วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2564

คำสอนอิหม่ามชาฟิอีคือให้ยึดหะดิษเศาะเฮียะเป็นหลักฐาน

 

คำสอนอิหม่ามชาฟิอีคือให้ยึดหะดิษเศาะเฮียะเป็นหลักฐาน(การปิดตาตามหะดิษเฎาะอีฟ ไม่ใช่มัซฮับชาฟิอี)
حَدَّثَنَا عبد الرحمن بن محمد بن حمدان الجرجاني ، ثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ أَبِي حَاتِمٍ ، ثَنَا أَبِي ، قَالَ : سَمِعْتُ حَرْمَلَةَ بْنَ يَحْيَى ، يَقُولُ : قَالَ الشَّافِعِيُّ : كُلَّمَا قُلْتُ ، وَكَانَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خِلَافُ قَوْلِي مِمَّا يَصِحُّ ، فَحَدِيثُ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْلَى ، وَلَا تُقَلِّدُونِي .
คำแปลตัวบท
อัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า
ทุกๆสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด แล้วปรากฏว่า หะดิษเศาะเฮียะจากท่านนบี ศ็อลฯ ขัดแย้งกับคำพูดข้าพเจ้า ดังนั้นหะดิษนบีจึงสมควรยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นจงอย่าตามข้าพเจ้า - หิลยะฮ อัลเอาลิยาอฺ ๙/๑๐๖
ตัวอย่างทัศนะอิหม่ามชาฟิอี ที่อ้างหะดิษเฏาะอิฟ
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
في التيمم ضربة للوجه وضربة للكفين هكذا يقولون ضربة للوجه وضربة لليدين إلى المرفقين
ในการตะยัมมุม คือ การตบดินครั้งที่หนึ่ง สำหรับลูบหน้า และครั้งหนึ่งสำหรับลูบสองฝ่ามือ ในทำนองนี้แหละที่พวกเขากล่าวว่า ตบดินหนึ่งครั้งสำหรับลูบหน้าและหนึ่งครั้งสำหรับลูกสองมือถึงข้อศอก - อัลอุม ๗/๑๗๒ (มักตับชามิละฮ)
หะดิษที่ถูกนำมาอ้างเป็นหะดิษเฎาะอีฟคือ
اَلتَّيَمُّم ضَرْبَتَانِ ضَرْبَةٌ لِلْوَجْهِ وَضَرْبَةٌ لِلْيَدَيْنِ إِلَى الْمِرْفَقَيْنِ
การตะยัมมุม ตบดินสองครั้ง คือ ตบดินครั้งหนึ่งสำหรับลูบหน้า และอีกครั้งหนึ่งสำหรับลูบสองมือถึงสองข้อศอก - รายงานโดยอัฏฏอ็บรอนียและอัลฮากิม
หะดิษข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ดูนัศบุรรอยะฮ ๑/๑๕๐
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวไว้ในคำอธิบายหะดิษติรมิซีย์ของเขาว่า
قُلْتُ : أَحَادِيثُ الضَّرْبَتَيْنِ وَالْمِرْفَقَيْنِ ضَعِيفَةٌ أَوْ مُخْتَلِفَةٌ فِي الرَّفْعِ وَالْوَقْفِ ، وَالرَّاجِحُ هُوَ الْوَقْفُ ، وَلَمْ يَصِحَّ مِنْ أَحَادِيثِ الْبَابِ سِوَى حَدِيثَيْنِ أَحَدُهُمَا حَدِيثُ أَبِي جُهَيْمٍ بِذِكْرِ الْيَدَيْنِ مُجْمَلًا ، وَثَانِيهمَا حَدِيثُ عَمَّارٍ بِذِكْرِ ضَرْبَةٍ وَاحِدَةٍ لِلْوَجْهِ وَالْكَفَّيْنِ وَهُمَا حَدِيثَانِ صَحِيحَانِ مُتَّفَقٌ عَلَيْهِمَا كَمَا عَرَفْتَ
