วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

การจ้างเป็นอิหม่ามนำละหมาดตารอเวียะ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


การจ้างเป็นอิหม่ามนำละหมาดตารอเวียะ
การละหมาดเป็นอิบาดะฮ เป็นการแสดงตนให้ใกล้ชิดอัลลอฮ(التقرب ) หากเจตนาต้องการเอาค่าจ้างแล้วจะเอาบุญจากใคร
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
ن كَانَ يُرِيدُ الْحَيَاةَ الدُّنْيَا وَزِينَتَهَا نُوَفِّ إِلَيْهِمْ أَعْمَالَهُمْ فِيهَا وَهُمْ فِيهَا لَا يُبْخَسُونَ
ผู้ใดปรารถนาการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และความเพริศแพร้วของมัน เราก็จะตอบแทนให้พวกเขาอย่างครบถ้วน ซึ่งการงานของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกริดรอนในการงานนั้นแต่อย่างใด
أُولَٰئِكَ الَّذِينَ لَيْسَ لَهُمْ فِي الْآخِرَةِ إِلَّا النَّارُ ۖ وَحَبِطَ مَا صَنَعُوا فِيهَا وَبَاطِلٌ مَّا كَانُوا يَعْمَلُونَ
ชนเหล่านั้น พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนอันใดในโลกอาคิเราะฮ์ นอกจากไฟนรกและสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ในโลกดุนยาก็จะไร้ผลและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ก็จะสูญเสียไป-ฮูด/15-16
...........
قال أَبُو دَاوُد : سَمِعْت أَحْمَدَ , رحمه الله , سُئِلَ عَنْ إمَامٍ , قَالَ : أُصَلِّي بِكُمْ رَمَضَانَ بِكَذَا وَكَذَا دِرْهَمًا . قَالَ : أَسْأَلُ اللَّهَ الْعَافِيَةَ , مَنْ يُصَلِّي خَلْفَ هَذَا ؟
อบูดาวูด ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อะหมัด (ร.ฎ) ถูกถามเกี่ยวกับอิหม่ามคนหนึ่ง เขากล่าวว่า ฉันจะละหมาด นำพวกท่านในเดือนเราะมะฎอน ด้วยจำนวนเท่านั้นเท่านี้ดิรฮัม ท่านอิหม่ามอะหมัดตอบว่า "อัสอะลุลุลลอฮันอาฟียะฮ ,ใครจะละหมาดตามหลังเขาคนนี้หรือ?
وَرُوِيَ عَنْهُ أَنَّهُ قَالَ : " لَا تُصَلُّوا خَلْفَ مَنْ لَا يُؤَدِّي الزَّكَاةَ , وَقَالَ : لَا تُصَلِّ خَلْفَ مَنْ يُشَارِطُ , وَلَا بَأْسَ أَنْ يَدْفَعُوا إلَيْهِ مِنْ غَيْرِ شَرْطٍ "
และรายงาน จากเขา(อะหมัด) ว่าเขากล่าวว่า "อย่าละหมาดตามผู้ที่ไม่จ่ายซะกาต, และเขากล่าวว่า อย่าละหมาดตามหลัง(อิหม่าม)ผู้ที่ตั้งเงือนไขกันและกัน และ การที่พวกเขามอบให้เขา(อิหม่ามนำละหมาด) โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่เป็นไร (ไม่ผิด)- ดู อัลมุฆนีย อะลามุคตะศอร อัลคิรอกีย์ ของอิบนุกุดามะฮ 1/ 634
