
อาชาอิเราะฮสายฏอรียกัต ยกตัวอย่างคำพูดอิหม่ามอบูหะซัลอัลอัชอะรีย์มาท่อนหนึ่งใหนังสือ อิสติวาอเหนือบัลลังตค์ หน้า 10 ว่า
ﻭﻗﺎﻝ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﺤﺪﻳﺚ : ﻟﻴﺲ ﺑﺠﺴﻢ، ﻭﻻ
ﻳﺸﺒﻪ ﺍﻷﺷﻴﺎﺀ
และอะฮลุสสุนนะฮ และบรรดานักหะดิษ ได้กล่าวว่า อัลลอฮไม่เป็นรูปร่างและพระองค์ไม่คล้ายกับสรรพสิ่งทั้งหลาย
.............
ข้างต้น ได้ตัดข้อความต่อมาที่ว่า
ﻭﺃﻧﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺮﺵ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ:
} ﺍﻟﺮَّﺣْﻤَﻦُ ﻋَﻠَﻰ ﺍﻟْﻌَﺮْﺵِ ﺍﺳْﺘَﻮَﻯ { ] ﻃﻪ : 20 [5،ﻭﻻ ﻧﻘﺪﻡ ﺑﻴﻦ ﻳﺪﻱ ﺍﻟﻠﻪ ﻓﻲ ﺍﻟﻘﻮﻝ، ﺑﻞ ﻧﻘﻮﻝ ﺍﺳﺘﻮﻯ ﺑﻼ
ﻛﻴﻒ.
และแท้จริงพระองค์ทรงอยู่เหนืออะรัช ดังที่พระองค์ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ได้ตรัสว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอยู่สูงเหนือบัลลังก์) ฎอฮา 5/20 และเราจะไม่ล้ำหน้าอัลลอฮและรอซูล ในคำพูด แต่ทว่า เรากล่าวว่า "ทรงอิสตะวา (อยู่สูง) โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร /ไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร
...........
ส่วนคำว่า ไม่เป็นรูปร่าง (ﻟﻴﺲ ﺑﺠﺴﻢ)นั้น ไม่มีสักอายะฮเดียวและไม่มีหะดิษสักบทเดียวที่กล่าวยืนยัน(อิษบาต)และปฏิเสธ) คำว่า ไม่ใช่รูปร่าง จึงหมายถึงรูปร่างที่เปรียบกับมัคลูค เพราะพระเจ้ามีตัวตน (ซาต) และอิหม่ามอัชอะรีย์ ไม่ได้ตีความบรรดาอายาตสิฟาตดังเช่น ที่อาชาอิเราะฮสายฎอรีกัตตีความ
มาดูคำพูดเต็มๆของอิหม่ามอัลอัชอะรีย์ทั้งหมด ซึ่งต่างจากแนวคิดอาชาอิเราะฮสายฏอรีกัตอย่างสิ้นเชิงคือ
ท่านอบูฮะซัน อัลอัซอารีย์ (เสียชีวิต 324 ฮ.ศ )
กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน มีชื่อว่า “มะกอลาต
อัลอิสลามมียีน” ความว่า:
ﻭﺃﻧﻪ ﻧﻮﺭ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﻟﻰ:
}ﺍﻟﻠَّﻪُ ﻧُﻮﺭُ ﺍﻟﺴَّﻤَﺎﻭَﺍﺕِ ﻭَﺍﻟْﺄَﺭْﺽِ { ] ﺍﻟﻨﻮﺭ 24 .[35 :
ﻭﺃﻥ ﻟﻪ ﻭﺟﻬﺎً ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻠﻪ:
} ﻭَﻳَﺒْﻘَﻰ ﻭَﺟْﻪُ ﺭَﺑِّﻚَ { ] ﺍﻟﺮﺣﻤﻦ 55 .[27 :
ﻭﺃﻧﻪ ﻟﻪ ﻳﺪﻳﻦ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ:
} ﺧَﻠَﻘْﺖُ ﺑِﻴَﺪَﻱَّ ] { ﺹ : 38 [75 .
ﻭﺃﻥ ﻟﻪ ﻋﻴﻨﻴﻦ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ:
}ﺗَﺠْﺮِﻱ ﺑِﺄَﻋْﻴُﻨِﻨَﺎ { ] ﺍﻟﻘﻤﺮ 54 .[14 :
ﻭﺃﻧﻪ ﻳﺠﻲﺀ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻫﻮ ﻭﻣﻼﺋﻜﺘﻪ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ:
} ﻭَﺟَﺎﺀ ﺭَﺑُّﻚَ ﻭَﺍﻟْﻤَﻠَﻚُ ﺻَﻔًّﺎ ﺻَﻔًّﺎ ] { ﺍﻟﻔﺠﺮ 89 .[22 :
ﻭﺃﻧﻪ ﻳﻨﺰﻝ ﺇﻟﻰ ﺍﻟﺴﻤﺎﺀ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻛﻤﺎ ﺟﺎﺀ ﻓﻲ ﺍﻟﺤﺪﻳﺚ. ﻭﻟﻢ
ﻳﻘﻮﻟﻮﺍ ﺷﻴﺌﺎً ﺇﻻ ﻭﺟﺪﻭﻩ ﻓﻲ
ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ، ﺃﻭ ﺟﺎﺀﺕ ﺑﻪ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﻟﻠﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﻟﻠﻪ
ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ"
และพระองค์ทรงมีนูร(รัศมี) ดั่งที่พระองค์ท
รงตรัสว่า
{ ﺍﻟﻠَّﻪُ ﻧُﻮﺭُ ﺍﻟﺴَّﻤَﺎﻭَﺍﺕِ ﻭَﺍﻟْﺄَﺭْﺽِ ] { ﺍﻟﻨﻮﺭ 24 35 : ].
อัลลอฮ์ทรงเป็นดวงประทีปแห่งชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน (อันนูร 24 : 35)
และพระองค์ทรงมีพระพักตร์ ดั่งที่พระองค์ท
รงตรัสว่า
{ ﻭَﻳَﺒْﻘَﻰٰ ﻭَﺟْﻪُ ﺭَﺑِّﻚَ ﺫُﻭ ﺍﻟْﺠَﻠَﺎﻝِ ﻭَﺍﻟْﺈِﻛْﺮَﺍﻡِ { ]ﺍﻟﺮﺣﻤﻦ : 55
27].
และพระพักตร์ของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่
ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะยังคงเหลืออยู่ (
อัรเราะห์มาน 55 : 27 )
และพระองค์ทรงมีพระหัตถ์ทั้ง 2 ดั่งเช่นที่พระอ
งค์ทรงตรัสว่า
{ ﺧَﻠَﻘْﺖُ ﺑِﻴَﺪَﻱَّ { ] ﺹ 38 75 : ] .
ข้าได้สร้าง(อาดัม)ด้วยมือทั้งสองของข้า (ซ้อด
38 : 75)
และพระองค์ทรงมีพระเนตรทั้ง 2 ดั่งเช่นที่พระอ
งค์ตรัสว่า
{ ﺗَﺠْﺮِﻱ ﺑِﺄَﻋْﻴُﻨِﻨَﺎ { ] ﺍﻟﻘﻤﺮ 54 14 : ].
มัน (เรือ) ได้แล่นไปต่อหน้าเรา (อัลเกาะมัร 54 :
14)
และพระองค์ได้ทรงเสด็จมาในวันกิยามะห์พร้อม
กับมลาอิกะห์ ดั่งคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
{ ﻭَﺟَﺎﺀ ﺭَﺑُّﻚَ ﻭَﺍﻟْﻤَﻠَﻚُ ﺻَﻔًّﺎ ﺻَﻔًّﺎ { ]ﺍﻟﻔﺠﺮ 89 22 : ].
และพระเจ้าของเจ้าเสด็จมาพร้อมท
ั้งมะลาอิกะฮฺด้วยเป็นแถว ๆ (อัลฟัญร์ 89 : 22)
และพระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าของดุนยา
ดั่งเช่นฮะดีษ(ภาคผลของการละหมาดตะฮัจยุด)
และพวกเราจะไม่กล่าวสิ่งใด เว้นเจอมันจะมีอยู่
ในอัลกุรอ่านหรือมีรายงานมาจากท่านนบีศ้อลลั
้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม!!!
# มะกอลาต อัลอิสลามมี่ยีน วะอิคติลาฟฟิลมุ
ศ้อลลีน เล่ม 1 หน้า 221
...............
จะเห็นได้ว่า อาชาอิเราะฮนำคำพูดของอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ มาท่อนหนึ่งมาชง โดยหมกเหม็ดส่วนที่เหลือ ซึ่งอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ เองไม่ได้ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ แต่อย่างใด

