วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2565

พวกบาบอตรรกมโนว่าการเชื่อว่าอัลลอฮอยู่เหนืออะรัชคือการให้สถานที่อัลลอฮ

 

พวกบาบอตรรกมโนว่าการเชื่อว่าอัลลอฮอยู่เหนืออะรัชคือการให้สถานที่อัลลอฮ มาดูคำตอบโต้ลบล้างความเชื่อบาบอ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
لا نسلم كون الباري على عرشه فوق السموات يلزم منه أنه في حيز وجهة، إذ ما دون العرش يقال فيه حيز وجهات، وما فوقه فليس هو كذلك، والله فوق عرشه كما أجمع عليه الصدر الأول ونقله عنهم الأئمة، وقالوا ذلك رادين على الجهمية القائلين بأنه في كل مكان محتجين بقوله {وهو معكم}
เราไม่ได้ยอมรับการที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างอยู่บนบัลลังค์ ของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้า ว่าพระองค์จำเป็นจะต้องอยู่ในพื้นที่ช่องว่างและอยู่ในทิศ, จากมัน(จากกรณีการอยู่บนอะรัช)เพราะ สิ่งที่อยู่ใต้อะรัช(บัลลังก์)นั้น จะถูกกล่าวเกี่ยวกับมันว่า "พื้นที่ช่องว่างและบรรดาทิศ และสิ่งที่อยู่เหนือบัลลังก์นั้น ไม่ใช่เช่นดังกล่าวนั้น (ไม่ใช่อยู่ในช่องว่างและในทิศ) และอัลลอฮ อยู่เหนืออะรัชของพระองค์ ดังที่บรรพชนยุคแรก(หมายถึงยุคสะลัฟ)ได้มีมติบนมัน และบรรดาอิหม่าม(บรรดาปราชญ์)ได้รายงานจากพวกเขา และพวกเขาได้กล่าวดังกล่าวนั้น(หมายถึงกล่าวยืนยันการอยู่เหนืออะรัชของอัลลอฮ) เพื่อตอบโต้พวกแนวคิดญะฮมียะฮ ทีเป็นผู้กล่าวว่า พระองค์อยู่ในทุกสถานที่ ดดยอ้างเหตุผล ด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และทรงอยูพร้อมกับพวกเจ้า) -อัลอุลูว์ ลิอะลียิลฆ็อฟฟาร หน้า 267(ดูสำเนาที่แนบมา)
..........
สรุป
1.การที่อัลลอฮอยู่เหนือบัลลังก์ เหนือบรรดาชั้นฟ้า ไม่จำเป็นว่าจะทรงอยู่ในสถานที่ช่องว่างและทิศ เพราะคำว่า อยู่ในช่องว่างและทิศ คือ สิ่งที่อยู่ใต้อะรัช(บัลลังค์) แต่อัลลอฮไม่ใช่เช่นนั้น เพราะพระองค์อยู่เหนือบัลลังค์ พระองค์จึงไม่ได้อยู่ในช่องว่างและในบรรดาทิศ
2.บรรดาบรรพชนยุคสะลัฟ ต่างมีมติเอกฉันท์ว่า อัลลอฮตาอาลาทรงอยู่เหนืออะรัช เหนือบรรดาชั้นฟ้าทั้งหลาย และบรรดาปราชญ์ได้รายงานมาจากพวกเขา
3. บรรดาปราชญ์ ที่รายรายงานจากสะลัฟ พวกเขาตอบโต้แนวคิดญะฮมียะฮ ที่เชื่อว่าอัลลอฮอยู่ในทุกสถานที่ โดยอ้างอายะฮที่ว่า (พระองค์อยู่พร้อมกับพวกเจ้า)
ขอเรียนว่า "คำว่า อัลลอฮอยู่พร้อมกับพวกเจ้า" ปราชญ์ยุคสะลัฟ หมายถึง ความรอบรู้ของอัลลอฮ ไม่ใช่อัลลอฮอยู่ทุกที่ที่มนุษย์อยู่
อัลบัยฮะกีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَفِيمَا كَتَبْنَا مِنَ الآيَاتِ دَلالَةٌ عَلَى إِبْطَالِ قَوْلِ مَنْ زَعَمَ مِنَ الْجَهْمِيَّةِ أَنَّ اللَّهَ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى بِذَاتِهِ فِي كُلِّ مَكَانٍ، وَقَوْلُهُ عَزَّ وَجَلَّ وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ، إِنَّمَا أَرَادَ بِهِ بِعِلْمِهِ لا بِذَاتِهِ
และในสิ่งที่เราได้บันทีกไว้ จากบรรดาอายะฮ คือ การแสดงบอกถึง ความเป็นโมฆะ (ความเท็จ)ของคำพูด แนวคิดญะฮมียะฮที่อ้างว่า อัลลอฮ(ซ.บ)ด้วยซาตของพระองค์ทรงอยู่ทุกที่ และคำตรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งที่ว่า (และพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกเจ้า ที่ใหนก็ตามที่พวกเจ้าอยู่) ความจริง ด้วยอายะฮนี้ หมายถึงความรอบรู้ของพระองค์ (อยู่ทุกที่)ไม่ใช่ตัวตน(ซาต)ของพระองค์ -อัลเอียะติก็อด หน้า 91
...........
ระวัง ระวัง และจงระวัง
ระวังแนวคิดญะฮมียะฮที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ กลุ่มคนเหล่านี้นำเอาวิชาตรรกกาลาม มาบิดเบือน เปลี่ยนแปลง และตีความความหมายคุณลักษณะของอัลลอฮที่มีมาตามตัวบทในอัลกุรอ่านและหะดิษเพื่อให้กินกับปัญญา
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/6/65

