วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การรวบรวมอัลกุรอ่านในสมัยอบูบักร์ เป็นบิดอะฮจริงหรือ?







การรวบรวมอัลกุรอ่านในสมัยอบูบักร์ เป็นบิดอะฮจริงหรือ?
‎อาบู อีหมาน‎ ถึง อากีดะห ์อะห์ลิ้ลซุนนะห์ วัลญามาอะห์
28 ตุลาคม เวลา 18:18 น. · 
อามิรุลมุมีนิน อาบูบักร์(รฏ) ประดิษในสิ่งที่นบี(ศล)ไม่เคยทำ(บิดอะห์)
ในสมัยนบี(ศล)นั้น อัลกุรอานไม่ได้บันทึกไว้เป็นเล่ม เหมือนที่เราอ่านอยู่ ทุกวันนี้
แต่อูมัร(รฏ) เสนอให้อาบูบักร์(รฏ) รวบรวมไว้เป็นเล่ม ภายหลังสมรภูมิอัลญามามะห์ ซึ่งมีนักท่องจำอัลกุรอาน เสียชีวิต เป็นจำนวนมาก
ในตอนแรก อาบูบักร์(รฏ)ไม่เห็นด้วย กับข้อเสนอของอูมัร(รฏ) เพราะนบี(ศล) ไม่เคยทำ(กลัวบิดอะห์) แต่ต่อมา อาบูบักร์(รฏ)ก้อยอมรับ ข้อเสนอนั่น เพราะมีประโยชน์แก่ประชาชาติอิสลาม(เป็นบิดอะห์ที่ดี) จึงได้มีการดำเนินการ รวบรวมอัลกุรอานขึ้น เป็นครั้งแรก ในสมัยของท่าน(คอลีฟะห์ อาบูบักร์ รฏ)
@@@@@
ชี้แจง 
พยายามกันเสียเหลือเกิน ที่จะหลักฐานแล้วมาชงสนับสนุนการทำบิดอะฮ และการอนุรักษ์บิดอะฮ ถึงขนาดอ้างว่า เคาะลิฟะฮรอชิดีน ก็ทำบิดอะฮ แล้วตนเองก็จะได้อาศัยข้ออ้างนี้ทำและอนุรักษ์บิดอะฮด้วย - นะอูซุบิลละฮ
มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
การรวบรวมในแผ่นจารึก (การบันทึก) แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน
สมัยท่านนบี
สาเหตุ : เพื่อเพิ่มความแม่นยำโดยคำนึงถึงโองการต่างๆ ที่ถูกประทานลงมา
วิธีการ : บันทึกโองการแห่งอัลลอฮ์ ไว้ตามแผ่นจารึกต่างๆ เช่น ก้านอินทผลัม, กระดูก, แผ่นหิน, และอื่นๆ แต่ไม่มีการบันทึกไว้ในที่เดียวกัน
สมัยท่านอบูบักร
สาเหตุ: ความเหวาดกลัวว่า อัลกุรอาน จะสูญสลายไปพร้อมกับการชะฮีดของบรรดาศอฮาบะฮ์ในสงครามยะมามะห์
ผู้รวบรวม : ท่าน เซด บิน ษาบิต
วิธีการ : นำอายะห์ที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่านรอซู้ล พร้อมพยาน 2 คน และสำหรับโองการที่ถูกบันทึกไว้ในสมัยท่านนบี นำมาจากแผ่นจารึกต่างๆ โดยย้ายมาบันทึกและรวบรวมไว้ในคัมภีร์
สมัยท่านอุษมาน
สาเหตุ : ความหวั่นเกรงที่จะเกิดการขัดแย้งระหว่างแคว้นต่างๆในขณะที่แต่ละแคว้นมีการอ่านที่แตกต่างไป และทำให้เกิดการกล่าวหากันเกี่ยวกับความผิดพลาด
ผู้รวบรวม : เซด บิน ษาบิต, อับดุลลอฮ์ บิน ซุเบร, ซะอีด บิน อาซ, อับดุลเราะห์มาน บิน ฮาริส