อะสัน หมัดอะดั้ม
7/12/62





เอกสารอ้างอิง


 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

การห่อศพผู้หญิงแตกต่างจากศพผู้ชายไหม



การห่อศพผู้หญิงแตกต่างจากศพผู้ชายไหม
คำตอบคือ ในทัศนะนักปราชญมัซฮับ หะนะฟียะฮ ,มาลิกียะฮ.ชาฟิอียะฮ,อัลหะนาบะละฮ และอัซซอฮิรียะฮ นั้นส่งเสริม(มุสตะหับบะฮ) ให้ห่อด้วยผ้า 5 ชิ้น
ประกอบด้วย
1. ผ้านุ่งหนึ่งผืน
2.ผ้าคลุมศีรษะ
3.เสื้อ
4.และผ้าหุ้มห่อ 2 ผืน ซึ่งอยู่ชั้นนอกสุด
เนื่องจากมีรายงานจากลัยลา อัษ- ษะกอฟียะฮฺ กล่าวว่า
كُنْتُ فِيمَنْ غَسَّلَ أُمَّ كُلْثُومٍ بِنْتَ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عِنْدَ وَفَاتِهَا، وَكَانَ أَوَّلُ مَا أَعْطَانَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْحِقَاءَ، ثُمَّ الدِّرْعَ، ثُمَّ الْخِمَارَ، ثُمَّ الْمِلْحَفَةَ، ثُمَّ أُدْرِجَتْ بَعْدُ فِي الثَّوْبِ الْآخِرِ.
ความว่า “ฉันเป็นคนหนึ่งจากผู้ที่อาบน้ำให้แก่อุมมุ กุลษูม ลูกสาวของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอนที่นางเสียชีวิตและสิ่งแรกที่ท่านเราะสูลได้ให้แก่เรานั้นคือ ผ้านุ่ง เสื้อ ผ้าคลุมศรีษะ หลังจากนั้นเป็นผ้าหุ้มห่อ หลังจากนั้นนางได้ถูกหุ้มห่อทับด้วยผ้าอีกผืนหนึ่ง” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 3157)
..........
หะดิษข้างต้นชัยค์อัลบานีย์ระบุว่า เป็นหะดิษเฎาะอิฟ ดู อิรวาอุลเฆาะลีล หะดิษหมายเลข 723 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
อย่างไรก็ตาม ชัยค์ออิบนุอุษัยมีนระบุว่าหะดิษที่บอกว่า ให้ห่อศพผู้หญิงด้วยผ้า 5 ชี้ก็ยังมีปัญหา ดังที่ชัยค์ อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า
وقد جاء في جعل كفن المرأة خمسة أثواب حديث مرفوع ، إلا أن في إسناده نظراً ؛ لأن فيه راوياً مجهولاً ، ولهذا قال بعض العلماء : إن المرأة تكفن فيما يكفن به الرجل ، أي : في ثلاثة أثواب يلف بعضها على بعض .
وهذا القول إذا لم يصح الحديث هو الأصح ؛
และใน การห่อศพผู้หญิง ด้วยผ้า 5 ชิ้นนั้น ได้มีหะดิษมัรฟัวะ นอกจากว่า ในสายรายงานของมันนั้น ต้องพิจารณา เพราะในสายรายงานมีผู้รายงานที่ไม่เป็นที่รู้จัก(หมายถึงผู้รายงานที่ชื่อ نوح بن حكيم - ผู้แปล)เพราะเหตุนี้ บางส่วนของ นักวิชาการ ได้กล่าวว่า " แท้จริงผู้หญิงนั้น ถูกห่อด้วยสิ่งที่ผู้ชายถูกห่อด้วยมัน หมายถึง ในผ้า 3 ชิ้น ส่วนหนึ่งของมันห่อหุ้มบนอีกส่วนหนึ่ง(หมายถึงห่อทับซ้อนกัน) และนี้คือ ทัศนะเมื่อที่ถูกต้องที่สุด เมื่อหะดิษไม่เศาะเฮียะ ..อัชชัรหอัลมุมตะฮ 5/224
............
นำเสนอทางวิชาการใครเห็นต่างจากนี้ก็ไม่ขัดข้อง
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/12/62

