วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2564

คำสอนอิหม่ามชาฟิอีคือให้ยึดหะดิษเศาะเฮียะเป็นหลักฐาน

 

คำสอนอิหม่ามชาฟิอีคือให้ยึดหะดิษเศาะเฮียะเป็นหลักฐาน(การปิดตาตามหะดิษเฎาะอีฟ ไม่ใช่มัซฮับชาฟิอี)
حَدَّثَنَا عبد الرحمن بن محمد بن حمدان الجرجاني ، ثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ أَبِي حَاتِمٍ ، ثَنَا أَبِي ، قَالَ : سَمِعْتُ حَرْمَلَةَ بْنَ يَحْيَى ، يَقُولُ : قَالَ الشَّافِعِيُّ : كُلَّمَا قُلْتُ ، وَكَانَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خِلَافُ قَوْلِي مِمَّا يَصِحُّ ، فَحَدِيثُ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْلَى ، وَلَا تُقَلِّدُونِي .
คำแปลตัวบท
อัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า
ทุกๆสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด แล้วปรากฏว่า หะดิษเศาะเฮียะจากท่านนบี ศ็อลฯ ขัดแย้งกับคำพูดข้าพเจ้า ดังนั้นหะดิษนบีจึงสมควรยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นจงอย่าตามข้าพเจ้า - หิลยะฮ อัลเอาลิยาอฺ ๙/๑๐๖
ตัวอย่างทัศนะอิหม่ามชาฟิอี ที่อ้างหะดิษเฏาะอิฟ
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
في التيمم ضربة للوجه وضربة للكفين هكذا يقولون ضربة للوجه وضربة لليدين إلى المرفقين
ในการตะยัมมุม คือ การตบดินครั้งที่หนึ่ง สำหรับลูบหน้า และครั้งหนึ่งสำหรับลูบสองฝ่ามือ ในทำนองนี้แหละที่พวกเขากล่าวว่า ตบดินหนึ่งครั้งสำหรับลูบหน้าและหนึ่งครั้งสำหรับลูกสองมือถึงข้อศอก - อัลอุม ๗/๑๗๒ (มักตับชามิละฮ)
หะดิษที่ถูกนำมาอ้างเป็นหะดิษเฎาะอีฟคือ
اَلتَّيَمُّم ضَرْبَتَانِ ضَرْبَةٌ لِلْوَجْهِ وَضَرْبَةٌ لِلْيَدَيْنِ إِلَى الْمِرْفَقَيْنِ
การตะยัมมุม ตบดินสองครั้ง คือ ตบดินครั้งหนึ่งสำหรับลูบหน้า และอีกครั้งหนึ่งสำหรับลูบสองมือถึงสองข้อศอก - รายงานโดยอัฏฏอ็บรอนียและอัลฮากิม
หะดิษข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ดูนัศบุรรอยะฮ ๑/๑๕๐
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวไว้ในคำอธิบายหะดิษติรมิซีย์ของเขาว่า
قُلْتُ : أَحَادِيثُ الضَّرْبَتَيْنِ وَالْمِرْفَقَيْنِ ضَعِيفَةٌ أَوْ مُخْتَلِفَةٌ فِي الرَّفْعِ وَالْوَقْفِ ، وَالرَّاجِحُ هُوَ الْوَقْفُ ، وَلَمْ يَصِحَّ مِنْ أَحَادِيثِ الْبَابِ سِوَى حَدِيثَيْنِ أَحَدُهُمَا حَدِيثُ أَبِي جُهَيْمٍ بِذِكْرِ الْيَدَيْنِ مُجْمَلًا ، وَثَانِيهمَا حَدِيثُ عَمَّارٍ بِذِكْرِ ضَرْبَةٍ وَاحِدَةٍ لِلْوَجْهِ وَالْكَفَّيْنِ وَهُمَا حَدِيثَانِ صَحِيحَانِ مُتَّفَقٌ عَلَيْهِمَا كَمَا عَرَفْتَ
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า “ บรรดาหะดิษ ที่ระบุให้ตบดินสองครั้งและลูบถึงข้อศอกนั้น เป็นหะดิษเฎาะอีฟ หรือไม่ก็เป็นหะดิษที่มีประเด็นขัดแย้งการสืบไปถึงท่านนบี(หะดิษมัรฟัวะ)และหะดิษเมากูฟ(หมายถึงเป็นหะดิษที่เป็นคำพูดเศาะหาบะฮ) และที่มีน้ำหนักคือ เป็นหะดิษเมากูฟ และบรรดาหะดิษในเรื่องนี้ นอกเหนือหะดิษสองบท คือ (1) หะดิษอบีญุฮัย ที่ระบุคำว่าสองมือโดยสรุป และ (
2) หะดิษอัมมัรที่ระบุว่า ตบดินครั้งเดียว สำหรับลูบหน้าและสองมือ โดยที่ทั้งสอง เป็นหะดิษเศาะเฮียะ มุตตะฟักอะลัยฮ(หมายถึงรายงานโดยบุคอรีและมุสลิม ในสายรายงานเดียวกัน) ดังที่ท่านทราบแล้ว – ดูตัวะฟะตุลอัลอะหวะซีย์ เรื่องตะยัมมุม หะดิษหมายเลข 144 หน้า 386
.........
ท่านอัลมุบาเราะกาฟูรีย์ สรุปว่า หะดิษที่ให้ตบดินสองครั้ง และลูบถึงข้อศอกนั้นเป็นหะดิษเฏาะอีฟ
ส่วนหะดิษเศาะเฮียะนั้นตบดินครั้งเดียว ลูบหน้าและมือทั้งสองคือ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
إِنَّمَا كَانَ يَكْفِيكَ أَنْ تَصْنَعَ هَكَذَا فَضَرَبَ بِكَفِّهِ ضَرْبَةً عَلَى الْأَرْضِ ثُمَّ نَفَضَهَا ثُمَّ مَسَحَ بِهِمَا ظَهْرَ كَفِّهِ بِشِمَالِهِ أَوْ ظَهْرَ شِمَالِهِ بِكَفِّهِ ثُمَّ مَسَحَ بِهِمَا وَجْهَهُ
ความว่า ความจริงแล้วท่านเพียงแค่ทำอย่างนี้ก็เป็นการพอแล้ว หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ใช้ฝ่ามือทั้งสองตบลงบนฝุ่น แล้วก็สะบัดฝุ่นที่ฝ่ามือทั้งสองออกและใช้ฝ่ามือซ้ายลูบหลังมือขวาและใช้ฝ่ามือขวาลูบหลังมือซ้าย แล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบใบหน้าของท่าน
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัลบุคอรียฺ เลขที่ : 347 สำนวนนี้เป็นของอัลบุคอรียฺและมุสลิม เลขที่: 368)
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) ได้เลือกทัศนะที่ให้ตบดินครั้งเดียว โดยกล่าวในอัลมัจญมัวะชัรหอัลมุฮัซซับ ว่า
أنه أقوى في الدليل وأقرب إلى ظاهر السنة الصحيحة والله أعلم
แท้จริงมัน (หมายถึงหะดิษข้างต้น) คือที่แข็งแรงยิ่งในด้านหลักฐาน และใกล้เคียงกับตวามชัดเจนของสุนนะฮที่ถูกต้อง -วัลลอฮุอะลัม -คำพูดนี้ถูกรายงานไว้ในหนังสือ กิฟายะตุลอัคยัร ฟี หัลลิฆอยะติลอิคติศอร ๑/๙๔ กิตาบุฏเฏาะฮาเราะฮ (ดูสำเนาที่แนบมา)
.......................................
นำมาเสนอให้พี่น้องได้รู้ว่า การสังกัดมัซฮับชาฟิอีนั้น ท่านอิหม่ามชาฟิอีสอนให้ตามหะดิษเศาะฮียะ ไม่ใช่ให้ผูกติดกับมัซฮับของท่านแบบหูหนวกตาบอด เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สังกัดมัซฮับชาฟิอีตัวจริง
อะสัน หมัดอะดั้ม
๒๑/๑๒/๖๔