........
การรับจ้าเป็นอิหม่ามนำละหมาด หากมีการตั้งเงื่อนไข ว่าจะเอาค่าจ้างเท่านั้นเท่านี้ ถือว่าไม่อนุญาต ยกเว้น เขาได้รับค่าตอบแทนโดยไม่ได้ตั้งเงือนไข
ฟัตวาชัยค์ บิน บาซ อดีตมุฟตีประเทศซาอุดี้อาราเบีย ดังนี้
السؤال: ما حكم تحديد الإمام أجرة لصلاته بالناس خصوصاً إذا كان يذهب لمناطق بعيدة ليصلي بهم التراويح؟
ถาม : อะไรคือข้อชี้ขาด(หุกุม)ของการกำหนดค่าจ้างแก่อิหม่ามเพื่อให้เขานำละหมาดบรรดาผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิง เขามาจากแดนใกล เพื่อที่จะละหมาดตารอเวียะนำพวกเขา ?
الإجابة: التحديد لا ينبغي، وقد كرهه جمع من السلف، فإذا ساعدوه بشيء غير محددٍ فلا حرج في ذلك. أما الصلاة فصحيحة لا بأس بها إن شاء الله ولو حددوا له مساعدة لأن الحاجة قد تدعو إلى ذلك، لكن ينبغي أن لا يفعل ذلك وأن تكون المساعدة بدون مشارطة، هذا هو الأفضل والأحوط كما قاله جمع من السلف رحمة الله عليهم. ....
คำตอบ : การกำหนด(ค่าจ้าง/ค่าตอบแทน)นั้น ไม่สมควร กลุ่มหนึ่งจากชาวสะลัฟ ถือว่ามันเป็นมักรูฮ แล้วถ้าพวกเขาสนับสนุน/ช่วยเหลือ เขาผู้นั้น ด้วยสิ่งใดๆ โดยปราศจากการกำหนดค่าตอบแทน ก็ไม่เป็นไร ในดังกล่าวนั้น ,สำหรับการละหมาดนั้นใช้ได้(เศาะห) ไม่เป็นไรอินชาอัลลอฮ และแม้ว่าพวกเขากำหนด การช่วยเหลือ แก่เขา(ผู้เป็นอิหม่าม) เพราะมีความจำเป็นเรียกร้องไปสู่ดังกล่าวนั้น แต่สมควรที่จะไม่ทำดังกล่าวนั้น และการข่วยเหลือนั้นจะต้องไม่มีการตั้งเงื่อนไข นี้คือ ที่ประเสริฐที่สุด และคือการรอบคอบที่สุดดังที่กลุมหนึ่งจากชาวสะลัฟ(ร.ฮ)ได้กล่าวไว้... ดู มัจญมัวะ ฟะตาวาวะมะกอลาตมุตะเนาวิอะฮ 11/ 351-352
..........
สรุปคือ
1.การเป็นอิหม่ามนำตะรอเวียะ ไม่ควรกำหนดเป็นค่าจ้าง เท่านั้นเท่านี้
2.ถ้าประชาชนหรือสัปบุรุษมัสยิดให้การช่วยเหลือโดยปราศจากการตั้งเงื่อนไขยอ่มทำได้ 
เพราะฉะนั้นผู้เป็นอิหม่ามควรถามตัวเองว่า จะมานำละหมาดตารอเวียะหฺ เพื่ออะไร เพื่อเงิน หรือผลบุญ คิดดูแล้วก็เศร้าในชุมชนหาคนนำละหมาดไม่ได้ ต้องจ้างคนที่อื่นมา
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/5/62