เอกสารอ้างอิง
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 

ห่อศพผู้หญิงด้วยผ้าสามชิ้นเหมือนผู้ชายได้ไหม



ห่อศพผู้หญิงด้วยผ้าสามชิ้นเหมือนผู้ชายได้ไหม
คำตอบ
การห่อศพไว่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ที่วาญิบคือ ห่อให้มิดชิด ด้วยผ้า ชิ้นเดียวก็พอ แต่ส่งเสริมให้ห่อด้วยผ้า 3 ชิ้น ตามหะดิษที่เศาะเฮียะ เกี่ยวกับการห่อศพของท่านนบี ศ็อลฯ
ชัยค์อัลอัลบานีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า

والمرأة في ذلك كالرجل،إذ لا دليل على التفريق .
وأما حديث ليلى بنت قائف الثقفية في تكفين ابنته صلى الله عليه وسلم في خمسة أثواب فلا يصح إسناده، لأن فيه نوح بن حكيم الثّقفي وهو مجهول كما قال الحافظ ابن حجر وغيره، وفيه علة أخرى بينها الزيلعي في نصب الراية (2/258).
ونحوه ما زاده بعضهم في قصة غسل ابنة النبي صلى الله عليه وسلم زينب بلفظ "فكفناها في خمسة أثواب "، فإنها شاذة أو منكرة 
كما حققته في الضعيفة(5844

และผู้หญิงในดังกล่าวนั้น (หมายถึงในการห่อด้วยผ้า 3 ชิ้น)เช่นเดียวกับผู้ชาย เพราะไม่มีหลักฐานแสดงถึงการจำแนก ถึงความแตกต่าง
สำหรับหะดิษ ลัยลา บิน กออิฟ อัษษะเกาะฟีย์ เกี่ยวการห่อศพ บุตรสาวของท่านนบี ศ็อลฯ ใน ผ้า 5 ชิ้น นั้น สายรายงานของมันไม่เศาะเฮียะ เพราะแท้จริงในสายรายงาน มีผู้รายงานชื่อ นุฮ บิน หะกีม อัษษะเกาะฟีย์ โดยที่เขาเป็นผู้ทีไม่เป็นที่รู้จัก(มัจญฮูล) ดังที่อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร และคนอื่นจากเขาได้ กล่าวไว้ และในหะดิษ มีจุดบกพร่องอื่นอีก ซึ่งอัซซัยละอีย์ ได้อธิบายมันไว้ใน นัศบุรรอยะฮ (2/258)
และที่เหมือนกับมันคือ สิ่งที่ส่วนหนึ่งของพวกเขา ได้เพิ่มเติมมัน ในเรื่องราวของการอาบน้ำบุตรสาวท่านนบี ศ็อลฯ ด้วยสำนวนที่ว่า ("เราได้ห่อนาง ในผ้าห้าชิ้น )" เพราะแท้จริงมัน (ข้อความนี้) ผิดเพี้ยนและมุงกัร ดังที่ข้าพเจ้าได้ พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว ในอัฎเฎาะอีฟะฮ หมายเลข 5844 - ดูอะหกามุลญะนาอิซ วะบิดอุฮา หน้า 85 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
......
จึงสรุปว่า
1.การห่อมัยยิตที่เป็นวาญิบนั้นแค่ห่อให้มิดชิดด้วยผ้าชิ้นเดียวก็เพียงพอ
2.ศพผู้ชายส่งเสริมให้ห่อด้วยผ้า 3 ชิ้น
3.สำหรับศพผู้หญิง นักวิชาการเห็นต่างคือ
3.1 ห่อด้วยผ้า 5 ชิ้น โดยอ้างหะดิษข้างต้น
3.2 ห่อด้วยผ้า 3 ชิ้นเช่นเดียวกับผู้ชาย เพราะไม่มีหลักฐานมาจำแนกถึงความแตกต่าง และหะดิษหะดิษ ลัยลา บิน กออิฟ อัษษะเกาะฟีย์ เกี่ยวการห่อศพ บุตรสาวของท่านนบี ศ็อลฯ ใน ผ้า 5 ชิ้น นั้น สายรายงานของมันไม่เศาะเฮียะ
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/12/62
....
ได้นำเสนอ 2 ด้านแล้ว ซึ่งนักวิชาการเช่นชัยค์ บิน บาซและท่านอื่นๆ เปิดกว้างในเรื่องนี้
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/12/62

เอกสารอ้างอิง

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

 

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วาทกรรมนั่งเทียนพรรณนารูปแบบ(كيفية )ซาตของอัลลอฮ







