วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วาทกรรมนั่งเทียนพรรณนารูปแบบ(كيفية )ซาตของอัลลอฮ







วาทกรรมนั่งเทียนพรรณนารูปแบบ(كيفية )ซาตของอัลลอฮ
มีอาชาอิเราะฮสายฏอรีตท่านหนึ่งอ้างว่า
อัลลอฮฺไม่ใช่รูปร่าง ไม่มีขนาด สสาร ขอบเขต ทิศ และสถานที่
#อะกีดะฮฺวาญิบต้องบริสุทธิ์
@@@@
ข้างต้น เป็นการนั่งเทียนจินตนาการรูปแบบของซาตอัลลอฮ โดยปราศจากหลักฐาน และไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟผู้ทรงธรรม เพราะสะลัฟ จะยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามตัวบท หรือความหมายภายนอก(อัซซอฮีร) ในทางภาษา ซึ่งอาชาอิเราะฮบางคนอุตริความหมายใหม่ว่า “ความหมายผิวเผิน” ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะความหมายอายาตและหะดิษสิฟาตนั้นชัดเจน เพียงแต่รูปแบบวิธีการ(กัยฟียะฮ) เท่านั้นที่ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮ สะลัฟจึงมอบหมายความรู้เกี่ยวกับ รูปแบบวิธีการ แก่อัลลอฮตาอาลา
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายภายนอกของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู –อัลอัสมาอวัสสิฟาต ของอัลบัยฮะกีย์ 2/377
................................
คำที่อาชาอิเราะฮฏอรีกัตอ้างว่า “อัลลอฮฺไม่ใช่รูปร่าง ไม่มีขนาด สสาร ขอบเขต ทิศ และสถานที่ “คำนี้พวกแนวคิดตรรกทางปัญญาอุปโลกน์ขึ้นมา โดย ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮแม้แต่อักษรเดียว
การให้ความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮนั้น คือสิ่งที่อัลลอฮตาอาลาได้สอนไว้แล้วคือ
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น
.............
ขอเรียนผู้อ่านว่า
การให้ความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮนั้น อัลลอฮตาอาลาได้สอนไว้แล้วข้างต้น จึงไม่จำเป็นจะต้อง เปลี่ยนแปลงความหมายสิฟาตและใช้ความคิดเห็นทางปัญญามาอธิบาย อย่างพวกอาชาอิเราะฮสายฏอรีกัตบางกลุ่มนำมาใช้
ขอเรียนผู้อ่านว่า
การยืนยันสิฟาตอัลลอฮ ตาอาลา ตามความหมายภายนอกตามตัวบทและปฏิเสธการเปรียบเทียบกับมัคลูค นี่คือการให้ความบริสุทธต่ออัลลอฮ ไม่ใช่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูคอย่างสายฏอรีกตมโน
อบูมันศูร มุอมัร บิน อะหมัดอัล อัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 418) กล่าวว่า
«فـ{ليس كمثله شيء} ينفي كل تشبيه وتمثيل، {وهو السميع البصير} ينفي كل تعطيل وتأول. فهذا مذهب أهل السنة والجماعة والأثر»
ดังนั้นคำว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์) มันปฏิเสธ ทุกๆการเปรียบเทียบและการปฏิเสธสิฟาต (และพระองค์ คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น) มันปฏิเสธทุกๆการปฏิเสธสิฟาตและการตีความ นี่คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮวัลอะษัร –ดู อัลหุจญธฮ ฟี บะยานอัลมะฮัจญะฮ 1/231-244 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
.........
เพราะฉะนั้นการตีความ โดยเปลี่ยนความหมายอายาตและหะดิษสิฟาต นั้นไม่ใช่แนวทางอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮแต่เป็นตรรกทางปัญญาของอะฮลุลกาลาม จึงถามว่า คุณเป็นนบีหรือ คุณเป็นรอซูลหรือ จึงมานั่งอธิบายซาตของอัลลอฮว่าไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยปราศจากหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/66/62
เอกสารอ้างอิง

 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อัตตะอัศศุบคืออะไร


ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


อัตตะอัศศุบคืออะไร
คำว่าตะอัศศุบ ในปทานุกรรมอาหรับ -ไทย ของ ส.วงศเสงี่ยม หน้า 319แปลว่า การไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆที่มีหลักฐานยืนยัน อันเนื่องมาจากการฝักใฝ่ในอุดมการณ์หนึ่ง -
ในภาษาอาหรับคือ
 