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เมื่อบาบอสายตรรกโกหกมุสาว่า วาฮาบีย์ตัดสินอิหม่ามบุคอรีเป็นการเฟร ตอนที่ 2

 อาจเป็นรูปภาพของ หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ

เมื่อบาบอสายตรรกโกหกมุสาว่า วาฮาบีย์ตัดสินอิหม่ามบุคอรีเป็นการเฟร ตอนที่ 2
วาฮาบีย์ฏอรีกัตเจ้าแห่งตรรก อ้างว่า
พี่น้องจงรับรู้ไว้เถิดว่า วาฮาบีย์ มูยัซซีมะฮ์ ได้หูกม อีมามบุคคอรีย์ ว่าเป็น เป็นกาเฟร ไปแล้ว والعياذ بالله
ท่านอีมามอิบนูหายัร อัลอัสกอานีย์ และท่านอีมามบัยฮากีย์ ได้กล่าวว่า ท่านอีมามบุคคอรีย์ ได้ตะวีล อายะฮ์ กรุอ่าน และอัลหาดิษ
قال الإمام الحافظ البيهقي في كتابه الأسماء والصفات ص. ٤٧٠
تأويل الإمام البخاري للضحك بالرحمة
@@@@@
ฃี้แจง
บาบอตรรกแห่งอันดามัน อ้างหลักฐานแอบอ้างว่าอิหม่ามบุคอรีตีความสิฟัตอัลลอฮ
ข้างต้น เป็นการแอบอ้างอิหม่ามบุคอรี โดยนายบาบอฏอรีกัตคนนี้ตัดข้อความ มาแล้วอ้างว่า อิหม่ามบุคอรี ตีความ สิฟัตเฎาะฮัก (หัวเราะ)ว่าหมายถึงเราะหมะฮ(ความเมตตา)
เป็นการแอบอ้าง อิหม่ามบุคอรีว่า ท่านตีความ โดยอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์กล่าวโดยไม่ระบุสายรายงานว่า
أما الضحك المذكور في الخبر فقد روى الفربري عن محمد بن إسماعيل البخاري رحمه الله أنه قال: "معنى الضحك فيه الرحمة
สำหรับอัฏเฏาะหาก( الضحك )ที่ถูกระบุในหะดิษ แท้จริง อัลฟะร็อบรีย์ ได้รายงานจากมุหัมหมัดบิน อิสมาอัล อัลบุคอรีย์(ร.ฮ) ว่า เขากล่าวว่า ความหมายคำว่า อัฎเฎาะหัก คือ อัรเราะหมะฮ(ความเมตตา)
......
อิหม่ามอัลบัยฮะกี มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ 384-458
ในขณะที่ มุหัมหมัด บิน ยูซูฟ อัลฟะร็อบรีย์ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ปี ฮ.ศ 231 -323
เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านอยู่คนละยุค ห่างกัน 153 ปี แต่ไม่อ้างสายรายงาน เป็นว่า เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้
แต่อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
قلت: ولم أر ذلك في النسخ التي وقعت لنا من البخاري
ข้าพเจ้า ไม่เห็นดังกล่าว ในสำเนาที่เรามี(ว่าการตีความนี้) มาจากอัลบุคอรี -ฟัตหุลบารีย์ 8/512
............
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร บอกว่า สำเนาหนังสือเศาะเฮียะบุคอรี ไม่พบการตีความของอิหม่ามบุคอรี คำว่า الضحك (หัวะเราะ) เป็นคำว่า الرحمة(ความเมตตา)
อยากจะบอกบาบอฏอกัตจอมมุสาว่า รายงานที่ปราศจากสายรายงาน เขาไม่เอามาเป็นหลักฐานหรอก เป็นการอ้างอิหม่ามบุคอรี ปราศจากสายรายงาน เพราะ อัลฟะร็อบรีย์ กับ อัลบัยฮะกีย์ สองท่านอยู่คนละยุค ห่างกัน 153 ปี แต่ไม่อ้างสายรายงาน เป็นว่า เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/5/65