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ระวังการใช้การกิยาสด้วยความเห็นทางปัญญา

 

 อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

ระวังการใช้การกิยาสด้วยความเห็นทางปัญญา
อัล-กิยาส หมายถึง การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน (มิรอาตุ้ลอุศูล 2/275)
عَنْ مُجَالِدِ بْنِ سَعِيدِ، عَنْ عَامِرٍ الشَّعْبِيِّ، عَنْ مَسْرُوقٍ، قَالَ: قَالَ عَبْدُ اللَّهِ: «لَيْسَ عَامٌ إِلَّا وَالَّذِي بَعْدَهُ شَرٌ مِنْهُ، لَا أَقُولُ: عَامٌ أَمْطَرُ مِنْ عَامٍ، وَلَا عَامٌ أَخْصَبُ مِنْ عَامٍ، وَلَا أَمِيرٌ خَيْرٌ مِنْ أَمِيرٍ، لَكِنْ ذَهَابُ عُلَمَائِكُمْ وَخِيَارِكُمْ، ثُمَّ يَحْدُثُ أَقْوَامٌ يَقِيسُونَ الأُمُورَ بآرَائِهِمْ؛ فَيُهْدَمُ الإِسْلَامُ وَيُثْلَمُ»
อับดุลลอฮ บิน มัสอูด (ร.ฏปกล่าวว่า " ไม่มีปีใด นอกจากปีหลังจากนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ กล่าวว่า ปีหนึ่งที่ฝนตกมากกว่าปีหนึ่ง และไม่ได้กล่าวถึงปีหนึ่ง อุดมสมบูรณ์ กว่าปีหนึ่ง และไม่ได้กล่าวว่า ผู้นำคนหนึ่งดีกว่าผู้นำคนหนึ่ง แต่หมายถึง บรรดาอุลามาอฺ และคนดีๆในหมู่พวกท่านตายจากไป ต่อมาได้บังเกิดคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทำการกิยาส(เปรียบเทียบ)สิ่งต่างๆด้วยความคิดเห็น ของพวกเขา แล้วอิสลามก็เกิดความเสียหายและแตกเป็นเสี่ยงๆ - ญามิอุลบะบานอัลอิลมิวะฟัฏลิฮิ 2/ 165
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
التمسُّكُ بالأقيسة مع الإعراض عن النصوص والآثار طريقُ أهل البدع
การยึดด้วยบรรดาการกิยาส (การใช้ความคิดเห็นเปรียบเทียบ) พร้อมกับหันเหออกจากบรรดาตัวบทหลักฐาน และบรรดาร่องรอย (หะดิษหรือการกระทำสะลัฟ) คือแนวทางของชาวบิดอะฮ -มัจญมัวะอัละตาวา 7/292
ชูรัยหฺ (ร.ฮ) กล่าวว่า
إنّ السنّة سبقت قياسكم فاتبعوا ولا تبتدعوا ، فإنكم لن تضلوا ما أخذتم بالأثر
แท้จริงสุนนะฮ ต้องมาก่อนการกิยาส ของพวกท่าน พวกท่านจงปฏิบัติตาม(สุนนะฮ) และพวกท่านอย่าอุตริบิดอะฮ เพราะแท้จริงพวกท่านจะไม่หลง ตราบใดที่พวกท่าน เอาอะษัร(หะดิษ) - อัลอุม ของอิหม่ามชาฟิอี 9/275(ดูสำเนาที่แนบมา)
..............
การละหมาดเว้นระยะห่างในแถวละหมาดเพื่อป้องกันโรคระบาด ไปกิยาส(เทียบกับ)ละหมาดในยามสงคราม ไปเทียบกับละหมาดผู้ปวยได้หรือ ทั้งๆที่มีหะดิษข้อผ่อนปรนมันมีอยู่แล้วกรณีกลัวจะเกิดอันตราย แต่กลับไปละหมาดเว้นระยะห่างในแถวละหมาด พอไม่ได้ผล ปิดมัสยิด ก็กลับมาใช้หะดิษต้นเดิม แต่มีส่วนหนึ่งติดใจรสชาด ละหมาดยืนห่าง....

อะสัน หมัดอะดั้ม
3/12/64
 
 

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เมื่อบาบอหมกเม็ดเอารายงานเฎาะอีฟมาแอบอ้างอิหม่ามมาลิก

 อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

เมื่อบาบอหมกเม็ดเอารายงานเฎาะอีฟมาแอบอ้างอิหม่ามมาลิก
บาบอจอมตรรก อ้างหมกเม็ดว่า
ผมจะบอกว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเชื่อแบบนี้ยกเว้นกาเฟรเท่านั้น !!!
หาดิษในศอเหียะบุครีและมุสลิม ที่กล่าวว่า
ينزل ربنا تبارك وتعالي كل ليلة إلي السماء الدنيا ...... إلي آخره
ความว่า เราะมัตของพระผู้อภิบาลของได้ลงมา ในทุกค่ำคืน ยังฟ้าดุนยา ....
เพียงพอแล้ว สำหรับการตอบโต้ พวกวาฮาบียะฮ์ มูยัซซีมะฮ์ ด้วยการอธิบายหาดิษนี้ด้วยความเข้าของชาวสลัฟ เช่นอีมามมาลีกีย์ ท่านอีมามนาวาวีย์ ได้รายงานคำพูดอีมามมาลีกีย์ ในหนังสือ ชาเราะศอเหียะมุสลิม เล่ม6 หน้า 36 ชาเราะฮ์ หาดิษนูศูล
قال الامام مالك رضي الله عنه نزول رحمة لا نزول نقلة
ความว่า ท่านอีมามาลิกได้กล่าวว่า เราะมัตได้ลง ไม่ใช้เป็นการลงที่เคลื่อนย้ายลงมา
นี้เป็นความเข้าใจของสลัฟแท้ สลัฟศอแหละห์ ไม่ใช้สลัฟอุปโลก ที่บอกว่า อัลลอฮ์ลงมายังฟากฟ้าดุนด้วยซาต والعياذ بالله
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น เอารายงานที่หมกเม็ดปิดบังสายรายงานที่อ้างว่า อิหม่ามมาลิก บิน อานัส ตีความคำว่า
ينزل ربنا تبارك
พระเจ้าของเราเสด็จลงมา
โดยตีความว่า "ความเมตตา(เราะมัต)ได้ลงมา
บาบอจอมเจ้าเล่ห มกเม็ดสายรายงาน คำพูดที่แอบอ้างอิหม่ามมาลิกว่าท่านตีความอายาตสิฟาต ผู้อ่านมาดูรายละเอียดต่อไปนี้คือ
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ (ร.ฮ) ยืนยันว่า รายงานจากอิหม่ามมาลิก ว่าท่านไม่ตีความ แต่ปล่อยผ่านให้เป็นไปตามตัวบทที่มีมา โดยไม่ถามรูปแบบว่าเป็นอย่างไร เช่น
وقد قال غير واحد من أهل العلم في هذا الحديث وما يشبه هذا من الروايات من الصفات، ونزول الرب تبارك وتعالى كل ليلة إلى السماء الدنيا، قالوا: قد تثبت الروايات في هذا، ويؤمن بها، ولا يتوهم، ولا يقال: كيف؟ هكذا روي عن مالك، وسفيان بن عيينة، وعبد الله بن المبارك، أنهم قالوا في هذه الأحاديث: أمروها بلا كيف
"และแท้จริงนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวไว้เกี่ยวกับฮะดีษนี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกับหะดิษนี้ จากบรรดารายงานรายงานเกี่ยวกับเรื่องศิฟัตและการเสด็จลงมาของพระผู้อภิบาล ผู้ทรงจำเริญและสูงส่ง ในทุกๆค่ำคืนยังฟากฟ้าดุนยา) พวกเขาได้กล่าวว่า " ได้มีบรรดารายงานที่ถูกต้องระบุถึงเรื่องนี้และถูกอีมาน(ศรัทธา)ต่อมัน แต่ไม่มีการจินตนาการนึกมโนภาพคิดไปเอง และไม่มีการถูกกล่าวว่าเป็นรูปแบบอย่างไร?
เช่นนี้แหละ ได้ถูกรายงานมาจากท่านมาลิก ,ท่านซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะฮฺและท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัลมุบาร็อก ว่าแท้จริงพวกเขาได้กล่าวเกี่ยวกับฮะดีษต่างๆเหล่านี้ไว้ว่า : พวกท่านทั้งหลายจงปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่มีการถามถึงรูปแบบวิธีการ และในทำนองนี้แหละคือคำพูดของบรรดาผู้รู้แห่งชาวอะลิซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺ! - ดู สุนันอัตติรมิซีย์ 3/41
