หะดิษที่ถูกนำมาแอบอ้างในเรื่องตะวัซซุลด้วยคนตายในหลุมศพ
รายงานข้างล่างนี้ มีผู้นำมาเป็นหลักฐานว่า สามารถขอดุอาโดยใช้หลุมศพคนตายเป็นสื่อได้
ท่านอิบนุชัยบะฮ์ กล่าวรายงานว่า
عَنْ مَالِكِ الدَّارِ، وَكَانَ خَازِنُ عُمَرَ، قَالَ أَصَابَ النَّاسَ قَحْطٌ فِيْ زَمَنِ عُمَرَ، فَجَاءَ رَجُلٌ اِلَى قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ يَارَسُوْلَ اللهِ اِسْتَسَقِ لِأُمَّتِكَ فَاِنَّهُمْ هَلَكُوْا،فَأَتَى الرَّجُلُ فِي الَمَنَامِ فَقِيْلَ لَهُ اِئْتِ عُمَرَ فَاقْرِئْهُ السَّلاَمَ وَأَخْبِرْهُ أَنَّكُمْ مَسْقِيُّوْنَ، وَقُلْ لَهُ عَلَيْكَ الْكَيْسَ عَلَيْكَ الْكَيْسَ ، فَأَتَى عُمَرَ فَأَخْبَرَهُ، فَبَكَى عُمَرُ ثُمَّ قَالَ يَا رَبِّ لاَ آلُوْ اِلاَ مَا عَجَزْتُ عَنْهُ:
"จากมาลิก อัดดาร (รายงานว่า) ผู้ดูแลคลังของท่านอุมัร ได้กล่าวว่า ประชาชนได้ประสบความแห้งแล้งในสมัยท่านอุมัร ดังนั้นจึงมีชายคนหนึ่งได้มายังกุบูรของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และกล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ท่านจงขอให้ฝนตกแก่ประชากรของท่านด้วยเถิด เพราะว่าพวกเขากำลังเดือดร้อน ดังนั้นท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงมาเข้ามาหาชายคนนั้นในฝัน และถูกกล่าวแก่เขาว่า ท่านจงไปหาอุมัร แล้วจากฝากบอกสลามแก่เขาด้วย และจงบอกเขาว่า แท้จริงพวกท่านจะได้รับน้ำฝน และจงกล่าวแก่เขาว่า จงมุ่งมั่นในภาระกิจของประชาชน จงมุ่งมั่นในภาระกิจของประชาชน แล้วชายผู้นั้นก็ไปหาท่านอุมัร และเล่าให้ฟัง ท่านอุมัรจึงร้องไห้ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า โอ้ผู้อภิบาลของฉัน ฉันมิได้ทำการอันพกพร่องเลยนอกจากสิ่งที่ฉันไม่มีความสามารถเท่านั้น" หนังสืออัลมุซันนัฟ 12/31-32 ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร และอัลฮาฟิซฺ อิบนุ กะษีร กล่าวว่าสายรายงานฮะดีษนี้ซอฮิห์ : ฟัตฮุลบารีย์ 2/495 , หนังสืออัลบิดายะฮ์วันนะฮายะฮ์ ของท่านอิบนุกะษีร 7/111
..................