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

หนทางไปสู่สวรรค์นั้นมีทางเดียว






ในภาพอาจจะมี ข้อความ


หนทางไปสู่สวรรค์นั้นมีทางเดียว
หนทางไปสู่สวรรค์ ไม่ใช่ของประเทศนั้นประเทศนี้ ไม่ใช่ของคนกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ไม่ใช่ของคณะเก่าหรือคณะที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นคณะใหม่ แต่เป็นหนทางของอัลลอฮตาอาลา ที่ส่งนบีมุหัมหมัด ศ็อลฯ มาเพื่อเรียกร้องมนุษย์ ให้เดินตามหนทางของพระองค์
อัลลอฮตาอาลาให้ท่านนบี ศ็อลฯประกาศว่า
وَأَنَّ هَٰذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ ۖ وَلَا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ -อันอันอาม/153
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) ได้รายงานว่า
حَدَّثَنَا مُحَمَّد بْن عَبْد الْأَعْلَى حَدَّثَنَا مُحَمَّد بْن ثَوْر عَنْ مَعْمَر عَنْ أَبَان بْن عُثْمَان أَنَّ رَجُلًا قَالَ لِابْنِ مَسْعُودٍ مَا الصِّرَاطُ الْمُسْتَقِيْمُ ؟ قَالَ : تَرَكَنَا مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي أَدْنَاهُ وَطَرَفُهُ فِي الْجَنَّةِ وَعَنْ يَمِيْنِهِ جَوَادٌ وَعَنْ يَسَارِهِ جَوَادٌ ثُمَّ رِجَالٌ يَدْعُونَ مَنْ مَرَّ بِهِمْ فَمَنْ أَخَذَ فِي تِلْكَ الْجَوَادِ اِنْتَهَتْ بِهِ إِلَى النَّارِ وَمَنْ أَخَذَ عَلَى الصِّرَاطِ اِنْتَهَى بِهِ إِلَى الْجَنَّةِ ثُمَّ قَرَأَ اِبْنُ مَسْعُودٍ “وَأَنَّ هَذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلَا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَنْ سَبِيله
มุหัมหมัด บิน อับดุลอะอลา ได้เล่าเรา ,มุหัมหมัด บิน ษูร ได้เล่าเรา ว่ารายงานจากอาบาน บิน อุษมาน ว่า "ชายคนหนึ่ง กล่าวแก่ อิบนุมัสอูดว่า "อะไรคือ หนทางที่เที่ยงตรง"? เขา(อิบนุมัสอูด)ได้กล่าวว่า "มุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทิ้งพวกเรา ณ ที่ใกล้ๆมัน(หนทางนั้น) และปลายสุดของมันอยู่ในสวรรค์ และด้านขวาของมัน มีม้าเร็ว และด้านซ้ายของมันก็มีม้า ต่อมาได้มีบรรดาผู้คนกำลังเรียกร้องผู้ที่เดินผ่านพวกเขา ดังนั้นผู้ใดเอาหนทางของม้าเร็วดังกล่าวนั้น มันก็จะพาเขาไปสู่นรก และผู้ใดเอาหนทาง(หมายถึงเดินตามทางนั้น)มันก็จะนำพาเขาไปสู่สวรรค์ หลังจากนั้นท่านอิบมัสอูด ได้อ่านอายะฮที่ว่า(และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์) -ตัฟสีรอัฏเฎาะบะรีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอัลอันอาม
..........
สรุปจากหะดิษข้างต้น
1. ท่านนบี ศ็อลฯ ได้ปล่อยเราให้อยู่ใกลหนทางอันเที่ยงตรงปลายทางของมันคือสวรรค์
2. และด้านขวาและซ้ายของหนทาง มีม้าเร็ว และมีคนเรียกร้องให้เดินทางด้วยม้าเร็ว แต่ปลายทางคือนรก
3.ผู้ใดเดินทางทางที่เที่ยงตรงนั้น มันก็จะนำพาไปสู่สวรรค์
.........
การดำเนินตามทางที่เที่ยงตรงนั้นลำบากแต่ปลายทางคือสวรรค์ และการดำเนินตามทางของชัยฏอนนั้น สะดวกสะบาย แต่ปลายทางนั้นคือนรก ...คิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะเลือกทางใดให้กับตัวเอง อย่าแบ่งพรรคแบ่งพวกแล้วใช้อคติโจมตีกันเลย
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/5/62

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ผู้ที่ศาสนาสอนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามในเรื่องศาสนา