วาทกรรมนั่งเทียนพรรณนารูปแบบ(كيفية )ซาตของอัลลอฮ
มีอาชาอิเราะฮสายฏอรีตท่านหนึ่งอ้างว่า
อัลลอฮฺไม่ใช่รูปร่าง ไม่มีขนาด สสาร ขอบเขต ทิศ และสถานที่
#อะกีดะฮฺวาญิบต้องบริสุทธิ์
@@@@
ข้างต้น เป็นการนั่งเทียนจินตนาการรูปแบบของซาตอัลลอฮ โดยปราศจากหลักฐาน และไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟผู้ทรงธรรม เพราะสะลัฟ จะยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามตัวบท หรือความหมายภายนอก(อัซซอฮีร) ในทางภาษา ซึ่งอาชาอิเราะฮบางคนอุตริความหมายใหม่ว่า “ความหมายผิวเผิน” ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะความหมายอายาตและหะดิษสิฟาตนั้นชัดเจน เพียงแต่รูปแบบวิธีการ(กัยฟียะฮ) เท่านั้นที่ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮ สะลัฟจึงมอบหมายความรู้เกี่ยวกับ รูปแบบวิธีการ แก่อัลลอฮตาอาลา
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายภายนอกของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู –อัลอัสมาอวัสสิฟาต ของอัลบัยฮะกีย์ 2/377
................................
คำที่อาชาอิเราะฮฏอรีกัตอ้างว่า “อัลลอฮฺไม่ใช่รูปร่าง ไม่มีขนาด สสาร ขอบเขต ทิศ และสถานที่ “คำนี้พวกแนวคิดตรรกทางปัญญาอุปโลกน์ขึ้นมา โดย ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮแม้แต่อักษรเดียว
การให้ความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮนั้น คือสิ่งที่อัลลอฮตาอาลาได้สอนไว้แล้วคือ
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น
.............
ขอเรียนผู้อ่านว่า
การให้ความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮนั้น อัลลอฮตาอาลาได้สอนไว้แล้วข้างต้น จึงไม่จำเป็นจะต้อง เปลี่ยนแปลงความหมายสิฟาตและใช้ความคิดเห็นทางปัญญามาอธิบาย อย่างพวกอาชาอิเราะฮสายฏอรีกัตบางกลุ่มนำมาใช้
ขอเรียนผู้อ่านว่า
การยืนยันสิฟาตอัลลอฮ ตาอาลา ตามความหมายภายนอกตามตัวบทและปฏิเสธการเปรียบเทียบกับมัคลูค นี่คือการให้ความบริสุทธต่ออัลลอฮ ไม่ใช่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูคอย่างสายฏอรีกตมโน
อบูมันศูร มุอมัร บิน อะหมัดอัล อัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 418) กล่าวว่า
«فـ{ليس كمثله شيء} ينفي كل تشبيه وتمثيل، {وهو السميع البصير} ينفي كل تعطيل وتأول. فهذا مذهب أهل السنة والجماعة والأثر»
ดังนั้นคำว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์) มันปฏิเสธ ทุกๆการเปรียบเทียบและการปฏิเสธสิฟาต (และพระองค์ คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น) มันปฏิเสธทุกๆการปฏิเสธสิฟาตและการตีความ นี่คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮวัลอะษัร –ดู อัลหุจญธฮ ฟี บะยานอัลมะฮัจญะฮ 1/231-244 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
.........
เพราะฉะนั้นการตีความ โดยเปลี่ยนความหมายอายาตและหะดิษสิฟาต นั้นไม่ใช่แนวทางอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮแต่เป็นตรรกทางปัญญาของอะฮลุลกาลาม จึงถามว่า คุณเป็นนบีหรือ คุณเป็นรอซูลหรือ จึงมานั่งอธิบายซาตของอัลลอฮว่าไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยปราศจากหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/66/62
เอกสารอ้างอิง

 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อัตตะอัศศุบคืออะไร


ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


อัตตะอัศศุบคืออะไร
คำว่าตะอัศศุบ ในปทานุกรรมอาหรับ -ไทย ของ ส.วงศเสงี่ยม หน้า 319แปลว่า การไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆที่มีหลักฐานยืนยัน อันเนื่องมาจากการฝักใฝ่ในอุดมการณ์หนึ่ง -
ในภาษาอาหรับคือ
 
التشدد وأخذ الأمر بشدة وعنف وعدم قبول المخالف ورفضه والأنفة من أن يتبع غيره ولو كان على صواب

การเข้มงวดและยึดเอาสิงใด ด้วยความเข้มงวด ,ความรุนแรง ,ไม่ยอมรับ ผู้ที่เห็นต่าง และปฏิเสธเขา และ รังเกียจ/ไม่ยอมรับที่จะปฏิบัติตามผู้อื่น และแม้ว่า เขาผู้นั้น อยู่บนความถูกต้องก็ตาม - ดู มินัตตะอัศศุบ ของมุหัมหมัดอัลเฆาะซาลี หน้า 21
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวเกี่ยวกับความหมาย อัตตะอัศศุบ ว่า


أن تجعل ما يصدر عنه من الرأي ويروي له من الاجتهاد حجة عليك وعلى سائر العباد
คือ การที่ท่าน ยึดเอาความความคิดเห็น จากเขา(หมายถึงจากอุลามาแห่งอิสลาม) และการอิจญะฮาดของเขา ที่ถูกรายงานมา เป็นหลักฐานสำหรับท่านและสำหรับบรรดาบ่าว(มนุษย์)ทั้งหมด - ดู อะดะบุฏเฏาะลับวะมุนตะฮันอะเราบิ หน้า 86
...............
หมายถึง การยึดเอาความคิดเห็นของปราชญ์และการวินิจฉัยของเขามาเป็นหลักฐานศาสนาสำหรับตนเองและบรรดาคนอื่นๆ
ทั้งนี้ เพราะ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดใดที่ศาสนาบัญญัติให้ผูกขาดกับคำสอนของเขา นอกจากท่านรอซูลของอัลลอฮเท่านั้น
ท่านมุญาฮิด (ร.ฮ)กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ بَعْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ، وَيُتْرَكُ إِلا النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
ไม่มีคนใดหลังจากท่านนบี ศ็อลฯ นอกจากคำพูดของเขา ถูกเอามา (ปฏิบัติ)และถูกทิ้ง นอกจากท่านนบี ศ็อลฯ -ญามิอุบะยานอัลอิลมิวะฟัฎลิฮี ของอิบนุอับดิลบัร 2/91
..........
หมายถึงคำพูดของคนอื่นๆจากท่านนบีนั้น ถูกนำมาปฏิบัติและถูกทิ้ง เพราะมีผิดมีถูก ต่างกับคำพูดของท่านนบี ศ็อลฯที่ไม่มีผิด เพราะท่านได้รับการปกป้องความผิดพลาดในการเผยแพร่ศาสนา
ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

فَدِينُ الْمُسْلِمِينَ مَبْنِيٌّ عَلَى اتِّبَاعِ كِتَابِ اللَّهِ، وَسُنَّةِ نَبِيِّهِ، وَمَا اتَّفَقَتْ عَلَيْهِ الْأُمَّةُ، فَهَذِهِ الثَّلَاثَةُ هِيَ أُصُولٌ مَعْصُومَةٌ، وَمَا تَنَازَعَتْ فِيهِ الْأُمَّةُ رَدُّوهُ إلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ. وَلَيْسَ لِأَحَدِ أَنْ يُنَصِّبَ لِلْأُمَّةِ شَخْصًا يَدْعُو إلَى طَرِيقَتِهِ، وَيُوَالِي وَيُعَادِي عَلَيْهَا، غَيْرَ النَّبِيِّ، صلى الله عليه وسلم، وَلَا يُنَصِّبَ لَهُمْ كَلَامًا يُوَالِي عَلَيْهِ وَيُعَادِي، غَيْرَ كَلَامِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ، وَمَا اجْتَمَعَتْ عَلَيْهِ الْأُمَّةُ. بَلْ هَذَا مِنْ فِعْلِ أَهْلِ الْبِدَعِ 
الَّذِينَ يُنَصِّبُونَ لَهُمْ شَخْصًا أَوْ كَلَامًا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْأُمَّةِ، يُوَالُونَ بِهِ عَلَى ذَلِكَ الْكَلَامِ أَوْ تِلْكَ النِّسْبَةِ وَيُعَادُونَ

