วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รายอแน...มีไหมในอิสลาม




ในภาพอาจจะมี ข้อความ

 · ในภาพอาจจะมี ข้อความไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
รายอแน...มีไหมในอิสลาม
การถือศีลอดหกวันในเดือนเชาวาลเป็นสุนนะฮ เพราะหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
عَنْ أَبِي أَيُّوبَ الْأَنْصَارِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: "مَنْ صَامَ رَمَضَانَ ثُمَّ أَتْبَعَهُ سِتًّا مِنْ شَوَّالٍ كَانَ كَصِيَامِ الدَّهْرِ".

จากอบีอัยยูบ อันอันศอรี (ร.ฎ) ว่าแท้จริงรอซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า"ผู้ใดที่ถือศีลอดเราะมะฎอนแล้วถือศีลอดตามหลังจากนั้นหกวันในเดือนเชาวาล นั่นเสมือนว่าเขาได้ถือศีลอดถึงหนึ่งปี" (บันทึกโดยมุสลิม 1984)
สืบเนื่องมาจาก เมื่อถือศีลอดครบหกวันแล้ว มีมุสลิมส่วนหนึ่ง ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองวันออกบวชหกวัน โดยเรียกว่า "วันรายอแน" นั้น มีในอิสลามหรือไม่ มาพิจารณาจากคำตอบข้างล่างนี้
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَأَمَّا اتِّخَاذُ مَوْسِمٍ غَيْرِ الْمَوَاسِمِ الشَّرْعِيَّةِ كَبَعْضِ لَيَالِي شَهْرِ رَبِيعٍ الْأَوَّلِ الَّتِي يُقَالُ : إنَّهَا لَيْلَةُ الْمَوْلِدِ أَوْ بَعْضِ لَيَالِيِ رَجَبٍ أَوْ ثَامِنَ عَشَرَ ذِي الْحِجَّةِ أَوْ أَوَّلِ جُمْعَةٍ مِنْ رَجَبٍ أَوْ ثَامِنِ شَوَّالٍ الَّذِي يُسَمِّيهِ الْجُهَّالُ عِيدَ الْأَبْرَارِ فَإِنَّهَا مِنْ الْبِدَعِ الَّتِي لَمْ يَسْتَحِبَّهَا السَّلَفُ وَلَمْ يَفْعَلُوهَا وَاَللَّهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى أَعْلَمُ
"สำหรับการยึดเอาเทศกาลหนึ่งเทศกาลใด(มาเฉลิมฉลอง)อื่นจากบรรดาเทศกาลทางศาสนบัญัติ เช่น บางคืนของเดือนเราะบิอุลเอาวัล ซึ่ง เรียกกันว่า "คืนเมาลิด" หรือ บางคืนของเดือนเราะญับ หรือ คืนที่แปดของเดือนซุลหิจญะฮ หรือ วันศุกร์แรกของเดือนเราะญับ หรือ วันที่แปดของเดือนเชาวาล ที่บรรดาพวกโง่เขลา เรียกว่า "อีดุลอับรอ็ร" นั้น แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ ที่บรรดาชาวสะลัฟไม่ส่งเสริมให้กระทำและพวกเขาไม่ได้กระทำมัน ,วัลลอฮุซุบหานะฮูวะตะอาลา อะอฺลัม. - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 25 หน้า 298
และท่านอิบนุตัยมียะฮกล่าวไว้อีกว่า
وأما ثامن شوال : فليس عيداً لا للأبرار ولا للفجار , ولا يجوز لأحد أن يعتقده عيداً, ولا يحدث فيه شيئاً من شعائر الأعياد ) ا
และสำหรับ วันที่แปดของเดือนเชาวาล มันไม่ใช่วันอีด ไม่ว่าจะเป็นของบรรดาคนดีหรือคนเลวก็ไม่มี และไม่อนุญาตให้คนใด เชื่อว่ามันเป็นวันอีด และเขาจะไม่ปรดิษฐ์สิ่งใดๆขึ้นมาในวันนั้น จากบรรดาสัญลักษณ์ของบรรดาวันอีด - อัลอิคติยารอตอัลอิลมียะฮ (อัลฟะตาวาอัลกุบรอ)เล่ม 5 หน้า 379
อนึง การถือศีลอดสุนัต 6 วันของเดือนเชาวาลนั้น จะถือต่อเนื่องหลังจากวันอีดก็ได้ หรือ จะแยกกันก็ได้ เพราะฉะนั้น วันอีดถือศีลอดหกวัน หรือ รายอแน จึงไม่มีในอิสลาม
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ أَصْحَابنَا : وَالْأَفْضَل أَنْ تُصَامَ السِّتَّةُ مُتَوَالِيَةً عَقِبَ يَوْم الْفِطْرِ، فَإِنْ فَرَّقَهَا أَوْ أَخَّرَهَا عَنْ أَوَائِل شَوَّال إِلَى أَوَاخِره حَصَلَتْ فَضِيلَة الْمُتَابَعَةُ، لِأَنَّهُ يَصْدُقُ أَنَّهُ أَتْبَعَهُ سِتًّا مِنْ شَوَّال، قَالَ الْعُلَمَاء: وَإِنَّمَا كَانَ ذَلِكَ كَصِيَامِ الدَّهْر، لِأَنَّ الْحَسَنَةَ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا، فَرَمَضَانُ بِعَشَرَةِ أَشْهُرٍ، وَالسِّتَّة بِشَهْرَيْنِ.
“เหล่าสหายของเรา(ปราชญมัซฮับชาฟิอี)กล่าวว่าว่า ทางที่ดีที่สุดคือให้ถือศีลอดติดต่อกันหกวันโดยเริ่มทันทีหลังวันอีด แต่หากแยกวันหรือประวิงการถือศีลอดในช่วงต้นเดือนไปยังปลายเดือน ก็ยังได้ผลบุญของคำว่า ถือศิลอดต่ออีกในเดือนเชาวาล เพราะได้บรรลุตามความหมายในหะดีษที่ว่าให้ถือศีลอลหกวันในเดือนเชาวาล(หลังจากเราะมะฎอน)”,บรรดานักปราชญ์กล่าวว่า "ความจริงดังกล่าวนั้น เท่ากับถือศีลอดทั้งปี เพราะแท้จริง ความดีนั้น เท่ากับ 10 เท่าของมัน ดังนั้น(การถือศีลอด)เดือนเราะมะฎอน เท่ากับ 10 เดือน และ ถือศีลอดหกวัน เท่ากับ 2 เดือน
ดู บทอธิบายของอิมาม อัน-นะวะวีย์ ต่อเศาะฮีหฺมุสลิม เล่ม 4 หน้า 186
.........
เพราะฉะนั้น ไม่ปรากฏว่ารายอแนอยู่ในสารบบ ของคำสอนอิสลาม ไม่มีในอัลกุรอ่าน ไม่มีในอัสสุนนะฮและไม่มีในแบบอย่างชาวสะลัฟผู้ทรงธรรม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/6/60