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


ผู้ที่ศาสนาสอนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามในเรื่องศาสนา
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْويلا
ความว่า โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธา พวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และ จงเชื่อฟังรอซูล และผู้นำของพวกท่าน แต่หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงกลับไปหาอัลลอฮฺ (อัลกุรอ่าน) และรอซูล (อัซซุนนะฮฺ) หากพวกท่านศรัทธาในอัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง (อัลนิซาอฺ : 59) 
...........
อายะฮข้างต้น ผู้ที่อัลลอฮ ซ.บ สั่งให้เชื่อฟังคือ
1.อัลลอฮ
2.รอซูล
3. ผู้นำ
แต่เมื่อมีประเด็นขัดแย้ง ก็ให้กลับไปยัง อัลลอฮและรอซูล ไม่ได้สั่งให้กลับไปหาผู้นำ นี้ชี้ให้เห็นว่า การเชื่อฟังผู้นำ หรือนักปราชญ์นั้น เป็นการตามที่มีเงือนไข
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
فَهَذِهِ أَوَامِرٌ بِطَاعَةِ الْعُلَمَاءِ وَالْأُمَرَاءِ ، وَلِهَذَا قَالَ تَعَالَى : ( أَطِيعُوا اللَّهَ ) أَيْ : اتَّبِعُوا كِتَابَهُ ( وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ ) أَيْ : خُذُوا بِسُنَّتِهِ ( وَأُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ ) أَيْ : فِيمَا أَمَرُوكُمْ بِهِ مِنْ طَاعَةِ اللَّهِ لَا فِي مَعْصِيَةِ اللَّهِ ، فَإِنَّهُ لَا طَاعَةَ لِمَخْلُوقٍ فِي مَعْصِيَةِ اللَّهِ ، كَمَا تَقَدَّمَ فِي الْحَدِيثِ الصَّحِيحِ : " إِنَّمَا الطَّاعَةُ فِي الْمَعْرُوفِ "
และเพราะเหตุนี้ อัลลอฮตาอาลาได้ตรัสว่า (พวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ ) หมายถึง พวกเจ้าจงปฏิบัติตามคัมภีร์ของพระองค์ (และพวกเจ้าจงเชื่อฟังรอซูล) หมายถึง พวกเจ้าจงถือเอาสุนนะฮของท่านรอซูล (และผู้นำในหมู่พวกเจ้า) หมายถึง ในสิ่งที่พวกเขาสั่งพวกเจ้า ด้วยมันจากการเชื่อฟังอัลลอฮ ไม่ใช่ในการฝ่าฝืนอัลลอฮ เพราะแท้จริง ไม่มีการเชื่อฟังมัคลูค ในการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ ดังที่ได้ระบุมาก่อนหน้านี้แล้ว ในหะดิษเศาะเฮียะ คือ "ความจริงการเชื่อฟังนั้น ในสิ่งที่ดีเท่านั้น -ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร 1/539
........
ข้างต้นไม่ได้เป็นวิชาเชิงลึกอะไรเลย แต่เป็นความรู้พื้นฐานที่มุสลิมจะต้องรู้ ว่า ข้อแตกต่างระหว่างสถานะของอัลลอฮ,รอซูล และผู้นำ(อุลิลอัมริ)ในการตามนั้นเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้น สิ่งที่ตามมาคือ การถือเอาผู้นำหรืออุลามาอฺ มาเทียบชั้นกับอัลลอฮและรอซูล จนกระทั้งคิดว่าคำสอนของพวกเขาก็คือบทบัญญัติศาสนาที่ต้องตามทุกเรื่อง จึงมีอิบาดะฮนอกคำสอนมากมายที่เข้ามาปะปนในคำสอนอิสลาม
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/5/62

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เข้าใจอิสลามอย่างง่าย จะได้ไม่หลง









เข้าใจอิสลามอย่างง่าย จะได้ไม่หลง
ก่อนอื่นมุสลิมจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า บทบัญญัติหรือคำสอนศาสนาอิสลามมาจากวะหยูของอัลลอฮ ผ่านคำพูดของท่านนบีเท่านั้น ซึ่งมี 2 ประการคือ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ดังที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
أَلَا إِنِّي أُوتِيتُ الْكِتَابَ وَمِثْلَهُ مَعَهُ
พึงรู้ไว้เถิดว่า ฉันได้รับคัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และ สิ่งที่เหมือนกับมัน(อัลกุรอ่าน) มาพร้อมๆกับมัน – รายงานโดยอะหมัดและอบูดาวูด
คำว่า "สิ่งที่มาพร้อมกับอัลกุรอ่าน หมายถึงอัสสุนนะฮ
(ومثله معه): وهي السنة، ومن المعلوم أن كلاً من الكتاب والسنة وحي من الله عز وجل، وأن كل ما يأتي به النبي عليه الصلاة والسلام فهو من عند الله، سواء كان قرآناً أو سنة، وليس الوحي مقصوراً على القرآن بل السنة هي أيضاً وحي؛
คำว่า(และสิ่งที่เหมือนกับอัลกุรอ่าน) มันคือ อัสสุนนะฮ และเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นที่รู้กัน ว่าแท้จริงทั้งอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ คือวะหยูจากอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง และแท้จริง ทุกสิ่งที่ท่านบี อะลัยฮิสเศาะลาตุวัสสลาม นำมา ด้วยมันนั้น มันมาจากอัลลอฮ ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอ่าน หรืออัสสุนนะฮ และวะหยูนั้น ไม่ได้ถูกจำกัด อยู่บนอัลกุรอ่านอย่างเดียว แต่ทว่า อัสสุนนะฮก็คือวะหยู เช่นกัน - ชัรหสุนันอบีดาวูด ของอับดุลมุหซินอัลอับบาด 3/515
.......
สรุปคือ ทั้งอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ มาจากวะหยูของอัลลอฮ
อิหม่ามบุคอรี รายงานว่า
وَقَالَ الزُّهْرِيُّ مِنْ اللَّهِ الرِّسَالَةُ وَعَلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْبَلَاغُ وَعَلَيْنَا التَّسْلِيمُ
และอัซซุฮรีย์ ได้กล่าวว่า " สาส์นแห่งอิสลาม มาจากอัลลอฮ ,หน้าที่รอซูล ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือการเผยแพร่ และหน้าที่ของพวกเรา คือการน้อมรับมาปฏิบัติ -เศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด
.....
ส่วนอุลามาอฺ หรือนักปราชญนั้น มีหน้าที่อธิบาย ไม่มีหน้าที่ออกบัญญัติศาสนา นี่คือพื้นฐานที่ควรเข้าใจ หากไม่เช่นนั้น ใครพูดอะไร คิดอะไร ก็เอามาเป็นคำสอนศาสนาหมด นี่แหละที่มาของคำว่า "อุตริกรรมในศาสนา"(บิดอะฮ)
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/5/62

