วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บรรพชนยุคสะลัฟเขาตามอุลามอฺอย่างไร







บรรพชนยุคสะลัฟเขาตามอุลามอฺอย่างไร

อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

وَأَمَّا نَوْعُ التَّقْلِيدِ الَّذِي خَالَفَ فِيهِ الْمُتَأَخِّرُونَ الصَّحَابَةَ وَغَيْرَهُمْ مِنَ الْقُرُونِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ ، فَهُوَ تَقْلِيدُ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ ، مِنْ جَمِيعِ الْعُلَمَاءِ ...


และสำหรับชนิดของการตักลิด(การเชื่อตาม)ที่บรรดาคนยุคหลังมีความแตกต่างในนั้น กับเหล่าเศาะหาบะฮและคนอื่นจากพวกเขา จากบรรดาศตวรรษที่ถูกเป็นพยาน ด้วยความดีงานสำหรับพวกเขาคือ การตักลิด(การเชื่อตาม/ปฏิบัติตาม)คนๆเดียวเป็นการเฉพาะ โดยไม่ตามคนอื่นจากเขาคนนั้น จากบรรดาอุอุลามาอฺ


فَإِنَّ هَذَا النَّوْعَ مِنَ التَّقْلِيدِ ، لَمْ يَرِدْ بِهِ نَصٌّ مِنْ كِتَابٍ وَلَا سُنَّةٍ ، وَلَمْ يَقُلْ بِهِ أَحَدٌ مِنْ أَصْحَابِ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَلَا أَحَدٌ مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ .

เพราะแท้จริงนี้คือชนิดของการตักลิด ที่ไม่มีหลักฐานจาก อัลกุรอ่านและสุนนะฮ ด้วยมัน และไม่มีคนใดจากเหล่าสาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ พูดด้วยด้วยมัน และไม่มีคนใด ในศตวรรษที่สามที่ถูกเป็นพยานด้วยความดีงาม (พูดด้วยดังกล่าวนั้น)

وَهُوَ مُخَالِفٌ لِأَقْوَالِ الْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ رَحِمَهُمُ اللَّهُ ، فَلَمْ يُقِلْ أَحَدٌ مِنْهُمْ بِالْجُمُودِ عَلَى قَوْلِ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ ، مِنْ جَمِيعِ عُلَمَاءِ الْمُسْلِمِينَ .

และมัน(การตักลิดเจาะจงตัวบุคคลเป็นการเฉพาะ) เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับบรรดาคำพูดของอิหม่ามทั้งสี่ (ร.ฮ)เพราะไม่มีคนใดจากพวกเขากล่าว(ให้ทัศนะ)ด้วยความหนักแน่น บนคำพูดของคนๆหนึ่ง เป็นการเฉพาะ โดยไม่(กล่าวทัศนะด้วยคำพูด)คนอื่นจากเขาจากบรรดาปราชญ์มุสลิม

فَتَقْلِيدُ الْعَالِمِ الْمُعَيَّنِ مِنْ بِدَعِ الْقَرْنِ الرَّابِعِ ، وَمَنْ يَدَّعِي خِلَافَ ذَلِكَ ، فَلْيُعَيِّنْ لَنَا رَجُلًا وَاحِدًا مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْأُوَلِ ، الْتَزَمَ مَذْهَبَ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ ، وَلَنْ يَسْتَطِيعَ ذَلِكَ أَبَدًا ; لِأَنَّهُ لَمْ يَقَعِ الْبَتَّةَ .


ดังนั้นการตักลิด(การเชื่อตาม)ผู้รู้เป็นการเฉพาะ เป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮในศตวรรษที่สี่ และผู้ใดขัดแย้ง(เห็นต่างดังกล่าว)ก็จงระบุเจาะจง ให้เรา มาสักคน จากคนที่อยู่ในศตวรรษสามแรก ว่า เขายึดติด(สังกัด)มัซฮับคนหนึ่งเป็นการเจาะจง และเขาไม่สามารถดังกล่าว(หมายถึงไม่สามาถระบุว่าคนยุคแรกคนใดสังกัดมัซฮับแบบเจาะจงให้แก่เรา) ตลอดไป เพราะแท้จริง มันไม่เกิดขึ้นเลย – ตัฟสีร อัฎวาอุลบะยาน ๗/๓๐๗
สรุปคำอธิบายยของอิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ร.ฮ)
๑. การตามอุลามาอฺของคนยุคเศาะฮาบะฮและยุคสะลัฟ แตกต่างจากคนยุคหลัง เพราะคนยุคหลังผูกขาดผู้รู้หรืออุลามาอฺเป็นการเฉพาะ ไม่ตามคนอื่น
๒. การสังกัดอุลามาอฺเป็นการเฉพาะ ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮและไม่มีคำพูดจากชาวสะลัฟกล่าวเอาไว้
๓. บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ไม่มีคนใดกล่าวทัศนะให้สังกัดมัซฮับปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการการเฉพาะ

๔.การสังกัดมัซฮับแบบผูกขาดเป็นบิดอะฮที่เกิดในศตวรรษที่สี่

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ในศาสนาอิสลามมีบิดอะฮที่ดีจริงหรือ







ในศาสนามีบิดอะฮที่ดีจริงหรือ
ปกติคนที่รักท่านนบี ศอ็ลฯ พวกเขาจะปกป้องท่านนบีและสุนนะฮท่านนบี อย่างสุดชีวิต แต่ก็มีคนบางกลุ่มปากบอกว่ารักนบี แต่อนุรักษ์และป้องป้องบิดอะฮจนสุดชีวิตเช่นกัน และเรียกมันให้สวยหรูว่า “บิดอะฮหะสะนะฮ (บิดอะฮที่ดี)
ขอเรียนว่า บิดอะฮในทางศาสนบัญญัตินั้น เป็นการลุ่มหลงหรือหลงผิด(ضلالة) แม้ใครจะอ้างว่า มันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม
ดังที่ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،
กลุ่มอนุรักษ์บิดอะฮ มักจะอ้างว่า บิดอะฮไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวทั้งหมด มีสิ่งดีด้วย เรื่องนี้ มาดูคำอธิบายต่อไปนี้
อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า
قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด) ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้นร ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา) นั้นคือ ผู้ที่หลงผิด
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181
จากรายละเอียดข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ในศาสนบัญญัติ ไม่มีบิดอะฮที่ดี และ ผู้ที่ตัดสินว่าดีและเลวในเรื่องศาสนาด้วยเหตุผลทางปัญญา นั้น คือชาวบิดอะฮที่หลงผิด
والله أعلم بالصواب

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ ตอน 3(อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี)





อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ ตอน 3(อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี)

อิหม่ามอบูอุษมาน อัลนัยสะบูรีย์ อัศศอบูนีย์ ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง ฮ.ศ ๓๗๓ - ๔๔๙ ได้กล่าวถึงอะกีดะฮของอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ว่า
" وأما إمامنا أبو عبد الله محمد بن إدريس الشافعي رضي الله عنه احتج في كتاب المبسوط في مسألة إعتاق الرقبة المؤمنة في الكفارة , وأن غير المؤمنة لا يصح التكفير بها بخبر معاوية بن الحكم , وأنه أراد أن يعتق الجار...ية السوداء لكفارة , وسأل رسول الله صلى الله عليه وسلم عن إعتاقه إياها فامتحنها رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال صلى الله عليه وسلم لها : من أنا ؟ فأشارت إليه وإلى السماء يعني أنك رسول الله الذي في السماء فقال صلى الله عليه وسلم : أعتقها فإنها مؤمنة . فحكم رسول الله صلى الله عليه وسلم بإسلامها وإيمانها لما أقرت بأن ربها في السماء وعرفت ربها بصفة العلو والفوقية