ดังนั้นศาสนาของอัลลอฮ วางอยู่บนรากฐาน บนการตาม คัมภีร์ของอัลลอฮ และสุนนะฮของนบีของพระองค์ และสิ่งที่ประชาชาติ(อุมมะฮ)ได้มีมติฟ้องกัน และ นี่คือ รากฐานสามประการ มันคือสิ่งที่ได้รับการประกันจากความผิดพลาด และสิ่งที่ประชาชาตินำข้อขัดแย้งไปหาอัลลอฮและรอซูล และไม่อนุญาตแก่บุคคลใด กำหนดบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้แก่ประชาชาติ(อุมมะฮ) แล้วเรียกร้องไปสู่แนวทางของเขา เป็นมิตรและเป็นศัตรูกันอยู่บนแนวทางนั้น อื่นจากคำพูดของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ และสิ่งที่อุมมะฮมีมติฟ้องกัน แต่ทว่า กรณีนี้(การกำหนดบุคคลให้ประชาติถือตาม) เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำของชาวบิดอะฮ ที่พวกเขากำหนด บุคคลหนึ่ง บุคคลใด ให้แก่พวกเขา หรือกำหนด คำพูด(ทัศนะ)ใดที่ทำให้เกิดการแตกแยกระหว่างอุมมะฮ พวกเขาเป็นมิตรกันบนคำพูด(ทัศนะ)นั้นหรือ เป็นศัตรูกันบนแนวทางนั้น - ฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮ 20/64
..............
สรุป
1.ศาสนาของอัลลอฮ วางอยู่บนรากฐานของการตามคัมภีร์อัลลอฮ ,สุนนะฮนบีของพระองค์ และสิ่งที่เห็นฟ้องแห่งอุมมะฮ(อัลอิจญมาอฺ)
2. ประเด็นใดที่เห็นขัดแย้งก็ให้นำไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตัดสิน
2.การกำหนดตัวบุคคลอื่นจากนบี ศ็อลฯ ให้มนุษย์ ปฏิบัติตามแนวทางของเขา เป็นมิตรและเป็นศัตรูกัน บนแนวทางเขาผู้นี้ คือ การกระทำของอะฮลุลบิดอะฮ ที่ก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างอุมมะฮ
แปลก...ในสิังคมปัจจุบนกลับมองว่าการเรียกร้องให้ไปสู่กิตาบุลลอฮ และสุนนะฮนบี คือการสร้างความแตกแยก แต่การเรียกร้องให้ไปสู่การยึดติดกับตัวบุคคล แนวคิด ความคิดเห็น ประเพณีปู่อย่าตายาย กลับมองว่า เป็นการรักษาญะมาอะฮอิสลาม เป็นสิ่งที่ชอบด้วยศาสนา ปลูกฟังให้แบ่งสายแบ่งพวก ปิดกั้น ไม่ให้คิดนอกกรอบที่ตนเองกำหนด แต่ให้ปิดตาตามลูกเดียว -วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/11/62

อัลอะเศาะบียะฮ คืออะไร



ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



อัลอะเศาะบียะฮ คืออะไร
อัลอะเศาะบียะฮ คือ การฝักใฝ่หรือเลือกข้าง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ว่า ฝ่ายนั้นจะผิด ก็ตาม
คำจำกัดความภาษาอาหรับคือ
والعصبية ان يدعو الرجل إلى نصرة عصبته والتالب معهم على من يناويهم ظالمين كانوا أو مظلومين.
และอัลอะเศาะบียะฮคือ การที่คนหนึ่งเรียกร้องไปสู่ การสนับสนุนพวกพ้องของเขาและการรวมตัวกันพร้อมกับพวกเขา บน(การเผชิญหน้า/หรือต่อสู้)ผู้ที่เป็นศัตรูกับพวกเขา ไม่ว่า (พวกพ้องตนเอง)เป็นผู้ที่อธรรม(ต่อผู้อื่น)หรือถูกอธรรมก็ตาม -ลิซานุลอัรบฺ 1/606
.........
กล่าวคือ การเลือกข้าง ไม่ว่าพวกตนเองจะผิดหรือถูก ก็ตาม
การถือพรรคถือฝ่ายที่ถูกตำหนิคือ การสนับสนุนส่งเสริมในทางที่ผิด เพื่อรักษาพวกพ้องของตน
............
อัลมะนาวีย์ได้อธิบายหะดิษที่ว่า
لَيْسَ مِنَّا مَنْ دَعَا إِلَى عَصَبِيَّةٍ
ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวกเรา ผู้ที่เรียกร้องไปสู่การถือพรรคถือพวก
โดยเขากล่าวว่า
أَيْ مَنْ يَدْعُو النَّاس إِلَى الِاجْتِمَاع عَلَى عَصَبِيَّة وَهِيَ مُعَاوَنَة الظَّالِم
หมายถึง ผู้ที่เรียกร้องบรรดาผู้คน ไปสู่การรวมตัวกัน บนการถือพรรคถือพวก และเขาคือผู้ที่สนับสนุนผู้อธรรม/ผู้ที่ทำผิด - ดูฟัยฎุลเกาะดิร ชัรหอัลญามิอิศเศาะฆีร 5/386
...........
ผู้ที่ยึดสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของท่านรอซูลนั้น ต้องรู้จักแยกถูกแยกผิด ไม่สนับสนุนช่วยเหลือในทางที่ผิดแม้คนทำผิดนั้นจะเป็นญาติพี่น้องหรือพรรคพวกตัวเองก็ตาม
"การถือพรรคถือพวก แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายไม่ใช่ส่วนหนึ่งอัลอิสลาม"
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/11/62

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

แปลก..ตอนเป็นไม่อยากฟัง แต่ตอนตายอยากจะฟัง




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


แปลก..ตอนเป็นไม่อยากฟัง แต่ตอนตายอยากจะฟัง
อัลกุรอ่านถูกประทานลงมา เพื่อให้คนที่มีชีวิตได้ ฟัง ได้อ่าน ได้ นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่มีสักกี่คน ได้ปฏิบัติตาเจตนารณ์นี้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلَقَدْ يَسَّرْنَا الْقُرْآنَ لِلذِّكْرِ فَهَلْ مِن مُّدَّكِرٍ
และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น-อัล-เกาะมัร/32
.......
ตอนมีชีวิตอยู่เคยรับฟัง ข้อตักเตือนอัลกุรอ่านไหม เคยทำความเข้าใจมันไหม ว่าอัลลอฮได้สอนอะไรบ้าง
ในซูเราะฮยาสีน อายะฮที่ 69-70 ซึ่งเป็นซูเราะฮที่มุสลิมรู้จักมากที่สุดระบุว่า
وَمَا عَلَّمْنَاهُ الشِّعْرَ وَمَا يَنبَغِي لَهُ ۚ إِنْ هُوَ إِلَّا ذِكْرٌ وَقُرْآنٌ مُّبِينٌ
เรามิได้สอนกวีนิพนธ์แก่เขา (มุฮัมมัด) และไม่เหมาะสมแก่เขาที่จะเป็นกวีคัมภีร์นี้มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเป็นข้อตักเตือนและเป็นคัมภีร์อันชัดแจ้ง
لِّيُنذِرَ مَن كَانَ حَيًّا وَيَحِقَّ الْقَوْلُ عَلَى الْكَافِرِينَ
เพื่อตักเตือนผู้ที่มีชีวิต และเพื่อข้อตักเตือนนั้นเป็นหลักฐานยืนยันแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
..........
อัลกุรอ่านถูกประทานมาเพื่อตักเตือน คนที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเขาจะได้นำไปปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน อัลกุรอ่านนี่แหละ จะเป็นพยานเอาผิดเขา
อัลมะนาวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
والقرآن حجة لك يدلك على النجاة إن عملت به، أو عليك إن أعرضت عنه فيدل على سوء عاقبتك
และอัลกุรอ่าน คือ หลักฐานให้แก่ท่าน มันแสดงบอกว่า ท่าน อยู่บนความสำเร็จ หากท่านปฏิบัติด้วยมัน หรือ เป็นหลักฐานเอาผิดท่าน หากท่านผินหลังให้มัน(หมายถึงหากท่านไม่ปฏิบัติตาม-ผู้แปล) แล้วมันแสดงบอกถึงจุดจบที่ชั่วร้ายของท่าน - ฟัยฎุลเกาะดีร ชัรหญามิอิศเศาะฆีร 4/373
................
มาศึกษาอัลกุรอ่าน ทำความเข้าใจความหมายและเอาบทเรียนมันไปปฏิบัติตอนที่มีชีวิตอยู่เถอะครับ อย่าได้เสียเวลากับประเพณีนอกคำสอน ที่ท่านนบี ศ็อลฯไม่ได้สอนไว้ เพราะนอกจากเสียเวลาแล้วยังเสียเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ผลบุญเป็นของอัลลอฮ สิ่งใดได้บุญหรือได้บาป นั้นต้องผ่านคำสอนของศาสนทูตของพระองค์
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/11/62

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การเห็นอัลลอฮในวันอาคีเราะฮ โดยไม่เผชิญหน้าและไม่มีทิศทางจริงหรือ?



