วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เขาบอกว่าวะฮบีพวกต่อต้านเศาะละวาตนบี






เขาบอกว่าวะฮบีพวกต่อต้านเศาะละวาตนบี
ช่วงเดือนเราะบิอุลเอาวัล เป็นช่วงที่พี่น้องมุสลิมบางส่วนเฉลิมฉลองวันเกิดนบีเพื่อแสดงความรัก แต่บางส่วนไม่ได้ทำเมาลิดอย่างเดียว แต่ทำเมาลิดพร้อมกับโฆษณาช่วนเชื่อใส่ร้ายว่าคนไม่ทำเมาลิดคือ พวกวะฮบี เป็น พวกต่อต้านการเศาะละวาตนบี ขอเรียนว่า ความจริงไม่มีมุสลิมคนใดในโลกต่อต้านการเศาะะวาตนบี หรอก เพราะการเศาะละวาตนบี เป็นสิ่งที่ศาสนาสอนให้อ่าน ในละหมาด 5 เวลา ,ละหมาดสุนัต และละหมาดญะนาซะฮ เพราะมันเป็นบทบัญญัติที่มีมาในอัสสนนะฮ ดังหลักฐานทีนบี ศอ็ลฯสอนถ้อยคำเศาะละวาตในละหมาด ว่า

«اللَّهُـمَّ صَلِّ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ، اللَّهُـمَّ بَارِكْ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ»

ความหมาย “โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความจำเริญแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความจำเริญแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความประเสริฐแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความประเสริฐแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์เลขที่ : 3370 สำนวนนี้เป็นของอัลบุคอรียฺและมุสลิม เลขที่ : 406)
ข้างเป็นสิ่งที่นบีสอนไว้ให้กล่าวในละหมาด แล้วการกล่าวเศาะละวาตในพิธีกรรมเมาลิด ท่านนบี ศอ็ลฯ สอนไว้หรือเปล่า ไม่มีเลย แล้วจะมากล่าวหาคนที่ไม่ทำเมาลิดว่า ไม่รักนบี และต่อต้านเศาละวาตนบีได้อย่างไร
ท่านมุหัมหมัด อับดุสสลาม เคาะฎีร อัชชะกีรีย์ กล่าวว่า
فاتخاذ مولده موسماً والاحتفال به بدعة منكرة، وضلالة لم يرد بها شرع ولا عقل، ولو كان في هذا خير كيف يغفل عنه أبو بكر وعمر وعثمان وعلي وسائر الصحابة والتابعون وتابعوهم والأئمة وأتباعهم
การถือเอาวันเกิดของท่านนบี เป็นเทศกาลชุมนุมและการเฉลิมฉลอง ด้วยมันนั้น เป็นบิดอะฮ ที่เลว เป็นการหลงผิด ไม่ปรากฏบทบัญัติด้วยมัน และ ไม่กินกับปัญญา และถ้าปรากฏว่าในสิ่งนี้ มีความดีงาม ทำไมอบูบักร์,อุมัร,อุษมาน ,อาลี ,เหล่าสาวกคนอื่นๆ,เหล่า ตาบิอีน ,บรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ,บรรดาอิหม่ามและบรรดาผู้ที่ตามพวกเขา ได้ละเลย จากมัน – อัสสุนัน วัล มุบตะดะอาต หน้า 138 
.....
ถ้าดีจริงทำไมเคาะลิฟะฮทั้งสี่ ไม่ทำ เขาไม่รักนบีหรือ เขาต่อต้านเศาะละวาตหรือ

สัยยิดอาลี อัลฟักรีย์ กล่าวว่า
لم يكن في سنة العرب أن يحتفلوا بتاريخ ميلاد لأحد منهم، ولم تجر بذلك سنة المسلمين فيما سلف، والثابت في كتب التاريخ وغيرها أن عادة الاحتفال بمولد النبي صلى الله عليه وسلم من العادات المحدثة
“ในสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของชาวอาหรับ ไม่ปรากฏว่า พวกเขาเฉลิมฉลองวันเกิดคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น ไม่ได้ถูกนำไปเป็นสุนนะฮของบรรดามุสลิม ในยุคสะลัฟ และที่ปรากฏยืนยันในบรรดาตำราประวัติศาสตร์และอื่นจากนั้น แท้จริง ประเพณีเฉลิมฉลองวันเกิดนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากประเพณีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ – อัลมุหาเฎาะรอตอัลฟิกรียะฮ หน้า 128
>>>>
บรรดาชนยุคสะลัฟ เช่น เคาะลิฟะฮทั้ง 4 และคนอื่นๆในยุคสะลัฟ พวกเขาไม่เฉลิมฉลองวันเกิดนบี พวกเขาไม่รักนบีหรือ และพวกเขาต่อต้านการเศาะละวาตนบีอย่างนั้นหรื

บางคนอ้างอายะฮตอไปนี้ เป้นหลักฐานทำเมาลิด คือ
อัลเลาะฮ์ตะอาลาเจ้า ทรงตรัสความว่า
إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيماً
"แท้จริงอัลเลาะฮ์และมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ ทำการซอลาวาตแก่ท่านนบี โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงซอลาวาตแก่เขาและจงประสาทสันติแก่เขาอย่างแท้จริงเถิด" อัลอะห์ซาบ : 56
........
มีชนยุคสะลัฟท่านใดหรือเอาหลักฐานข้างต้นมาสนับสนุนการทำพิธีเมาลิดด้วยการอ่านเศาะละวาตนบี ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

حَدَّثَنَا ابْنُ حُمَيْدٍ قَالَ : ثَنَا هَارُونُ ، عَنْ عَنْبَسَةَ ، عَنْ عُثْمَانَ بْنِ مَوْهِبٍ ، عَنْ مُوسَى بْنِ طَلْحَةَ ، عَنْ أَبِيهِ قَالَ : أَتَى رَجُلٌ النَّبِيَّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، فَقَالَ : سَمِعْتُ اللَّهَ يَقُولُ ( إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ ) الْآيَةَ ، فَكَيْفَ الصَّلَاةُ عَلَيْكَ؟ فَقَالَ : " قُلْ : اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ ، وَبَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ 
คำแปลตัวบท
มูซา บิน ฏอ็ลหะฮ รายงานนจากบิดาของเขาว่า "มีชายคนหนึ่งไปหาท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ยินอัลลอฮตรัสว่า(แท้จริงอัลเลาะฮ์และมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ ทำการซอลาวาตแก่ท่านนบี )จนจบอายะฮ (เขาจึงถามนบี)ว่า จะเศาะละวาตให้แก่ท่านอย่างไร? แล้วท่านนบีตอบว่า "จงกล่าวว่า

لَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ ، وَبَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيد
" อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิอะลา มุหัมมัด วะอะลาอาลิ มุหัมมัด, กะมาศ็อลลัยตะ อะลาอิบรอฮีมะ วะอะลา อาลิอิบรอฮีม อินนะกะ หะมีดุมมะญีด, อัลลอฮุมมะบาริกอะลา มุหัมมัด วะอะลาอาลิ มุหัมมัด, กะมาบาร็อกตะ อะลาอิบรอฮีม วะอะลาอาลิอิบรอฮีม อินนะกะ หะมีดดุม มะญีด
- ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย 20/320