และอิหม่ามของเรา,อบูอับดุลลอฮ มุหัมหมัด บิน อิดริส อัชชาฟิอีย์ (ร.ฎ) ได้อ้างหลักฐานในหนังสือของเขา “อัลมับสูฏ” ในประเด็นการปล่อยทาสหญิงผู้ศรัทธา ใน การจ่ายกัฟฟาเราะฮ (การชดเชย) และแท้จริง อื่นจาก(ทาส)หญิงผู้ศรัทธานั้น การการกัฟฟาเราะฮ(การชดเชย) ด้วยนาง นั้นใช้ไม่ได้ ด้วย(หลักฐาน)หะดิษ มุอาวิยะฮ บิน อัลหะกัม ว่า แท้จริง เขาต้องการจะปล่อยทาสหญิงผิวดำให้เป็นอิสระ เพื่อเป็นการกัฟฟาเราะ(การชดเชยความผิด) และเขาถามรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ เกี่ยวกับการที่เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ แล้วท่านรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ ก็ได้ทดสอบนาง โดยท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้กล่าวแก่นางว่า ฉันคือใคร? แล้วนางก็ชี้ไปยังท่านรซูลุลลอฮ และชี้ไปยังฟากฟ้า หมายถึง แท้จริงท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮ ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า แล้วรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริง นางคือหญิงผู้ศรัทธา แล้วรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้ตัดสิน ด้วยการเป็นอิสลามของนาง และการศรัทธาของนาง ขณะที่นาง ยอมรับ ว่าแท้จริงพระเจ้าของนาง อยู่บนฟ้า และนางรู้จักพระเจ้าของนาง ด้วยคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูง และการอยู่เบื้องบน

وإنما احتج الشافعي رحمة الله عليه على المخالفين في قولهم بجواز إعتاق الرقبة الكافرة في الكفارة بهذا الخبر؛ لاعتقاده أن الله سبحانه فوق خلقه، وفوق سبع سماواته على عرشه، كما معتقد المسلمين من أهل السنة والجماعة، سلَفِهم وخلفِهم؛ إذ كان رحمه الله لا يرو خبرًا صحيحًا ثم لا يقول به. 

และความจริง อัชชาฟิอี (ร.ฮ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยหะดิษนี้(หมายถึงหะดิษญารียะฮ ที่ตอบท่านนบีว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า-ผู้แปล )ตอบโต้บรรดาผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ในกรณีเกี่ยวกับทัศนะของพวกเขา(ที่อ้างว่า) อนุญาตให้ปล่อยท่านหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟร เพราะ อะกีดะฮของเขา(หมายถึงชาฟิอี)เชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ( ซ.บ) ทรงอยู่เหนื่อมัคลูคของพระองค์ และเหนือ บรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ บนบัลลังค์(อะรัช)ของพระองค์ ดังที่เป็นหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ยุคสะลัฟและยุคเคาะลัฟ เพราะ ปรากฏว่าเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) เขาจะไม่รายงานหะดิษที่เศาะเอียะใดๆ แล้วต่อมาเขาไม่นำมากล่าวด้วยมัน - อะกีดะฮสะลัฟ วะอัศหาบิลหะดิษ ของ อิหม่ามอัศศอบูนีย์ หน้า ๑๑๘,๑๘๙

>>>>>>>>>>

หมายถึง อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหะดิษญารียะฮ เป็นหลักฐานตอบโต้ บรรดาผู้ที่อ้างว่า อนุญาตให้ปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟรได้ สำหรับทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น อนุญาตปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟรได้ ก็ต่อเมื่อนางรับอิสลาม โดยที่อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหลักฐานจากหะดิษญารียะฮ คือ ท่านนบี ถามทาสหญิงคนนั้นว่า อัลลอฮอยู่ที่ใหน ?นางตอบว่า “อัลลอฮ อยู่บนฟ้า” แล้วนบีรับรองว่านางเป็นมุสลิม แล้วนบีบอกให้ปล่อยนางเป็นอิสระ และอัศศอบูนีย์ ยืนยันว่า "อิหม่ามชาฟิอีนั้น ไม่เคยปรากฏว่า เมื่อท่านรายงานหะดิษเศาะเฮียะ แล้วท่านไม่นำมันมาอ้างเป็นหลักฐาน 
……..
อาชาอิเราะฮบางกลุ่มที่อ้างว่าตามมัซฮับชาฟิอี พยายามหาข้ออ้างปฏิเสธการอยู่บนฟ้าของอัลลอฮ อย่างสุดฤทธิ์ แถมพยายามใช้เล่ห์เพททุบายทำลายผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าทุกหนทาง แบบตายไม่ฝัง ทั้งๆที่ อะกีดะฮ อิหม่ามชาฟิอี ที่ตนสังกัด ก็มีอะกีดะฮ เชื่อว่า “อัลลอฮอยู่บนฟ้า” 

والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 2)








อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 2)


