วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559




อิหม่ามชาฏิบีย์ไม่ได้สอนให้ผูกขาดมัซฮับ
บัน ฟาตอนี
22 เมษายน เวลา 13:37 น.
ท่านอัซซาฏิบีย์ ได้กล่าวหลักการไว้เช่นกันว่า
 
فتاوى المجتهدين بالنسبة إلى العوام كالأدلة الشرعية بالنسبة إلى المجتهدين والدليل عليه أن وجود الأدلة بالنسبة الى المقلدين وعدمها إذا كانوا لا يستندون منها شيئا فليس النظر
فى الأدلة والإستنباط من شأنهم ولا يجوز ذلك لهم البتة
 
ความว่า " บรรดาคำฟัตวาของอุลามาอฺมุจญฺตะฮิดีน สำหรับคนเอาวามทั่วไปนั้น ก็เปรียบเสมือนดาลิ้ลทางศาสนาสำหรับอุลามาอฺมุจตาฮิดีน(หมายถึง คำฟัตวาของอุลามาอฺก็คือ ดาลิ้ล สำหรับคนเอาวามทั่วไปนั้นเอง) และหลักฐานที่ยืนยันว่า คำฟัตวาของอุลามาอฺคือหลักฐานสำหรับคนเอาวามก็คือ การมีหรือไม่มีบรรดาหลักฐานต่างๆ สำหรับบรรดาคนมุก๊อลลิดนั้นมีค่าเท่ากัน เมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะทำการวินิจฉัยหลักฐานอะไรได้ (กล่าวคือ หากคนเอาวามมีหลักฐาน ไม่ว่าจะเอามาจากอัลกุรอานหรือซุนนะห์ก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะทำการวินิจฉัยได้ เพราะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา และหากไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถทำการวินิจฉัยได้ เพราะจะวินิจฉัยจากสิ่งใด ในเมื่อไม่มีหลักฐาน เพราะการวินิจฉัยนั้นต้องมีทั้งสองสิ่งเป็น
........................
ชี้แจง
 
ข้ออ้างข้างต้น อาจจะนำมาซึ่งการเข้าใจผิด ซึ่งความจริงแค่เป็นข้ออนุโลมสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ เท่านั้น ไม่ใช่ให้สังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ
มาดูคำพูดอิหม่ามชาฏิบีย์เต็มๆ
 
فَتَاوَى الْمُجْتَهِدِينَ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْعَوَامِّ كَالْأَدِلَّةِ الشَّرْعِيَّةِ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْمُجْتَهِدِينَ .
 
ฟะตาวาของบรรดามุจญตะฮีดนั้น สำหรับบรรดาคนอาวามนั้น เป็นเสมือนหนึ่ง หลักฐานทางศาสนบัญญัติ สำหรับบรรดามุจญตะฮีด
 
وَالدَّلِيلُ عَلَيْهِ أَنَّ وُجُودَ الْأَدِلَّةِ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْمُقَلِّدِينَ وَعَدَمَهَا سَوَاءٌ ؛ إِذْ كَانُوا لَا يَسْتَفِيدُونَ مِنْهَا شَيْئًا ، فَلَيْسَ النَّظَرُ فِي الْأَدِلَّةِ وَالِاسْتِنْبَاطُ مِنْ شَأْنِهِمْ ، وَلَا يَجُوزُ ذَلِكَ لَهُمْ أَلْبَتَّةَ ، وَقَدْ قَالَ تَعَالَى : فَاسْأَلُوا أَهْلَ الذِّكْرِ إِنْ كُنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ [ النَّحْلِ : 43 ] .
 
และหลักฐานบนเขาคือ สำหรับบรรดาคนอาวามนั้น มีบรรดาหลักฐานหรือไม่มีหลักฐาน ก็มีค่าเท่านกัน เพราะพวกเขา ไม่สามารถจะเอาประโยชน์สิ่งใดๆจากมันเลย (เพราะไม่มีความรู้) เพราะการพิจรณาและวิเคราะห์ในบรรดาหลักฐานนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา และดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตสำหรับพวกเขาอย่างเด็ดขาด และแท้จริง อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า "พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้ที่มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ - อัลนะหลุ /43
 
وَالْمُقَلِّدُ غَيْرُ عَالِمٍ ، فَلَا يَصِحُّ لَهُ إِلَّا سُؤَالُ أَهْلِ الذِّكْرِ ، وَإِلَيْهِمْ مَرْجِعُهُ فِي أَحْكَامِ الدِّينِ عَلَى الْإِطْلَاقِ ، فَهُمْ إِذًا الْقَائِمُونَ لَهُ مَقَامَ الشَّارِعِ ، وَأَقْوَالُهُمْ قَائِمَةٌ مَقَامَ أَقْوَالِ الشَّارِعِ
 
คนมุกอ็ลลิด (หมายถึงคนอาวาม)นั้น ไม่เหมื่อนกับคนที่มีความรู้ เพราะย่อมไม่ถูกต้องสำหรับเขา (สำหรับคนอาวาม) นอกจากจะต้องถาม ผู้มีความรู้ และ พวกเขา(มุจญะตะฮีด) คือ ที่กลับของคนอาวาม ในบรรดาหุกุมศาสนา โดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น พวกเขา(บรรดามุจญตะฮิด) ในเมื่อพวกเขาอยู่ในฐานะ(ตัวแทน)ผู้บัญญัติศาสนาบัญญัติ และบรรดาคำพูดของพวกเขา(บรรดามุจญตะฮีด) อยู่ในฐานะ(ตัวแทน)บรรดาคำพูดของผู้บัญญัติศาสนบัญญัติด้วย - อัลมุวาฟิกอต ของอิหม่ามชาฏิบีย์ เล่ม 5 หน้า 336
..............
จากคำพูดของอิหม่ามชาฏีบีย์ คือ ข้ออนุโลมสำหรับคนอาวาม ที่ไม่มีความรู้ ไม่ใช่ สำหรับทุกคน และคนที่ไม่มีความรู้ นั้นต้องถามผู้รู้ คือ ถามหลักฐาน ไม่ใช่ถามความเห็น แล้วตักลิดตลอดกาล
มาดูอายะฮที่อิหม่ามชาฏิบีย์กล่าวถึง
อายะฮนี้มีดั่งนี้