التشدد وأخذ الأمر بشدة وعنف وعدم قبول المخالف ورفضه والأنفة من أن يتبع غيره ولو كان على صواب

การเข้มงวดและยึดเอาสิงใด ด้วยความเข้มงวด ,ความรุนแรง ,ไม่ยอมรับ ผู้ที่เห็นต่าง และปฏิเสธเขา และ รังเกียจ/ไม่ยอมรับที่จะปฏิบัติตามผู้อื่น และแม้ว่า เขาผู้นั้น อยู่บนความถูกต้องก็ตาม - ดู มินัตตะอัศศุบ ของมุหัมหมัดอัลเฆาะซาลี หน้า 21
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวเกี่ยวกับความหมาย อัตตะอัศศุบ ว่า


أن تجعل ما يصدر عنه من الرأي ويروي له من الاجتهاد حجة عليك وعلى سائر العباد
คือ การที่ท่าน ยึดเอาความความคิดเห็น จากเขา(หมายถึงจากอุลามาแห่งอิสลาม) และการอิจญะฮาดของเขา ที่ถูกรายงานมา เป็นหลักฐานสำหรับท่านและสำหรับบรรดาบ่าว(มนุษย์)ทั้งหมด - ดู อะดะบุฏเฏาะลับวะมุนตะฮันอะเราบิ หน้า 86
...............
หมายถึง การยึดเอาความคิดเห็นของปราชญ์และการวินิจฉัยของเขามาเป็นหลักฐานศาสนาสำหรับตนเองและบรรดาคนอื่นๆ
ทั้งนี้ เพราะ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดใดที่ศาสนาบัญญัติให้ผูกขาดกับคำสอนของเขา นอกจากท่านรอซูลของอัลลอฮเท่านั้น
ท่านมุญาฮิด (ร.ฮ)กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ بَعْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ، وَيُتْرَكُ إِلا النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
ไม่มีคนใดหลังจากท่านนบี ศ็อลฯ นอกจากคำพูดของเขา ถูกเอามา (ปฏิบัติ)และถูกทิ้ง นอกจากท่านนบี ศ็อลฯ -ญามิอุบะยานอัลอิลมิวะฟัฎลิฮี ของอิบนุอับดิลบัร 2/91
..........
หมายถึงคำพูดของคนอื่นๆจากท่านนบีนั้น ถูกนำมาปฏิบัติและถูกทิ้ง เพราะมีผิดมีถูก ต่างกับคำพูดของท่านนบี ศ็อลฯที่ไม่มีผิด เพราะท่านได้รับการปกป้องความผิดพลาดในการเผยแพร่ศาสนา
ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

فَدِينُ الْمُسْلِمِينَ مَبْنِيٌّ عَلَى اتِّبَاعِ كِتَابِ اللَّهِ، وَسُنَّةِ نَبِيِّهِ، وَمَا اتَّفَقَتْ عَلَيْهِ الْأُمَّةُ، فَهَذِهِ الثَّلَاثَةُ هِيَ أُصُولٌ مَعْصُومَةٌ، وَمَا تَنَازَعَتْ فِيهِ الْأُمَّةُ رَدُّوهُ إلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ. وَلَيْسَ لِأَحَدِ أَنْ يُنَصِّبَ لِلْأُمَّةِ شَخْصًا يَدْعُو إلَى طَرِيقَتِهِ، وَيُوَالِي وَيُعَادِي عَلَيْهَا، غَيْرَ النَّبِيِّ، صلى الله عليه وسلم، وَلَا يُنَصِّبَ لَهُمْ كَلَامًا يُوَالِي عَلَيْهِ وَيُعَادِي، غَيْرَ كَلَامِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ، وَمَا اجْتَمَعَتْ عَلَيْهِ الْأُمَّةُ. بَلْ هَذَا مِنْ فِعْلِ أَهْلِ الْبِدَعِ 
الَّذِينَ يُنَصِّبُونَ لَهُمْ شَخْصًا أَوْ كَلَامًا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْأُمَّةِ، يُوَالُونَ بِهِ عَلَى ذَلِكَ الْكَلَامِ أَوْ تِلْكَ النِّسْبَةِ وَيُعَادُونَ

