วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

สิทธิของเด็กกำพร้าในอิสลาม








ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ภาพระยะใกล้





สิทธิของเด็กกำพร้าในอิสลาม
ความหมายคำว่าเด็กกำพร้า
อิบนุสิกกีต (ร.ฮ)กล่าวว่า
الْيَتِيمُ فِي النَّاسِ مِنْ قِبَل الأَبِ، وَفِي الْبَهَائِمِ مِنْ قِبَل الأُمِّ، وَلاَ يُقَال لِمَنْ فَقَدَ الأُمَّ مِنَ النَّاسِ يَتِيمٌ
เด็กกำพร้า(ยะตีม)ในหมู่มนุษย์ คือ ผู้ที่บิดาเสียชีวิต และ(ยะตีม)ในหมู่สัตว์)คือ ผู้ที่แม่ได้เสียชีวิต และมนุษย์ที่มารดาเสียชีวิต จะไม่ถูกเรียกว่า "ยะตีม(เด็กกำพร้า) - ลิซานุลอัรบฺ 12/645
الْيَتِيمَ بِأَنَّهُ مَنْ مَاتَ أَبُوهُ وَهُوَ دُونُ الْبُلُوغِ. لِحَدِيثِ: ” لاَ يُتْمَ بَعْدَ احْتِلاَمٍ”
ยะตีม(เด็กกำพร้า) คือผู้ที่บิดาของเขาเสียชีวิต โดยที่เขายังไม่บรรลุศาสนภาวะ เพราะมีหะดิษระบุไว้ว่า "เขาไม่เป็นเด็กกำพร้า หลังจากที่ฝันเปียกแล้ว -อัฏฏ็อบรอนีย์ ใน อัลมุอญัมอัลกะบีร - อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮอัลกูวัยตียะฮ 45/254
บรรดาสิทธิของเด็กกำพร้า 10 ประการ
1. สิทธิของการให้เกียรติ(حق الإكرام.)
2. สิทธิของการได้รับอาหาร (حق الإطعام)
3. สิทธิของการให้ที่พักพิง(حق الإيواء)
4. สิทธิของการได้รับการดูแลรักษามรดก จนกว่าเขาจะโตหรือบรรลุศาสนภาวะ(حق حفظ الميراث حتى بلوغ سن الرشد:)
5. สิทธิของการทำความดี ที่ผู้อื่นต้องปฏิบัติต่อเขา ( حق الإحسان.)
6. สิทธิของการให้ความยุติธรรม (حق القسط)
7. สิทธิของการรับส่วนแบ่งเครื่องราชบรรณาการของข้าศึกที่
ยอมจำนวน (الحق في الفيء)
8. ห้ามผู้อื่นละเมิดทรัพสิน (حرمة المال)
9. ห้ามผู้อื่นขับใล่ ( حرمة الدع )
10. ห้ามผู้อื่นกดขี่ข่มเหง (حرمة القهر)
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
كَافِلُ الْيَتِيمِ لَهُ أَوْ لِغَيْرِهِ أَنَا وَهُوَ كَهَاتَيْنِ فِي الْجَنَّةِ» وَأَشَارَ الرَاوِي بِالسَّبَّابَةِ وَالْوُسْطَى
“ผู้อุปการะเด็กกำพร้า -ทั้งที่เป็นเด็กของเขาเอง หรือของผู้อื่น- ฉันกับเขาจะเหมือนกันอย่างนี้ในสวรรค์ และผู้รายงานได้ชูนิ้วชี้และนิ้วกลาง” บันทึกโดยมุสลิม
............
หมาย ให้การอุปการะเด็กกำพร้า ทั้งที่เป็นญาตใกล้ชิดและเด็กกำพร้าที่เป็นคนนอก
คนเรากว่าจะได้สวรรค์ของอัลลอฮ ตาอาลา ไม่ใช่แค่จำสมาธิในมัสยิดหรือเคร่งละหมาดอย่างเดียวแต่ต้องดูแลรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพราะอิสลาม มีภาระให้เราแบบรับ 2 ประการคือ หน้าต่อพระเจ้า และ หน้าที่ต่อมนุษย์ด้วยกัน
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/1/62