วิธีการ : คัดลอกสิ่งที่ท่านอบูบักรได้รวบรวมไว้ในคัมภีร์ต่างๆ พร้อมกับยกเลิกการอ่านเหล่านั้น คงเหลือไว้เฉพาะการอ่านของกุเรช และส่งไปยังแคว้นต่างๆ
การรวบรวมอัลอัลกุรอ่านไม่ใช่การทำบิดอะฮ 
อิหม่ามสะยูฏีย์(ร.ฮ)ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี กล่าวว่า
وَقَالَ الْحَارِثُ الْمُحَاسَبِيُّ فِي كِتَابِ فَهْمِ السُّنَنِ : كِتَابَةُ الْقُرْآنِ لَيْسَتْ بِمُحْدَثَةٍ فَإِنَّهُ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَأْمُرُ بِكِتَابَتِهِ ، وَلَكِنَّهُ كَانَ مُفَرَّقًا فِي الرِّقَاعِ وَالْأَكْتَافِ وَالْعُسُبِ ، فَإِنَّمَا أَمَرَ الصَّدِيقِ بِنَسْخِهَا مِنْ مَكَانٍ إِلَى مَكَانٍ مُجْتَمِعًا ، وَكَانَ ذَلِكَ بِمَنْزِلَةِ أَوْرَاقٍ وُجِدَتْ فِي بَيْتِ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فِيهَا قُرْآنٌ مُنْتَشِرٌ ، فَجَمَعَهَا جَامِعٌ ، وَرَبَطَهَا بِخَيْطٍ حَتَّى لَا يَضِيعَ مِنْهَا شَيْءٌ .
อัลหาริษ อัลมุหาสะบีย์ ได้กล่าวไว้ใน ฟะฮมิอัสสุนัน ว่า การบันทึกอัลกุรอ่านนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่(หมายถึงไม่ใช่บิดอะฮ) เพราะแท้จริงนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เคยสั่งให้บันทึกมัน แต่ว่า มัน ถูกแยกกัน อยู่ใน กระดาษ ,แผ่นหนังและ ก้านอินทผลัม แล้วความจริง อัศเศาะดีก(หมายถึงอบูบักร)ได้สั่งคัดลอกมัน จากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง โดยถูกรวมกัน และปรากฏว่าดังกล่าวนั้น อยู่ในที่ของบรรดาแผ่นกระดาษ ที่มันถูกพบในบ้านของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งในมัน คืออัลกุรอ่าน ที่ถูกให้กระจัดกระจาย แล้ว ผู้รวบรวมรวมได้รวบรวมมัน และ ได้เย็บมันด้วยเชือกด้าย จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดจากมันสูญหาย – ดู อัลอิตกอน ฟีอุลูมิลกุรอ่น เล่ม 1 หน้า 167
อิหม่ามสะยูฏีย์ กล่าวว่า 
وكان غرضهم أن لا يكتب إلا من عين ما كتب بين يدي النبي(ص)لا من مجرد الحفظ .
และจุดมุ่งหมายของพวกเขา คือ จะไม่บันทึก นอกจาก ต้นฉบับของสิ่งที่ถูกบันทึก ต่อหน้าท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น ไม่ใช่จากสิ่งที่ได้จำมาอย่างเดียว – ดู อัลอิตกอน เล่ม 1 หน้า 60
............ 