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า “ บรรดาหะดิษ ที่ระบุให้ตบดินสองครั้งและลูบถึงข้อศอกนั้น เป็นหะดิษเฎาะอีฟ หรือไม่ก็เป็นหะดิษที่มีประเด็นขัดแย้งการสืบไปถึงท่านนบี(หะดิษมัรฟัวะ)และหะดิษเมากูฟ(หมายถึงเป็นหะดิษที่เป็นคำพูดเศาะหาบะฮ) และที่มีน้ำหนักคือ เป็นหะดิษเมากูฟ และบรรดาหะดิษในเรื่องนี้ นอกเหนือหะดิษสองบท คือ (1) หะดิษอบีญุฮัย ที่ระบุคำว่าสองมือโดยสรุป และ (
2) หะดิษอัมมัรที่ระบุว่า ตบดินครั้งเดียว สำหรับลูบหน้าและสองมือ โดยที่ทั้งสอง เป็นหะดิษเศาะเฮียะ มุตตะฟักอะลัยฮ(หมายถึงรายงานโดยบุคอรีและมุสลิม ในสายรายงานเดียวกัน) ดังที่ท่านทราบแล้ว – ดูตัวะฟะตุลอัลอะหวะซีย์ เรื่องตะยัมมุม หะดิษหมายเลข 144 หน้า 386
.........
ท่านอัลมุบาเราะกาฟูรีย์ สรุปว่า หะดิษที่ให้ตบดินสองครั้ง และลูบถึงข้อศอกนั้นเป็นหะดิษเฏาะอีฟ
ส่วนหะดิษเศาะเฮียะนั้นตบดินครั้งเดียว ลูบหน้าและมือทั้งสองคือ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
إِنَّمَا كَانَ يَكْفِيكَ أَنْ تَصْنَعَ هَكَذَا فَضَرَبَ بِكَفِّهِ ضَرْبَةً عَلَى الْأَرْضِ ثُمَّ نَفَضَهَا ثُمَّ مَسَحَ بِهِمَا ظَهْرَ كَفِّهِ بِشِمَالِهِ أَوْ ظَهْرَ شِمَالِهِ بِكَفِّهِ ثُمَّ مَسَحَ بِهِمَا وَجْهَهُ
ความว่า ความจริงแล้วท่านเพียงแค่ทำอย่างนี้ก็เป็นการพอแล้ว หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ใช้ฝ่ามือทั้งสองตบลงบนฝุ่น แล้วก็สะบัดฝุ่นที่ฝ่ามือทั้งสองออกและใช้ฝ่ามือซ้ายลูบหลังมือขวาและใช้ฝ่ามือขวาลูบหลังมือซ้าย แล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบใบหน้าของท่าน
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัลบุคอรียฺ เลขที่ : 347 สำนวนนี้เป็นของอัลบุคอรียฺและมุสลิม เลขที่: 368)
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) ได้เลือกทัศนะที่ให้ตบดินครั้งเดียว โดยกล่าวในอัลมัจญมัวะชัรหอัลมุฮัซซับ ว่า
أنه أقوى في الدليل وأقرب إلى ظاهر السنة الصحيحة والله أعلم
แท้จริงมัน (หมายถึงหะดิษข้างต้น) คือที่แข็งแรงยิ่งในด้านหลักฐาน และใกล้เคียงกับตวามชัดเจนของสุนนะฮที่ถูกต้อง -วัลลอฮุอะลัม -คำพูดนี้ถูกรายงานไว้ในหนังสือ กิฟายะตุลอัคยัร ฟี หัลลิฆอยะติลอิคติศอร ๑/๙๔ กิตาบุฏเฏาะฮาเราะฮ (ดูสำเนาที่แนบมา)
.......................................
นำมาเสนอให้พี่น้องได้รู้ว่า การสังกัดมัซฮับชาฟิอีนั้น ท่านอิหม่ามชาฟิอีสอนให้ตามหะดิษเศาะฮียะ ไม่ใช่ให้ผูกติดกับมัซฮับของท่านแบบหูหนวกตาบอด เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สังกัดมัซฮับชาฟิอีตัวจริง
อะสัน หมัดอะดั้ม
๒๑/๑๒/๖๔

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ระวังการใช้การกิยาสด้วยความเห็นทางปัญญา