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

 

 

 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

 

เมื่อการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นที่แน่นอนในประเทศหนึ่ง ประเทศอื่นๆต้องตามไหม?และทัศใดที่มีน้ำหนักในสร้างเอกการอิบาดะฮภาพระหว่างบรรดามุสลิม?
إذا ثبت رؤية الهلال بقطر من الأقطار وجب الصوم على سائل الأقطار، لا فرق بين القريب من جهة الثبوت والبعيد إذا بلغهم من طريق موجب للصوم. ولا عبرة باختلاف مطلع الهلال مطلقاً، عند ثلاثة من الأئمة؛ وخالف الشافعية،
เมื่อการเห็นจันทร์เสี้ยวได้ปราก็แน่นอน ณ ประเทศใดๆจากบรรดาประเทศต่าง ๆ ก็จำเป็นแก่บรรดาประเทศอื่นต้องถือ ศีลอด ,ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างประเทศที่ใกล้และประเทศที่ใกล ในแง่ของความแน่นอน เมื่อข่าวที่เชื่อถือได้ไปถึงพวกเขา จากแนวทางที่นำไปสู่ความจำเป็นจะต้องถือศีลอด และไม่มีการนำความแตกต่างของสถานที่ขึ้นของจันทร์เสี้ยวมาพิจารณาอย่างสิ้นเชิง ในทัศนะสามอิหม่าม(หะนะฟี ,มาลิก และ อะหมัด)และต่างจากปราชญ์ชาฟิอียะฮ - ฟิกฮสี่มัซฮับ 1/500
สำหรับปราชญ์ชาฟิอียะฮ ส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับเดือนนอก ดังที่อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
والصحيح عند أصحابنا أن الرؤية لا تعم الناس، بل تختص بمن قرب على مسافة لا تقصر فيها الصلاة. وقال بعض أصحابنا: تعم الرؤية في موضع جميع أهل الأرض،
และที่ถูกต้องในทัศนะบรรดาสหายของเรา(ปราชญชะฟิอียะฮ)แท้จริง การเห็นจันทร์เสี้ยว มีผลครอบคลุมต่อมนุษย์ทั้งหมด แต่ทว่า เฉพาะเจาะจงกับผู้ที่อยู่ในะระยะทางที่ใกล้ ทีการละหมาดไม่ถูกย่อในมัน(หมายถึงระยะทางที่ไม่อนุญาตให้ย่อละหมาด-ผู้แปล) และ บางส่วนของบรรดาสหายพวกเรา(หมายถึงปราชญ์ชาฟิอียะฮ) ได้กล่าวว่า การเห็น(จันทร์เสี้ยว)ในสถานที่ใดๆ ครอบคลุมทั้งหมดของชาวโลก - อัลมินฮาจญ ชัรห เศาะเฮียะมุสลิม 3/141
ชัยค วะฮบะฮ อัซซุฮัยลีย์(ร.ฮ)ได้สรุปว่า ทัศนะญุมฮูร คือทัศนะทีมีน้ำหนักในการสร้างเอกภาพมุสลิม โดยกล่าวว่า
وهذا الرأي (رأي الجمهور) هو الراجح لدي توحيداً للعبادة بين المسلمين، ومنعاً من الاختلاف غير المقبول في عصرنا، ولأن إيجاب الصوم معلق بالرؤية دون تفرقة بين الأقطار
และทัศนะนี้(ทัศนะญุมฮูร) คือ ทัศนะที่มีน้ำหนักในแง่ของการสร้างเอกภาพของการอิบาดะฮระหว่างบรรดามุสลิม และ เพือป้องกันความขัดแย้ง ที่ไม่ถูกยอมรับในยุคของเรา และเพราะ การวาญิบถือศีลอด มันเกียวข้อง การการเห็นจันทร์เสี้ยว โดยไม่แบ่งแยกระหว่างประเทศต่างๆ - อัลฟิกฮอัลอิสลามีย์ 2/610
.............
สรุปคือ
1. อิหม่าม หะนะฟี มะลีกี อะหมัด และปราชญะชาฟิอียะฮบางส่วนเห็นด้วยกับการรับเดือนนอก
2. ทัศนะที่แข็งแรงในแง่ของการสร้างความเป็นหนึ่งเดียว( เอกภาพ) ในการอิบาดะฮระหว่างมุสลิมคือ ทัศนะญุมฮูร
ขอเรียนว่า
ผมนำเสนอเพื่อความชัดเจน ให้พี่น้องเข้าถึงข้อเท็จจริง ผมไม่กลัวอำนาจเผด็จการทางศาสนาที่ บังคับให้คนเชื่อและปฏิบัติในเรื่องศาสนา เพราะทุกคนมีอิสระในการเลือกสิ่งที่ดีและมั่นใจให้แก่ตัวเองในเรื่องศาสนา
เพราะฉะนั้นถามีชีวิตอยู่ผมก็ทำหน้าที่ต่อไป อินชาอัลลอฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/5/65