ถ้อยคำเศาะละวาตข้างต้น สอนให้อ่านในละหมาด ซึ่งมุสลิมทุกท่านที่ไม่ทำพิธีเมาลิดนบี เขาอ่านกันอยู่แล้วในละหมาด แต่ที่เขาไม่นำมาอ่านในพิธีกรรมเมาลิดนบี เพราะไม่มีคำสั่งจากศาสนาบัญญัติ แล้วกล่าวหาคนไม่ทำเมาลิตว่า "ต่อต้านเศาละวาตบีได้อย่างไร
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดะดั้ม
28/12/58

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สุนนะฮตัรกียะฮ






สุนนะฮตัรกียะฮ
คำว่า "สุนนะฮฮตัรกียะฮ"หมายถึง สิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ปฏิบัติและการไม่ปฏิบัตินั้น ไม่มีอุปสรรค์ใดมาขัดขวาง ดังนั้นการละทิงของท่านนบี ศอ็ลฯ คือ สุนนะฮ
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กลล่าวว่า
وَأَمَّا أَهْلُ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ فَيَقُولُونَ فِي كُلِّ فِعْلٍ وَقَوْلٍ لَمْ يَثْبُتْ عَنِ الصَّحَابَةِ : هُوَ بِدْعَةٌ ; لِأَنَّهُ لَوْ كَانَ خَيْرًا لَسَبَقُونَا إِلَيْهِ ؛ لِأَنَّهُمْ لَمْ يَتْرُكُوا خَصْلَةً مِنْ خِصَالِ الْخَيْرِ إِلَّا وَقَدْ بَادَرُوا إِلَيْهَا .
ความว่า "และสำหรับอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮนั้น พวกเขากล่าวในทุกการกระทำ และทุกคำพูดที่ไม่มีรายงานยืนยันว่ามาจากบรรดาเศาะฮาบะฮนั้น คือ บิดอะฮ เพราะถ้าหากมันเป็นสิ่งที่ดีงาม พวกเขาก็จะปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ละทิ้งประการหน่ึ่งประการใดจากบรรดาสิ่งที่ดีงาม นอกจากพวกเขาจะรีบเร่งไปสู่การกิบัติมัน - ตัฟสีรอิบนุกะษีร 7/278-279
กล่าวคือ อะฮลุสสุนนะอวัลญะมาอะฮนั้นพวกเขาถือว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยัน ว่าบรรดาเศาะหาบะฮปฏิบัตนั้น มันคือบิดอะฮ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ดี พวกเขาก็ได้ปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว
อบูอัลมุซฟัรอัสสัมอานีย์กล่าวว่า
إذا ترك النبي صلى الله عليه وسلم شيئا من الأشياء وجب علينا متابعته فيه 
เมื่อนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากบรรดาสิ่งต่างๆ ก็จำเป็นแก่เรา จะต้องเจริญรอยตามท่านนบีในสิ่งนั้น – เกาะวาเฏียะอัลอะดิลละฮ เล่ม 1 หน้า 311 
........... 
สิ่งใดท่านนบีไม่ปฏิบัติ เราก็ไม่ปฏิบัติ แบบนี้เขาเรียกปฏิบัติตามสุนนะฮตัรกียะฮ

อิหม่ามอัรซัรกะชีย์กล่าว่า
الْمُتَابَعَةَ كما تَكُونُ في الْأَفْعَالِ تَكُونُ في التُّرُوكِ
การปฏิบัติตามในการละทิ้ง(หมายถึง ในสิ่งที่นบีทิ้ง-ผู้แปล) เช่นเดียวกับการปฏิบัติตามในการกระทำ(หมายถึงในสิ่งที่นบี ศอลฯปฏิบัติ) – ดู อัลบะหรุลมะฮีฏ เล่ม 4 หน้า 191 
....... 
เพราะฉะนั้น เราจะปฏิบัติอิบาดะฮในเรื่องศาสนา เราต้องดู ที่ท่านนบี เพราะนบีคือผู้ที่รู้ว่า อัลลอฮชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และเป็นไปไม่ได้ที่ท่านนบีจะทิ้งในสิ่งที่อัลลอฮชอบ ถ้าท่านนบี ไม่ปฏิบัติ หรือไม่กล่าวส่งเสริม ก็เท่ากับว่า อัลลอฮไม่ชอบ ดังนั้น เราในฐานะอุมมะฮนบี เราก็จะต้องละทิ้งด้วย ถ้าเราดันทุรังที่จะทำ ก็เท่ากับปฏิบัติในสิ่งที่ศาสนาไม่อนุมัติ 
ส่วนวาทกรรมที่ว่า "นบีไม่ทำก็ไม่ได้หมายถึงการห้าม" เป็นวาทะกรรมที่มาจากการคิดเห็นตามอารมณ์ เพราะหลักการในเรื่องอิบาดะฮนั้น อิบนุหะญัร ซึ่งเป็นอุลามาอฺในมัซฮับชาฟิอีเองกล่าวถึงหลักการนี้ว่า

اَلْأَصْلَ فِي اَلْعِبَادَةِ اَلتَّوَقُّف
หลักเดิมในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง -ฟัตหุ้ลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 174
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รักนบีต้องปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่อุตริบิดอะฮ




รักนบีต้องปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่อุตริบิดอะฮ

การแสดงออกซึ่งความรักที่มีต่ออัลลอฮ นั้น พระองค์สอนให้ปฏิบัติตามท่านรอซูล สอ็ลฯ ดังอายะฮที่ว่า

قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللّهُ غَفُورٌ رَّحِيمٌ

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”-อาลิอิมรอน/31

ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า


هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ

อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
และท่านอิบนุกะษีร ได้กล่าวอีกว่า

وَقَالَ الْحَسَنُ الْبَصْرِيُّ وَغَيْرُهُ مِنَ السَّلَفِ : زَعَمَ قَوْمٌ أَنَّهُمْ يُحِبُّونَ اللَّهَ فَابْتَلَاهُمُ اللَّهُ بِهَذِهِ الْآيَةِ ، فَقَالَ : ( قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ ) .
และ อัลหะซัน อัลบัศรีย์ และคนอื่นจากเขา จากชาวสะลัฟ กล่าวว่า " คนพวกหนึ่ง อ้างว่า พวกเขารักอัลลอฮ แล้วอัลลอฮได้ทรงทดสอบพวกเขาด้วยอายะฮนี้คือ (จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน) -ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
คนที่อ้างว่ารักอัลลอฮ แต่ไม่ตามแนวทางหรือแบบอย่างนบี เขาคือ ผู้อ้างเท็จ ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่อ้างว่ารักนบี แต่ไม่ตามสุนนะฮนบี แต่ไปตามสิ่งที่เป็นบิดอะฮ ก็เท่ากับเขาอ้างเท็จเช่นกัน