อย่าได้นำกรณีรวบรวมอัลกุรอ่านมาเป็นข้ออ้างอุตริบิดอะฮในศาสนาเลยครับ การรวบรวบรวมอัลกุรอ่านคือ สิ่งทีจำเป็นเพราะเป็นรักษาคำสอนศาสนา ไม่ใช่รักษาบิดอะฮ และการรวมเล่มในสมัยนบี ศอ็ลฯเพราะเป็นช่วงเวลาที่มีวะหยูลงมา และวะหยูยังไม่สิ้นสุด แล้วจะรวบเล่มได้อย่างไร
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ว่า
ما رآه المسلمون مصلحة إن كان بسبب أمر حدث بعد النبي فها هنا يجوز إحداث ما تدعو الحاجة إليه
สิ่งที่บรรดามุสลิมเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุของกิจการที่ริเริ่มขึ้นมาใหม่หลังจากท่านนบี ศล. ฉนั้น(ประเด็น) ตรงนี้ถือว่าอนุญาตให้ริเริ่มได้กับสิ่งที่ความจำเป็นนั้นร้องหาไปยังมัน- อิกติดออุซศิรอฏิลมุสตะกีม หน้าที่ 258 
@@@ 
คำว่า “จำเป็นในที่นี้ คือ หากไม่ทำ ก็จะเกิดผลเสียต่อประชาชน เช่น ถ้าไม่รวบรวมอัลกุรอ่าน ก็จะทำให้มนุษย์ไม่ได้รู้ศาสนาบทบัญญัติในอัลกุรอ่าน และถ้าไม่จัดให้มี โรงเรียน ,มหาลัยสอนศาสนา ก็จะไม่มีสถานที่ที่จะให้มุสลิมศึกษาศาสนาอย่างทั่วถึงและพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้น และเพื่อผลิตบุคลากรที่เป็นผู้รู้ศาสนา ไปถ่ายทอดศาสนาต่อไป
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/10/59

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วะฮบีย์ห้ามเยี่ยมกุโบร์และตะวัสซุลจริงหรือ





วะฮบีย์ห้ามเยี่ยมกุโบร์และตะวัสซุลจริงหรือ


อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์
10 ชม.
ฝากเล่มนี้ สักเล่มนะ เพือ ดร การเกงใน และ วะฮาบีอืนๆ จะได้ตาสว่างสักที ว่า คำว่าวะฮาบีมาจากครั้ย ลองดูนะวะฮาบีทุกๆท่าน
และท่าน شيخ احسان محمد دحلان ได้บังทึกในกีตาบของท่าน (سراج الطالبين شرح منهاج العابدين ) ว่า .................
ولا تفتر بالشبهات التى تمسك بها الوهابية في منع التوسل والزيارة فانها باطلة
หน้า 468 ยุซุบ แรก
อย่าลงโกนกับสิ่งทีซุบาฮับในสิ่งทีวะฮาบีถือๆกันอยู่ ด้านเช่นหักห้าม ตะวาซูล และการเยียมเยียน เพราะสิ่งทีซุบาฮับนั้นๆ บาตีละห์ ยะนิ่ง โมฆะทีร้ายแรง
วัลลอฮฮูอะลัม
.......................
ข้่างต้น เป็นคำพูดของซูฟีย์กุบูรีย์ ซึ่งเป็นปกติของคนกลุ่มนี้ที่ต่อต้านคนที่ต่อต้านชิริกและบิดอะฮ โดยการสร้างวาทกรรมอันเป็นเท็จใส่ร้ายและมอมเมาคนอาวามให้เชื่อตามเพื่อที่จะได้รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนบนความโง่เขลาของคนอาวาม
1.การโกหกว่าวะฮบียห้ามการซิยาเราะฮกุโบร์ เป็นการอ้างเท็จ 
สำหรับกรณีที่อิบนุตัยมียะฮห้ามคือการเยี่ยมกุโบรที่มีลักษณะเป็นบิดอะฮ เช่น อิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า
فَالزِّيَارَةُ الْبِدْعِيَّةُ مِثْلُ قَصْدِ قَبْرِ بَعْضِ الْأَنْبِيَاءِ وَالصَّالِحِينَ لِلصَّلَاةِ عِنْدَهُ أَوْ الدُّعَاءِ عِنْدَهُ أَوْ بِهِ أَوْ طَلَبِ الْحَوَائِجِ مِنْهُ أَوْ مِنْ اللَّهِ تَعَالَى عِنْدَ قَبْرِهِ أَوْ الِاسْتِغَاثَةِ بِهِ أَوْ الْإِقْسَامِ عَلَى اللَّهِ تَعَالَى بِهِ وَنَحْوِ ذَلِكَ هُوَ مِنْ الْبِدَعِ الَّتِي لَمْ يَفْعَلْهَا أَحَدٌ مِنْ الصَّحَابَةِ وَلَا التَّابِعِينَ لَهُمْ بِإِحْسَانِ وَلَا سَنَّ ذَلِكَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا أَحَدٌ مِنْ خُلَفَائِهِ الرَّاشِدِينَ بَلْ قَدْ نَهَى عَنْ ذَلِكَ أَئِمَّةُ الْمُسْلِمِينَ الْكِبَارُ