.............
ข้างต้น อิหม่ามอัตติรมิซีย์ ยืนยันว่า อิหม่ามมาลิกและปราชญ์สะลัฟท่านอื่นๆ ไม่ตีความแต่จะปล่อยผ่านให้เป็นไปตามที่ตัวบทระบุไว้และจะไม่ถามถึงรูปแบบว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการอ้างว่า อิหม่ามมาลิกตีความหะดิษอัลนุซูล เป็นการอ้างรายงานเฎาะอีฟที่หมกเม็ดสายรายงานของบาบอจอมตรรก
2. อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) ปราชญ์คนสำคัญของมัซฮับมาลิกกีย์ ได้ระบุว่า ที่มีการอ้างรายงานจาก หุบัยบฺ บิน อบีหะบีบ คนบันทึกรายงานของอิหม่ามมาลิกนั้น เฎาะอีฟ มีนักปราชญ์คัดค้าน เช่น
وقد قال قوم من أهل الأثر أيضًا إنه ينزل أمره، وتنزل رحمته، وروي ذلك عن حبيب كاتب ملك وغيره، وأنكره منهم آخرون، وقالوا: هذا ليس بشيء؛ لأن أمره ورحمته لا يزالان ينزلان أبدًا في الليل والنهار....
และแท้จริง คนกลุ่มหนึ่งจาก นักหะดิษ อีกเช่นกัน ได้กล่าวว่า แท้จริง มันคือ คำบัญชาของพระองค์ลงมา และความเมตตาของพระองค์ลงมา และรายงานดังกล่าวนั้น ถูกรายงานจาก หุบัยบฺ ผู้บันทึ(เสมียน)กของมาลิกและคนอื่นจากเขา และบรรดานักวิชาการคนอื่นๆ ได้ปฏิเสธมัน และพวกเขากล่าวว่า "รายงานนี้ ไม่มีสิ่งใดเลย(หมายถึงผู้รายงานเฎาะอีฟ) เพราะว่า คำบัญชาและความเมตตาของพระองค์นั้น ทั้งสองได้ลงมาตลอดกาลในทุกคืนทุกวัน อยูแล้ว...ดู อัตตัมฮีด 7/143
3. ที่อ้างว่า อิหม่ามมาลิกตีความนั้น เป็นรายงานผ่านสายรายงานที่ผู้รายงาน ชื่อ หุบัยบฺ บิน อบีหะบีบ ซึ่งเป็นเสมียน (กาติบ)ของอิหม่ามมาลิก เป็นผู้รายงานที่เฎาะอีฟ ดังนักวิชาการกล่าวไว้ต่อไปนี้
وقال أبو حاتم الرازي وأبو الفتح الأزدي: “متروك الحديث”([1]).
وقال أبو داود: “كان من أكذب الناس“([2]).
وقال النسائي: “حبيب كاتب مالك متروك الحديث”([3])، وقال أيضًا: “وحبيب هذا أحاديثه كلها موضوعة عن مالك وعن غيره“([4]).
และอบูหาติม อัรรอซีย์ และอบูลฟัตหอัลอัซดีย์ ได้กล่าวว่า "มัตรูกุลหะดิษ (คือหะดิษที่เขารายงานถูกทิ้งไม่มีการนำมาอ้างเป็นหลักฐาน) (1)
อบูดาวูด ได้กล่าวว่า " เขาเป็นส่วนหนึ่งจากมนุษย์ที่โกหกยิ่ง (2)
และอันนะสาอีย์ ได้กล่าวว่า "หะบัยบฺ เสมียนของมาลิก มัตรูกุลหะดิษ (3) และเขากล่าวอีกว่า หุบัยบฺ คนนี้ บรรดาหะดิษของเขา ทั้งหมด ถูกกุขึ้นมาแอบอ้างว่ารายงานจากมาลิกและคนอื่นจากเขา (4)
................
([1]) ينظر: تهذيب الكمال للمزي (5/ 369).
([2]) ينظر: ميزان الاعتدال للذهبي (1/ 452).
([3]) الضعفاء والمتروكين (ص: 34).
([4]) ينظر: الكامل في ضعفاء الرجال (3/ 324)ดูสำเนาที่แนบมา
..................
ยังมีการอ้างรายงานเฎาะอิฟแอบอ้างว่าอิม่ามมาลิกลีก ตีความว่า "อัลลอฮเสด็จลงมา หมายถึง คำบัญชาลงมา
เพราะฉะนั้นระวัง การโกหกบิดเบือนของบาบอท่านนี้ เพื่อใส่ร้ายวาฮาบีย์และตัดสินพี่น้องที่เขาฉายาว่า "วาฮาบีย"ให้เป็นกาเฟร -วัลอิยาซุบิลละฮ