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

เมื่อมีการตายต้องวางผู้ตายหันหน้าไปทางกิบลัตจริงหรือ

เมื่อมีการตายต้องวางผู้ตายหันหน้าไปทางกิบลัตจริงหรือ
มาดูคอบตอบจาก ฟัตวาชัยค์มุหัมหมัด ศอลิหฺ อัลมุนัจญัดดังนี้
قال ابن حزم رحمه الله :
وتوجيه الميت إلى القبلة حسن فإن لم يوجّه فلا حرج قال الله تعالى : ﴿ فأينما تولوا فثم وجه الله ﴾ ولم يأت نص بتوجيهه إلى القبلة ." المحلى " ( 5 / 174 ) .
อิบนุหัซมิน (ร.ฮ)กล่าวว่า
การผินหน้ามัยยิต(คนตาย) ไปทางกิบลัตนั้นดี แล้วถ้าหากไม่ผิน(ไปทางกิบลัต)ก็ไม่เป็นไร ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (ดังนั้นพวกเจ้าจะผินไปทางไหน ที่นั่นแหละคือพระพักตร์ของอัลลอฮ์ )และไม่ปรากฏตัวบทใดๆ ให้ผินหน้าเขา(มัยยิต)ไปทางกิบลัต -ดูอัลมุหัลลา 5/174

والنبي صلى الله عليه وسلم مات في حِجْر عائشة رضي الله عنها ، ووصفت لحظات موته بدقّة ولم تذكر أنها وجّهته إلى القبلة ، وحديثها رواه : البخاري ( 4440 ) ومسلم ( 2444 ) .
และท่านนบี ศ็อลฯ เสียชีวิตที่ห้องของท่านอาอีฉะฮ (ร.ฎ) นายได้อธิบายบรรดาช่วงเวลาการตายของท่านนบี ด้วยความละเอียด และนางไม่ได้ระบุว่า นางได้ผินหน้าท่านนบีไปทางกิบลัต และหะดิษของนาย รายงานโดยบุคอรี (หมายเลข 4440)และมุสลิม หมายเลข 2444)
وكذا لم يثبت ذلك عن صحابي ، وما روي في ذلك عن أبي قتادة وأنه أوصى عند موته أن يستقبل به القبلة ، وأن النبي صلى الله عليه وسلم أقره بقوله " أصاب الفطرة " : فضعيف لا يصح . انظر - في تضعيفه - : " إرواء الغليل " ( 3 / 153 ) .
และในทำนองเดียวกันนั้น ดังกล่าวนั้นไม่มีรายงานยืนยันจากเหล่าเศาะหาบะฮ และ สิ่ง(หะดิษ)ที่ถูกรายงานในดังกล่าว จากอบีกอตาดะฮ ว่าเขาสั่งเสีย ให้หันเขาไปทางกิบลัต เมื่อเขาตาย และท่านนบี ศ็อลฯ ยอมรับมัน ด้วยการกล่าวของท่านนบีว่า "ถูกต้องตามฟิฏเราะฮ" : คือหะดิษเฎาะอิฟ ไม่เศาะเฮียะ - ดู เกี่ยวกับการให้สถานะเฎาอีฟ ของหะดิษนี้ ในหนังสือ อิรวาอัลเฆาะลีล 3/153
https://islamqa.info/…/%D9%87%D9%84-%D9%8A%D9%88%D8%AC%D9%8…
....................
ส่วนในกรณีตอนฝังในหลุมศพนั้น ให้หันหน้าไปทางกิบลัต เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แต่ในกรณี เมื่อตายแล้วให้วางผู้ตายหันหน้าไปทางกิบลัตนั้น ไม่มีรายงานหะดิษที่เศาะเฮียะแต่อย่างใด ดูเพิ่มเติมหนังสือ อะหกามอัลญะนาอิซ ของชัยค์อัลอัลบานีย์ หน้า 307 ระบุว่าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ตามที่แนนบมาและหนังสืออัลมุหัลลาบิลอาษัร ของ อิบนุหัซมิน 3/405 ส่วนพี่น้องท่านใดเห็นต่างจากนี้ก็ไม่ขัดข้อง
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/1/63