 

 อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

ระวังการใช้การกิยาสด้วยความเห็นทางปัญญา
อัล-กิยาส หมายถึง การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน (มิรอาตุ้ลอุศูล 2/275)
عَنْ مُجَالِدِ بْنِ سَعِيدِ، عَنْ عَامِرٍ الشَّعْبِيِّ، عَنْ مَسْرُوقٍ، قَالَ: قَالَ عَبْدُ اللَّهِ: «لَيْسَ عَامٌ إِلَّا وَالَّذِي بَعْدَهُ شَرٌ مِنْهُ، لَا أَقُولُ: عَامٌ أَمْطَرُ مِنْ عَامٍ، وَلَا عَامٌ أَخْصَبُ مِنْ عَامٍ، وَلَا أَمِيرٌ خَيْرٌ مِنْ أَمِيرٍ، لَكِنْ ذَهَابُ عُلَمَائِكُمْ وَخِيَارِكُمْ، ثُمَّ يَحْدُثُ أَقْوَامٌ يَقِيسُونَ الأُمُورَ بآرَائِهِمْ؛ فَيُهْدَمُ الإِسْلَامُ وَيُثْلَمُ»
อับดุลลอฮ บิน มัสอูด (ร.ฏปกล่าวว่า " ไม่มีปีใด นอกจากปีหลังจากนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ กล่าวว่า ปีหนึ่งที่ฝนตกมากกว่าปีหนึ่ง และไม่ได้กล่าวถึงปีหนึ่ง อุดมสมบูรณ์ กว่าปีหนึ่ง และไม่ได้กล่าวว่า ผู้นำคนหนึ่งดีกว่าผู้นำคนหนึ่ง แต่หมายถึง บรรดาอุลามาอฺ และคนดีๆในหมู่พวกท่านตายจากไป ต่อมาได้บังเกิดคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทำการกิยาส(เปรียบเทียบ)สิ่งต่างๆด้วยความคิดเห็น ของพวกเขา แล้วอิสลามก็เกิดความเสียหายและแตกเป็นเสี่ยงๆ - ญามิอุลบะบานอัลอิลมิวะฟัฏลิฮิ 2/ 165
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
التمسُّكُ بالأقيسة مع الإعراض عن النصوص والآثار طريقُ أهل البدع
การยึดด้วยบรรดาการกิยาส (การใช้ความคิดเห็นเปรียบเทียบ) พร้อมกับหันเหออกจากบรรดาตัวบทหลักฐาน และบรรดาร่องรอย (หะดิษหรือการกระทำสะลัฟ) คือแนวทางของชาวบิดอะฮ -มัจญมัวะอัละตาวา 7/292
ชูรัยหฺ (ร.ฮ) กล่าวว่า
إنّ السنّة سبقت قياسكم فاتبعوا ولا تبتدعوا ، فإنكم لن تضلوا ما أخذتم بالأثر
แท้จริงสุนนะฮ ต้องมาก่อนการกิยาส ของพวกท่าน พวกท่านจงปฏิบัติตาม(สุนนะฮ) และพวกท่านอย่าอุตริบิดอะฮ เพราะแท้จริงพวกท่านจะไม่หลง ตราบใดที่พวกท่าน เอาอะษัร(หะดิษ) - อัลอุม ของอิหม่ามชาฟิอี 9/275(ดูสำเนาที่แนบมา)
..............
การละหมาดเว้นระยะห่างในแถวละหมาดเพื่อป้องกันโรคระบาด ไปกิยาส(เทียบกับ)ละหมาดในยามสงคราม ไปเทียบกับละหมาดผู้ปวยได้หรือ ทั้งๆที่มีหะดิษข้อผ่อนปรนมันมีอยู่แล้วกรณีกลัวจะเกิดอันตราย แต่กลับไปละหมาดเว้นระยะห่างในแถวละหมาด พอไม่ได้ผล ปิดมัสยิด ก็กลับมาใช้หะดิษต้นเดิม แต่มีส่วนหนึ่งติดใจรสชาด ละหมาดยืนห่าง....

อะสัน หมัดอะดั้ม
3/12/64