รักนบี ต้องปฏิบัติในสิ่งที่นบีรัก ไม่ใช่ปฏิบัติและปกป้องบิดอะฮ สิ่งซึ่งนบีห้าม
والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ท่านเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลหรือ









ท่านเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลหรือ
เวลากล่าวปฏิญานตน ก็กล่าวปฏิญานว่า " ไม่มีประเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ "และแท้จริงมุหัมหมัด คือศาสนาทูตของอัลลอฮ" แต่ทำไม่การยึดเอาคำสอนศาสนา จึงไม่หยุดอยู่ที่คำสอนของอัลลอฮและคำสอนของรอซูลของพระองค์ หรือว่า รู้และเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูล
พระองค์ทรงตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ عَلِيمٌ
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า (ในการกระทำใด ๆ) เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้-อัลหุญะรอต/1
อิบนุกะษีร กล่าวว่า
قَالَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : ( لَا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ ) : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ
อาลี บิน อบี ฏอ็ลหะฮ ได้กล่าวว่ารายงานจาก อิบนุอับบาส เกี่ยวกับอายะฮที่ว่า(พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า อัลลอฮและร่อซูลของพระองค์) หมายถึง พวกเจ้าอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนะฮ “- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 7 หน้า 364 อรรถาธิบาย อายะฮที่ 1 ซุเราะฮ อัลหุญรอต
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
أَيْ لَا تَقُولُوا حَتَّى يَقُولَ ، وَلَا تَأْمُرُوا حَتَّى يَأْمُرَ ، وَلَا تُفْتُوا حَتَّى يُفْتِيَ ، وَلَا تَقْطَعُوا أَمْرًا حَتَّى يَكُونَ هُوَ الَّذِي يَحْكُمُ فِيهِ وَيَمْضِيهِ ، رَوَى عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ.
หมายถึง พวกท่านอย่าพูด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล) พูด ,ท่านอย่างสั่ง จนกว่าเขาสั่ง ,ท่านอย่าฟัตวา จนกว่าเขาฟัตวา (ตัดสินชี้ขาด) และพวกเจ้าอย่า ตัดสินสิ่งใดอย่างเด็ดขาด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล)จะชี้ขาด ในมันและตัดสินมัน ,อาลี บิน อบีฏอ็ลหะฮ รายงานจาก อิบนุอับบาส (ร.ฎ) ว่า พวกเจ้าอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนะฮ- เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/51
หมายความว่า อย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใด ก่อนทีอัลลอฮหรือรอซูลกล่าวไว้ ,อย่าสั่งสิ่งใด ก่อนที่ อัลลอฮหรือรอซูล สั่ง ,อย่าฟัตวาหรือชี้ขาดเกี่ยวกับประเด็นใดก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสินชี้ขาด และอย่ากล่าวตัดสินสิ่งเป็นการเด็ดขาด ก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสิน
เพราะฉะนั้น การที่ท่านส่งเสริมให้คนอาวามทำสิ่งใด หรือตัดสินว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นผิด และสิ่งนั้นถูก โดยไม่ปรากฏคำสอนจากอัลลอฮและรอซูล ก็เท่ากับว่าท่านยกตัวเองว่าเก่งกว่าอัลลอฮและรอซูลใช่ไหม..แล้วสองคำปฏิญานที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวมันเพื่ออะไร.????
والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อยากได้บุญที่คนอื่นยกให้ รู้ไหมใครคือเจ้าของบุญ





อยากได้บุญที่คนอื่นยกให้ รู้ไหมใครคือเจ้าของบุญ


มุสลิมในสังคมบ้านเรา มีจำนวนไม่น้อย ที่มีความหวังผลบุญจากคนอื่น แต่ตัวเอง ไม่ขยันทำอะมั้ลอิบาดะฮ ไม่สนใจเรียน เงื่อนไขของอิบาดะฮที่จะนำไปสู่การได้บุญ
การตอบแทนผลบุญนั้น ผู้ที่ตอบแทนคือ อัลลอฮ ตาอาลา พระองค์คือเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งผลบุญ ทรงตอบแทนผลบุญแก่ผู้ที่ทำความดี ที่ทรงพอพระทัย
...
ในอัลกุรอ่าน กล่าวถึง คำว่า "ผลบุญ"(الثواب ) เช่น

وَلأُدْخِلَنَّهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الأَنْهَارُ ثَوَابًا مِّن عِندِ اللّهِ وَاللّهُ عِندَهُ حُسْنُ الثَّوَابِ

และแน่นอนข้าจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น ทั้งนี้เป็นรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม -อาลิ อิมรอน :195
คำว่า " ษะวาบ" แปลว่า รางวัลตอบแทน ซึ่ง มักจะเรียกกันว่า "ผลบุญ"


อีกคำหนึ่ง คือ การตอบแทน (الأجر ) เช่น

الَّذِينَ اسْتَجَابُواْ لِلّهِ وَالرَّسُولِ مِن بَعْدِ مَا أَصَابَهُمُ الْقَرْحُ لِلَّذِينَ أَحْسَنُواْ مِنْهُمْ وَاتَّقَواْ أَجْرٌ عَظِيمٌ

คือบรรดาผู้ที่ตอบรับอัลลอฮ์ และร่อซูลหลังจากที่บาดแผลได้ประสบแก่พวกเขา สำหรับบรรดาผู้กระทำดีในหมู่พวกเขาและมีความยำเกรงนั้น คือรางวัลอันยิ่งใหญ่หลวง -อาลิ อิมรอน :172


การตอบแทน หรือผลบุญ นั้น จะถูกกล่าวพร้อมกับ การทำความดีเสมอ หมายถึง การตอบแทนผู้ทำความดี ไม่ใช่ตอบแทนแทนผู้ที่รอส่วนบุญจากคนอื่น
การทำความดี และละเว้นความชั่ว เป็นบททดสอบอย่างหนึ่งจากอัลลอฮ แก่บ่าว เพื่อจะได้พิสูจน์ ถึงความศรัทธาของเขา
อัลกุรอ่านระบุไว้ว่า

أَمْ حَسِبْتُمْ أَن تَدْخُلُواْ الْجَنَّةَ وَلَمَّا يَعْلَمِ اللّهُ الَّذِينَ جَاهَدُواْ مِنكُمْ وَيَعْلَمَ الصَّابِرِينَ

[3.142] หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวนสวรรค์ ทั้งๆ ที่อัลลอฮ์ยังมิได้(จำแนกให้)รู้ชัด(ว่าใครคือ) บรรดาผู้ที่ต่อสู้ (ญิฮาด) ในหมู่พวกเจ้า และ(ยังมิได้จำแนกให้แน่ชัด)ให้ทรงรู้(ว่าใครคือ)บรรดาผู้ที่อดทนด้วย – อาลิอิมรอน/142

อิบนุกะษีร อธิบายว่า

أَيْ : لَا يَحْصُلُ لَكُمْ دُخُولُ الْجَنَّةِ حَتَّى تُبْتَلَوْا وَيَرَى اللَّهُ مِنْكُمُ الْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِهِ وَالصَّابِرِينَ عَلَى مُقَارَنَةِ الْأَعْدَاءِ . 