การเยี่ยมกุโบรที่เป็นบิดอะฮ ตัวอย่างเช่น มีจุดมุ่งหมายหลุมศพของหลุมศพ(กุโบร์)บรรดานบีบางคน และ(หลุมศพ)บรรดาคนดีๆ เพื่อละหมาด ณ ที่หลุมศพนั้น หรือดุอา ณ ที่นั้น หรือขอสิ่งที่ต้องการจากมัน หรือ ขอสิ่งต้องการจากอัลลอฮ ณ ที่หลุมศพของเขา หรือขอความช่วยเหลือด้วยมัน หรือ สาบานต่ออัลลอฮ ตาอาลา ด้วยเขา(ด้วยหลุมศพของนบีหรือคนศอลิห) เป็นต้น มันคือส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ ที่คนหนึ่งคนใดจากเศาะหาบะฮของท่านไม่เคยปฏิบัติมัน และ บรรดาตาบิอีน(บรรดาผู้เจริญรอยตาม)พวกเขาด้วยความดีงาม ก็ไม่เคยปฏิบัติมัน ,ท่านนบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ทำแบบอย่างดังกล่าวเอาไว้ และ ไม่มีคนใดจากบรรดาเคาะลิฟะฮรอชิดีน ของท่านนบี ได้ทำแบบอย่างเอาไว้(เช่นกัน) ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาอิหม่ามแห่งมุสลิมีน คนสำคัญๆ ได้ห้ามจากดังกล่าวนั้น - ดูมัจญมัวะฟาตาวา เล่ม 24 หน้า 355
..........
การเยี่ยมกุโบร์ลักษณะข้างต้น คือที่บรรดาปราชญ์ที่ถูกฉายาให้เป็นวะฮบีย์ได้ห้ามเพราะมันเป็นการเยี่ยมกุโบร์ที่เป็นบิดอะฮ แต่พวกซูฟีย์กุบูรีย์ ไม่พอใจ เลยสร้างวาทกรรมใส่ร้ายว่าวะฮบีย์ห้ามเยี่ยมกุโบร์ -นาอูซุบิลละฮ
และ อีกประการหนึ่ง คือ การเตรียมเสบียงเดินทางที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเยี่ยมกุโบร์เป็นการเฉพาะ ถือเป็นการห้าม
เช่น อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
فَإِنْ سَافَرَ لِزِيَارَةِ الْقُبُورِ وَالْمَشَاهِدِ . فَقَالَ ابْنُ عَقِيلٍ : لَا يُبَاحُ لَهُ التَّرَخُّصُ ; لِأَنَّهُ مَنْهِيٌّ عَنْ السَّفَرِ إلَيْهَا ، قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : { لَا تُشَدُّ الرِّحَالُ إلَّا إلَى ثَلَاثَةِ مَسَاجِدَ } . مُتَّفَقٌ عَلَيْهِ
ถ้าเขาเดินทางเพื่อเยี่ยมกุโบร์ และ มะชาฮิด ,อิบนุ อะกีล กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มีการผ่อนปรนสำหรับเขา เพราะแท้จริง มัน เป็นสิงที่ถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปสู่มัน ,ท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า (�ไม่มีการตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินทาง ยกเว้นการเดินไปยังมัสยิดสามแห่ง )-มุตตะฟักอะลัยฮิ - ดู อัลมุฆนีย์ อิบนุกุดามะฮ 2/100
2. การโกหกว่า วะฮบีย์ห้าม ตะวัสซุล ความจริง การตะวัสซุลที่วะฮบีย์ห้ามคือการตะวัสซุลที่เป็นชิริกและบิดอะฮ ตัวอย่างเช่น การตะวัซซุลด้วยการใช้หลุมศพหรือคนที่อยู่ในหลุมศพเป็นสื่อกลาง
เช่น ฟัตวาดังต่อไปนี้
التوسل بجاه النبي صلى الله عليه وسلم ليس بمشروع، وإنما المشروع التوسل بأسماء الله وصفاته، كما قال الله سبحانه وتعالى:
{وَلِلَّهِ الْأَسْمَاءُ الْحُسْنَى فَادْعُوهُ بِهَا} (1) [الأعراف: 180] يعني يسأل الله بأسمائه كأن يقول الإنسان: اللهم إني أسألك بأنك الرحمن الرحيم، بأنك الجواد الكريم، اغفر لي، ارحمني، اهدني سواء السبيل وغير ذلك
การตะวัสซุล(การใช้สื่อกลางในการดุอา)ด้วยเกียรติของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้น ไม่มีบัญญัติให้กระทำ ความจริงสิ่งที่ถูกบัญญัติให้กระทำนั้นคือ การตะวัสซุล ด้วยบรรดาพระนามของอัลลอฮ และบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า (อัลลอฮทรงมีพระนามอันสวยงาม ดังนั้น พวกเจ้าจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยมันเถิด) – ซูเราะฮอัลอะอฺรอฟ/๘๐ หมายถึง ให้เขาขอต่ออัลลอฮด้วยบรรดาพระนามของพระองค์ เช่น ผู้คนจะกล่าวว่า
اللهم إني أسألك بأنك الرحمن الرحيم، بأنك الجواد الكريم، اغفر لي، ارحمني، اهدني سواء السبيل
- ดู ฟะตาวานูร อะลัดดัรบิ ลิอิบนิบาซ เรื่อง ตะวัซซุล เล่ม ๑ หน้า ๓๕๕
............................
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้สอนให้เราทั้งหลายใช้พระนามและคุณลักษณะของพระองค์ เป็นสื่อกลางในการดุอา แต่บางคนกลับไปเอาเกียรติมัคลูคมาเป็นสื่อกลาง ทั้งๆที่เกียรติที่สูงส่ง และสมบูรณ์คือ เกียรติของอัลลอฮ ที่สมควรเราเอาพระนามและคุณลักษณะของพระองค์ เป็นสื่อกลางในการดุอา 
.......
จากตัวอย่างที่ระบุมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า คนที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ ไม่ได้ห้ามการเยี่ยมกุโบร์ และไม่ได้ห้ามการตะวัสซูล แต่ ที่ห้ามคือ การกระทำในลักษณะบิดอะฮที่ไม่มีคำสอนจากศาสนาอิสลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/10/59

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บุตรอิบนุอุมัรคนใหนหรือที่ตะบัรรุกด้วยการลูบกุโบร์?







บุตรอิบนุอุมัรคนใหนหรือที่ตะบัรรุกด้วยการลูบกุโบร์?
อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์
6 ชม.
วะฮาบีลูกผสมอย่ารีบฮูกุมซีริก
ถ้าคุณยังไม่รู้จริงๆ เดียวฮูกุมนั้นๆ(ซีริก)จะกลับไปหาคุณเอง
มีอยู่ครั้ง1 ท่านอนัส บิน อิบนุอูมัร ไปเยียมกุโบร์ ท่านนบี (ซล) และท่านก็ละหมาดสุนัต ตะญาตุลมัสยิดสองรอกะอัต และท่านก็หันหหลังไห้กีบลักและท่านก็จับหินกุโบร์ นบี(ซล) และท่านก็ไห้สลามกับท่านนบี(ซล) และท่านก็ไห้สลามกับท่านซัยยีดีนาอูมัรและอบูบักร์
วัลลอฮูอะลัมก่อนนอน วัสลามครับ
@@@
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นการแอบอ้างโดยปราศจากหลักฐาน เป็นการแต่งเรื่องขึ้นมา เอามาจากใหนหรือที่อ้างว่า อานัส ลูก อิบนุอุมัร ลูบกุโบร์นบี -วัลอิยาซุบิลละฮ ไปเอามาจากใหนที่บอกว่าลูกชายอิบนุอุมัรชื่อ อะนัส
มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
อิบนุอมัร มี ภรรยา 5 คน(หมายถึงมีการหย่าแล้วแต่งคนที่ห้า) คือ
1. นางซอฟียะฮ บินติ อบีอุบัยดฺ บิน มัสอูด มีบุตร 6 คน
1.1 บุตรหญิง คือ หัฟเศาะฮและเสาดะฮ
1.2 บุตรชายคือ อบาบักร์ .วากิด ,อับดุลลอฮ ,อุมัร
2. อุมมุล อัลเกาะมะฮ บิน นากิซ บิน วะฮับ มีบุตรด้วยกัน 1 คนคือ อับดุรเราะหมาน
3.เป็นบุตรสสาวยาซเดเกิร์ดที่ 3 โอรสของ ชาริเออ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ 1. สาลิม 2. อับดุลลอฮ 3 หัมซะฮ
4.สะฮละฮ บินติ มาลิก มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ บิลาล และ อาอีฉะฮ
5. ไม่ระบุชื่อ แต่มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ กิลาบะฮ กับ อบีสะละมะฮ
จึงขอถาม คุณ อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ ว่า อานัส เป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาคนใดของ อิบนุอุมัรหรือ? ผมก็อยากทราบเช่นกัน