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/10/64

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีแจงกรณีบาบอแอบอ้างเอกสารปลอมแปลงใส่ร้ายอิบนุตัยมียะฮ

 

 อาจเป็นรูปภาพของ ‎ข้อความพูดว่า "‎أغاليط وأوهام ومما فيه (ص) (۱۸۸۸) :أقول: إن هذه النصيحة لا تصح نسبتها إلى الإمام الذهبي لاعتبارات عدة: لم يذكرها أحد ممن اعتنى بمؤلفات الذهبي رحمه الله تعالى ثانياً الذهبي تلميذ طالت ملازمته للشيخ ابن تيمية، وحتى آخر أيامه إلى وفانه رحمه للهتعالى :ثالثا جميع أقوال الذهبي في کتبه المعتمدة أو أقواله المنتشرة في الثناء على ابن تيمية والحفاوة به تنکٹ هذه الرسالة وتنادي ببطلان نسبتها إليه بل وتزويرها عليه‎"‎

ชีแจงกรณีบาบอแอบอ้างเอกสารปลอมแปลงใส่ร้ายอิบนุตัยมียะฮ
บาบอสายตรรกอ้างว่า
แต่สิ่งที่วาฮาบีย์ อัลมูยัซซีมะฮ์ จงรับรู้เอาไว้ว่า พ่อเฒ่า ของพวกคุณ อิบนูตัยมียะฮ์ ได้เอาวิชาปราชญากรีก มาเป็นหลักอากีดะฮ์ ของตนและ เอาปราชญากรีกมาตอบโต้อาชาอีเราะฮ์ การกรันตีว่าอิบนูตัยมียัะฮ์ เข้าหาวิชาปราชญากรีกโบราณนั้น ลูกศิษย์ ของอิบนูตัยมียะฮ์เอง คือ อัซซาฮาบีย์
قال الذهبي في زعل العلم محذرا من الدخول في الفلسفة التي دخلها ابن تيمية في آخر حياته
ความว่า อัซฮาบีย์ ได้กล่าวใน (หนังสือของเขา ) ซาฆ์ลิลอิลมี บอกให้ระวังจากการเข้าไปสู่วิชาปราชญากรีกที่อิบนูตัยมียะฮ์ ได้เข้าไปในช่วงท้ายชีวิตของเขา
انظر الكتاب السادة الحنابلة واختلافهم مع السلفية المعاصر ص. ١١٧ للشيخ مصطفي حمد وعليان الحنبلي الأزهري
ปราชญากรีกที่อิบนูตัยมียะฮ์ ที่พบในหนังสือ อากีดะฮ์ของอิบนูตัยมียะฮ์ คือ อิบนูตัยมียะฮ์ได้กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของอาลัมนี้เป็นกอเด็ม ( อันเป็นกาเฟรโดยอิจญ์มาอ์ )
@@@@
ชี้แจง
การอ้างว่า อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เตือนให้ระวัง การเข้าไปสู่วิชาปราชญากรีกที่อิบนูตัยมียะฮ์ ได้เข้าไปในช่วงท้ายชีวิต นั้น ป็นการอ้างเท็จแอบอ้างอิหม่ามอัซซะฮะบีย์และเป็นการใส่ร้ายอิบนุตัยมียะฮ ดังรายละเอียดที่ปราชญ์ได้ชี้แจงข้างล่างนี้
فالرسالة المسماة "بيان زغل العلم والطلب" أو "النصيحة الذهبية" المنسوبة للإمام الذهبي والتي فيها حط كبير من شيخ الإسلام ابن تيمية رحمه الله تعالى لا تصح نسبتها إلى الإمام الذهبي، قال الشيخ بكر بن عبد الله أبو زيد: والإمام الذهبي في دينه وورعه وخلقه يرتفع قدره عن مثل هذه الرسالة التي تنادي عباراتها على بطلانها.
ริสาละฮ(เอกสาร)ที่ชื่อว่า บะยานซัฆลิลอิลมิ วัฏเฏาะลับ หรือ อันนะซีฮะฮอัซซะฮะบียะฮ" ที่ถูกอ้างถึง อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ซึ่ง มีการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวงต่อชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะห์(ร.ฮ)นั้น การอ้างเอกสารฉบับนี้ว่าเป็นของอัซซะฮะบีย์นั้น ไม่ถูกต้อง ,ชัยบะกัร บิน อับดุลลอฮ อบูเซด ได้กล่าวว่า " และอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ในการเคร่งศาสนาของเขา ในความวะเราะอ(การเกรงกลัวอัลลอฮ)ของเขา และอุปนิสัยของเขานั้นมีฐานะเหนือกว่า เอกสารฉบับนี้ ซึ่งบรรดาข้อความของมัน แสดงบอกถึงความเป็นเท็จของมัน(ของเอกสารนี้)