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จะเลือก 11 หรือ 23 ดี


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


จะเลือก 11 หรือ 23 ดี 



Abd-rahman Fakir Al Dalawi
อีหม่าม อิบนุ อับดุลบัรรี กล่าวว่า
هو الصحيح عن ابي بن كعب انه صلى التراويح بهم عشرين ركعة من غير خلاف بين الصحابة
ส่งสัยว่า คงจะเป่น. อุบั้ย บิน กะอบ. คนละคนกับ อุบั้ย บิน กะอบ.ที่ผมยกมา
เราม่ด้มีปันหาว่าคุนจะทำเท่ารัย เพราะ ท่าน อัลฮาฟิส อิบนุ อัลอารอกี ได้กล่าวใน อัตตัสรีบ ว่า
وقد اتفق العلماء على انه ليس له (اي لقيام اليل ) حد محصور ولكن اختلافت الروايات فيما كان يفعله النبي صلى الله عليه وسلم
@@@@
ชี้แจง
มีรายงานจาก ที่อ้างว่า ท่าน อุบัย นำละหมาด 23 รอ็กอะฮข้างต้น แต่ในขณะเดียวกันมีรายงานว่า ท่านอุมัร (ร.ฎ) สั่งให้ อุบัย บิน กะอับ และตะมีมอัดดารีย์ นำละหมาด 11 รอ็กอะฮ และมีรายงานว่า ท่านอุมัร(ร.ฎ) รวบรวมผู้คน ให้ ละหมาด โดยการนำของ อุบัย บิน กะอับ 11 รอ็กอัต
ท่านอิหม่ามมาลิก ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุวัฎเฎาะอ์” เล่มที่ 1 หน้า 105 หรือหะดีษที่ 249, โดยรายงานมาจากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ ซึ่งรายงานมาจากน้าชายของท่านคือท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ.ว่า ...
أَمَرَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أُبَّىَ بْنَ كَعْبٍ وَتَمِيمًا الدَّارِىَّ أَنْ يَقُوْمَا لِلنَّاسِ بِإِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“ท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบได้ใช้ท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์ และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ให้ทั้งสองนำนมาซ (ตะรอเวี๊ยะห์)แก่ประชาชน 11 ร็อกอะฮ์”
ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ได้บันทึกรายงานจากท่านยะห์ยา บินสะอีด อัล-ก็อฏฏอน, จากท่านมุหัมมัด บินยูซุฟ, จากท่านอัซ-ซาอิบ บินยะซีด .ฎ. ว่า ...
إِنَّ عُمَرَ جَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَىٍّ وَتَمِيْمٍ فَكَانَا يُصَلِّيَانِ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً
“แท้จริง ท่านอุมัรฺได้รวบรวมประชาชนให้นมาซตามท่านอุบัยย์ บินกะอฺบ์และท่านตะมีม อัด-ดารีย์ โดยทั้ง 2 ท่านนั้น(นำประชาชน)นมาซ 11 ร็อกอะฮ์”
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 2 หน้า 284)
............
รายงาน 11 รอ็กอัต สอดคล้องกับสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ คือ
ท่านอัส-สะยูฎีย์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มะศอเบี๊ยะห์ ฟี ศ่อลาติตตะรอเวี๊ยะฮ์” (เล่มที่ 1 หน้า 542 จากหนังสือ “อัล- หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์”) ว่า ...
وَقَالَ الْجُوْرِىُّ _ مِنْ أَصْحَابِنَا _ عَنْ مَالِكٍ أَنَّهُ قَالَ : اَلَّذِىْ جَمَعَ عَلَيْهِ النَّاسَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أَحَبُّ إِلَىَّ، وَهِىَ إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً! وَهِىَ صَلاَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قِيْلَ لَهُ : إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً مَعَ الْوِتْرِ؟ قَالَ : نَعَمْ، وَثَلاَثَ عَشْرَةَ قَرِيْبٌ، قَالَ : وَلاَ أَدْرِىْ مِنْ أَيْنَ أُحْدِثَ هَذَاالرُّكُوْعُ الْكَثِيْرُ؟ ...