أَخْبَرَنَا الإِمَامُ أَبُو الْحَسَنِ عَلِيُّ بْنُ عَسَاكِرِ بْنِ الْمُرَحِّبِ الْبَطَائِحِيُّ الْمُقْرِئ ، قَالَ : أَنْبَأَ الأَمِينُ أَبُو طَالِبٍ عَبْدُ الْقَادِرِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْقَادِرِ الْيُوسُفِيُّ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبُو إِسْحَاقَ إِبْرَاهِيمُ بْنُ عُمَرَ الْبَرْمَكِيُّ ، أَنَبَأَ أَبُو بَكْرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ بَخِيتٍ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبِو حَفْصٍ عُمَرُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عِيسَى الْجَوْهَرِيُّ ، قَالَ : ثَنَا أَبُو بَكْرٍ أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ هَانِئٍ الطَّائِيُّ الأَثْرَمُ ، قَالَ : حَدَّثَنِي عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ ، قَالَ : قُلْتُ : لِابْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ نَعْرِفُ رَبَّنَا ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عَرْشِهِ ، وَلَا نَقُولُ كَمَا تَقُولُ الْجَهْمِيَّةُ : إِنَّهُ هَاهُنَا وَهَاهُنَا 

อิหม่าม อบุลหะซัน อะลี บิน อะสากีร บิน อัลมุเราะหิบ อัลบะฏออิฮีย์ อัลมุกรีย์ กล่าวว่า อัลอะมีน อบูฏอลิบ อับดุลกอดีร บิน มุหัมหมัด บิน อับดิลกอเดร์ อัลยูซุฟีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน อุมัร อัลบัรมะกีย์ ได้บอก ,อบูบักร์ มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ บิน บะคีต ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูหัฟศิน อุมัร บิน มุหัมหมัด บิน อีซา อัลเญาฮะรีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบุบักร์ อะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน ฮานิ อัฏฏีอีย์ อัลอัษรอม กล่าวว่า อาลี บิน หะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า “ “ข้าพเจ้าได้กล่าวกับอับดุลลอฮ บิน อัล-มุบาร็อก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเราได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”) – อิษบาตรสิฟัตอัลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮอัลมุกอ็ดดิสีย์ หะดิษหมายเลข 70 เรือง أَقْوَالُ الأَئِمَّةِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ
>>>>>>>>>
แหล่งอ้างอิงและคำวิจารณ์ เพิ่มเติม
"السنة" لعبد الله بن أحمد (ج1 ص111) قال: حدثني أحمد بن ابراهيم الدورقي ثنا علي بن الحسن بن شقيق قال سألت عبدالله بن المبارك، وذكره. رواته ثقات والسند صحيح. 
(11)الرد على الجهمية للدارمي (ص40) قال: حدثنا الحسن بن الصباح البزار حدثنا علي بن الحسن ابن شقيق عن ابن المبارك. سنده حسن.
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) รายงานว่า


سَمِعْتُ عَلِيَّ بْنَ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ يَقُولُ : قُلْتُ لِعَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ يُعْرَفُ رَبُّنَا -عَزَّ وَجَلَّ ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ عَلَى الْعَرْشِ . قُلْتُ لَهُ : إِنَّ الْجَهْمِيَّةَ تَقُولُ هَذَا . قَالَ : لَا نَقُولُ كَمَا قَالَتِ الْجَهْمِيَّةُ : هُوَ مَعَنَا هَاهُنَا . 


ข้าพเจ้าได้ยิน อาลี บิน อัลหะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่ อับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็ก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงสูงส่ง และ ทรงเลิศยิ่ง ได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนฟ้า เหนืออะรัช ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า “แท้จริง พวกญะฮมียะฮ กล่าวแบบนี้หรือ ? เขา(อิบนุอัลมุบารอ็ก)กล่าวว่า “เปล่า เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”)


قُلْتُ : الْجَهْمِيَّةُ يَقُولُونَ : إِنَّ الْبَارِيَ تَعَالَى فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَالسَّلَفُ يَقُولُونَ : إِنَّ عِلْمَ الْبَارِي فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَيَحْتَجُّونَ بِقَوْلِهِ تَعَالَى وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ يَعْنِي : بِالْعِلْمِ ، وَيَقُولُونَ : إِنَّهُ عَلَى عَرْشِهِ اسْتَوَى ، كَمَا نَطَقَ بِهِ الْقُرْآنُ وَالسُّنَّةُ