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

ตายบนการทำบิดอะฮจะดราม่าว่ากลับไปสู่ความเมตตาได้อย่างไร

 

ตายบนการทำบิดอะฮจะดราม่าว่ากลับไปสู่ความเมตตาได้อย่างไร
คำยอดฮิต คนนั้นคนนี้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮแล้ว....ถ้ายังอนุรักษ์บิดอะฮ ทำบิดอะฮ และสนับสนุนให้สังคมฝักใฝ่พิธีกรรมบิดอะฮ จะกลับไปสูความเมตตาของอัลลอฮได้อย่างไร !!! จะดราม่าและโลกสวยกันไปทำไม
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
كل بِدعة ضلالة، وكل ضلالة في النَّار
ทุกๆบิดอะฮ คือ การหลงผิดและทุกการหลงผิด อยู่ในนรก - ดู สุนันอันนะสาอีย์ 3/188
บิดอะฮในศาสนา มีข้อยกเว้น ว่าเป็นบิดอะฮที่ดีด้วยหรือ? โปรดดูคำตอบข้างล่าง
และคำว่า (กุลลุ/ทุกๆ) เป็นสวนหนึ่งของถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความหมายครอบกลุม ไม่มีข้อยกเว้น ดังเช่น ชัยค์ อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า
"وهذا العموم المحكم لا يخرج منه شيء"؛ [تفسير ابن عثيمين: سورة الأنعام (ص254)]
และนี้คือ คำที่มีความหมายครอบคลุม/ความหมายโดยรวม ที่ชัดเจน ไม่มีสิงใดออกจากความหมายนี้ -ตัฟสีรอิบนิอุษัยมีน ซูเราะฮอันอันอาม หน้า 254
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فكل من أحدث شيئًا ونسبه إلى الدين ، ولم يكن له أصل من الدين يرجع إليه ؛ فهو ضلالة ، والدين منه بريء " جامع العلوم والحكم (2/128) .
ทุกๆผู้ที่ประดิษฐ์สิ่งใดๆขึ้นมาใหม่และนำมันไปอ้างศาสนา โดยที่มันไม่มีรากฐาน/ที่มาจากศาสนากลับไปยังมัน มันคือการหลงผิด และศาสนาไม่เกี่ยวกับมัน -ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม 2/128
อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ) กล่าวว่า
كلُّ كلامٍ كان عامَّاً ظاهراً في سُنَّة رسول الله صلى الله عليه وسلم فهو على ظهوره وعمومه حتى يُعلم حديثٌ ثابتٌ يدلُّ على أنه أُريد بعضُ الجملة دون بعض
ทุกๆคำพูด ที่เป็นคำพูดโดยรวม(อาม)ที่ชัดเจน ในสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มันคือ ให้ถือตามความหมายภายนอกของมัน(ที่มีมาตามตัวบท) และความหมายโดยรวม(อุมูม)ของมัน จนกระทั่งมีหะดีษที่แน่ชัดแสดงบอกให้รู้ว่า บางส่วนเท่านั้นที่ถูกต้องการไม่ใช่ทั้งหมด - อัรริสาละฮ หน้า 341และ มันฮัจญ อัตเตาฟิกวัตตัรเญียะ บัยนะมุคตะละฟิลหะดิษ หน้า 151(ดูสำเนา)
..............
กล่าวคือ คำพูดใดๆก็ตามที่ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกไว้ที่เป็นคำที่มีความหมายโดยรวม(อุมูม) ที่ชัดแจ้ง ก็ให้ถือตามความหมาย ภายนอกที่มมาตามตัวบทของคำพูดนั้น และถือตามความหมายโดยรวมของคำพูดนั้น จนกว่าจะมีหะดิษเศาะเฮียะมาเจาะจงว่า มีข้อยกเว้น ไม่ใช่ต้องการทั้งหมด
จึงถามคนที่อ้างสังกัดมัซฮับชาฟิอีโดยเฉพาะแกนนำอนุรักษ์บิดอะฮว่า " ใหนหรือ หะดิษที่มาเจาะจงว่า บิดอะฮนั้น ไม่ใช่หลงผิดทั้งหมด แต่มีบิดอะฮที่ดีด้วย....ใหนละ หะดิษที่มายกเว้นหรือจำกัดเฉพาะ(تخصيص) หะดิษที่ว่า "ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด ?
แม้แต่เศาะหาบะฮเองคือ อับดุลลอฮ บิน อุมัร(ร.ฮ) บอกว่า "บิดอะฮทั้งหมดคือ การหลงผิด ไม่มีข้อยกเว้น เช่น
كلُ بدعةٍ ضلالةٍ، وإن رآها الناسُ حسنةً
ทุกบิดอะฮคือ การหลงผิด และแม้ว่า บรรดามนุษย์ เห็นว่ามันดีก็ตาม -ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).
......................
ไม่มีหะดิษสักบทเดียวที่มายกเว้นว่า บิดอะฮที่ดีก็มี ใหนบอกว่าตามอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กฏเกณฑ์ในการนำหะดิษมาถือปฏบัติ เอาตามชาฟิอีหรือเปล่า เพราะอิหม่ามชาฟิอีบอกว่า เมื่อหะดิษมีความหมายโดยรวม(عموم ) ก็ให้ถือตามนั้น จนกว่าจะมีหะดิษที่เศาะเฮียะมายกเว้น...
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/2/65