หมายถึง การเข้าสวรรค์ จะไม่ได้แก่พวกเจ้า จนกว่า พวกเจ้าจะถูกทดสอบ และอัลลอฮได้เห็นในหมู่พวกเจ้า บรรดาผู้ที่เสียสละในหนทางของพระองค์ และบรรดาผู้ที่อดทน ต่อการเผชิญกับบรรดาศัตรู - อิบนุกะษีร 2/127
จะเห็นได้ว่า ผู้ที่จะได้รับรางวัลตอบแทน คือ การได้เข้าสวรรค์นั้น ต้องมีผลงาน ต้องผ่านการทดสอบการเสียสละและความอดทน
การตั้งความหวังว่า เมื่อตาย แล้วจะได้นอนรอรอส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้
นั้น เป็นความหวัง ของคนที่เห็นแก่ได้แต่ขี้เกียจสร้างผลงาน แบบนี้ มั่นใจหรือว่าจะประสบความสำเร็จในวันกิยามะฮ

والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เรียนจนถึงหลุมฝังศพหรือว่าจะเรียนในหลุมฝังศพกันแน่







เรียนจนถึงหลุมฝังศพหรือว่าจะเรียนในหลุมฝังศพกันแน่

มีหะดิษปลอมบทหนึ่งมักจะถูกนำมาอ้างเพื่อส่งเสริมให้เรียน คือ


اطلبوا العلم من المهد الى اللحد

พวกท่านจงแสวงหาความรู้ตั้งแต่อยู่ในเปลจนกระทั้งถึงหลุมฝังศพ

แต่ยังมีหะดิษเฎาะอีฟและนักวิชาการบางท่านระบุว่าหะดิษปลอม ส่งเสริมให้จัดการเรียนการสอนคนตายที่อยู่ในหลุมศพคือ หะดิษที่ว่า

- حَدَّثَنَا أَبُو عَقِيلٍ أَنَسُ بْنُ سَلْمٍ الْخَوْلَانِيُّ ، ثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ بْنِ الْعَلَاءِ الْحِمْصِيُّ ، ثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ عَيَّاشٍ ، ثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ الْقُرَشِيُّ ، عَنْ يَحْيَى بْنِ أَبِي كَثِيرٍ ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الْأَوْدِيِّ ، قَالَ : شَهِدْتُ أَبَا أُمَامَةَ وَهُوَ فِي النَّزْعِ ، فَقَالَ : إِذَا أَنَا مُتُّ ، فَاصْنَعُوا بِي كَمَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - أَنْ نصْنَعَ بِمَوْتَانَا ، أَمَرَنَا رَسُولُ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فَقَالَ : " إِذَا مَاتَ أَحَدٌ مِنْ إِخْوَانِكُمْ ، فَسَوَّيْتُمِ التُّرَابَ عَلَى قَبْرِهِ ، فَلْيَقُمْ أَحَدُكُمْ عَلَى رَأْسِ قَبْرِهِ ، ثُمَّ لِيَقُلْ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَسْمَعُهُ وَلَا يُجِيبُ ، ثُمَّ يَقُولُ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَسْتَوِي قَاعِدًا ، ثُمَّ يَقُولُ : يَا فُلَانَ بْنَ فُلَانَةَ ، فَإِنَّهُ يَقُولُ : أَرْشِدْنَا رَحِمَكَ اللَّهُ ، وَلَكِنْ لَا تَشْعُرُونَ . فَلْيَقُلْ : اذْكُرْ مَا خَرَجْتَ عَلَيْهِ مِنَ الدُّنْيَا شَهَادَةَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، وَأَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ ، وَأَنَّكَ رَضِيتَ بِاللَّهِ رَبًّا ، وَبِالْإِسْلَامِ دِينًا ، وَبِمُحَمَّدٍ نَبِيًّا ، وَبِالْقُرْآنِ إِمَامًا ، فَإِنَّ مُنْكَرًا وَنَكِيرًا يَأْخُذُ وَاحِدٌ مِنْهُمْا بِيَدِ صَاحِبِهِ وَيَقُولُ : انْطَلِقْ بِنَا مَا نَقْعُدُ عِنْدَ مَنْ قَدْ لُقِّنَ حُجَّتَهُ ، فَيَكُونُ اللَّهُ حَجِيجَهُ دُونَهُمَا " . فَقَالَ رَجُلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، فَإِنْ لَمْ يَعْرِفْ أُمَّهُ ؟ قَالَ : " فَيَنْسُبُهُ إِلَى حَوَّاءَ ، يَا فُلَانَ بْنَ حَوَّاءَ

คำแปลตัวบท

จากสะอีด บุตร อับดุลลอฮ อัลเอาดีย กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านอบีอุมามะฮ โดยที่เขา กำลังไกล้จะเสียชีวิต
เมื่อฉันได้เสียชีวิต พวกท่านจงจัดการเกี่ยวกับฉัน ดังที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้ใช้กับเรา ให้จัดการกับบรรดาผู้ตายของเรา ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ใช้กับเราโดยท่านกล่าวว่า " เมื่อคนใดจากพี่น้องของพวกท่านได้เสียชีวิต พวกท่านจงทำให้ดินบนกุบูรของเขาเรียบเสมอ และคนหนึ่งจากพวกท่าน จงยืนทางปลายของกุบูรของเขา หลังจากนั้น เขาจงกล่าวว่า "โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) บุตร ของนางผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) ดังนั้น เขาก็ได้ทำให้มัยยิดได้ยิน โดยที่มัยยิดก็จะไม่ทำการตอบสนอง หลังจากนั้น เขาก็กล่าวอีกว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง แล้วมัยยิดก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นเขากล่าวว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง ดังนั้น มัยยิดจึงกล่าวว่า ท่านจงชี้แนะแก่เราด้วยเถิด ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาต่อท่าน โดยที่พวกท่านทั้งหลายไม่รู้ตัวหรอก ดังนั้น เขากล่าวว่า "ท่าน(มัยยิด) จงกล่าวกับถ้อยคำที่ท่านดำรงอยู่บนมัน โดยที่ท่านได้จากลาออกจากโลกดุนยา กับคำปฏิญานว่า แท้จริง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์ และมุหัมมัดนั้นเป็นบ่าว และเป็นศาสนาทูตของพระองค์ และแท้จริง ฉันได้พอใจด้วยกับการที่อัลเลาะฮ์ทรงเป็นผู้อภิบาล และด้วยกับอิสลามนั้น คือศาสนา และนบีมุหัมมัด คือ ศาสนทูต และอัลกุรอานคือ อิมาม ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงเดินไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) เกี่ยวกับผู้ที่ถูกสอนกับหลักฐาน(ที่แสดงถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว (หมายถึงเขาได้ตอบคำถามของมุงกัรนะกีรแล้ว) เพราะอัลลอฮ"เป็นหลักฐาน(ที่เป็นคำตอบ)ของเขาที่ไม่ใช่มุงกัรและนะกีร ดังนั้น มีชายคนหนึ่ง ถามท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ว่า หากเขา(ผู้อ่านตัลกีน) ไม่รู้จักมารดาผู้ตายล่ะครับ ? ท่านร่อซูลตอบว่า ก็ให้เขาอ้างไปยังมารดาของที่ชือ เฮาวาอ์ คือ(กล่าวว่า) โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ชื่อ...) บุตร ของพระนางเฮาวาอ์
คำวิจารณ์หะดิษ