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ฟิตยะฮสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร



ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ




ฟิตยะฮสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ในทัศนะอิบนุอับบาส และอิบนุอุมัร หญิงที่ตั้งครรภ์ที่เกรงว่าจะอันตรายแก่ตนเองและบุตร ไม่ต้องถือศีลอด แต่จ่ายอาหารคนยากจนแทน
عن ابن عباس - رضي الله عنهما - قال: إذا خافت الحامل على نفسها والمرضع على ولدها في رمضان , يفطران , ويطعمان مكان كل يوم مسكينا , ولا يقضيان صوما
รายงานจากอิบนุอับบาส (ร.ฎ) ได้กล่าวว่า เมื่อหญิงมีครรภ์เกรงจะอันตรายแก่ตัวของนางและหญิงให้นมบุตร เกรงจะอันตรายแก่บุตรของนางในเดือนเราะมะฎอน ก็ให้ทั้งสองละศีลอด(หมายถึงไม่ต้องถือศีลอด) และให้ทั้งสองจ่ายอาหารคนยากจนแทนทุกวันและทั้งสองไม่ต้องถือศีลอดชดใช้ - ดู อัตตัรเญียะห ฟีมะสาอิลิศเศามฺ วัซซะกาต 2/60 ของ มุหัมมัด บิน 
อุมัร สาลิม บาซมูล และ อัลมันฮัล ชัรหสุนันอบีดาวูด 10/29
عن نافع , عن ابن عمر - رضي الله عنهما - أن امرأته سألته وهي حبلى فقال: أفطري , وأطعمي عن كل يوم مسكينا , ولا تقضي
รายงานจากนาเฟียะ จากอิบนุอุมัร (ร.ฎ) ว่าแท้จริง ภรรยาของเขาได้ถามเขา โดยที่นางกำลังตั้งครรภ์ เขากล่าวตอบว่า เธอจงละศีลอด(หมายถึงไม่ต้องถือศีลอด) และเธอจงจ่ายอาหารคนยากจนแทนทุกวัน (ที่ไม่ถือศีลอด)และเธอไม่ต้องถือชดใช้ -สุนันอัดดารุลกุฏนีย์ 3/199 และอิรวาอุลเฆาะลีล ของอัลอัลบานีย์ 4/20 ระบุว่า สายรายงานดีเยี่ยม(اسناده جيد )
........
ข้างต้นเป็นทัศนะเศาะหาบะฮผู้อวุโสสองท่านคือ อิบนุอับบาสและอิบนุอุมัร เกี่ยวกับกรณีหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้เขียนแค่ถ่ายทอดหลักฐานทางวิชาการ ไม่ได้บังคับใครให้ตาม แต่ตัวผู้เขียนเห็นด้วย กับทัศนะนี้
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/5/62