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เมื่อชาวสุนนะฮกลายพันธ์เป็นชาวอิมอะฮ

 

 

เมื่อชาวสุนนะฮกลายพันธ์เป็นชาวอิมอะฮ
อิบนุอัลอะษีร (ร.ฮ)กล่าวว่า
الإمَّعة: الذي لا رأي له، فهو يتابع كلَّ أحد على رأيه، وقيل: هو الذي يقول لكلِّ أحدٍ: أنا معك
อัลอิมอะฮ คือผู้ที่ ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง เพราะเขาคือผู้ที่ปฏิบัติตามทุกๆคนบนความคิดเห็นของเขาผู้นั้น และถูกกล่าวว่า เขาคือ ผู้ที่กล่าวกับทุกๆคนว่า ฉันอยู่พร้อมกับท่าน(หมายถึงพร้อมที่จะปฏิบัติตามท่านทุกอย่าง) ดูที่มา
((النهاية في غريب الحديث والأثر)) لابن الأثير (1/67).
อัซซะมัคชะรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
الإمَّعة: الذي يَتْبَع كلَّ ناعقٍ، ويقول لكلِّ أحدٍ: أنا معك؛ لأنَّه لا رَأْي له يرجع إليه
อัลอิมอะฮคือ ผู้ที่ปฏิบัติตามทุกๆผู้ที่เรียกร้อง และเขาจะกล่าวแก่ทุกคนว่า "ฉันอยู่พร้อมกับท่าน" เพราะเขาไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง ที่จะกลับไปหามัน - ดู
(الفائق)) للزَّمخشري (1/57).
อัลอิมอะฮ แปลว่า นักฉวยโอกาส คือ คนที่ไร้จุดยืนเป็นของตัวเอง แต่จะคล้อยตามผู้อื่น และตามกระแสสังคม
قال الأَزهري: وكذلك الإِمَّرةُ وهو الذي يوافق كلَّ إنسان على ما يُريده
อัซอัซฮะรีย์ ได้กล่าวว่า และในทำนองเดียวกันนั้น อัลอิมมะเราะฮ คือผู้ที่ เห็นฟ้องกับมนุษย์ทุกคน บนสิ่งที่คนนั้นต้องการ -ที่มา
((لسان العرب)) لابن منظور (8/340)، وانظر: ((الصحاح)) للجوهري (3/1183)، ((غريب الحديث)) للقاسم بن سلَّام (4/50).
สังคมสุนนะฮในอดีตที่เคยเข้มแข็ง มีจุดยืนบนหลักการ แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ไร้จุดยืน คล้อยตามกระแส เพื่อเอาตัวรอดในดุนยา สังคมส่วนใหญ่ต้องการอย่างไรก็คล้อยตาม หรือที่เรียกว่า "ลอยช้อนตามเปียก" น่าหดหู่ยิ่งนัก
อิบนุมัสอูด(ร.อ) กล่าวว่า
لا يكن أحدكم إمعة يقول أنا مع الناس ليوطن أحدكم نفسه على أن يؤمن ولو كفر الناس
คนใดในหมู่พวกท่านอย่าเป็นอิมอะฮ(นักฉวยโอกาส) เขากล่าวว่า "ฉันอยู่พร้อมกับบรรดาผู้คน (คือตามที่ผู้คนต้องการ) คนใดในหมู่พวกท่านจงเตรียมทำตัวเองให้อยู่บนการที่เขาศรัทธา แม้ว่าบรรดาผู้คนจะปฏิเสธศรัทธาก็ตาม -มิฟตาหดาริสสะอาดะฮ 1/231
กล่าวคือ ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมที่จะอยู่บนความถูกต้องแม้ผู้คนจะปฏิเสธก็ตาม
สังคมที่เคยเรียกว่า "ชาวสุนนะฮเปลี่ยนใจ" เพราะฉะนั้น วัดใจกันว่าใครจะทนยืนหยัดอยู่ได้สักกี่คน ดุนยามันหอมหวาน แต่ทางไปอาคีเราะฮมันขมขื่น -วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/2/65
อาจเป็นรูปภาพของ ‎หนึ่งคนขึ้นไป และ ‎ข้อความพูดว่า "‎قال ابن :مسعود لا يكن أحدكم إمعة يقول أنا مع الناس ليوطن أحدكم نفسه على أن يؤمن ولو كفر الناس مفتاح دار السعادة]//‎"‎‎
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์


วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565

ระวังการตักฟีร

 อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

น่าสมเพทกับบาบอกำมะลอสองกลุ่มที่ทะเลาะกันเพราะตัดสินวาฮาบีย์ไม่เหมือนกัน
มีคณะบาบอที่อ้างว่ายึดแนวอาชาอิเราะฮ ที่เป็นพันธ์มิตรเหนียวแน่นต่อต้านพี่น้องมุสลิมที่พวกเขาอุปโลกน์ให้เป็นวาฮาบีย์ ให้เป็นลัทธิใหม่ อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มาวันหนึ่ง เกิดขัดแย้งในการตัดสินวาฮาบีย์ไม่ตรงกันคือ
1.บาบอสายฏอรีกัตกลุ่มภาคกลางตัดสินให้คนที่พวกเขาอุปโลกน์ให้เป็นวาฮาบีเป็นคนชั่ว(ฟาสิก) เป็นผู้มีอะกีดะฮบิดอะฮ
2.บาบอฏอรีกัตกลุ่มภาคใต้อันดามัน ตัดสินให้คนที่พวกเขาอุปโลกน์ให้เป็นวาฮาบีเป็นกาเฟรออกจากอิสลาม
เมื่อตัดสินวาฮาฮาบีย์ไม่เหมือนกัน ฝ่ายที่ตัดสินวาฮาบีย์ให้เป็นกาเฟร ก็หุกุมฝ่ายที่ไม่ตัดสินวาฮาบีย์ให้เป็นกาเฟร ให้กลายเป็นกาเฟรไปด้วย จึงเปิดศึกสงครามคีบอร์ดกันในขณะนี้
แต่...ที่น่าสมเพทคือ ใช้ตรรกเป็นหลักฐานทั้งสองฝ่าย !!!!
การตัดสินให้พี่น้องมุสลิมออกจากอิสลาม กลายเป็นของเล่นของคนกลุ่มนี้ ใช้ตรรกความคิดเห็น และอคติมาเป็นเครื่องตัดสิน -วัลอิยาซุบิลละฮ
ท่านนบี ศ็อลฯ เตือนให้ระวังการตักฟีรพี่น้องมุสลิมให้ออกจากอิสลาม ดดยกล่าวว่า
لا يَرْمِي رَجُلٌ رَجُلًا بالفُسُوقِ، ولا يَرْمِيهِ بالكُفْرِ؛ إلَّا ارْتَدَّتْ عليه إنْ لَمْ يَكُنْ صاحِبُهُ كَذلكَ
คนหนึ่งไม่ได้กล่าวหา คนหนึ่งว่า เป็นคนชั่ว และเขาไม่ได้กล่าวหาเขาผู้นั้น ว่า กุฟุร นอกจาก มันจะย้อนกลับมาบนเขา หาก เพื่อนของเขา(ที่เขากล่าวหา)ไม่เป็นเช่นนั้น - รายงานโดยบุคอรี
อิหม่ามเชากานีย์กล่าวว่า
اعلم أن الحكم على الرجل المسلم بخروجه من دين الإسلام ودخوله في الكفر لا ينبغي لمسلم يؤمن بالله واليوم الآخر أن يقدم عليه إلا ببرهان أوضح من شمس النهار فإنه قد ثبت في الأحاديث الصحيحة المروية من طريق جماعة من الصحابة أن من قال لأخيه يا كافر فقد باء بها أحدهما
โปรดทราบไว้เถิดว่า แท้จริง การหุกุมบุคคลที่เป็นมุสลิม ว่าเขาออกจากศาสนาอิสลาม และกลับเข้าไปในการเป็นกุฟูรนั้น มันไม่สมควรแก่มุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮและวันสุดท้าย ที่จะกล้าหาญทำมัน นอกจาก ต้องด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในยามกลางวัน ความจริงได้ปรากฏยืนยันในบรรดาหะดิษ จากสายรายงานจากกลุ่มหนึ่งของเหล่าเศาะหาบะฮว่า "ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องของเขาว่า "ไอ้กาเฟร" แน่นอนมันจะกลับไปยังคนหนึ่งคนใดจากสองคนนั้น - อัสสัลลุลญะรอร 4/578
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