رواه الطبراني في الكبير وفي إسناده جماعة لم أعرفهم

รายงานโดย อัฎฎอ็บรอนีย ในอัลกะบีร และในสายสืบของมัน มีบรรดาผู้รายงานกลุ่มหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้จักพวกเขา - ดูมัจญมัวะซะวาอิด เล่ม 3 บทว่าด้วย การตัลกีนมัยยิต หลังจากฝัง (باب تلقين الميت بعد دفنه)

1. อัลอิซ บิน อับดุสสลาม กล่าวว่า "

لم يصح في التلقين شيء وهو بدعة
ไม่มี (หะดีษ) ที่เศาะหีหฺในเรื่องตัลกีนแม้แต่หะดีษเดียว และมันคือ (การกระทำที่) บิดอะฮฺ (ฟะตาวาอัลอิซ บิน อับดุสสลาม หน้า 427)

2. เจ้าของหนังสือเอานุลมะอฺบูด กล่าวว่า

والتلقين بعد الموت قد جزم كثير أنه حادث

และการอ่านตัลกีนหลังจากเสียชีวิต แท้จริงได้มีอุละมาอฺจำนวนมากยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ (8/268)
3. ศ็อนอานีย์ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ท่านยังอ้างว่ามีระบุในหนังสืออัลมะนารด้วยว่า

إن حديث التلقين لا يشك أهل المعرفة بالحديث في وضعه
แท้จริง หะดีษตัลกีน บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับหะดีษไม่สงสัยเลยถึงความเป็นหะดีษเมาฎูอฺของมัน (สุบุลุสสลาม 2/113)
สิ่งที่แปลกไม่ต่างกับนิยาย ข้อความที่ว่า คือ

فَإِنَّ مُنْكَرًا وَنَكِيرًا يَأْخُذُ وَاحِدٌ مِنْهُمْا بِيَدِ صَاحِبِهِ وَيَقُولُ : انْطَلِقْ بِنَا مَا نَقْعُدُ عِنْدَ مَنْ قَدْ لُقِّنَ حُجَّتَهُ ، فَيَكُونُ اللَّهُ حَجِيجَهُ دُونَهُمَا

ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงเดินไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) เกี่ยวกับผู้ที่ถูกสอนกับหลักฐาน(ที่ชี้เป็นถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว (หมายถึงเขาได้ตอบคำถามของมุงกัรนะกีรแล้ว) "
คือ เมื่อมลาอิกะฮมุงกัร นะกัร เห็นมีการสอนคนตายในหลุมศพแล้ว เขาทั้งสองก็ชวนกันกลับ คนตายก็ไม่ถูกสอบสวน ....ถ้าไม่เรียกนิยาย แล้วจะเรียกว่าอะไรดี
والله أعلم بالصواب

แนวทางในการดะอวะฮตามคำสอนอัลกุรอ่าน




แนวทางในการดะอวะฮตามคำสอนอัลกุรอ่าน

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

ادْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ
...
ความว่า “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า - อัลนะหลุ/125
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า

يَقُولُ تَعَالَى آمِرًا رَسُولَهُ مُحَمَّدًا - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - أَنْ يَدْعُوَ الْخَلْقَ إِلَى اللَّهِ بِالْحِكْمَةِ 

พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง ทรงสั่ง รอซูลของพระองค์ ,มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ให้ดะอวะฮมนุษย์ไปสู่อัลลอฮด้วยฮิกมะฮ


قَالَ ابْنُ جَرِيرٍ : وَهُوَ مَا أَنْزَلَهُ عَلَيْهِ مِنَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ ( وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ ) أَيْ : بِمَا فِيهِ مِنَ الزَّوَاجِرِ وَالْوَقَائِعِ بِالنَّاسِ ذَكَّرَهُمْ بِهَا ؛ لِيَحْذَرُوا بَأْسَ اللَّهِ تَعَالَى .

อิบนุญะรีร กล่าวว่า และมันคือ สิ่งที่อัลลอฮได้ประทานมันลงมา แก่เขาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ (และการตักเตือนที่ดี) หมายถึง ด้วยสิ่งที่อยู่ในมัน จากบรรดาข้อห้ามต่างๆและบรรดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ , ให้เขาตักเตือนพวกเขาเหล่านั้นด้วยมัน เพือพวกเขาจะได้ระวัง การลงโทษของอัลลอฮตาอาลา
وَقَوْلُهُ : ( وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ ) أَيْ : مَنِ احْتَاجَ مِنْهُمْ إِلَى مُنَاظَرَةٍ وَجِدَالٍ ، فَلْيَكُنْ بِالْوَجْهِ الْحَسَنِ بِرِفْقٍ وَلِينٍ وَحُسْنِ خِطَابٍ ، كَمَا قَالَ : ( وَلَا تُجَادِلُوا أَهْلَ الْكِتَابِ إِلَّا بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ إِلَّا الَّذِينَ ظَلَمُوا مِنْهُمْ ) [ الْعَنْكَبُوتِ : 46 ] فَأَمَرَهُ تَعَالَى بِلِينِ الْجَانِبِ ، كَمَا أَمَرَ مُوسَى وَهَارُونَ - عَلَيْهِمَا السَّلَامُ - حِينَ بَعَثَهُمَا إِلَى فِرْعَوْنَ فَقَالَ : ( فَقُولَا لَهُ قَوْلًا لَيِّنًا لَعَلَّهُ يَتَذَكَّرُ أَوْ يَخْشَى ) [ طه : 44

คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า ) หมายถึง ผู้ใดจากพวกเขาต้องการโต้แย้งและโต้เถียง ก็ให้เป็นไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยความสุภาพ ,อ่อนโยนและการพูดจาปราศัยที่ดี ดังที่พระองค์ตรัสว่า (และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับพวกอะฮ์ลุลกิตาบเว้นแต่ด้วยวิธีที่ดีกว่า นอกจากบรรดาผุ้อธรรมในหมู่พวกเขา")-อัลอังกะบูต/46 และอัลลอฮตาอาลา ได้ทรงสั่งเขา ให้มีความสุภาพอ่อนโยนดังที่ทรงได้สั่งมูซา และฮารูน (อ.) เมื่อทรงแต่งตั้งคนทั้งสองให้ไปยังฟาโรห์ โดยตรัสว่า(
" แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยน บางทีเขาอาจจะรำลึกขึ้นมา หรือเกิดความยำเกรงขึ้น" (ตอ-ฮา: 44) -ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร 17/322

สรุปคือ แนวทางการดะฮวะฮนั้น จะต้องปฏิบัติดังนี้
1.เรียกร้องไปสู่กิตาบุลลอฮ และสุนนะฮ
2. นำเอาบรรดาข้อห้ามต่างๆและบรรดาเหตุุการต่างๆที่เกิดขึ้นกับมานุษย์ มาตักเตือน เพื่อให้พวกเขาระวังการลงโทษของอัลลอฮ
3. มีความสุภาพอ่อนโยนและพูดจาปราศัยที่ดี