ข้าพเจ้า(หมายถึง อิหม่ามอัซซะฮะบีย) กล่าวว่า ญะฮมียะฮ พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง อยู่ในทุกสถานที่ ทั้งๆที่ ชาวสะลัฟ พวกเขากล่าวว่า ความรู้ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่ในทุกๆสถานที่ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า (และพระองค์ อยู่พร้อมกับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใหนก็ตาม) หมายถึง อยู่พร้อมด้วยความรู้ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) กล่าวว่า แท้จริง พระองค์ทรงสถิต บน อะรัช ของพระองค์ ดังเช่น ที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้กล่าวเอาไว้ – ดูสิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 8/402 เรือง อิบนุอัลมุบารอ็ก
>>>>>>>>>>>>
ข้างต้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า สะลัฟมีอะกีดะฮ ว่า อัลลอฮ อยู่บนฟ้า ซึ่งหมายถึง อยู่เหนือฟากฟ้า เหนืออะรัช นั้นเอง


وفي رواية: قال ابن المبارك: «بأنه فوق السماء السابعة على العرش بائن من خلقه


ในรายงานหนึ่ง อิบนุอัลมุบารอ็ก กล่าวว่า แท้จริง พระองค์อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช แยกจากมัคลูคของพระองค์
الرد على الجهمية للدارمي (ص40) قال: حدثنا الحسن بن الصباح البزار حدثنا علي بن الحسن ابن شقيق عن ابن المبارك. سنده حسن.
.............................
แต่ก็มีกลุ่มคนพยายามใช้ตรรกปฏิเสธ โดยการอ้างทัศนะอะฮลุลกาลามมาลบล้าง แต่ ..สัจธรรมย่อมอยู่เหนือความเท็จเสมอ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อินชาอัลลอฮ มีต่อ ภาค 3 โปรดติดตาม

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 1)




อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 1)
وَحَدَّثَنَا أَبُو الْفَضْلِ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ الصَّنْدَلِيُّ ، قَالَ : نا الْفَضْلُ بْنُ زِيَادٍ ، سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنَ حَنْبَلٍ يَقُولُ : قَالَ مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ : " اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فِي السَّمَاءِ وَعِلْمُهُ فِي كُلِّ مَكَانٍ لا يَخْلُو مِنْهُ مَكَانٌ " . فَقُلْتُ : مَنْ أَخْبَرَكَ عَنْ مَالِكٍ بِهَذَا ؟ فَقَالَ : سَمِعْتُهُ مِنْ سُرَيْجِ بْنِ النُّعْمَانِ ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ نَافِعٍ .

อบุลฟัฎลิ ญะฟัร บิน มุหัมหมัด อัศศอ็นดะลีย์ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า อัลฟัฎลุ บิน ซิยาด ได้เล่าเราว่า ข้าพเจ้า ได้ยิน อบูอับดุลลอฮ,อะหมัด บิน หัมบัล กล่าวว่า มาลิก บิน อะนัส กล่าวว่า “อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง อยู่บนฟ้า และความรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ ไม่มีสถานที่ใดซ่อนเร้นจากความรู้ของพระองค์ ,ข้าพเจ้า กล่าวว่า “ใครบอกท่านว่าสิ่งนี้รายงานจากมาลิก? เขา(อะหมัด บิน หัมบัล) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินมัน จากสุรัยญ์ บิน อัลนุอฺมาน จากอับดุลลอฮ บิน นาเฟียะ – อัชชะรีอะฮ ของอิหม่ามอัลอาญุรีย์ - บาบอัตตะฮซิร มิน มะซาฮิบอัลหุลูลียะฮ หะดิษหมายเลข 672
อิหม่ามอัลอาญุรียฺ (ฮ.ศ 360) กล่าวว่า


والذي يذهب إليه أهل العلم أن الله عز وجل سبحانه على عرشه فوق سماواته، وعلمُهُ محيط بكل شيء


และที่นักวิชาการ แสดงทัศนะไปสู่มัน คือ แท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) อยู่บนอะรัชของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ และความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมด้วยทุกๆสิ่ง 
الشريعة للآجري (ج8 ص1075 و1079 و1081
อินชาอัลลอฮ จะมีตอนต่อไป โปรดติดตาม
والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขในการตามผู้นำ