“والخوارج تكفِّر أهل الجماعة، وكذلك أكثر المعتزلة يكفرون من خالفهم، وكذلك أكثر الرافضة، ومن لم يكفَّر فُسِّق، وكذلك أكثر أهل الأهواء يبتدعون رأيًا، ويكفّرون من خالفهم فيه، وأهل السنة يتبعون الحق من ربهم الذي جاء به الرسول، ولا يكفرون من خالفهم فيه، بل هم أعلم بالحق وأرحم بالخلق، كما وصف الله به المسلمين بقوله: {كُنْتُمْ خَيْرَ أُمَّةٍ أُخْرِجَتْ لِلنَّاسِ} [آل عمران: 110]،
และเคาะวาริจญ ได้ตักฟีร(ตัดสินว่าเป็นกาเฟร)แก่ อะฮลุลญะมาอะฮ และเช่นเดียวกันนั้น ส่วนมากของแนวคิดมุอตะซิละฮ พวกเขาตักฟีร ผู้ที่เห็นขัดแย้ง/เห็นต่างกับพวกเขา และเช่นเดียวกันนั้น ส่วนมากของลัทธิรอฟิเฎาะฮ และผู้ใดไม่ตักฟีร ก็จะถูกตัดสินให้เป็นคนชั่ว และเช่นเดียวกันนั้น ส่วนมากของนักอารมณ์นิยม(ชาวบิดอะฮ) พวกเขาอุตริความคิดเห็นใดๆ และพวกเขาทำการตักฟีร(ตัดสินให้เป็นกาเฟร)ผู้ที่เห็นขัดแย้งกับพวกเขาในมัน(ในความเห็นที่พวกเขาอุตริขึ้นมา) และชาวอะฮลุสสุนนะฮ พวกเขาปฏิบัติตามความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา ซึ่งรอซูลได้นำมาด้วยมัน และพวกเขาไม่ตักฟีร ผู้ที่เห็นขัดแย้งกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความรู้ยิ่งกับความจริง และมีความเมตตายิ่งต่อเพื่อนมนุษย์ ดังเช่นที่อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะบรรดามุสลิมด้วยมันว่า(พวกเจ้าคือประชาติที่ดีที่ถูกให้อุบัติขึ้นมาสำหรับมนุษย์ชาติ - อาลิมอิมรอน/110) - มินฮาจญอัสสุนนะฮอัลนะบะวียะฮ 5/158 (ดูสำเนาที่แนบมา)
...........
สรุปคื่อ
1.พวกเคาะวาริจญ และส่วนมากของพวกแนวคิดมุอตะซิละฮและพวกรอฟิเฎาะฮ พวกเขาจะติดสินคนที่เห็นต่างกับพวกเขาให้เป็นกาเฟร
2. พวกอะฮลุลบิดอะฮ ส่วนมาก พวกเขาจะอุตริความคิดเห็นใดๆขึ้นมาแล้วจะตัดสินเป็นกาเฟรคนที่เห็นขัดแย้งกับพวกเขาในความคิดเห็นนั้น
3. อะฮลุสสุนนะฮ พวกเขาปฏิบัติตามความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา ซึ่งรอซูลได้นำมาด้วยมัน และพวกเขาไม่ตักฟีร ผู้ที่เห็นขัดแย้งกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความรู้ยิ่งกับความจริง และมีความเมตตายิ่งต่อเพื่อนมนุษย์
แปลก...บาบอกำมะลอเหล่านี้ สร้างวาทกรรมขึ้นมา ใครเห็นต่างกับพวกเขาก็ตัดสินให้เป็นกาเฟร ด้วยความเห็นและอคติ มีด้วยหรือ พี่น้องมุสลิมที่ยืนยันคุณลักษณะอัลลอฮ ตามที่อัลลอฮอธิบายไว้และรอซูลอาธิบายไว้ แล้วพวกท่านตัดสินให้ออกจากอิสลาม -วัลอิยาซุบิลละฮ น่าสมเพทยิ่งนัก
ขอจบด้วยคำว่า
ขอบใจและขออัลลอฮตอบแทนความดีแก่พี่น้องที่ช่วยปกป้องอะกีดะฮ และขอแสดงความเสียใจกับครูบาอาจารย์ที่เป็นชัยฏอนใบ้ ไม่รู้สึกรู้สากับการที่อะกีดะฮถูกบิดเบือน และพี่น้องชาวสุนนะฮที่ถูกใส่ร้าย
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/1/65

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565

อะฮลุลหะดิษที่เป็นชาวสะลัฟ เป็นพยานยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

 

อะฮลุลหะดิษที่เป็นชาวสะลัฟ เป็นพยานยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
 
 
 อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ
 
 
 
อบูอุษมาน อัศศอบูนีย์ (ฮ.ศ 499) กล่าวว่า
ويعتقد أصحاب الحديث ويشهدون أن الله سبحانه وتعالى فوق سبع سمواته على عرشه مستوٍ، كما نطق به كتابه في قوله عز وجل في سورة يونس: إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
บรรดา นักหะดิษเชื่อมั่น และเป็นพยานว่า แท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ) อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ ทรงเป็นผู้ประทับ บนอะรัชของพระองค์ ดังที่คัมภีร์ของพระองค์ ได้กล่าวด้วยมัน ในคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกรและทรงสูงส่ง ในซูเราะฮ ยูนูสว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
แท้ จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน เวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงสถิต บนบัลลังก์ - อะกีดะฮอัสสะลัฟ วะอัศหาบิละดีษ หน้า 44
อะฮหมัด อัลหากิม อัลนัยสะบูรีย์ (ฮ.ศ ๒๘๕-๓๗๘) ปราชญ์สะลัฟ ได้ระบะบรรดาชื่อของปราชญ์ยุคสะลัฟและได้ระบุอะกีดะฮของพวกเขาว่า
ونعرف الله في السماء السابعة على عرشه، كما قال: {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6].
และเรารู้จักอัลลอฮ บนฟากฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ ดังที่ทรงตรัสว่า
{الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6]
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ @ กรรมสิทธิ์ของพระองค์นั้นคือ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน – ฏอฮา 5-6 - ดู ชิอารอัศหาบิลหะดิษ ของอบีอะฮหมัด อัลหากิม อัลนัยสะบูรีย์ หน้า ๓๗-๓๙
.....................
ข้างต้นเป็นการตอกย้ำว่า อะกีดะฮสะลัฟ ได้ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ส่วนผู้ปฏิเสธนั้น คือพวกอะกีดะฮจอมปลอมแอบอ้างศาสนา แอบอ้างอะฮลุสสุนนะฮ พี่น้องโปรดระวัง
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๙/๑/๖๕