สำหรับท่านอิบนุอุมัรนั้น ไม่มีการลูบกุโบร เวลาซิยาเราะฮกุโบร์นบี ดังหลักฐานต่อไปนี้
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า

وَلَا يُسْتَحَبُّ التَّمَسُّحُ بِحَائِطِ قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا تَقْبِيلُهُ ، قَالَ أَحْمَدُ : مَا أَعْرِفُ هَذَا . قَالَ الْأَثْرَمُ : رَأَيْت أَهْلَ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَا يَمَسُّونَ قَبْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُومُونَ مِنْ نَاحِيَةٍ فَيُسَلِّمُونَ . قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَهَكَذَا كَانَ ابْنُ عُمَرَ يَفْعَلُ

และไม่ชอบ(ไม่ส่งเสริม)ให้ลูบกำแพงหลุมศพนบี ศอ็ลฯ และไม่ส่งเสริมให้จูบมัน ,อะหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่รู้จักสิ่งนี้ ,อิบนุ อัลอัษรอม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็น นักวิชาการชาวมะฮดีนะฮ พวกเขาไม่ได้สัมผัส หลุมศพนบี ศอ็ลฯ พวกเขายืนข้างๆ แล้วกล่าวสล่าม อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า เช่นนั้นแหละ อิบนุอุมัร ได้ปฏิบัติ – อัลมุฆนีย 3/559 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
อิบนุกุดามะฮกล่าวว่า
ولأن تخصيص القبور بالصلاة عندها يشبه تعظيم الأصنام بالسجود لها ، والتقرب إليها ، وقد روينا أن ابتداء عبادة الأصنام تعظيم الأموات ، باتخاذ صورهم ، ومسحها ، والصلاة عندها .
และการเจาะจง ละหมาดที่กุโบร์ นั้น คล้ายคลึงกับการเทิดเกียรติบรรดารูปปั้นและการสุญูด แก่มัน และการแสดงตนให้ใกล้ชิด(อิบาดะฮ)ต่อมัน และแท้จริง เราได้รับรายงานว่า จุดเริ่มต้นของการบูชา/เคารพภักดีต่อบรรดารูปปั้นนั้น คือการเทิดเกียรติบรรดาคนตาย ด้วยการปั้นรูปปั้นของพวกเขา , ลูบมันและละหมาด ณ ที่ของมัน – ดูอัลมุฆนีย์ 2/193
……………..
ปัจจุบันการศึกษาได้พัฒนาไปใกลมาก การอ้างข้อมูลเท็จหรือการ make ข้อมูลทางวิชาการ หลอกคนไม่ได้อีกแล้วยกเว้นชาวบ้านตาสีตาสา เขาอาจจะไม่ทราบและเชื่อตามได้ แต่อย่างไรก็ตามอัลลอฮจะเปิดโปงให้สังคมรู้สักวันหนึ่ง ,การผิดพลาดในการนำเสนอวิชาการ อาจจะมีผิดพลาดได้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ไม่ว่าระดับใดก็ตามแต่..การจงใจปกปิดความจริงและการสร้างข้อมูลเท็จ เพื่อสนับสนุนความเชื่อและทัศนะของตนเป็นฟิตนะฮที่เลวร้ายที่สุด และการปิดบังตัวตนที่แท้จริงเพื่อสร้างฟิตนะฮนั้น ก็ไม่พ้นความรอบรู้ของอัลลอฮได้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/10/59
ขอร้องคุณ อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ นำหลักฐานมาแสดงให้พี่น้องอ่านด้วยว่า ใหนคือหลักฐานที่บุตรชายอิบนุอุมัรลูบกุโบร์นบีตอนที่ซิยาเราะฮ