وَمَا أَرْسَلْنَا مِن قَبْلِكَ إِلاَّ رِجَالاً نُّوحِي إِلَيْهِمْ فَاسْأَلُواْ أَهْلَ الذِّكْرِ إِن كُنتُمْ لاَ تَعْلَمُونَ

และเรามิได้ส่งผู้ใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเป็นผู้ชายที่เราได้วะฮีแก่พวกเขา ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้
อายะฮนี้ ประทานลงมาเพื่อตอบโต้ผู้ที่ค้านการส่งมนุษย์มาทำหน้าที่รอซูล เขาจะไม่ยอมรับ เขาจะยอมรับผู้เป็นรอซูลที่เป็นมลาอิกะฮ อัลลอฮ จึงให้นบี บอกแก่พวกเขาว่า จงไปถามผู้รู้ ว่า ในประชาชาติที่ผ่านมา ผู้เป็นรอซูล เป็นมนุษย์หรือมลาอิกะฮ แสดงให้เห็นว่า ให้ถามข้อเท็จจริงจากผู้รู้ ไม่ใช่ให้หลับหูหลับตาตามผู้รู้
อิหม่ามเชากานีย์อธิบายว่า

وَقَدِ اسْتُدِلَّ بِالْآيَةِ عَلَى أَنَّ التَّقْلِيدَ جَائِزٌ وَهُوَ خَطَأٌ ، وَلَوْ سَلِمَ لَكَانَ الْمَعْنَى سُؤَالَهُمْ عَنِ النُّصُوصِ مِنَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ ، لَا عَنِ الرَّأْيِ الْبَحْتِ ، وَلَيْسَ التَّقْلِيدُ إِلَّا قَبُولَ قَوْلِ الْغَيْرِ دُونَ حُجَّتِهِ . ِ .
แท้จริง ด้วยอายะฮนี้ ได้ถูกอ้างเป็นหลักฐาน ว่า การตักลิดนั้น คือ เป็นการอนุญาต และมันคือ ความผิดพลาด และถ้าจะให้มันปลอดภัย ความหมายก็คือ ถามพวกเขา(หมายถึงผู้รู้) เกี่ยวกับหลักฐาน จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ใช่ถาม เกี่ยวกับความเห็น ล้วนๆ และการตักลิด ไม่ใช่อื่นใด นอกจากการรับเอาคำพูดผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐานของมัน ดูตัฟสีร ฟัตหุลเกาะดีร เล่ม 5 หน้า 929
.......
เพราะฉะนั้น อายะฮข้างต้น สอนให้ถามข้อเท็จจริงและหลักฐานจากผู้รู้ ไม่ใช่ถามความเห็นผู้รู้ แล้วตามอย่างหูหนวกตาบอด และไม่ใช่การผูกขาดมัซฮับ

และมาดูคำพูดอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ เช่นกัน คือ
 
رَأْيُ الْمُقَلِّدَةِ لِمَذْهَبِ إِمَامٍ يَزْعُمُونَ أَنَّ إِمَامَهُمْ هُوَ الشَّرِيعَةُ ، بِحَيْثُ يَأْنَفُونَ أَنْ تُنْسَبَ إِلَى أَحَدٍ مِنَ الْعُلَمَاءِ فَضِيلَةٌ دُونَ إِمَامِهِمْ ، حَتَّى إِذَا جَاءَهُمْ مَنْ بَلَغَ دَرَجَةَ الِاجْتِهَادِ وَتَكَلَّمَ فِي الْمَسَائِلِ وَلَمْ يَرْتَبِطْ إِلَى إِمَامِهِمْ رَمَوْهُ بِالنَّكِيرِ ،
 
ความเห็นของคนตักลิดมัซฮับอิหม่าม นั้น พวกเขา เขาใจว่าอิหม่ามของพวกเขาคือ ชะรีอะฮ(ศาสนบัญญัติ) โดยที่พวกเขาปฏิเสธ การอ้างอิง ความประเสริฐ ให้แก่คนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอฺ อื่นจากแก่อิหม่ามของพวกเขา และจนกระทั่ง เมื่อผู้ที่อยู่ในระดับขั้นอิจญติฮาด(มุจญตะฮิด) มายังพวกเขา และเสวนาในบรรดาประเด็นต่างๆ โดยที่เขาผู้นั้นไม่ได้ผูกมัดกับอิหม่ามของพวกเขา (ที่พวกเขาสังกัดอยู่) พวกเขาก็จะกล่าวหาเขาผู้นั้น ด้วยการปฏิเสธ –อัลเอียะติศอม เล่ม 2 หน้า 843
กล่าวคือ คนที่ตักลิดอิหม่ามมัซฮับ เข้าใจว่า อิหม่ามของเขาคือ ศาสนบัญญัติ หมายถึงเป็นมาตรฐานในหุกุมศาสนา และพวกเขาถือว่าอิหม่ามของเขาดีกว่าอิหม่ามอื่น ใครก็ตามที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับมุจญตะฮิด หากนำคำสอน ไม่ตรงกับอิหม่ามของพวกเขา ก็จะถูกพวกเขากล่าวหา ด้วยการปฏิเสธ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/4/59

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น