เงื่อนไขของการตามผู้นำ

อิบนุอะบิลอิซ (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า

فَقَدْ دَلَّ الْكِتَابُ وَالسُّنَّةُ عَلَى وُجُوبِ طَاعَةِ أُولِي الْأَمْرِ ، مَا لَمْ يَأْمُرُوا بِمَعْصِيَةٍ ، فَتَأَمَّلْ قَوْلَهُ تَعَالَى : أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ [ النِّسَاءِ : 59 ] - كَيْفَ قَالَ : وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ ، وَلَمْ يَقُلْ وَأَطِيعُوا أُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ ؟ لِأَنَّ أُولِي الْأَمْرِ لَا يُفْرَدُونَ بِالطَّاعَةِ ، بَلْ يُطَاعُونَ فِيمَا هُوَ طَاعَةٌ ...لِلَّهِ وَرَسُولِهِ . وَأَعَادَ الْفِعْلَ مَعَ الرَّسُولِ لِأَنَّ مَنْ يُطِعِ الرَّسُولَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ ، فَإِنَّ الرَّسُولَ لَا يَأْمُرُ بِغَيْرِ طَاعَةِ اللَّهِ ، بَلْ هُوَ مَعْصُومٌ فِي ذَلِكَ ، وَأَمَّا وَلِيُّ الْأَمْرِ فَقَدْ يَأْمُرُ بِغَيْرِ طَاعَةِ اللَّهِ ، فَلَا يُطَاعُ إِلَّا فِيمَا هُوَ طَاعَةٌ لِلَّهِ وَرَسُولُهُ .


แท้จริง อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกว่า จำเป็นต้องเชื่อฟังต่อผู้นำ(อุลิลอัมริ) ตราบใดที่พวกเขาไม่สั่งให้ทำการฝ่าฝืน (ทำสิ่งที่ผิด) ท่านจงสังเกต คำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “พวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ ,พวกเจ้าจงเชื่อฟังรอซูล และผู้นำในหมู่พวกเจ้า – อันนิสาอฺ/59 อย่างไรเล่าที่ พระองค์ตรัสว่า “ พวกเข้าจงเชื่อฟังรอซูล โดยที่พระองค์ ไม่ได้ตรัสว่า “وَأَطِيعُوا أُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ(และพวกเจ้าจงเชื่อฟังผู้นำในหมู่พวกเจ้า) ? (คำตอบคือ) เพราะผู้นำนั้น พวกเขาจะไม่ถูกให้เป็นเอกเทศด้วยการเชื่อฟัง แต่ทว่า พวกเขาจะถูกเชื่อฟัง ในสิ่งที่พวกเขาเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลของพระองค์เท่านั้น และพระองค์ กล่าวคำกริยา (คำว่า وَأَطِيعُوا) ซ้ำ พร้อมกับคำว่ารอซูล เพราะว่า ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอน เขาได้เชื่อฟังอัลลอฮแล้ว เพราะแท้จริงรอซูล จะไม่สั่ง ด้วยอื่นจากการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ ยิ่งไปกว่านั้น เขา(รอซูล) คือมะอศูม(ผู้ได้รับการคุ้มครองจากความผิด) ในดังกล่าว และสำหรับผู้นำนั้น บางครั้ง เขาสั่ง ด้วยอื่นจากการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ ดังนั้น เขาจะไม่ถูกเชื่อฟัง นอกจากในสิ่งที่ เขาเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น – ดู ชัรหอัลอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/543
>>>>>>>>
สรุป
1. การเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล เป็นการเชื่อฟังโดยปราศจากเงือนไข
2. การเชื่อฟังผู้นำนั้น เป็นการเชื่อฟังที่มีเงือนไขคือ เชื่อฟังในสิ่งที่ไม่ขัดหรือฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮและรอซูล
3. อัลลอฮตาอาลา ใช้คำกริยาที่ว่า وَأَطِيعُوا ซ้ำกับคำว่า อัลลอฮ และรอซูล แตไม่ได้ใช้นำหน้าคำว่า อุลิลอัมริ จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า การเชื่อฟังผู้นำนั้น ไม่ใช่การเชื่อฟังโดยเอกเทศ แต่เป็นการเชื่อฟังที่มีเงื่อนไข คือ เชื่อฟังในสิ่งที่เขาปฏิบัติตามอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น
والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขของอะมัลที่ถูกตอบรับ