ท่านอัล-ญูรีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการมัษฮับของเราท่านหนึ่งกล่าวรายงานมาจากท่านอิหม่ามมาลิกว่า .. “สิ่งซึ่งท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ.ได้ให้ประชาชนกระทำร่วมกันเป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด นั่นคือ 11 ร็อกอะฮ์! และนั่นก็เป็นนมาซของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม, มีบางคนกล่าวถามท่านว่า .. 11 ร็อกอะฮ์พร้อมกับวิตรี่ด้วยใช่ไหม? .. ท่านตอบว่า ใช่, และ 13 ร็อกอะฮ์ก็ใกล้เคียงกัน, (ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวต่อไปว่า) .. “ฉันไม่รู้เลยว่า จำนวนร็อกอะฮ์อันมากมายเหล่านี้ มันมาจากไหน?” ...
……….
ชัดเจน ว่า ละหมาด 11 รอ็กอัต ที่ท่าน อุมัร (ร.ฎ) รวบรวมผู้คนนั้น ตรงตามที่ท่านนบีปฏิบัติ (และ 11 รอ็กอัตคือ ละหมาด กิยามุเราะมะฎอนของท่านนบี ศอ็ลฯ ดู อัสสุนันอัลกุบรอ เล่ม 2 หน้า 698 )
อัลมุบาเระกะฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قُلْتُ : الْقَوْلُ الرَّاجِحُ الْمُخْتَارُ الْأَقْوَى مِنْ حَيْثُ الدَّلِيلُ هُوَ هَذَا الْقَوْلُ الْأَخِيرُ الَّذِي اخْتَارَهُ مَالِكٌ لِنَفْسِهِ ، أَعْنِي إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً ، وَهُوَ الثَّابِتُ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- بِالسَّنَدِ الصَّحِيحِ ، بِهَا أَمَرَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ -رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُ- ، وَأَمَّا الْأَقْوَالُ الْبَاقِيَةُ فَلَمْ يَثْبُتْ وَاحِدٌ مِنْهَا عَنْ رَسُولِ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- بِسَنَدٍ صَحِيحٍ وَلَا ثَبَتَ الْأَمْرُ بِهِ عَنْ أَحَدٍ مِنَ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ بِسَنَدٍ صَحِيحٍ خَالٍ عَنِ الْكَلَامِ
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า " “ทัศนะที่มีน้ำหนักที่ได้รับการคัดเลือกที่แข็งแรงที่สุด จากบรรดาหลักฐาน คือ ทัศนะสุดท้ายที่มาลิกได้เลือกมันให้แก่ตัวเขาเอง ข้าพเจ้าหมายถึง สิบเอ็ด รอกาอัต และมันเป็นที่แน่นอนจากรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง ซึ่ง อุมัร บิน อัลคอฏฏอ็บ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ได้ใช้ให้กระทำ ด้วยมัน และสำหรับบรรดาทัศนะที่เหลือ นั้น ไม่มีอันหนึ่งอันใดที่แน่นอนจากรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะและไม่ปรากฏยืนยันคำสั่งด้วยมันจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะที่ปราศจากการวิจารณ์ - ดู ตุคฟะตุลอะฮวะซีย์ ชัรหุอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้า 253
..............
สรุป
ละหมาดกิยามุเราะมะฎอนชองท่านนบี ศอ็ลฯ 11 รอ็กอัต และรายงานที่ท่านท่านอุมัร (ร.ฎ) สั่ง 11 รอ็กอัต และนี่คือทัศนะที่แข็งแรงในแง่หลักฐาน และผู้ที่ปฏิบัติละหมาดตารอเวียะ และวิตร รวม 11 รอ็กอัต ได้ปฏิบัติตามสุนนะฮของท่านนบี ส่วนใครจะค้าน ก็ค้านไป แต่นี่คือจุดยืนที่มั่นคงและเข้มแข็ง
وااله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
14/ 6/60

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมใช้ความเห็นมาเป็นศาสนาบัญญัติ(ตอนโอนบุญ)



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วาทกรรมใช้ความเห็นมาเป็นศาสนาบัญญัติ(ตอนโอนบุญ)
อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์
ท่าน อัชชัมซฺก็ได้ตอบกับมันในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า
(القول بالإحسان العميم في انتفاع الميت بالقراءن العظيم) ว่า:
قال فيه رحمه الله [قال كثيرون منهم يصل ثواب القراءة للميت وبه قال الإمام أحمد بعد أن قال القراءة على القبر بدعه بل نقل عنه أنه يصل إلى الميت كل شئ من صدقة وصلاة و حج وصوم واعتكاف وقراءة وذكر وغير ذلك
และท่านอิบนุลกอฏฏอน(รฮ) ได้กล่าวในหนังสือเล่มนั้นว่า"ส่วนใหญ่จากเหล่าปวงปราชญ์ได้กล่าวว่า ผลบุญจากการอ่านอัลกุรอ่านจะถึงไปยังผู้ตาย และอิหม่ามอะฮ์หมัด (บินฮัมบัล)ได้กล่าวเช่นเดียวกันนี้ หลังจากที่ท่านกล่าวว่ามันคือบิดอะฮ์(ที่น่ารังเกียจ ซึ่งคำพูดครั้งที่2นี้จะยกเลิกคำตัดสินครั้งแรกที่ท่านกล่าวว่า บิดอะฮ์) ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดที่ได้คัดลอกมาจากท่านคือ แท้จริง(ผลบุญของ)ทุกๆการปฏิบัติดี จากการบริจาค และละหมาด และทำฮัจย์ และถือศีลอด และการพักอยู่ในมัสยิด และการอ่านอัลกุรอ่าน และการซิกรุลลอฮ์ และอื่นๆจากที่กล่าวมาจะถึงไปยังผู้ตายทั้งสิ้น
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือ ความเห็นล้วนๆ ไม่มีหลักฐานทางศาสนา แม้แต่บทเดียว ขอเรียนว่า เรื่อง การอ่านอัลกุรอ่าน โอนบุญให้คนตาย เป็นเรื่อง อิบาดะฮ เรื่องของอิบาดะฮ ต้องมาจากคำสั่งหรือคำสอนศาสนา หลักการนี้ นักวิชาการฟิกฮเองก็ได้ตั้งกฏไว้
เช่น
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
"فمن تقرب إلى الله بعمل لم يجعله الله ورسوله قربة إلى الله فعمله باطل مردود عليه
ผู้ใดก็ตาม แสดงตนให้ใกล้ชิดอัลลอฮ(หมายถึงทำอิบาดะฮ) ด้วยการกระทำที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ไม่ได้กำหนดมันให้เป็นอิบาดะฮต่ออัลลอฮ การกระทำนั้นเป็นโมฆะ - ญามิอุลอุลูม วัล ฮิกัม เล่ม 1 หน้า 178
..........
จึงถามผู้อ้างเหตุผม เพื่อหาประโยชน์กับคนตายว่า "การอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย นั้น เป็นบทบัญญัติที่อัลลอฮและรอซูล ศอ็ลฯ สั่งไว้หรือไม่ และ ส่งเสริมให้ปฏิบัติหรือไม่ หากไม่มี ก็เท่ากับเอาความคิดเห็นมาเป็นบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮ ใช่หรือไม่ หวังว่า คงคิดคำตอบไม่ยาก หากใช้สติปัญญา
หลังจากอธิบายทัศนะอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) ระบุว่า ทัศนะอิหม่ามชาฟิอี ผลบุญการอ่านอัลกุรอ่านไม่ถึงผู้ตาย อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَبَابُ الْقُرُبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيهِ عَلَى النُّصُوصِ ، وَلَا يُتَصَرَّفُ فِيهِ بِأَنْوَاعِ الْأَقْيِسَةِ وَالْآرَاءِ ، فَأَمَّا الدُّعَاءُ وَالصَّدَقَةُ فَذَاكَ مُجْمَعٌ عَلَى وُصُولِهِمَا ، وَمَنْصُوصٌ مِنَ الشَّارِعِ عَلَيْهِمَا .
และเรื่องของการอิบาดะฮนั้น มันจะถูกจำกัดอยู่บนตัวบท(คือ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ) และจะหันไปเอาประเภทของการกิยาส(เทียบ)และบรรดาความเห็นในมันไม่ได้ สำหรับดุอาและเศาะดะเกาะฮ ดังกล่าวนั้นได้มีมติว่าทั้งสองถึง(ผู้ตาย )และมีตัวบท(หลักฐาน)จากผูบัญญัติศาสนบัญญัติ บนมันทั้งสอง- ดู ตัฟสีร อิบนิกะษีร 4/276
.............
เรื่อง อิบาดะฮ จะถูกจำกัดอยู่บนตัวบทที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ จะเอาการกิยาสหรือความเห็น มาเป็นบทบัญญัติเรื่องอิบาดะฮไม่ได้
เรื่องดุอา และการบริจาคทานนั้น มีคำสอนว่า ผลบุญถึงผู้ตาย
 จึงถามผู้ที่หาประโยชน์กับคนตายว่า "การอ่านอัลกุรอ่านโอนบุุญหรืออุทิศบุญให้ผู้ตายนั้น เอาคำสอนหรือตัวบทมาจากใหน?
ชีฮาบุดดีน มะหมูด อิบนุอับดุลลอฮ อัลหุสัยนีย์ อัลอะลูซีย์ ได้กล่าวว่า
وَكَذَا اسْتِدْلَالُ الْإِمَامِ الشَّافِعِيِّ بِهَا عَلَى أَنَّ ثَوَابَ الْقِرَاءَةِ لَا تَلْحَقُ الْأَمْوَاتَ - وَهُوَ مَذْهَبُ الْإِمَامِ مَالِكٍ -
และในทำนองเดียวกันนั้น อิหม่ามชาฟิอีย์ ได้อ้างหลักฐานด้วยมัน(ด้วยอายะฮที่ 39 ซูเราะฮอัลนัจญมฺ) ว่า ผลบุญการอ่าน ไม่ถึงบรรดาผู้ตาย และมันคือ มัซฮับอิหม่ามมาลิก - แต่ทว่า อิหม่ามอิบนุอัลฮุมาม กล่าวว่า แท้จริงมาลิกและชาฟิอี นั้นทั้งสองไม่ได้กล่าวว่า – ดูตัฟสีร รูหุลมะอานีย์ เล่ม 27 หน้า 67 


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

............
ปราชญ์บางส่วนที่บอกว่าถึงผู้ตาย และปราชญอีกส่วนหนึ่งที่บอกว่าไม่ถึงผู้ตาย เราจะตามใครนั้น ต้องดูว่าเขาอ้างหลักฐานอะไรหรือเขามีหลักฐานอ้างอิงหรือไม่หรือใช้ความเห็น เพราะการตามในเรื่องศาสนาคือ การตามที่มีหลักฐาน (الاتباع )ไม่ใช่ตามแบบหูหนวกตาบอด (تقليد الاعمى ) และพึงตระหนักอยู่เสมอว่า การอิจญติฮาดของปราชญนั้นมีผิดมีถูก ไม่ใช่เอาอุลามาอฺไปเทียบชั้นอัลลอฮและรอซูล
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/6/60