การเห็นอัลลอฮในวันอาคีเราะฮ โดยไม่เผชิญหน้าและไม่มีทิศทางจริงหรือ?
มีท่านครูแนวคิดอาชาอิเราะฮสายอะฮลุลกาลาม ท่านหนึ่งอ้างว่า
"อะฮฺลุซซุนนะฮฺ: สามารถเห็นอัลลอฮฺได้ด้วยตาโดยไม่มีวิธีการ ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่จำเป็นต้องมีการเผชิญหน้า ไม่มีระยะทาง และไม่ได้อยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง"
..............
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นการใช้ตรรกทางปัญญาคิดมโนขึ้นมาเอง แล้วแอบอ้างอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เพราะความจริงการเห็นอัลลอฮตาอาลาในวันอาคีเราะฮนั้น คือ การเห็นอัลลอฮตาอาลาด้วยตา อย่างชัดเจน คือ สายตามองไปยังอัลลอฮ หรือทิศเบื้องหน้า
ไม่มีสักอายะฮและไม่มี หะดิษสักบทเดียว ที่อธิบายว่า เป็นการเห็นที่ไม่เผชิญหน้า ไม่มีระยะทาง และไม่ได้อยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง อย่างที่มีการแอบอ้างอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ
เพราะนี่คือการใช้ตรรกอธิบายรูปแบบวิธีการ(كيفية )เกินจากสิ่งที่อัลลอฮตาอาลาและท่านรอซูล ศ็อลฯและปราชญ์สะลัฟ ได้อธิบายไว้ ส่วนอัลลอฮตาอาลาจะมีซาตเป็นเช่นไรนั้น ไม่มีใครรู้เพราะทรงไม่มีสิ่งใดเทียบได้
หลักฐานที่ว่ามนุษย์จะได้เห็นอัลลอฮฺด้วยตาจริงๆในวันกิยามะฮฺ คือ
พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
وُجُوهٌ يَوْمَئِذٍ نَّاضِرَةٌ
"ในวันนั้นหลาย ๆ ใบหน้าจะเบิกบาน"
إِلَىٰ رَبِّهَا نَاظِرَةٌ
จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลกิยามะฮฺ สูเราะฮิที่ 75 อายะฮฺที่ 22-23)
……..
คำว่า จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน “ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการมองไปยังเบื้องหน้า เพราะตาของมนุษย์อยู่ด้านหน้า
แต่อาชาอิเราะฮท่านนี้กลับอ้างว่า “เป็นการเห็นที่ไม่เผชิญหน้า ไม่มีระยะทาง และไม่ได้อยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง “ นี้คืออะกีดะฮที่ใช้สมองคิดเอง มโนไปเอง โดยปราศจากหลักฐาน
ท่านอิบนุกะษีร ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ (ฮ.ศ. 774) กล่าวไว้ในตัฟซี้รของท่านว่า
إِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ
أَيْ تَرَاهُ عِيَانًا كَمَا رَوَاهُ الْبُخَارِيّ رَحِمَهُ اللَّه تَعَالَى فِي صَحِيحه " إِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبّكُمْ عِيَانًا " وَقَدْ ثَبَتَتْ رُؤْيَة الْمُؤْمِنِينَ لِلَّهِ عَزَّ وَجَلَّ فِي الدَّار الْآخِرَة فِي الْأَحَادِيث الصِّحَاح مِنْ طُرُق مُتَوَاتِرَة عِنْد أَئِمَّة الْحَدِيث لَا يُمْكِن دَفْعهَا وَلَا مَنْعهَا لِحَدِيثِ أَبِي سَعِيد وَأَبِي هُرَيْرَة وَهُمَا فِي الصَّحِيحَيْنِ أَنَّ نَاسًا قَالُوا يَا رَسُول اللَّه هَلْ نَرَى رَبّنَا يَوْم الْقِيَامَة ؟ فَقَالَ" هَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَة الشَّمْس وَالْقَمَر لَيْسَ دُونهمَا سَحَاب ؟ " قَالُوا لَا قَالَ " فَإِنَّكُمْ تَرَوْنَ رَبّكُمْ كَذَلِكَ" . وَفِي الصَّحِيحَيْنِ عَنْ جَرِير قَالَ نَظَرَ رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَى الْقَمَر لَيْلَة الْبَدْر فَقَالَ" إِنَّكُمْ تَرَوْنَ رَبّكُمْ كَمَا تَرَوْنَ هَذَا الْقَمَر
คำตรัสที่ว่า (จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน) หมายถึง มันเห็นพระองค์ ด้วยตาเปล่า ดังสิ่งที่อัลบุคอรี(ขออัลลอฮ ตะอาลาเมตตาต่อท่าน)ได้รายงานมันในเศาะเฮียะของท่านว่า ? แท้จริง พวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วยตาเปล่า? และความจริง ได้มีการยืนยันถึง การที่บรรดาผู้ศรัทธา จะได้เห็นอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงเลิศยิ่งใน โลกอาคิเราะฮ (โลกหน้า) ระบุในบรรดาหะดิษ ที่เศาะเฮียะ จากหลายสายรายงาน หลายกระแสต่อเนื่องกันมา ในทัศนะของบรรดาอิหม่ามทางด้านหะดิษ ที่ไม่อาจจะคัดค้านและปฏิเสธได้เลย เพราะมีหะดิษอบูสะอีด และอบูฮุรัยเราะฮ โดยที่ทั้งสองหะดิษนั้นอยู่ใน เศาะเฮียะบุคอรีและมุสลิม ระบุว่า ? แท้จริงบรรดาผู้คน กล่าวถามว่า ?โอ้ท่านรซูลุ้ลลอฮ พวกเราจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของเราในวันกิยามะฮไหม? แล้วท่านรซูลุ้ลลอฮ กล่าวว่า ?พวกท่าน มีความยากลำบากไหม ในการเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โดยที่ ไม่มีเมฆมาบัง ? พวกเขากล่าวตอบว่า ?ไม่? ท่านรซูลุ้ลลอฮ กล่าวว่า ?พวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านอย่างนั้น ? และปรากฏในเศาะเฮียะบุคอรีและมุสลิม จากท่านญะรีร กล่าวว่า ?ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้มอง ดวงจันทร์ ในคืนจันทร์เพ็ญ แล้วกล่าวว่า ? แท้จริงพวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังที่พวกท่าน เห็นดวงจันทร์นี้ - ดู ตัฟสีรอิบนิกะษีร 14/198
อิบนุญะรีร (ร.ฮ)กล่าวว่า

وَأَوْلَى الْقَوْلَيْنِ فِي ذَلِكَ عِنْدَنَا بِالصَّوَابِ الْقَوْلُ الَّذِي ذَكَرْنَاهُ عَنِ الْحَسَنِ وَعِكْرِمَةَ ، مِنْ أَنَّ مَعْنَى ذَلِكَ تَنْظُرُ إِلَى خَالِقِهَا ، وَبِذَلِكَ جَاءَ الْأَثَرُ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :

และสองทัศนะที่ถูกต้องกว่า ในดังกล่าวนั้น ตามทัศนะของเราคือ ทัศนะที่เราได้กล่าวถึงมันจาก อัลหะซัน และอิกริมะฮ จากที่ว่าแท้จริง ความหมายดังกล่าวนั้น คือ “มัน(บรรดาใบหน้า)มองไปยังผู้ทรงสร้างของมัน และด้วยดังกล่าวนั้น มีหะดิษจากท่านรอซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ....แล้วอิบนุญะรีร (ร.ฮ)ได้ระบุหะดิษ.....ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 22-23 ซูเราะฮอัลกิยามะฮ
อิบนุอะบิลอิซ อัดดะมัชกีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
. وَقَالَ عِكْرِمَةُ : وُجُوهٌ يَوْمَئِذٍ نَاضِرَةٌ ، قَالَ : مِنَ النَّعِيمِ ، إِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ ، قَالَ : تَنْظُرُ إِلَى رَبِّهَا نَظَرًا ، ثُمَّ حَكَى عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ مِثْلَهُ . وَهَذَا قَوْلُ كُلِّ مُفَسِّرٍ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْحَدِيثِ .

และอิกริมะฮ ได้กล่าวว่า ประโยคที่ว่า (ในวันนั้นหลาย ๆ ใบหน้าจะเบิกบาน) เขากล่าวว่า หมายถึง ส่วนหนึ่งจากบรรดาเนียะมะฮ (ความสุขสบาย) ประโยคที่ว่า (จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน”) เขา(อิกริมะฮ)กล่าวว่า หมายถึง มันจะมองพระผู้อภิบาลของมันจริงๆ หลังจากนั้น เขาได้รายงานจากอิบนิอับบาส เหมือนกับมัน (อิบนุอบิลอิซกล่าวว่า) “และนี้คือ คำพูด(ทัศนะ)ของทุกๆนักอรรถาธิบาย จากชาวอะฮลิสสุนนะฮวัลหะดิษ – ดูชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาหาวียะฮ หน้า 209
............
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น เป็นหลักฐานยืนยัน ว่า การเห็นอัลลอฮตาอาลานั้น คือการเห็นด้วยตา มองไปยังอัลลอฮ และการอ้างว่า เห็นโดยไม่มีทิศทาง โดยไม่เผชิญหน้า และไม่มีระยะทางนั้น เป็นการอธิบายโดยใช้ความคิดเห็นแอบอ้างอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/10/62