วิภาษณ์หะดิษข้างต้น
1. อัลบานีย์ได้วิจารณ์ว่า
لا حجة فيها ، لأن مدارها على رجل لم يسمَّ فهو مجهول أيضا ، وتسميته بلالا في رواية سيف لا يساوي شيئا ، لأن سيفا هذا هو ابن عمر التميمي ، متفق على ضعفه عند المحدثين بل قال ابن حبان فيه : يروي الموضوعات عن الأثبات وقالوا : إنه كان يضع الحديث ، فمن كان هذا شأنه لا تُقبل روايته ولا كرامة لاسيما عند المخالفة
ในหะดิษเอามาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะประเด็นสำคัญของมัน อยู่บนชายคนหนึ่ง ที่ไม่ถูกระบุชื่อ และเขาคือผู้ที่ไม่เป็นรู้จักอีก และ การระบุว่าเขาชื่อ บิลาล ในสายรายงานของ สัยฟฺ นั้น ย่อมไม่มีค่าเลย เพราะสัยฟฺ คนนี้ คือ อิบนุอุมัรอัตตัยมีย์ บรรดานักหะดิษเห็นฟ้องกันว่า เขาผู้นี้หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ) ยิ่งไปกว่านั้น อิบนุหิบบาน ได้กล่าวเกี่ยวเขาผู้นี้ว่า “เขารายงานบรรดาหะดิษปลอม จากบรรดาผู้รายงานที่แน่นอน แท้จริงเขา ปลอมหะดิษ ดังนั้นผู้ใดมีสถานภาพแบบนี้ การรายงานของเขาจะมาถูกรับ และไม่มีเกียรติพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อขัดแย้ง – ดู อัตตะวัซซุล หน้า 132
2. อิบนุบาซ กล่าวว่า
هذا الأثر على فرض صحته كما قال الشارح ليس بحجة على جواز الاستسقاء بالنبي صلى الله عليه وسلم بعد وفاته لأن السائل مجهول ولأن عمل الصحابة رضي الله عنهم على خلافه وهم أعلم الناس بالشرع ولم يأت أحد منهم إلى قبره يسأله السقيا ولا غيرها بل عدل عمر عنه لما وقع الجدب إلى الاستسقاء بالعباس ولم يُنكر ذلك عليه أحد من الصحابة فعُلم أن ذلك هو الحق وأن ما فعله هذا الرجل منكر ووسيلة إلى الشرك
อะษัร(หะดิษ)นี้ สมมุติว่าเศาะเฮียะ ดังที่ผู้อธิบาย(หมายถึงหาฟิซอิบนุหะญัร)กล่าว ก็ไม่ใช่เป็นหลักฐาน อนุญาตให้ขอฝนกับนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หลังจากท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะว่าผู้ขอนั้น ไม่เป็นที่รู้จักสถานะ และเพราะว่า การกระทำของเศาะหาบะฮ(ร.ฎ)นั้น แตกต่างกับเขาผู้นั้น ทั้งๆที่พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะฮ) เป็นมนุษย์ที่รู้ ศาสนบัญญัติยิ่งกว่า และไม่ปรากฏว่าคนใดในหมู่พวกเขา ไปยังหลุมศพของท่านนบี แล้วขอฝนต่อท่าน และอื่นจากนั้นก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น เมือเกิดแห้งแล้ง อุมัรหันออกจากมัน ไปยังการขอฝนกับอิบนุอับบาส โดยที่ไม่มีเศาะหาบะฮคนใดคัดค้านเขา เพราะเป็นที่รู้กันว่า ดังกล่าวนั้น คือ ความถูกต้อง และแท้จริง การกระทำของชายคนนี้ ถูกคัดค้าน และเป็นสื่อนำไปสู่การชิริก.... ดู ฟัตหุลบารีย์ อธิบายเพิ่มเติมโดยอิบนุบาซ เล่ม 2 หน้า 575
3. เรื่องการฝันเห็นนบี ศอลฯ ว่าได้สั่งใช้หรือสั่งห้ามในฝันหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เอามาเป็นหลักฐานทางศาสนาไม่ได้
อิหม่ามชาฏิบีย์กล่าวว่า
وأما الرؤيا التي يخبر فيها رسول الله صلى الله عليه وسلم الرائي بالحكم فلا بد من النظر فيها أيضاً لأنه إذا أخبر بحكم موافق لشريعته فالحكم بما استقر وإن أخبر بمخالف فمحال لأنه صلى الله عليه وسلم لا ينسخ بعد موته شريعته المستقرة في حياته لأن الدين لا يتوقف استقراره بعد موته على حصول المرائي النومية لأن ذلك باطل بالإجماع فمن رأى شيئاً من ذلك فلا عمل عليه وعند ذلك نقول : إن رؤياه غير صحيحة إذ لو رآه حقاً لم يخبره بما يخالف الشرع
และสำหรับการฝันที่รซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกในความฝัน แก่ผู้ทีฝันเกี่ยวกับหุกุม ก็จะต้องพิจารณาอีกเช่นกัน เพราะ เมื่อท่านนบีบอกด้วยหุกุม ที่สอดคล้องกับชะรีอะฮของท่าน ก็ให้หุกุมนั้น เป็นไปตามสิ่งที่มีอยู่แล้ว และหากท่านนบีบอก(ในฝัน) ด้วยสิ่งที่ขัดแย้ง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะไม่ยกเลิกชะรีอะฮที่ถูกให้มีอยู่ในตอนที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ท่านนบีเสียชีวิตไปแล้ว เพราะศาสนา นั้น การดำรงอยู่ของมัน จะไม่หยุด(รอหลักฐาน) หลังจากท่านนบีเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ฝันของการนอนหลับ เพราะดังกล่าวนั้น เป็นโมฆะ ด้วยมติของนักวิชาการ ดังนั้น ผู้ใด เห็นสิ่งใดจากดังกล่าวนั้น ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามมัน และขณะนั้น ให้เรากล่าวว่า “ การฝันของเขาไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราฝันเห็นท่านนบีจริง ท่านนบีก็จะไม่บอกเราในสิ่งที่ขัดแย้งกับศาสนบัญญัติ - อัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 322
อัลหาฟีซ อิบนหะญัร กล่าวว่า
أن النائم لو رأى النبي صلى الله عليه وسلم يأمره بشيء هل يجب عليه امتثاله ولا بد ؟ أو لا بد أن يعرضه على الشرع الظاهر فالثاني هو المعتمد كما تقدم
แท้จริงหากเขาฝันเห็นนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สั่งให้เขาทำสิ่งใด จำเป็นเขาจะต้องปฏิบัติตามมันหรือไม่และจำเป็นหรือไม่ ? หรือ จำเป็นจะต้องนำมันมาเสนอบนศาสนาบัญญัติที่ปรากฏอยู่ ดังนั้น ทัศนะที่สอง คือ ทัศนะที่ได้รับการยอมรับดังที่ได้ถูกนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้ว – ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 12 หน้า 486
อิหมาเชากานีย์ กล่าวว่า
لا يخفاك أن الشرع الذي شرعه الله لنا على لسان نبينا صلى الله عليه وسلم قد كمله الله عز وجل وقال: ( الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ ) ولم يأتنا دليل يدل على أن رؤيته في النوم بعد موته صلى الله عليه وسلم إذا قال فيها بقول أو فعل فيها فعلاً يكون دليلاً وحجة بل قبضه الله إليه عند أن كمل لهذه الأمة ما شرعه لها على لسانه ولم يبق بعد ذلك حاجة للأمة في أمر دينها وقد انقطعت البعثة لتبليغ الشرائع وتبيينها بالموت
และเป็นที่เปิดเผยแก่ท่านว่า แท้ศาสนบัญญัติที่อัลลอฮทรงบัญญัติแก่เราโดยผ่านคำพูดของนบีของเรา ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่งได้ทำให้มันสมบูรณ์แล้ว และพระองค์ตรัสว่า “วันที่ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสำบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) ไม่มีหลักฐานใดๆมาถึงพวกเราที่แสดงบอกว่า การฝันเห็นของเขาในการนอนหลับหลังจากที่ท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เสียชีวิต เมื่อท่านกล่าวในความฝันนั้น ด้วยคำพูดใดๆ หรือการกระทำ การกระทำใดๆในนั้น ว่าเป็นหลักฐานและเหตุผลอ้างอิง แต่ในทางกลับกัน อัลลอฮได้เอาท่านนบีกลับไปยังพระองค์ ในขณะที่สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติมันผ่านวาจาของนบี แก่อุมมะฮนี้สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นจะไม่หลงเหลือความจำแก่อุมมะฮในกิจการศาสนาของพวกเขาจะหลงเหลืออยู่อีก ,การส่งศาสดาเพื่อให้เผยแพร่บทบัญญัติและอธิบายมันได้จบสิ้นแล้ว ด้วยการตายของศาสดา ..-อีรชาดุลฟุหูล หน้า 249
........
จากคำชี้แจงข้างต้น จะเห็นได้ว่า หะดิษที่ถุูกนำมาอ้างเป็นหะดิษที่เฎาะอีฟ และขัดแย้งกับสุนนฮนบี ศอ็ลฯ เพราะท่านนบี ศอ็ลฯ ได้มีสุนนะฮว่า เมื่อเกิดภาวะแห้งแล้ง ให้ละหมาดขอฝน ไม่ใช่ไปขอความช่วยเหลือจากคนตายในหลุมศพ และ การฝันว่านบีสั่งให้กระทำใดๆในฝัน หลังจากศาสนาสมบูรณ์แล้ว และวะหยูได้จบสิ้นแล้วด้วยการเสียชีวิตของท่านนบี ศอ็ลฯ หุกุมที่เิดๆที่ได้จากความฝันนั้นย่อมไม่มีผลที่จะเอามาเป็นหลักฐานทางศาสนา จึงขอถามคนที่นำหะดิษตะวัซซุลข้างต้นมาอ้างว่า หากท่านฝันว่านบีสั่งให้เพิ่มละหมาดหกเวลา จะเอาความฝันนั้นมาเป็นหุกุมศาสนาได้หรือ หากท่านฝันว่า นบีสั่งให้หย่าภรรยาท่านต้องปฏิบัติตามนั้นหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/1/59