ดังนั้นศาสนาของอัลลอฮ วางอยู่บนรากฐาน บนการตาม คัมภีร์ของอัลลอฮ และสุนนะฮของนบีของพระองค์ และสิ่งที่ประชาชาติ(อุมมะฮ)ได้มีมติฟ้องกัน และ นี่คือ รากฐานสามประการ มันคือสิ่งที่ได้รับการประกันจากความผิดพลาด และสิ่งที่ประชาชาตินำข้อขัดแย้งไปหาอัลลอฮและรอซูล และไม่อนุญาตแก่บุคคลใด กำหนดบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้แก่ประชาชาติ(อุมมะฮ) แล้วเรียกร้องไปสู่แนวทางของเขา เป็นมิตรและเป็นศัตรูกันอยู่บนแนวทางนั้น อื่นจากคำพูดของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ และสิ่งที่อุมมะฮมีมติฟ้องกัน แต่ทว่า กรณีนี้(การกำหนดบุคคลให้ประชาติถือตาม) เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำของชาวบิดอะฮ ที่พวกเขากำหนด บุคคลหนึ่ง บุคคลใด ให้แก่พวกเขา หรือกำหนด คำพูด(ทัศนะ)ใดที่ทำให้เกิดการแตกแยกระหว่างอุมมะฮ พวกเขาเป็นมิตรกันบนคำพูด(ทัศนะ)นั้นหรือ เป็นศัตรูกันบนแนวทางนั้น - ฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮ 20/64
..............
สรุป
1.ศาสนาของอัลลอฮ วางอยู่บนรากฐานของการตามคัมภีร์อัลลอฮ ,สุนนะฮนบีของพระองค์ และสิ่งที่เห็นฟ้องแห่งอุมมะฮ(อัลอิจญมาอฺ)
2. ประเด็นใดที่เห็นขัดแย้งก็ให้นำไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตัดสิน
2.การกำหนดตัวบุคคลอื่นจากนบี ศ็อลฯ ให้มนุษย์ ปฏิบัติตามแนวทางของเขา เป็นมิตรและเป็นศัตรูกัน บนแนวทางเขาผู้นี้ คือ การกระทำของอะฮลุลบิดอะฮ ที่ก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างอุมมะฮ
แปลก...ในสิังคมปัจจุบนกลับมองว่าการเรียกร้องให้ไปสู่กิตาบุลลอฮ และสุนนะฮนบี คือการสร้างความแตกแยก แต่การเรียกร้องให้ไปสู่การยึดติดกับตัวบุคคล แนวคิด ความคิดเห็น ประเพณีปู่อย่าตายาย กลับมองว่า เป็นการรักษาญะมาอะฮอิสลาม เป็นสิ่งที่ชอบด้วยศาสนา ปลูกฟังให้แบ่งสายแบ่งพวก ปิดกั้น ไม่ให้คิดนอกกรอบที่ตนเองกำหนด แต่ให้ปิดตาตามลูกเดียว -วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/11/62

อัลอะเศาะบียะฮ คืออะไร



ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



อัลอะเศาะบียะฮ คืออะไร
อัลอะเศาะบียะฮ คือ การฝักใฝ่หรือเลือกข้าง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ว่า ฝ่ายนั้นจะผิด ก็ตาม
คำจำกัดความภาษาอาหรับคือ
والعصبية ان يدعو الرجل إلى نصرة عصبته والتالب معهم على من يناويهم ظالمين كانوا أو مظلومين.
และอัลอะเศาะบียะฮคือ การที่คนหนึ่งเรียกร้องไปสู่ การสนับสนุนพวกพ้องของเขาและการรวมตัวกันพร้อมกับพวกเขา บน(การเผชิญหน้า/หรือต่อสู้)ผู้ที่เป็นศัตรูกับพวกเขา ไม่ว่า (พวกพ้องตนเอง)เป็นผู้ที่อธรรม(ต่อผู้อื่น)หรือถูกอธรรมก็ตาม -ลิซานุลอัรบฺ 1/606
.........
กล่าวคือ การเลือกข้าง ไม่ว่าพวกตนเองจะผิดหรือถูก ก็ตาม
การถือพรรคถือฝ่ายที่ถูกตำหนิคือ การสนับสนุนส่งเสริมในทางที่ผิด เพื่อรักษาพวกพ้องของตน
............
อัลมะนาวีย์ได้อธิบายหะดิษที่ว่า
لَيْسَ مِنَّا مَنْ دَعَا إِلَى عَصَبِيَّةٍ
ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวกเรา ผู้ที่เรียกร้องไปสู่การถือพรรคถือพวก
โดยเขากล่าวว่า
أَيْ مَنْ يَدْعُو النَّاس إِلَى الِاجْتِمَاع عَلَى عَصَبِيَّة وَهِيَ مُعَاوَنَة الظَّالِم
หมายถึง ผู้ที่เรียกร้องบรรดาผู้คน ไปสู่การรวมตัวกัน บนการถือพรรคถือพวก และเขาคือผู้ที่สนับสนุนผู้อธรรม/ผู้ที่ทำผิด - ดูฟัยฎุลเกาะดิร ชัรหอัลญามิอิศเศาะฆีร 5/386
...........
ผู้ที่ยึดสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของท่านรอซูลนั้น ต้องรู้จักแยกถูกแยกผิด ไม่สนับสนุนช่วยเหลือในทางที่ผิดแม้คนทำผิดนั้นจะเป็นญาติพี่น้องหรือพรรคพวกตัวเองก็ตาม
"การถือพรรคถือพวก แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายไม่ใช่ส่วนหนึ่งอัลอิสลาม"
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/11/62

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

แปลก..ตอนเป็นไม่อยากฟัง แต่ตอนตายอยากจะฟัง




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


แปลก..ตอนเป็นไม่อยากฟัง แต่ตอนตายอยากจะฟัง
อัลกุรอ่านถูกประทานลงมา เพื่อให้คนที่มีชีวิตได้ ฟัง ได้อ่าน ได้ นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่มีสักกี่คน ได้ปฏิบัติตาเจตนารณ์นี้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلَقَدْ يَسَّرْنَا الْقُرْآنَ لِلذِّكْرِ فَهَلْ مِن مُّدَّكِرٍ
และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น-อัล-เกาะมัร/32
.......
ตอนมีชีวิตอยู่เคยรับฟัง ข้อตักเตือนอัลกุรอ่านไหม เคยทำความเข้าใจมันไหม ว่าอัลลอฮได้สอนอะไรบ้าง
ในซูเราะฮยาสีน อายะฮที่ 69-70 ซึ่งเป็นซูเราะฮที่มุสลิมรู้จักมากที่สุดระบุว่า
وَمَا عَلَّمْنَاهُ الشِّعْرَ وَمَا يَنبَغِي لَهُ ۚ إِنْ هُوَ إِلَّا ذِكْرٌ وَقُرْآنٌ مُّبِينٌ
เรามิได้สอนกวีนิพนธ์แก่เขา (มุฮัมมัด) และไม่เหมาะสมแก่เขาที่จะเป็นกวีคัมภีร์นี้มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเป็นข้อตักเตือนและเป็นคัมภีร์อันชัดแจ้ง
لِّيُنذِرَ مَن كَانَ حَيًّا وَيَحِقَّ الْقَوْلُ عَلَى الْكَافِرِينَ
เพื่อตักเตือนผู้ที่มีชีวิต และเพื่อข้อตักเตือนนั้นเป็นหลักฐานยืนยันแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
..........
อัลกุรอ่านถูกประทานมาเพื่อตักเตือน คนที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเขาจะได้นำไปปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน อัลกุรอ่านนี่แหละ จะเป็นพยานเอาผิดเขา
อัลมะนาวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
والقرآن حجة لك يدلك على النجاة إن عملت به، أو عليك إن أعرضت عنه فيدل على سوء عاقبتك
และอัลกุรอ่าน คือ หลักฐานให้แก่ท่าน มันแสดงบอกว่า ท่าน อยู่บนความสำเร็จ หากท่านปฏิบัติด้วยมัน หรือ เป็นหลักฐานเอาผิดท่าน หากท่านผินหลังให้มัน(หมายถึงหากท่านไม่ปฏิบัติตาม-ผู้แปล) แล้วมันแสดงบอกถึงจุดจบที่ชั่วร้ายของท่าน - ฟัยฎุลเกาะดีร ชัรหญามิอิศเศาะฆีร 4/373
................
มาศึกษาอัลกุรอ่าน ทำความเข้าใจความหมายและเอาบทเรียนมันไปปฏิบัติตอนที่มีชีวิตอยู่เถอะครับ อย่าได้เสียเวลากับประเพณีนอกคำสอน ที่ท่านนบี ศ็อลฯไม่ได้สอนไว้ เพราะนอกจากเสียเวลาแล้วยังเสียเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ผลบุญเป็นของอัลลอฮ สิ่งใดได้บุญหรือได้บาป นั้นต้องผ่านคำสอนของศาสนทูตของพระองค์
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/11/62