เอกสารอ้างอิง





ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ





 

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

วาทกรรมไม่เอาอุลามาอฺ


วาทกรรมไม่เอาอุลามาอฺ
วาทะข้างต้น คืออาวุธของแกีงบางจำพวกที่อยู่ในคราบนักการศาสนาได้อุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อดิสเครดิตคนที่เห็นต่างกับตน ให้ชาวบ้านหมดความเชื่อถือว่า พวกนี้ไม่เอาอุลามาอฺ ไม่ตามกฏอุลามาอฺ เข้าหาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ โดยตัวเองไม่ตามสิ่งที่อุลามาอฺอธิบาย
ขอเรียนว่า ตลอดเวลาที่เรานำเสนอวิชาการางศาสนา ไม่ว่าประเด็นก็ตาม ได้นำคำอธิบายอุลามาอฺ มาประกอบเป็นหลักฐานอ้างอิงเสมอ ไม่ใช้ตรรกมาชงโดยปราศจากหลักฐาน
การตามอุลามาอฺนั้น ไม่ใช่การตาม โดยปราศจากเงื่อนไข เหมือนกับการตามอัลลอฮตาอาลาและรอซูล(ศ็อลฯ)
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَقَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ بْنُ خُوَيْزٍ مِنْدَادٌ الْبَصْرِيُّ الْمَالِكِيُّ : " التَّقْلِيدُ مَعْنَاهُ فِي الشَّرْعِ الرُّجُوعُ إِلَى قَوْلٍ لا حُجَّةَ لِقَائِلِهِ عَلَيْهِ ، وَهَذَا مَمْنُوعٌ مِنْهُ فِي الشَّرِيعَةِ ، وَالاتِّبَاعُ مَا ثَبَتَ عَلَيْهِ حُجَّةٌ
และอบูอับดุลลอฮ บุตร คุวัยซฺ มันดาด อัลบะเศาะรี อัล-มาลิกีย์ กล่าวว่า " การตักลีด ความหมายในทางศาสนาคือ การกลับไปหาคำพูดใดๆ ที่ไม่หลักฐานสำหรับผู้ที่กล่าวคำพูดนั้น และดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งถูกห้ามในศาสนาบัญญัติ และคำว่า"อิตบาอฺคือ (การตาม)สิ่งที่ปรากฏหลักฐานยืนยันบนมัน - ญามิอุบะยานิลอิลมิวะฟัฎลิฮ 2/993
..............
การตามอุลามาอฺ นั้น ต้องตามสิ่งที่เขาสอนที่มีหลักฐานยืนยันหรือประมวลมาจากหลักฐาน ไม่ใช่ความคิดเห็น เพราะการอิจญติฮาดของอุลามาอฺ ไม่ว่าระดับใหนก็ตามย่อมมีผิดพลาดและมีถูก
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
فأما الصديقون والشهداءُ والصالحون فليسوا بمعصومين، وهذا في الذنوب المحقَّقة، وأما ما اجتهدوا فيه فتارة يصيبون، وتارة يخطئون، فإذا اجتهدوا وأصابوا فلهم أجران، وإذا اجتهدوا وأخطأوا فلهم أجرٌ على اجتهادهم، وخطؤهم مغفورٌ لهم
สำหรับบรรดา บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี พวกเขาไม่ใช่มะอศูม(การได้รับการปกป้องจากความผิด) และกรณี ในบรรดาบาปที่ถูกพิสูจน์แล้ว และ สำหรับสิ่งที่พวกเขา อิจญติฮาด(วินิจฉัย)ในมันนั้น บางครั้งพวกเขาถูกต้อง และบางครั้งพวกเขาผิดพลาด แล้วเมื่อพวกเขา ทำการวินิจฉัย(อิจญติฮาด) และพวกเขาถูกต้อง พวกเขาได้รับการตอบแทนสองเท่า และเมื่อพวกเขาทำการอิจญติฮาด และพวกเขา ผิดพลาด พวกเขาได้รับผลตอบแทนหนึ่งเท่าบนการอิจญติฮาดของพวกเขา และการผิดพลาดของพวกเขาได้รับการอภัย - มัจญมัวะอัลฟาตาวา 35/69
........
สรุป
1. บรรดาปราชญไม่ว่าระดับใหนก็ตาม ไม่ใช่มะอศูม (ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด)
2. การอิจญติฮาดของปราชญ มีผิด มีถูก
3. เมื่อพวกเขาอิจญติฮาดถูกต้อง พวกเขาได้รับผลตอบแทนสองเท่า และถ้าผิดพลาด เขาได้ผลตอบแทนหนึ่งเท่า และการผิดพลาดนั้นได้รับการอภัย
เพราะฉะนั้น หากผู้ใดกล่าวว่า บรรดาปราชญ์ผิดพลาด จึงไม่ใช่การหุกุมว่าเขาทำบาป หรือตกนรก อย่างที่คนบางจำพวกใช้เป็นข้อหายัดเยียดให้คนที่เห็นต่าง ที่ไม่ตามปราชญ์ที่ตัวเองยึดถือ ว่าดูหมิ่นปราชญ์
การผิดพลาดของปราชญ์ไม่อนุญาตให้ตาม
อิสมาอีสมาอีล บิน อิสหาก อัลกอฏีย์ อัลมาลิกีย์ (ฮ.ศ 282)กล่าวว่า
ما من عالم الا وله زلة ومن جمع زلل العلماء ثم اخذ بها ذهب دينه
ไม่มีผู้รู้คนใด นอกจากเขามีความผิดพลาด และผู้ใด รวบรวมบรรดาความผิดพลาดของบรรดาผู้รู้(อุลามาอฺ) หลังจากนั้นเขาได้ เอา(มาปฏิบัติ)ด้วยมัน ศาสนาของเขาได้สูญหายไปแล้ว - อัสสุนันอัลกุบรอ ของอัลบัยฮะกีย์ 10/356-357
......
เพราะฉะนั้น การตามอุละมาอฺและการเอาอุลามาอฺ ไม่ใช่เอาหรือตามแบบคลั่งใคล้ หูหนวกตาบอด แต่ตามในสิ่งที่เรามั่นใจว่า สิ่งนั้นมีหลักฐานรับรอง เศาะเฮียะและชัดเจน

อะสัน หมัดอะดั้ม
29/9/63





เอกสารอ้างอิง





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