เอกสารอ้งอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

เวลาอาบน้ำมัยยิตต้องหันมัยยิตไปทางกิบลัตไหม

เวลาอาบน้ำมัยยิตต้องหันมัยยิตไปทางกิบลัตไหม
มีผู้ถามมา จึงขอตอบดังนี้
ประเด็นนี้นักวิชาการมีความเห็นที่แตกต่างกัน ปราชญมัซฮับชาฟิอียะฮ เช่น อิหม่ามนะวาวีย์ ว่าส่งเสริม(มุสตะหับ)ให้หันมัยยิตไปท่างกิบลัต ในขณะที่ปราชญมมัซฮับมาลิกียะฮ ระบุว่าไม่ต้องหันหน้ามัยยิตไปทางกิบลัต ขณะที่อาบน้ำ
อัลหัฏฏ็อบอัรรูอฺยานีย์( محمد أبو عبدالله بن محمد الحطاب الرعيني‎) (ร.ฮ)กล่าวว่า
وقال في الطراز: وليس عليهم أن يكون متوجها إلى القبلة لأن ذلك ليس من سنة الغسل في شيء
และเขา(หมายถึงอบีอาลีอัลมิศรีย์)กล่าวใน อัฏฏิร็อซ ว่า และไม่จำเป็นแก่พวกเขาผินหน้ามัยยิตไปทางกิบลัต เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากอัสสุนนะฮ การอาบน้ำในสิ่งใดๆเลย - มะวาฮิบุลญะลีล ลิชัรหมุคตะศ็อรเคาะลีล เล่ม 3 หน้า 28
....
ปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ ระบุว่า การผินหน้ามัยยิตไปทางกิบลัต ขณะอาบน้ำมัยยิตนั้น ไม่จำเป็นเพราะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากสุนนะฮการอาบน้ำมัยยิต การปฏิบัติใดๆในเรื่องศาสนาต้องมีหลักฐานที่ถูกต้อง ส่วนความคิดเห็นนั้นไม่จำเป็นจะต้องเอามาเป็นข้อบัญญัติ
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/1/62

เอกสารอ้างอิง

 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

อิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย์ ไม่ตีความบรรดาอายาตสิฟาต

อิบนุญะรีรไม่ตีความอายาตสิฟาต
มีการบิดเบือนโกหก ว่าอิบนุญะรีร ตีความคำว่า อิสติวาอ" บนอะรัช หมายถึง อำนาจปกครอง
มาดูข้อเท็จจริงที่ลบล้างการโกหกของพวกเขาต่อไปนี้
خبرنا أحمد بن هبة الله: أخبرنا زين الامناء الحسن بن محمد، أخبرنا أبو القاسم الأسدي، أخبرنا أبو القاسم بن أبي العلاء، أخبرنا عبد الرحمن بن أبي نصر التميمي، أخبرنا أبو سعيد الدينوري مستملي ابن جرير، أخبرنا أبو جعفر محمد بن جرير الطبري بعقيدته، فمن ذلك: وحسب امرئ أن يعلم أن ربه هو الذي على العرش استوى، فمن تجاوز ذلك فقد خاب وخسر وهذا " تفسير " هذا الامام مشحون في آيات الصفات بأقوال ้السلف على الاثبات لها، لا على النفي والتأويل، وأنها لا تشبه صفات المخلوقين أبدا.

คำแปลตัวบท
อบูญะฟัร มุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ได้บอกเราด้วยอะกีดะฮของเขา แล้วส่วนหนึ่งจากดังกล่าวคือ และพอเพียงสำหรับบุคคล การที่เขารู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา คือผู้ซึ่งอยู่สูงเหนือบัลลังก์ ดังนั้นผู้ใด เกินเลยไปยังจากดังกล่าว เขาล้มเหลวและขาดทุน
(อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) "นี้คือการอรรถาธิบาย " นี่คือ อิหม่าม ที่เต็มเปี่ยม ในบรรดาอายาตสิฟาต ด้วยบรรดาคำพูด/ทัศนะ ปราชญ์ยุคสะลัฟ บนการยืนยัน/รับรอง มัน ไม่ใช่บนการปฏิเสธ และ การตีความ และแท้จริง มัน (บรรดาอายาตสิฟาต) ไม่เหมือนกับบรรดาสิฟาต(ลักษณะ)ของบรรดา มัคลูค ตลอดไป - สิยารเอียะลาม อัลนุบะลาอฺ ยุซ 14 หน้า 280 ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์
..........

อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ยืนยันว่า ตัฟสีรของอิหม่ามอิบนุญะรีร ที่เกี่ยวกับอายาตสิฟาต(อายาตที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮ) เต็มไปด้วยบรรดาคำพูดหรือทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ บนการรับรอง บรรดาอายาตสิฟาต โดยไม่ปฏิเสธและไม่ตีความ ไม่เปรียบกับบรรดาสิฟาตของบรรดามัคลูคตลอดไป
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า อิบนุญะรีร ตีความ สิฟัตอัลอิสติวาอฺว่า "หมายถึงอำนาจปกครอง" คือการโกหกมุสาและบิดเบือน อะกีดะฮอิบนุญะรีร
มีการบิดเบือนอะกีดะฮอิบนุญะรีรอย่างน่าละอายที่สุด เพียงแค่ต้องการสนับสนุนแนวคิดญะฮมียะฮที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮเหนืออะรัช -วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/1/63

เอกสารอ้างอิง
 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