وقد ألف الشيخ محمد بن إبراهيم الشيباني رسالة في إبطال نسبة هذه الرسالة إلى الإمام الذهبي سماها "التوضيح الجلي في الرد على النصيحة الذهبية المنحولة على الإمام الذهبي، " ومما جاء فيها "أقول إن هذه النصيحة لا تصح نسبتها إلى الإمام الذهبي لاعتبارات عدة
และแท้จริง ชัยค์มุหัมหมัด บิน อิบรอฮีม อัชชัยบานีย์ ได้เรียบเรียง เอกสารฉบับหนึ่ง ในการหักล้างการอ้างเอกสารอ้างว่าเป็นของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ฉบับนี้ โดยชื่อมันว่า "อัตเตาเฎียะอัลญัลลีย์ ฟี ร็อด อันนะศีฮะฮ อะซซะฮะบียะฮ ที่ถูกกล่าวอ้างถึง อิหม่ามอัซซะบีย์ และส่วนหนึ่งจาก สิ่งที่มีมาในเอกสารนี้คือ "ข้าพเจ้า กล่าวว่า แท้จริง การตักเตือน(นะศีฮัต)นี้ การอ้างมัน(ว่าเป็นเอกสารของ)อิหม่ามอัซซะฮะบีย์นั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีบรรดาข้อความจำนวนมากดังนี้
أولاً: لم يذكرها أحد ممن اعتنى بمؤلفات الذهبي رحمه الله تعالى.
ثانياً: الذهبي تلميذ طالت ملازمته للشيخ ابن تيمية وحتى آخر أيامه إلى وفاته رحمه الله تعالى.
ثالثاً: جميع أقوال الذهبي في كتبه المعتمدة أو أقواله المنتشرة في الثناء على ابن تيمية والحفاوة به تنكث هذه الرسالة وتنادي ببطلان نسبتها إليه بل وتزويرها عليه.
ประการแรก: คนที่ดูแลบรรดางานเขียนของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) ไม่ได้กล่าวถึงมัน(เอกสารฉบับนั้น)เลย
ประการที่สอง: อัซซะฮาบีเป็นศิษย์ที่อยู่กับชัยค์อิบนุ ตัยมียะฮมาเป็นเวลานาน จวบจนวาระสุดท้ายของเขา จนกระทั่งชัยค์อิบนุตัยมียะฮสิ้นชีวิต( ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)
ประการที่สาม: ถ้อยแถลงทั้งหมดของ อัซซะฮะบีย์ ในหนังสือที่ได้รับการยอมรับหรือบรรดาคำพูดที่แพร่หลายของเขา อยู่ในการ ยกย่อง สรรเสริญ อิบนุตัยมียะฮ และแสดงการให้เกียรติกับเขา(อิบนุตัยมียะฮ) เอกสารฉบับนี้จึงได้คลี่คลาย และแสดงบอกถึงความเป็นเท็จในการอ้างมัน ว่าเป็น(เอกสาร)ของอิหม่ามอัซซะฮะฮะบีย์ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นการปลอมแปลงเอกสารนั้นแอบอ้างอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ....ดู หนังสือที่บรรดาปราชญ์เตือนให้ระวัง 2 หน้า 308-309 (ที่แนบมา)
บาบอคนนี้ได้อ้างเอกสารเท็จที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมา ว่าอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ซึ่งเป็นศิษย์ ได้เตือนให้ระวังวิชาปรัชญาที่อิบนุตัยมียะฮเข้าหามั
คนที่มีสติปัญญาและทานอาหารที่มนุษย์ ทานกันย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อและหลงเชื่อบาบอประเภทนี้หรอก....ระวังกันเถอะครับ
อะสัน หมัดอะดั้ม
2/10/64
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564

คิดจะพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานหรือ?