เงื่อนไขของอะมัลที่ถูกตอบรับ
อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า
بَلَىٰ مَنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ فَلَهُ أَجْرُهُ عِندَ رَبِّهِ وَلَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ

...
หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขา ให้แก่อัลลอฮ์ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ- อัลบะเกาะฮเราะฮ/112
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า


وَهُوَ مُحْسِنٌ ) أَيْ : مُتَّبِعٌ فِيهِ الرَّسُولَ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . فَإِنَّ لِلْعَمَلِ الْمُتَقَبَّلِ شَرْطَيْنِ ، أَحَدُهُمَا : أَنْ يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ وَحْدَهُ وَالْآخَرُ : أَنْ يَكُونَ صَوَابًا مُوَافِقًا لِلشَّرِيعَةِ . فَمَتَى كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُتَقَبَّلْ ; وَلِهَذَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ " . رَوَاهُ مُسْلِمٌ مِنْ حَدِيثِ عَائِشَةَ ، عَنْهُ ، عَلَيْهِ السَّلَامُ .


(และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดี) หมายถึง เขาเป็นผู้ปฏิบัติตามรอซูล ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในมัน ,เพราะแท้จริง การงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)ที่ถูกตอบรับนั้น มี 2 เงื่อนไข คือ
1. มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮพระองค์เดียว
2. มีความถูกต้อง สอดคล้องตามบทบัญญัติ
ดังนั้น เมื่อมัน มีความบริสุทธิ์ใจ และขณะเดียวกันมันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกตอบรับ และเพราะเหตุนี้ ,ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ ผู้ใดประกอบการงานใดๆ ที่ไม่มีกิจการ(ศาสนา)ของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ –รายงานโดย มุสลิม จากหะดิษ อาอีฉะฮ จากท่านนบี อะลัยฮิสสลาม
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายอีกว่า


وَأَمَّا إِنْ كَانَ الْعَمَلُ مُوَافِقًا لِلشَّرِيعَةِ فِي الصُّورَةِ الظَّاهِرَةِ ، وَلَكِنْ لَمْ يُخْلِصْ عَامِلُهُ الْقَصْدَ لِلَّهِ فَهُوَ أَيْضًا مَرْدُودٌ عَلَى فَاعِلِهِ وَهَذَا حَالُ الْمُنَافِقِينَ وَالْمُرَائِينَ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : ( إِنَّ الْمُنَافِقِينَ يُخَادِعُونَ اللَّهَ وَهُوَ خَادِعُهُمْ وَإِذَا قَامُوا إِلَى الصَّلَاةِ قَامُوا كُسَالَى يُرَاءُونَ النَّاسَ وَلَا يَذْكُرُونَ اللَّهَ إِلَّا قَلِيلًا ) [ النِّسَاءِ : 142 ]


และสำหรับ หากปรากฏว่าการงาน(อะมั้ล)นั้นสอดคล้องตามบทบัญญัติ ในรูปแบบภายนอก และ ผู้ปฏิบัติมัน เจตนาไม่มีความบริสุทธิ์ เพื่ออัลลอฮ มันก็ถูกตีกลับบนผู้ที่ปฏิบัติมัน(หมายถึงไม่ถูกตอบรับ) และนี้คือสภาพ (อะมั้ล)ของบรรดาผู้กลับกลอก(มุนาฟิกีน)ที่โอ้อวดให้ผู้คนเห็น ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นกำลังหลอกลวงอัลลอฮฺ อยู่ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้านโดยให้ผู้คนเห็นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกพึงอัลลอฮฺ นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น)- อันนิสาอฺ/142
สรุป
การประกอบอะมั้ลอิบาดะฮที่อัลลอฮทรงรับนั้น จะต้องปฏิบัติเพื่ออัลลอฮ และการปฏิบัตินั้นจะต้องถูกต้องตรงตามที่มีบทบัญญัติไว้ และการประกอบการงานใดๆในเรื่องศาสนา ที่ไม่มีในบทบัญญัติศาสนาจะไม่ถูกตอบรับจากอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب