วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

แนวคิดนบีไม่ทำก็ทำได้ อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม







แนวคิดนบีไม่ทำก็ทำได้ อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อุตริกรรมในด้านศาสนพิธี หรือการอิบาดะฮในศาสนา ได้เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้สุนนะฮถูกกลืนหายไปในสังคม สังคมจึงเอาบิดอะฮนำหน้า เอาสุนนะฮไว้หลัง การทำบิดอะฮกลายเป้นเครื่องการันตีอีหม่านของคน ในขณะที่คนตามสุนนะฮกลายเป็นคนแปลกแยกและเป็นคนเลวในสังคม ,วิกฤติเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากแนวคิดว่านบีไม่ทำก็ทำได้ ในขณะที่คนส่วนหนึ่งยืนยันว่า นบีไม่ทำนั้นคือห้ามทำ
อัลลอฮ ตาอาลา ทรงประทานอิสลามมาแก่มนุษย์ โดยส่งรอซูล มาเป็นแบบอย่าง
พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا (الأحزاب/21)
“โดยแน่นอน ในเราะสูลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมาก-อัลอะฮซาบ/21
อิบนุกะษีร (ร.ฮ)กล่าวว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ أَصْلٌ كَبِيرٌ فِي التَّأَسِّي بِرَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي أَقْوَالِهِ وَأَفْعَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ..
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ หลักรากฐานอันยิ่งใหญ่ ในการดำเนินตามแบบอย่าง รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในบรรดาการพูด ,การกระทำและ สภาพเป็นอยู่ของท่านรอซุล . -ตัฟสีรอิบนุกะษีร . 6/392
อบูอัลมุซฟัรอัสสัมอานีย์กล่าวว่า

إذا ترك النبي صلى الله عليه وسلم شيئا من الأشياء وجب علينا متابعته فيه

เมื่อนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากบรรดาสิ่งต่างๆ ก็จำเป็นแก่เรา จะต้องเจริญรอยตามท่านนบีในสิ่งนั้น – เกาะวาเฏียะอัลอะดิลละฮ เล่ม 1 หน้า 311
...........
คือสิ่งใดท่านนบีไม่ปฏิบัติ เราก็ไม่ปฏิบัติ แบบนี้เขาเรียกปฏิบัติตามสุนนะฮตัรกียะฮ
ความหมายคำว่า "التَّأَسِّي(การดำเนินตามแบบอย่าง)
( فَائِدَةٌ : التَّأَسِّي ) بِرَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ( فِعْلُك ) أَيْ أَنْ تَفْعَلَ ( كَمَا فَعَلَ لِأَجْلِ أَنَّهُ فَعَلَ ) وَأَمَّا التَّأَسِّي فِي التَّرْكِ : فَهُوَ أَنْ تَتْرُكَ مَا تَرَكَهُ ، لِأَجْلِ أَنَّهُ تَرَكَهُ
อัตตะอัสสีย์ (การดำเนินตามแบบอย่าง)รอซูล ศอ็ลฯ (คือ การปฏิบัติของท่าน) หมายถึง ท่านปฏิบัติ (ดังเช่นที่ท่านรอซูลปฏิบัติ เพราะว่าแท้จริงท่านรอซูลได้ปฏิบัติ) และสำหรับการดำเนินตามแบบย่างในการละทิ้ง(การไม่ปฏิบัติ)คือ การที่ท่านไม่ปฏิบติ สิ่งที่ท่านรอซูลไม่ปฏิบัติมัน เพราะว่าแท้จริงท่านรอซูลไม่ปฏิบัติมัน -ดูชัรหเกากะบิลมุนีร ของตะกียุดดีน อะบิลบะกออฺ อัลฟะตูฮีย หน้า 220
.....
สรุปคือ การดำเนินตามแบบอย่างรอซูลนั้น คือ ท่านปฏิบัติ เพราะท่านรอซูล ปฏิบัติ และท่านละทิ้ง(หมายถึงท่านไม่ปฏิบัติ )เพราะว่า ท่านรอซูลละทิ้ง (ไม่ปฏิบัติ)

แปลก...... ณ วันนี้ กลับมีโต๊ะครููบางส่วนบอกว่า "ถึงแม้ท่านรอซูลไม่ปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้ไม่ห้าม - นะฮูซุบิลละฮ
ท่านครับ ท่านไม่รู้หรอกหรือว่า อิสลาม คือ ศาสนา แห่งวะหยู คำสอนศาสนาต้องมาจากวะหยูของเจ้าของศาสนา คืออัลลอฮ
แล้วสิ่งที่ท่านรอซูล ศอ็ลฯไม่สอน มันจะเ็นศาสนาได้อย่างไร

อัลกุรอาน ได้รับรองว่าสิ่งที่ท่านเราะสูล พูดนั้นเป็นวะหีย์มาจากอัลลอฮ์ ไม่ใช่มาจากอารมณ์ของท่านเอง พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى (النجم/3-4)
“และเขามิได้พูดตามอารมณ์ อัล-กุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา”
จึงขอถามผู้รู้หรือท่านครุ ที่รับรองในสิ่งที่รอซูล ศอ็ลฯ ไม่ปฏิบัติ ไม่สอนว่า ท่านได้รับวะหยูจากใครหรือ?
อัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า

وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الإِسْلامِ دِيْنَاً فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِيْنَ

ความว่า “และผู้ใดแสวงหาอื่นจากอิสลามไว้เป็นศาสนาแล้ว มันจะไม่ถูกตอบรับจากพระองค์ และในวันปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (ซูเราะฮฺอาลอิมรอน : 85)
จึงฝากให้พีน้องทั้งหลายนำไปคิดและใคร่ครวญว่า ถ้าท่านไปหลงเชื่อ แล้วปฏิบัติอิบาดะฮในสิ่งทีไม่มีคำสอนศาสนา ระวังว่า ในวันอาคีเราะฮพวกท่านจะขาดทุน เพราะไม่รู้จะเอาผลตอบแทนจากใคร - นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/1/59

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

กลุ่มใดหรือที่ได้เข้าสวรรค์?



กลุ่มใดหรือที่ได้เข้าสวรรค์?
พวกยิว(ยะฮูดี) และ คริสเตียน(นะศอรอ)ในอดีต ต่างก็อ้างว่า กลุ่มของตนเท่านั้นได้เข้าสวรรค์ ไม่ใช่กลุ่มอื่น
ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

وَقَالُواْ لَن يَدْخُلَ الْجَنَّةَ إِلاَّ مَن كَانَ هُوداً أَوْ نَصَارَى تِلْكَ أَمَانِيُّهُمْ قُلْ هَاتُواْ بُرْهَانَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ 

และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่านั้น นั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา จงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง - อัล-บ่าก่อเราะฮฺ :111

وَقَالَتِ الْيَهُودُ لَيْسَتِ النَّصَارَى عَلَىَ شَيْءٍ وَقَالَتِ النَّصَارَى لَيْسَتِ الْيَهُودُ عَلَى شَيْءٍ وَهُمْ يَتْلُونَ الْكِتَابَ كَذَلِكَ قَالَ الَّذِينَ لاَ يَعْلَمُونَ مِثْلَ قَوْلِهِمْ فَاللّهُ يَحْكُمُ بَيْنَهُمْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ فِيمَا كَانُواْ فِيهِ يَخْتَلِفُونَ

และชาวยิวกล่าวว่า ชาวคริสต์นั้นมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด และชาวคริสต์ก็กล่าว่า ชาวยิวก็มิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด ทั้ง ๆ ที่เขาเหล่านั้นอ่านคัมภีร์กันอยู่ ในทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่รู้ก็ได้กล่าวเช่นเดียวกับคำกล่าวของพวกเขา ดังนั้นในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน -อัล-บ่าก่อเราะฮฺ :113
คือ ฝ่ายยิวก็อ้างว่าพวกตนเท่านั้นได้เข้าสวรรค์ และฝ่ายตนเท่านนั้นที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง ฝ่ายคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน อ้างว่า พวกตนเท่านนั้นได้เข้าสวรรค์ และฝ่ายตนเท่านั้นที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง
จากอายะฮที่ ๑๑๑ ซูเราะฮอัลบะเกาะเราะฮ อัลลอฮซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงต้ดสินว่า
بَلَىٰ مَنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ فَلَهُ أَجْرُهُ عِندَ رَبِّهِ وَلَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ
...
หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขา ให้แก่อัลลอฮ์ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ- อัลบะเกาะฮเราะฮ/112
อิบนุกะษีร อธิบายว่า
( وهو محسن ) أي : متبع فيه الرسول صلى الله عليه وسلم
(และเขาเป็นผู้ทำความดี) หมายถึง เป็นผู้ปฏิบัติตามรอซูล ศอ็ลฯ ในมัน (หมายถึงในศาสนาของเขา) - ตัฟสีรอิบนุกะษีร
..........
ปัจจุบัน มุสลิมเราแบ่ง กันหลายกลุ่ม ตั้งชื่อกลุ่มเสียสวยงาม กลุ่มซาบิกูน กลุ่มสะละฟี กลุ่มอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮไม่แอบอ้าง แต่ละกลุ่มก็อ้างว่าแนวทางกลุ่มของตนคือ ทางรอด คือ มันฮาจญสะลัฟขนานแท้และดั้งเดิม บางกลุ่มถึงขนาดเชื่อมันในหลักการกลุ่มตน ถึงขนาดใครไม่มีทัศนะเหมือนกลุ่มตน ก็ หาว่า เป็นสะลัฟกำมะลอบ้าง ซุนนะฮหลงฝูงบ้าง ซุนนะฮแอบอ้างบ้าง ซุนนะฮจอมปลอมบ้าง, เป็นวะฮบีย์มุญัสสิมะฮบ้าง เป็นพวกอะกีดะฮยิวบ้าง แต่ละฝ่ายหาแนวร่วมและเปิดสงครามน้ำลายและคีย์บอร์ด กัน ไม่มีวันจบสิ้น จนบางกลุ่ม ประกาศตัดความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ตรงกับกลุ่มตนเลยที่เดียว
ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า
" افترقت اليهود على إحدى وسبعين فرقة، وافترقت النصارى على اثنتين وسبعين فرقة، وستفترق هذه الأمَّة على ثلاث وسبعين فرقة ،كلها في النار إلاَّ واحدة) وفي روايةٍ صحيحة : قالوا : من هُمْ يا رسول الله ؟ قال : مَنْ كانُوا على مثل ما أنا عليه اليوم وأصحابي "
ความว่า “พวกยิวได้แบ่งออกเป็นเจ็ดสิบเอ็ดจำพวก พวกคริสต์ได้แบ่งออกเป็นเจ็ดสิบสองจำพวก และประชาชาติของฉันจะแบ่งออกเป็นเจ็ดสิบสามจำพวก ทั้งหมดอยู่ในไฟนรก นอกจากพวกเดียวเท่านั้น” และยังมีรายงานที่ถูกต้องอีกว่า : พวกเขาถามว่า “โอ้รอซูลุลลอฮฺ พวกที่รอดพ้นเป็นพวกไหน?” ท่านนบีตอบว่า “พวกที่อยู่บนแนวทางเหมือนกันกับฉันและบรรดาสาวกของฉัน”
(รายงานโดยอะหฺมัดและติรมีซีย์ และอีกหลายสายรายงาน เป็นฮาดิษที่ศอฮีหฺ)
......
จากหะดิษข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มหรือพวกที่ได้เข้าสวรรค์คือ
ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางหรือคำสอนที่ท่านนบี ศอ็ลฯ และบรรดาสกวกของท่าน ยืนหยัดอยู่บนแนวทางนั้น
เพราะฉะนั้น ใครจะตั้งกลุ่มว่าอย่างไร ไม่สำคัญ สำคัญว่า คุณดำเนินอยู่บนแนวทางที่รอซูลและบรรดาเศาะหาบะฮดำเนินอยู่บนแนวทางนั้นหรือเปล่า และคุณปฏิบัติตามนั้นไหม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดัม
๒๗/๑/๕๙

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

จะตามผู้รู้ประเภทใหนไม่ให้หลงทาง





จะตามผู้รู้ประเภทใหนไม่ให้หลงทาง

قال الشيخ العثيمين-رحمه الله-: (العلماء ثلاثة أقسام: عالم مِلَّةْ، وعالم دولة، وعالم أمة). 
ชัยค์อัลอุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า " อุลามาอฺ (บรรดาผู้รู้)แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. อาลิมมิลละฮ
2. อาลิมเดาละฮ
3. อาลิมอุมมะฮ

أما عالم الْمِلَّة: فهو الذي ينشر دين الإسلام، ويفتي بدين الإسلام عن علم، ولا يبالي بما دل عليه الشرع أوافق أهواء الناس أم لم يوافق.
สำหรับอาลิม อัล-มิลละฮ นั้น คือผู้ที่เผยแพร่ศาสนาอิสลาม และฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา)จากความรู้ โดยไม่สนใจว่าบทบัญญัติที่แสดงบอกบนมัน นั้นจะตรงกับอารมณ์ของบรรดาผู้คนหรือไม่ก็ตาม
وأما عالم الدولة: فهو الذي ينظر ماذا تريد الدولة فيفتي بما تريد الدولة، ولو كان في ذلك تحريف كتاب الله وسنة رسوله-صلى الله عليه وسلم-.
และสำหรับอาลิมอัด-เดาละฮ คือ คือผู้รู้ที่พิจารณาดูว่า อะไรที่รัฐต้องการ เขาก็ฟัตวา ตามที่รัฐต้องการ และแม้ว่า ในดังกล่าวนั้น คือ การบิดเบือนคัมภีร์อัลลอฮและสุนนะฮรอซูลของพระองค์(ศอลฯ)ก็ตาม
وأما عالم الأمة: فهو الذي ينظر ماذا يرضي الناس، إذا رأى الناس على شيء أفتى بما يرضيهم، ثم يحاول أن يحرف نصوص الكتاب والسنة من أجل موافقة أهواء الناس.
และสำหรับอาลิมอัด-เดาละฮ คือ ผู้ที่พิจารณาดูว่า อะไรที่บรรดาผู้คน เมื่อบรรดาผู้คนเห็นชอบสิ่งใด เขาก็ตอบปัญหา(ฟัตวา) ด้วยสิ่งที่บรรดาผู้คนพอใจ หลังจากนั้น เขาก็พยายามบิดเบือนบรรดาตัวบทอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อให้สอดคล้องกับที่อารมณ์มนุษย์ต้องการ
نسأل الله أن يجعلنا من علماء الملة العاملين بها

เราขอต่ออัลลอฮ โปรดบันดาลให้เราเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามาอฺอัลมิลละฮที่ปฏิบัติตามคำสอนศาสนาด้วยเถิด
(4/307-308/شرح رياض الصالحين).

จากคำพูดของเช็คมุหัหมัด อัลอุษัยมีน สรุปได้ดังนี้
1. อุลามาอฺเดาละฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่พยายามบิดเบือนคำสอนของศาสนา เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ วาสนา ตำแหน่ง และยศถาบรรดาศักดิ์ ที่รัฐมอบให้ เพราะชงศาสนาตามที่รัฐต้องการ
2. อุลามาอฺอุมมะฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่ต้องการความนิยมชมชอบจากมวลชนหรือสังคม สิ่งใดที่คนทั่วไปพอใจ เขาก็ดำเนินการเผยแผ่และสอนตามนั้น เพื่อเอาใจผู้คน แม้จะบิดเบือนหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เขาก็ทำ
3. อุลามาอฺมิลละฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่เผยแพร่ศาสนาตรงไปตรงมาผู้คนจะพอใจหรือไม่ ก็ตาม เพราะเขายึดศาสนาและความถูกต้องเป็นหลัก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๓/๑/๕๙

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

หะดิษที่ถูกนำมาแอบอ้างในเรื่องตะวัซซุลด้วยคนตายในหลุมศพ








หะดิษที่ถูกนำมาแอบอ้างในเรื่องตะวัซซุลด้วยคนตายในหลุมศพ
รายงานข้างล่างนี้ มีผู้นำมาเป็นหลักฐานว่า สามารถขอดุอาโดยใช้หลุมศพคนตายเป็นสื่อได้
ท่านอิบนุชัยบะฮ์ กล่าวรายงานว่า
عَنْ مَالِكِ الدَّارِ، وَكَانَ خَازِنُ عُمَرَ، قَالَ أَصَابَ النَّاسَ قَحْطٌ فِيْ زَمَنِ عُمَرَ، فَجَاءَ رَجُلٌ اِلَى قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ يَارَسُوْلَ اللهِ اِسْتَسَقِ لِأُمَّتِكَ فَاِنَّهُمْ هَلَكُوْا،فَأَتَى الرَّجُلُ فِي الَمَنَامِ فَقِيْلَ لَهُ اِئْتِ عُمَرَ فَاقْرِئْهُ السَّلاَمَ وَأَخْبِرْهُ أَنَّكُمْ مَسْقِيُّوْنَ، وَقُلْ لَهُ عَلَيْكَ الْكَيْسَ عَلَيْكَ الْكَيْسَ ، فَأَتَى عُمَرَ فَأَخْبَرَهُ، فَبَكَى عُمَرُ ثُمَّ قَالَ يَا رَبِّ لاَ آلُوْ اِلاَ مَا عَجَزْتُ عَنْهُ:
"จากมาลิก อัดดาร (รายงานว่า) ผู้ดูแลคลังของท่านอุมัร ได้กล่าวว่า ประชาชนได้ประสบความแห้งแล้งในสมัยท่านอุมัร ดังนั้นจึงมีชายคนหนึ่งได้มายังกุบูรของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และกล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ท่านจงขอให้ฝนตกแก่ประชากรของท่านด้วยเถิด เพราะว่าพวกเขากำลังเดือดร้อน ดังนั้นท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงมาเข้ามาหาชายคนนั้นในฝัน และถูกกล่าวแก่เขาว่า ท่านจงไปหาอุมัร แล้วจากฝากบอกสลามแก่เขาด้วย และจงบอกเขาว่า แท้จริงพวกท่านจะได้รับน้ำฝน และจงกล่าวแก่เขาว่า จงมุ่งมั่นในภาระกิจของประชาชน จงมุ่งมั่นในภาระกิจของประชาชน แล้วชายผู้นั้นก็ไปหาท่านอุมัร และเล่าให้ฟัง ท่านอุมัรจึงร้องไห้ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า โอ้ผู้อภิบาลของฉัน ฉันมิได้ทำการอันพกพร่องเลยนอกจากสิ่งที่ฉันไม่มีความสามารถเท่านั้น" หนังสืออัลมุซันนัฟ 12/31-32 ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร และอัลฮาฟิซฺ อิบนุ กะษีร กล่าวว่าสายรายงานฮะดีษนี้ซอฮิห์ : ฟัตฮุลบารีย์ 2/495 , หนังสืออัลบิดายะฮ์วันนะฮายะฮ์ ของท่านอิบนุกะษีร 7/111 
..................

วิภาษณ์หะดิษข้างต้น
1. อัลบานีย์ได้วิจารณ์ว่า
لا حجة فيها ، لأن مدارها على رجل لم يسمَّ فهو مجهول أيضا ، وتسميته بلالا في رواية سيف لا يساوي شيئا ، لأن سيفا هذا هو ابن عمر التميمي ، متفق على ضعفه عند المحدثين بل قال ابن حبان فيه : يروي الموضوعات عن الأثبات وقالوا : إنه كان يضع الحديث ، فمن كان هذا شأنه لا تُقبل روايته ولا كرامة لاسيما عند المخالفة 
ในหะดิษเอามาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะประเด็นสำคัญของมัน อยู่บนชายคนหนึ่ง ที่ไม่ถูกระบุชื่อ และเขาคือผู้ที่ไม่เป็นรู้จักอีก และ การระบุว่าเขาชื่อ บิลาล ในสายรายงานของ สัยฟฺ นั้น ย่อมไม่มีค่าเลย เพราะสัยฟฺ คนนี้ คือ อิบนุอุมัรอัตตัยมีย์ บรรดานักหะดิษเห็นฟ้องกันว่า เขาผู้นี้หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ) ยิ่งไปกว่านั้น อิบนุหิบบาน ได้กล่าวเกี่ยวเขาผู้นี้ว่า “เขารายงานบรรดาหะดิษปลอม จากบรรดาผู้รายงานที่แน่นอน แท้จริงเขา ปลอมหะดิษ ดังนั้นผู้ใดมีสถานภาพแบบนี้ การรายงานของเขาจะมาถูกรับ และไม่มีเกียรติพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อขัดแย้ง – ดู อัตตะวัซซุล หน้า 132

2. อิบนุบาซ กล่าวว่า
هذا الأثر على فرض صحته كما قال الشارح ليس بحجة على جواز الاستسقاء بالنبي صلى الله عليه وسلم بعد وفاته لأن السائل مجهول ولأن عمل الصحابة رضي الله عنهم على خلافه وهم أعلم الناس بالشرع ولم يأت أحد منهم إلى قبره يسأله السقيا ولا غيرها بل عدل عمر عنه لما وقع الجدب إلى الاستسقاء بالعباس ولم يُنكر ذلك عليه أحد من الصحابة فعُلم أن ذلك هو الحق وأن ما فعله هذا الرجل منكر ووسيلة إلى الشرك
อะษัร(หะดิษ)นี้ สมมุติว่าเศาะเฮียะ ดังที่ผู้อธิบาย(หมายถึงหาฟิซอิบนุหะญัร)กล่าว ก็ไม่ใช่เป็นหลักฐาน อนุญาตให้ขอฝนกับนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หลังจากท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะว่าผู้ขอนั้น ไม่เป็นที่รู้จักสถานะ และเพราะว่า การกระทำของเศาะหาบะฮ(ร.ฎ)นั้น แตกต่างกับเขาผู้นั้น ทั้งๆที่พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะฮ) เป็นมนุษย์ที่รู้ ศาสนบัญญัติยิ่งกว่า และไม่ปรากฏว่าคนใดในหมู่พวกเขา ไปยังหลุมศพของท่านนบี แล้วขอฝนต่อท่าน และอื่นจากนั้นก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น เมือเกิดแห้งแล้ง อุมัรหันออกจากมัน ไปยังการขอฝนกับอิบนุอับบาส โดยที่ไม่มีเศาะหาบะฮคนใดคัดค้านเขา เพราะเป็นที่รู้กันว่า ดังกล่าวนั้น คือ ความถูกต้อง และแท้จริง การกระทำของชายคนนี้ ถูกคัดค้าน และเป็นสื่อนำไปสู่การชิริก.... ดู ฟัตหุลบารีย์ อธิบายเพิ่มเติมโดยอิบนุบาซ เล่ม 2 หน้า 575
3. เรื่องการฝันเห็นนบี ศอลฯ ว่าได้สั่งใช้หรือสั่งห้ามในฝันหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เอามาเป็นหลักฐานทางศาสนาไม่ได้
อิหม่ามชาฏิบีย์กล่าวว่า
وأما الرؤيا التي يخبر فيها رسول الله صلى الله عليه وسلم الرائي بالحكم فلا بد من النظر فيها أيضاً لأنه إذا أخبر بحكم موافق لشريعته فالحكم بما استقر وإن أخبر بمخالف فمحال لأنه صلى الله عليه وسلم لا ينسخ بعد موته شريعته المستقرة في حياته لأن الدين لا يتوقف استقراره بعد موته على حصول المرائي النومية لأن ذلك باطل بالإجماع فمن رأى شيئاً من ذلك فلا عمل عليه وعند ذلك نقول : إن رؤياه غير صحيحة إذ لو رآه حقاً لم يخبره بما يخالف الشرع
และสำหรับการฝันที่รซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกในความฝัน แก่ผู้ทีฝันเกี่ยวกับหุกุม ก็จะต้องพิจารณาอีกเช่นกัน เพราะ เมื่อท่านนบีบอกด้วยหุกุม ที่สอดคล้องกับชะรีอะฮของท่าน ก็ให้หุกุมนั้น เป็นไปตามสิ่งที่มีอยู่แล้ว และหากท่านนบีบอก(ในฝัน) ด้วยสิ่งที่ขัดแย้ง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะไม่ยกเลิกชะรีอะฮที่ถูกให้มีอยู่ในตอนที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ท่านนบีเสียชีวิตไปแล้ว เพราะศาสนา นั้น การดำรงอยู่ของมัน จะไม่หยุด(รอหลักฐาน) หลังจากท่านนบีเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ฝันของการนอนหลับ เพราะดังกล่าวนั้น เป็นโมฆะ ด้วยมติของนักวิชาการ ดังนั้น ผู้ใด เห็นสิ่งใดจากดังกล่าวนั้น ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามมัน และขณะนั้น ให้เรากล่าวว่า “ การฝันของเขาไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราฝันเห็นท่านนบีจริง ท่านนบีก็จะไม่บอกเราในสิ่งที่ขัดแย้งกับศาสนบัญญัติ - อัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 322 
อัลหาฟีซ อิบนหะญัร กล่าวว่า

أن النائم لو رأى النبي صلى الله عليه وسلم يأمره بشيء هل يجب عليه امتثاله ولا بد ؟ أو لا بد أن يعرضه على الشرع الظاهر فالثاني هو المعتمد كما تقدم
แท้จริงหากเขาฝันเห็นนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สั่งให้เขาทำสิ่งใด จำเป็นเขาจะต้องปฏิบัติตามมันหรือไม่และจำเป็นหรือไม่ ? หรือ จำเป็นจะต้องนำมันมาเสนอบนศาสนาบัญญัติที่ปรากฏอยู่ ดังนั้น ทัศนะที่สอง คือ ทัศนะที่ได้รับการยอมรับดังที่ได้ถูกนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้ว – ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 12 หน้า 486
อิหมาเชากานีย์ กล่าวว่า
لا يخفاك أن الشرع الذي شرعه الله لنا على لسان نبينا صلى الله عليه وسلم قد كمله الله عز وجل وقال: ( الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ ) ولم يأتنا دليل يدل على أن رؤيته في النوم بعد موته صلى الله عليه وسلم إذا قال فيها بقول أو فعل فيها فعلاً يكون دليلاً وحجة بل قبضه الله إليه عند أن كمل لهذه الأمة ما شرعه لها على لسانه ولم يبق بعد ذلك حاجة للأمة في أمر دينها وقد انقطعت البعثة لتبليغ الشرائع وتبيينها بالموت
และเป็นที่เปิดเผยแก่ท่านว่า แท้ศาสนบัญญัติที่อัลลอฮทรงบัญญัติแก่เราโดยผ่านคำพูดของนบีของเรา ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่งได้ทำให้มันสมบูรณ์แล้ว และพระองค์ตรัสว่า “วันที่ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสำบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) ไม่มีหลักฐานใดๆมาถึงพวกเราที่แสดงบอกว่า การฝันเห็นของเขาในการนอนหลับหลังจากที่ท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เสียชีวิต เมื่อท่านกล่าวในความฝันนั้น ด้วยคำพูดใดๆ หรือการกระทำ การกระทำใดๆในนั้น ว่าเป็นหลักฐานและเหตุผลอ้างอิง แต่ในทางกลับกัน อัลลอฮได้เอาท่านนบีกลับไปยังพระองค์ ในขณะที่สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติมันผ่านวาจาของนบี แก่อุมมะฮนี้สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นจะไม่หลงเหลือความจำแก่อุมมะฮในกิจการศาสนาของพวกเขาจะหลงเหลืออยู่อีก ,การส่งศาสดาเพื่อให้เผยแพร่บทบัญญัติและอธิบายมันได้จบสิ้นแล้ว ด้วยการตายของศาสดา ..-อีรชาดุลฟุหูล หน้า 249
........

จากคำชี้แจงข้างต้น จะเห็นได้ว่า หะดิษที่ถุูกนำมาอ้างเป็นหะดิษที่เฎาะอีฟ และขัดแย้งกับสุนนฮนบี ศอ็ลฯ เพราะท่านนบี ศอ็ลฯ ได้มีสุนนะฮว่า เมื่อเกิดภาวะแห้งแล้ง ให้ละหมาดขอฝน ไม่ใช่ไปขอความช่วยเหลือจากคนตายในหลุมศพ และ การฝันว่านบีสั่งให้กระทำใดๆในฝัน หลังจากศาสนาสมบูรณ์แล้ว และวะหยูได้จบสิ้นแล้วด้วยการเสียชีวิตของท่านนบี ศอ็ลฯ หุกุมที่เิดๆที่ได้จากความฝันนั้นย่อมไม่มีผลที่จะเอามาเป็นหลักฐานทางศาสนา จึงขอถามคนที่นำหะดิษตะวัซซุลข้างต้นมาอ้างว่า หากท่านฝันว่านบีสั่งให้เพิ่มละหมาดหกเวลา จะเอาความฝันนั้นมาเป็นหุกุมศาสนาได้หรือ หากท่านฝันว่า นบีสั่งให้หย่าภรรยาท่านต้องปฏิบัติตามนั้นหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/1/59

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

อย่าเอาความจริงมาปนกับความเท็จ





อย่าเอาความจริงมาปนกับความเท็จ

อย่าเอาความเท็จมาปนกับความจริงและอย่าปิดบังความจริงทั้งๆที่ตัวเองรู้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلاَ تَلْبِسُواْ الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَتَكْتُمُواْ الْحَقَّ وَأَنتُمْ تَعْلَمُونَ
และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ และจงอย่าปกปิดสิ่งที่เป็นจริง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่ - อัลบะเกาะเราะฮ/๔๒
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
يَقُولُ تَعَالَى نَاهِيًا لِلْيَهُودِ عَمَّا كَانُوا يَتَعَمَّدُونَهُ ، مِنْ تَلْبِيسِ الْحَقِّ بِالْبَاطِلِ ، وَتَمْوِيهِهِ بِهِ وَكِتْمَانِهِمُ الْحَقَّ وَإِظْهَارِهِمُ الْبَاطِلَ : ( وَلَا تَلْبِسُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَتَكْتُمُوا الْحَقَّ وَأَنْتُمْ تَعْلَمُونَ ) فَنَهَاهُمْ عَنِ الشَّيْئَيْنِ مَعًا ، وَأَمَرَهُمْ بِإِظْهَارِ الْحَقِّ وَالتَّصْرِيحِ بِهِ ؛ وَلِهَذَا قَالَ الضَّحَّاكُ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ ( وَلَا تَلْبِسُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ ) لَا تَخْلِطُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَالصِّدْقَ بِالْكَذِبِ
อัลลอฮตาอาลาตรัสห้ามแก่ชาวยิว จากสิ่งที่พวกเขา จงใจกระทำมันจากการนำความจริงมาปนกับความเท็จ และการเอาความจริงมาผสมกับความเท็จ ,การปกปิดความจริง และเปิดเผยความเท็จว่า (และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ และจงอย่าปกปิดสิ่งที่เป็นจริง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่) แล้วพระองค์ทรงห้ามพวกเขา จากสองสิ่งพร้อมๆกัน และทรงสั่งพวกเขา ให้เปิดเผยความจริง และชี้แจงมัน และเพราะเหตุนี้ อัฎเฎาะหาก ได้รายงานจากอิบนุอับบาสว่า (และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ)หมายถึง พวกเจ้าอย่าเอาความจริงปนกับความเท็จ และ (อย่าเอา)สัจจะปนกับการโกหก - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร ๑/๒๔๕
..........
จากอายะฮและคำอธิบายข้างต้นสรุปว่า
๑. อัลลอฮทรงห้ามจากการนำเอาความจริงมาปะปนและผสมกับความเท็จ
๒. อัลลอฮทรงห้ามไม่ให้ปกปิดความจริง ทัั้งๆที่รู้อยู่ว่ามันคือความจริง
๓. อัลลอฮทรงสอนให้เปิดเผยและชี้แจงความจริง

จากข้อสรุปข้างต้น จึงเป็นบทเรียนสอนเราว่า อย่าเอาเตาฮีด มาผสมกับการชิริก และอย่าเอาสุนนะฮไปปนกับบิดอะฮ แต่สอนให้เราเปิดเผยความจริง ชี้แจงว่าอะไร คือ เตาฮีด อะไรคือชิริก อะไรคืออีหม่าน อะไรคือ กุฟุร อะไรคือสุนนะฮ อะไรคือบิดอะฮ ไม่อย่างนั้น ก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับยิว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๙/๑๑/๕๙

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

การตามอุลามาอ ต้องมีหลักฐานยืนยัน







การตามอุลามาอ ต้องมีหลักฐานยืนยัน

การตามอุลามาอ ไม่เหมือนการตามท่านรอซูล การตามอุลามาอ ต้องมีหลักฐาน ดังที่อิหม่ามชาฟิอีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า

[ليس لأحد دون الرسول صلى الله عليه وسلم أن يقول إلا بالاستدلال. ولا يقول بما استحسن، فإن القول بما استحسن شيء يحدثه لا على مثال سبق] ص (25) الرسالة

ไม่อนุญาตให้บุคคลใดอื่นจากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ต่อการที่เขาจะกล่าวอ้าง เว้นแต่ต้อง อ้างอิงหลักฐาน และเขาจะไม่กล่าวด้วยสิ่งที่เขาเห็นว่าดี แท้จริง การกล่าวอ้าง ด้วยสิ่งที่เขาเห็นว่าดีนั้น คือ สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน - อัรริสาละฮ หน้า 25
อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ)ได้ตอบ เกียวกับความหมายของว่า "อัลอิตบาอฺ (الاتباع)ว่า

اَلاِتِّبَاعُ : اَنْ يَتَّبِعَ الرَّجُلُ مَا جَاءَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَاَصْحَابِهِ ثُمَّ مِنْ بَعْدِ التَّابِعِيْنَ مُخَيَّرٌ.

การตาม คือ การที่คนหนึ่่งปฏิบัติตามสิ่งทีมาจากนบี ศอ็ลฯ และจากบรรดาสาวกของท่าน หลังจากนั้น ยุคหลังจากบรรดาตาบิอีนนั้นคือสิงที่ถูกเลือกตาม- รายงานโดยอบูดาวูด ในอัลมะสาอีล 2//149
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า

الاتباع ما ثبت عليه الحجة، وهو اتباع كلِّ من أوجب عليك الدليلُ اتباعَ قوله، فالرسول صلى الله عليه وسلم هو المثل الأعلى في اتباع ما أمر به

การปฏิบัติตามสิ่งทีหลักฐานได้ยืนยันแน่นอน บนมัน คือ การตามทุกๆผู้ที่ีหลักฐานบงบอกว่า ท่านจะต้องปฏิบัติตามคำพุดของเขา ดังนั้นรอซูล ศอ็ลฯ คือ ตัวอย่างที่สูงส่ง ในการปฏิบัติตามสิงที่เขาสั่งด้วยมัน-อัฏวาอุลบะบาน ของอัชชันกิฏีย์ 7/548
กล่าวคือ เพราะท่านรอซูล ศอ้ลฯ นั้น มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านให้ปฏิบัติตามท่าน
เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ถูกระหว่างตามรอซูล ศอ็ลฯ กับตามอุลามาอฺ ไม่อย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าอุลามาอมีความเห็นอย่างไรกลายเป็นบทบัญญัติศาสนาไปเสียทุกเรื่อง จนบิดอะฮเต็มบ้านเต็มเมือง
والله أعلم الصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/1/59