 

 

คิดจะพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานหรือ?
หญิงหม้ายแต่งงานโดยไม่ขออนุญาตวะลีได้ไหม
มีพี่น้องถามมาทางข้อความส่วนตัว เห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาตอบเพื่อให้ได้อ่าน และเตือนผู้ชายเมียเผลอทั้งหลายที่แอบพาแม่หม้ายไปนิกะห์โดยไม่บอกให้ผู้ปกครองฝ่ายหญิง(วะลี)ทราบ
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
“ أيما امرأةٍ نُكحتْ بغيرِ إذنِ وليِّها ؛ فنكاحُها باطلٌ, فنكاحُها باطلٌ, فنكاحُها باطلٌ فإنْ دخل بها ؛ فلها المهرُ بما استحلَّ منْ فرجِها, فإنِ اشتجَروا ؛ فالسُّلطانُ وليُّ من لا وليَّ لهُ
ความว่า “สตรีท่านใดที่แต่งงานโดยมิได้รับอนุญาตจากวะลีย์ของนาง เช่นนี้การแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ, การแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ และการแต่งงานของนางนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ (ท่านรอซูลกล่าวสามครั้ง) และหากเขามีเพศสัมพันธ์กับนาง ต้องให้มะหัรแก่นาง จากที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง, และหากบรรดาวะลีมีความขัดแย้งกัน ผู้ีอำนาจปกครอง เป็นผู้ปกครอง(วะลี)สำหรับคนที่ไม่มีผู้ปกครอง(วะลี)".
رواه الترمذي ( 1102 ) وأبو داود ( 2083 ) وابن ماجه ( 1879 ) .
وصححه الألباني في إرواء الغليل ( 1840 ) .
กล่าวคือ การแต่งงานนั้นจะต้องขออนุญาตผู้ปกครอง ไม่ว่าหญิงสาวหรือหญิงหม้าย แต่ถ้าบรรดาคนที่มีสิทธิเป็นวาลีของนาง ขัดขวาง ไม่ให้แต่งงานกับชายที่คู่ควรกับนางตามศาสนบัญญัติ ก็ให้มอบหมายให้ผู้มีอำนาจทำหน้าที่เป็นวาลีแทน
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า
 
وإذا تعذر من له ولاية النكاح انتقلت الولاية إلى أصلح من يوجد ممن له نوع ولاية في غير النكاح كرئيس القرية وأمير القافلة ونحوه .
 
และเมื่อผู้ที่มีวะลีนิกะห มีอุปสรรค์ ขัดขวาง การเป็นวาลีก็ให้เลื่อนไปยังผู้ที่เหมาะสมที่มีอยู่ จากผู้ที่มีอำนาจปกครอง อื่นจากการนิกะห์ เช่น หัวหน้าหมู่บ้าน ,ผู้นำกองคาราวาน และในทำนองนั้น(เช่น โต๊ะอิหม่าม-ผู้แปล) -ดูอัลอิคติยารอต 350
อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
فإن لم يوجد للمرأة ولي ولا سلطان فعن أحمد ما يدل على أنه يزوجها رجل عدل بإذنها .
แล้วหากไม่มีวะลีและผู้มีอำนาจปกครอง สำหรับผู้หญิงคนนั้น รายงานจากอะหมัด สิ่งที่แสดงบอกว่า ให้ผู้ชายที่มีความยุติธรรมทำการแต่งงานให้แก่นาง ด้วยการอนุญาติของนาง - อัลมุฆนีย 9/362
เพื่อให้ชัดเจนย่งขึ้น ขอนำฟัตวาของชัยค์บินบาซต่อไปนี้คือ
لجواب:
من شرط صحة النكاح: صدوره عن ولي، سواء كانت المرأة بكرا أو ثيبا؛ لقول النبي - صلى الله عليه وسلم- : «لا نكاح إلا بولي»، وقوله - صلى الله عليه وسلم- : «لا تزوج المرأة المرأة، ولا المرأة نفسها»، ولكن الأيم لا بد من إذنها صريحا، وهي الثيب، أما البكر فيكفي سكوتها، لقول النبي - صلى الله عليه وسلم- : «لا تنكح الأيم حتى تستأمر، ولا تنكح البكر حتى تستأذن، قالوا: يا رسول الله وكيف إذنها؟ قال: أن تسكت» متفق على صحته.
 
จากเงื่อนไขของการนิกะหฺที่ใช้ได้ คือ การนิกะหนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากวะลี(ผู้ปกครองฝ่ายหญิง) ไม่ว่าหญิงนั้นจะเป็นหญิงสาวหรือแม่หม้ายก็ตาม เพราะแท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า "(การแต่งงานจะใช้ไม่ได้นอกจากจะต้องมีวะลี")และคำกล่าวของท่านนบีที่ว่า "(สตรีจะไม่แต่งงาน(ทำพิธีนิกะห)ให้กับสตรี และสตรีจะไม่แต่งงานด้วยตัวของนางเอง )
แต่หญิงหม้ายที่โสด จะต้องเกิดจากการอนุญาตของนางชัดเจน โดยที่นางอยู่ในสภาพหญิงหม้าย ,สำหรับหญิงสาว(ที่ไม่เคยผ่านการแต่งงาน) พอเพียงกับการนิ่งเงียบของนาง เพราะคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า (ไม่อนุญาตให้หญิงหม้ายถูกนิกาหฺ จากกว่านางจะถูกขอคำสั่งเสียก่อน และหญิงบริสุทธิ์ (ผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน) จะไม่ถูกแต่งงานจนกว่านางจะถูกขออนุญาตเสียก่อน, บรรดาเศาะหาบะฮฺกล่าวถามว่า การยินยอมของนางเป็นเช่นไร? ท่านรสูลตอบว่า คือการนิ่งของนางนั่นเอง -มุตตะฟักฮอะลัยฮิ
 
وروى مسلم في صحيحه عن النبي - صلى الله عليه وسلم- أنه قال: «الأيم أحق بنفسها من وليها، والبكر يستأذنها أبوها وإذنها صماتها»، ومعنى قوله - صلى الله عليه وسلم- : «الأيم أحق بنفسها من وليها» أنه ليس لوليها تزويجها إلا بإذن صريح منها؛ جمعا بين الأحاديث في هذا الباب، وهذا هو قول جمهور أهل العلم، وهو الحق الموافق للأحاديث الصحيحة. والله ولي التوفيق.
 
และรายงานโดยมุสลิม ในเศาะเฮียะของเขา จากนบี ศฮ็ลฯ ว่าแท้จริงท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า(หญิงหม้ายนั้น นางมีสิทธิ์ (ตอบรับการแต่งงาน) ด้วยตัวของนางมากกว่าวะลีย์ของนาง ส่วนหญิงบริสุทธิ์นั้น บิดาของนางจะต้องขออนุญาตินาง ซึ่งการอนุญาตของนางคือการนิ่งเงียบ ) และความหมาย คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า (หญิงหม้ายนั้น นางมีสิทธิ์ (ตอบรับการแต่งงาน) ด้วยตัวของนางมากกว่าวะลีย์ของนาง)หมายถึง วะลี(ผู้ปกครอง)ของนาง จะจัดการแต่งงานนางไม่ได้นอกจาก ด้วยการอนุญาตชัดเจนจากนาง ,โดยรวมระหว่างบรรดาหะดิษ ในเรื่องนี้ และนี้คือทัศนะญุมฮูร (ส่วนใหญ่)ของนักวิชาการ และมันคือ ความจริงที่สอดคล้องกับบรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะ -วัลลอฮุวะลียุตเตาฟิก -มัจญมัวะฟะตาวาชัยค์บิน บาซ 21/38-40
...............
สรุปว่า
ไม่ว่าการแต่งงานหญิงสาวหรือแม่หม้าย ผู้ปกครองฝ่ายหญิงจะต้องรับรู้ และการแต่งงานนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากวะลีของฝ่ายหญิง ส่วนในกรณีบรรดาวาลีฝ่ายหญิง เช่น พ่อ ,ปู พ่ชาย น้องชาย เป็นต้น ขัดขวาง และชายที่จะแต่งงานด้วยคู่ควรกับนางตามหลักศาสนบัญญัติ ก็ให้เลื่อนการเป็นวะลีทำพิธีนิกะหฺ ไปยังผู้ผู้มีอำนาจปกครอง ถ้าไม่มีก็ให้แต่งตั้งผู้ชายที่มีความยุติธรรม จัดการทำพิธีนิกะหฺ โดยการอนุญาตของหญิงนั้น
จะเห็นได้ว่า การแต่งงานนั้นผู้ปกครองจะต้องรับรู้ และอนุญาต เป็นอันดับแรก จะใช้วิธีพาแม่หม้ายหนีไปแต่งงานโดยไม่ขออนุญาตวะลีฝ่ายหญิงไม่ได้ เพราะ คนทำหน้าที่นิกะฮคือ ผู้ปกครองฝ่ายหญิง ยกเว้นในกรณีมอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทน
والله أعلم بالصواب
4/6/64
ا