ข้างต้น คือแนวทางดะอฺวะฮที่อัลลอฮ ตาอาลาสอนไว้ ที่บรรดานักดาอีย์ทั้งหลายในปัจจุบัน รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย ยังขาดตกบกพร่องอยู่ไม่น้อยในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ การมีความสุภาพอ่อนโยนในการพูดจา ปราศัย ซึ่งต้องปรับปรุงตัวเองกันอีกมากมาย ,ยังคงห่างใกลจากวิธีการเผยแพร่ตามแบบอย่างบรรพชนยุคสะลัฟ อีกมาก ที่จะเรียกตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ ว่าเผยแพร่ตามวิถีสะลัฟ
والله أعلم بالصواب

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บรรพชนยุคสะลัฟเขาตามอุลามอฺอย่างไร







บรรพชนยุคสะลัฟเขาตามอุลามอฺอย่างไร

อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

وَأَمَّا نَوْعُ التَّقْلِيدِ الَّذِي خَالَفَ فِيهِ الْمُتَأَخِّرُونَ الصَّحَابَةَ وَغَيْرَهُمْ مِنَ الْقُرُونِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ ، فَهُوَ تَقْلِيدُ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ ، مِنْ جَمِيعِ الْعُلَمَاءِ ...


และสำหรับชนิดของการตักลิด(การเชื่อตาม)ที่บรรดาคนยุคหลังมีความแตกต่างในนั้น กับเหล่าเศาะหาบะฮและคนอื่นจากพวกเขา จากบรรดาศตวรรษที่ถูกเป็นพยาน ด้วยความดีงานสำหรับพวกเขาคือ การตักลิด(การเชื่อตาม/ปฏิบัติตาม)คนๆเดียวเป็นการเฉพาะ โดยไม่ตามคนอื่นจากเขาคนนั้น จากบรรดาอุอุลามาอฺ


فَإِنَّ هَذَا النَّوْعَ مِنَ التَّقْلِيدِ ، لَمْ يَرِدْ بِهِ نَصٌّ مِنْ كِتَابٍ وَلَا سُنَّةٍ ، وَلَمْ يَقُلْ بِهِ أَحَدٌ مِنْ أَصْحَابِ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَلَا أَحَدٌ مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ .

เพราะแท้จริงนี้คือชนิดของการตักลิด ที่ไม่มีหลักฐานจาก อัลกุรอ่านและสุนนะฮ ด้วยมัน และไม่มีคนใดจากเหล่าสาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ พูดด้วยด้วยมัน และไม่มีคนใด ในศตวรรษที่สามที่ถูกเป็นพยานด้วยความดีงาม (พูดด้วยดังกล่าวนั้น)

وَهُوَ مُخَالِفٌ لِأَقْوَالِ الْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ رَحِمَهُمُ اللَّهُ ، فَلَمْ يُقِلْ أَحَدٌ مِنْهُمْ بِالْجُمُودِ عَلَى قَوْلِ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ ، مِنْ جَمِيعِ عُلَمَاءِ الْمُسْلِمِينَ .

และมัน(การตักลิดเจาะจงตัวบุคคลเป็นการเฉพาะ) เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับบรรดาคำพูดของอิหม่ามทั้งสี่ (ร.ฮ)เพราะไม่มีคนใดจากพวกเขากล่าว(ให้ทัศนะ)ด้วยความหนักแน่น บนคำพูดของคนๆหนึ่ง เป็นการเฉพาะ โดยไม่(กล่าวทัศนะด้วยคำพูด)คนอื่นจากเขาจากบรรดาปราชญ์มุสลิม

فَتَقْلِيدُ الْعَالِمِ الْمُعَيَّنِ مِنْ بِدَعِ الْقَرْنِ الرَّابِعِ ، وَمَنْ يَدَّعِي خِلَافَ ذَلِكَ ، فَلْيُعَيِّنْ لَنَا رَجُلًا وَاحِدًا مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْأُوَلِ ، الْتَزَمَ مَذْهَبَ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ ، وَلَنْ يَسْتَطِيعَ ذَلِكَ أَبَدًا ; لِأَنَّهُ لَمْ يَقَعِ الْبَتَّةَ .


ดังนั้นการตักลิด(การเชื่อตาม)ผู้รู้เป็นการเฉพาะ เป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮในศตวรรษที่สี่ และผู้ใดขัดแย้ง(เห็นต่างดังกล่าว)ก็จงระบุเจาะจง ให้เรา มาสักคน จากคนที่อยู่ในศตวรรษสามแรก ว่า เขายึดติด(สังกัด)มัซฮับคนหนึ่งเป็นการเจาะจง และเขาไม่สามารถดังกล่าว(หมายถึงไม่สามาถระบุว่าคนยุคแรกคนใดสังกัดมัซฮับแบบเจาะจงให้แก่เรา) ตลอดไป เพราะแท้จริง มันไม่เกิดขึ้นเลย – ตัฟสีร อัฎวาอุลบะยาน ๗/๓๐๗
สรุปคำอธิบายยของอิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ร.ฮ)
๑. การตามอุลามาอฺของคนยุคเศาะฮาบะฮและยุคสะลัฟ แตกต่างจากคนยุคหลัง เพราะคนยุคหลังผูกขาดผู้รู้หรืออุลามาอฺเป็นการเฉพาะ ไม่ตามคนอื่น
๒. การสังกัดอุลามาอฺเป็นการเฉพาะ ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮและไม่มีคำพูดจากชาวสะลัฟกล่าวเอาไว้
๓. บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ไม่มีคนใดกล่าวทัศนะให้สังกัดมัซฮับปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการการเฉพาะ

๔.การสังกัดมัซฮับแบบผูกขาดเป็นบิดอะฮที่เกิดในศตวรรษที่สี่

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ในศาสนาอิสลามมีบิดอะฮที่ดีจริงหรือ







ในศาสนามีบิดอะฮที่ดีจริงหรือ
ปกติคนที่รักท่านนบี ศอ็ลฯ พวกเขาจะปกป้องท่านนบีและสุนนะฮท่านนบี อย่างสุดชีวิต แต่ก็มีคนบางกลุ่มปากบอกว่ารักนบี แต่อนุรักษ์และป้องป้องบิดอะฮจนสุดชีวิตเช่นกัน และเรียกมันให้สวยหรูว่า “บิดอะฮหะสะนะฮ (บิดอะฮที่ดี)
ขอเรียนว่า บิดอะฮในทางศาสนบัญญัตินั้น เป็นการลุ่มหลงหรือหลงผิด(ضلالة) แม้ใครจะอ้างว่า มันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม
ดังที่ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).،
กลุ่มอนุรักษ์บิดอะฮ มักจะอ้างว่า บิดอะฮไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวทั้งหมด มีสิ่งดีด้วย เรื่องนี้ มาดูคำอธิบายต่อไปนี้
อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า
قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด) ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้นร ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา) นั้นคือ ผู้ที่หลงผิด
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181
จากรายละเอียดข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ในศาสนบัญญัติ ไม่มีบิดอะฮที่ดี และ ผู้ที่ตัดสินว่าดีและเลวในเรื่องศาสนาด้วยเหตุผลทางปัญญา นั้น คือชาวบิดอะฮที่หลงผิด
والله أعلم بالصواب

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ ตอน 3(อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี)





อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ ตอน 3(อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี)

อิหม่ามอบูอุษมาน อัลนัยสะบูรีย์ อัศศอบูนีย์ ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง ฮ.ศ ๓๗๓ - ๔๔๙ ได้กล่าวถึงอะกีดะฮของอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ว่า
" وأما إمامنا أبو عبد الله محمد بن إدريس الشافعي رضي الله عنه احتج في كتاب المبسوط في مسألة إعتاق الرقبة المؤمنة في الكفارة , وأن غير المؤمنة لا يصح التكفير بها بخبر معاوية بن الحكم , وأنه أراد أن يعتق الجار...ية السوداء لكفارة , وسأل رسول الله صلى الله عليه وسلم عن إعتاقه إياها فامتحنها رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال صلى الله عليه وسلم لها : من أنا ؟ فأشارت إليه وإلى السماء يعني أنك رسول الله الذي في السماء فقال صلى الله عليه وسلم : أعتقها فإنها مؤمنة . فحكم رسول الله صلى الله عليه وسلم بإسلامها وإيمانها لما أقرت بأن ربها في السماء وعرفت ربها بصفة العلو والفوقية

และอิหม่ามของเรา,อบูอับดุลลอฮ มุหัมหมัด บิน อิดริส อัชชาฟิอีย์ (ร.ฎ) ได้อ้างหลักฐานในหนังสือของเขา “อัลมับสูฏ” ในประเด็นการปล่อยทาสหญิงผู้ศรัทธา ใน การจ่ายกัฟฟาเราะฮ (การชดเชย) และแท้จริง อื่นจาก(ทาส)หญิงผู้ศรัทธานั้น การการกัฟฟาเราะฮ(การชดเชย) ด้วยนาง นั้นใช้ไม่ได้ ด้วย(หลักฐาน)หะดิษ มุอาวิยะฮ บิน อัลหะกัม ว่า แท้จริง เขาต้องการจะปล่อยทาสหญิงผิวดำให้เป็นอิสระ เพื่อเป็นการกัฟฟาเราะ(การชดเชยความผิด) และเขาถามรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ เกี่ยวกับการที่เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ แล้วท่านรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ ก็ได้ทดสอบนาง โดยท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้กล่าวแก่นางว่า ฉันคือใคร? แล้วนางก็ชี้ไปยังท่านรซูลุลลอฮ และชี้ไปยังฟากฟ้า หมายถึง แท้จริงท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮ ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า แล้วรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริง นางคือหญิงผู้ศรัทธา แล้วรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้ตัดสิน ด้วยการเป็นอิสลามของนาง และการศรัทธาของนาง ขณะที่นาง ยอมรับ ว่าแท้จริงพระเจ้าของนาง อยู่บนฟ้า และนางรู้จักพระเจ้าของนาง ด้วยคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูง และการอยู่เบื้องบน

وإنما احتج الشافعي رحمة الله عليه على المخالفين في قولهم بجواز إعتاق الرقبة الكافرة في الكفارة بهذا الخبر؛ لاعتقاده أن الله سبحانه فوق خلقه، وفوق سبع سماواته على عرشه، كما معتقد المسلمين من أهل السنة والجماعة، سلَفِهم وخلفِهم؛ إذ كان رحمه الله لا يرو خبرًا صحيحًا ثم لا يقول به. 

และความจริง อัชชาฟิอี (ร.ฮ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยหะดิษนี้(หมายถึงหะดิษญารียะฮ ที่ตอบท่านนบีว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า-ผู้แปล )ตอบโต้บรรดาผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ในกรณีเกี่ยวกับทัศนะของพวกเขา(ที่อ้างว่า) อนุญาตให้ปล่อยท่านหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟร เพราะ อะกีดะฮของเขา(หมายถึงชาฟิอี)เชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ( ซ.บ) ทรงอยู่เหนื่อมัคลูคของพระองค์ และเหนือ บรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ บนบัลลังค์(อะรัช)ของพระองค์ ดังที่เป็นหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ยุคสะลัฟและยุคเคาะลัฟ เพราะ ปรากฏว่าเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) เขาจะไม่รายงานหะดิษที่เศาะเอียะใดๆ แล้วต่อมาเขาไม่นำมากล่าวด้วยมัน - อะกีดะฮสะลัฟ วะอัศหาบิลหะดิษ ของ อิหม่ามอัศศอบูนีย์ หน้า ๑๑๘,๑๘๙

>>>>>>>>>>

หมายถึง อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหะดิษญารียะฮ เป็นหลักฐานตอบโต้ บรรดาผู้ที่อ้างว่า อนุญาตให้ปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟรได้ สำหรับทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น อนุญาตปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟรได้ ก็ต่อเมื่อนางรับอิสลาม โดยที่อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหลักฐานจากหะดิษญารียะฮ คือ ท่านนบี ถามทาสหญิงคนนั้นว่า อัลลอฮอยู่ที่ใหน ?นางตอบว่า “อัลลอฮ อยู่บนฟ้า” แล้วนบีรับรองว่านางเป็นมุสลิม แล้วนบีบอกให้ปล่อยนางเป็นอิสระ และอัศศอบูนีย์ ยืนยันว่า "อิหม่ามชาฟิอีนั้น ไม่เคยปรากฏว่า เมื่อท่านรายงานหะดิษเศาะเฮียะ แล้วท่านไม่นำมันมาอ้างเป็นหลักฐาน 
……..
อาชาอิเราะฮบางกลุ่มที่อ้างว่าตามมัซฮับชาฟิอี พยายามหาข้ออ้างปฏิเสธการอยู่บนฟ้าของอัลลอฮ อย่างสุดฤทธิ์ แถมพยายามใช้เล่ห์เพททุบายทำลายผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าทุกหนทาง แบบตายไม่ฝัง ทั้งๆที่ อะกีดะฮ อิหม่ามชาฟิอี ที่ตนสังกัด ก็มีอะกีดะฮ เชื่อว่า “อัลลอฮอยู่บนฟ้า” 

والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 2)








อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 2)


أَخْبَرَنَا الإِمَامُ أَبُو الْحَسَنِ عَلِيُّ بْنُ عَسَاكِرِ بْنِ الْمُرَحِّبِ الْبَطَائِحِيُّ الْمُقْرِئ ، قَالَ : أَنْبَأَ الأَمِينُ أَبُو طَالِبٍ عَبْدُ الْقَادِرِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْقَادِرِ الْيُوسُفِيُّ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبُو إِسْحَاقَ إِبْرَاهِيمُ بْنُ عُمَرَ الْبَرْمَكِيُّ ، أَنَبَأَ أَبُو بَكْرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ بَخِيتٍ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبِو حَفْصٍ عُمَرُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عِيسَى الْجَوْهَرِيُّ ، قَالَ : ثَنَا أَبُو بَكْرٍ أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ هَانِئٍ الطَّائِيُّ الأَثْرَمُ ، قَالَ : حَدَّثَنِي عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ ، قَالَ : قُلْتُ : لِابْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ نَعْرِفُ رَبَّنَا ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عَرْشِهِ ، وَلَا نَقُولُ كَمَا تَقُولُ الْجَهْمِيَّةُ : إِنَّهُ هَاهُنَا وَهَاهُنَا 

อิหม่าม อบุลหะซัน อะลี บิน อะสากีร บิน อัลมุเราะหิบ อัลบะฏออิฮีย์ อัลมุกรีย์ กล่าวว่า อัลอะมีน อบูฏอลิบ อับดุลกอดีร บิน มุหัมหมัด บิน อับดิลกอเดร์ อัลยูซุฟีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน อุมัร อัลบัรมะกีย์ ได้บอก ,อบูบักร์ มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ บิน บะคีต ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูหัฟศิน อุมัร บิน มุหัมหมัด บิน อีซา อัลเญาฮะรีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบุบักร์ อะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน ฮานิ อัฏฏีอีย์ อัลอัษรอม กล่าวว่า อาลี บิน หะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า “ “ข้าพเจ้าได้กล่าวกับอับดุลลอฮ บิน อัล-มุบาร็อก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเราได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”) – อิษบาตรสิฟัตอัลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮอัลมุกอ็ดดิสีย์ หะดิษหมายเลข 70 เรือง أَقْوَالُ الأَئِمَّةِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ
>>>>>>>>>
แหล่งอ้างอิงและคำวิจารณ์ เพิ่มเติม
"السنة" لعبد الله بن أحمد (ج1 ص111) قال: حدثني أحمد بن ابراهيم الدورقي ثنا علي بن الحسن بن شقيق قال سألت عبدالله بن المبارك، وذكره. رواته ثقات والسند صحيح. 
(11)الرد على الجهمية للدارمي (ص40) قال: حدثنا الحسن بن الصباح البزار حدثنا علي بن الحسن ابن شقيق عن ابن المبارك. سنده حسن.
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) รายงานว่า


سَمِعْتُ عَلِيَّ بْنَ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ يَقُولُ : قُلْتُ لِعَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ يُعْرَفُ رَبُّنَا -عَزَّ وَجَلَّ ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ عَلَى الْعَرْشِ . قُلْتُ لَهُ : إِنَّ الْجَهْمِيَّةَ تَقُولُ هَذَا . قَالَ : لَا نَقُولُ كَمَا قَالَتِ الْجَهْمِيَّةُ : هُوَ مَعَنَا هَاهُنَا . 


ข้าพเจ้าได้ยิน อาลี บิน อัลหะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่ อับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็ก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงสูงส่ง และ ทรงเลิศยิ่ง ได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนฟ้า เหนืออะรัช ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า “แท้จริง พวกญะฮมียะฮ กล่าวแบบนี้หรือ ? เขา(อิบนุอัลมุบารอ็ก)กล่าวว่า “เปล่า เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”)


قُلْتُ : الْجَهْمِيَّةُ يَقُولُونَ : إِنَّ الْبَارِيَ تَعَالَى فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَالسَّلَفُ يَقُولُونَ : إِنَّ عِلْمَ الْبَارِي فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَيَحْتَجُّونَ بِقَوْلِهِ تَعَالَى وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ يَعْنِي : بِالْعِلْمِ ، وَيَقُولُونَ : إِنَّهُ عَلَى عَرْشِهِ اسْتَوَى ، كَمَا نَطَقَ بِهِ الْقُرْآنُ وَالسُّنَّةُ


ข้าพเจ้า(หมายถึง อิหม่ามอัซซะฮะบีย) กล่าวว่า ญะฮมียะฮ พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง อยู่ในทุกสถานที่ ทั้งๆที่ ชาวสะลัฟ พวกเขากล่าวว่า ความรู้ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่ในทุกๆสถานที่ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า (และพระองค์ อยู่พร้อมกับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใหนก็ตาม) หมายถึง อยู่พร้อมด้วยความรู้ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) กล่าวว่า แท้จริง พระองค์ทรงสถิต บน อะรัช ของพระองค์ ดังเช่น ที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้กล่าวเอาไว้ – ดูสิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 8/402 เรือง อิบนุอัลมุบารอ็ก
>>>>>>>>>>>>
ข้างต้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า สะลัฟมีอะกีดะฮ ว่า อัลลอฮ อยู่บนฟ้า ซึ่งหมายถึง อยู่เหนือฟากฟ้า เหนืออะรัช นั้นเอง


وفي رواية: قال ابن المبارك: «بأنه فوق السماء السابعة على العرش بائن من خلقه


ในรายงานหนึ่ง อิบนุอัลมุบารอ็ก กล่าวว่า แท้จริง พระองค์อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช แยกจากมัคลูคของพระองค์
الرد على الجهمية للدارمي (ص40) قال: حدثنا الحسن بن الصباح البزار حدثنا علي بن الحسن ابن شقيق عن ابن المبارك. سنده حسن.
.............................
แต่ก็มีกลุ่มคนพยายามใช้ตรรกปฏิเสธ โดยการอ้างทัศนะอะฮลุลกาลามมาลบล้าง แต่ ..สัจธรรมย่อมอยู่เหนือความเท็จเสมอ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อินชาอัลลอฮ มีต่อ ภาค 3 โปรดติดตาม

อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 1)




อัลลอฮอยู่เหนือฟากฟ้าคืออะกีดะฮสะลัฟ (ตอนที่ 1)
وَحَدَّثَنَا أَبُو الْفَضْلِ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ الصَّنْدَلِيُّ ، قَالَ : نا الْفَضْلُ بْنُ زِيَادٍ ، سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنَ حَنْبَلٍ يَقُولُ : قَالَ مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ : " اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فِي السَّمَاءِ وَعِلْمُهُ فِي كُلِّ مَكَانٍ لا يَخْلُو مِنْهُ مَكَانٌ " . فَقُلْتُ : مَنْ أَخْبَرَكَ عَنْ مَالِكٍ بِهَذَا ؟ فَقَالَ : سَمِعْتُهُ مِنْ سُرَيْجِ بْنِ النُّعْمَانِ ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ نَافِعٍ .

อบุลฟัฎลิ ญะฟัร บิน มุหัมหมัด อัศศอ็นดะลีย์ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า อัลฟัฎลุ บิน ซิยาด ได้เล่าเราว่า ข้าพเจ้า ได้ยิน อบูอับดุลลอฮ,อะหมัด บิน หัมบัล กล่าวว่า มาลิก บิน อะนัส กล่าวว่า “อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง อยู่บนฟ้า และความรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ ไม่มีสถานที่ใดซ่อนเร้นจากความรู้ของพระองค์ ,ข้าพเจ้า กล่าวว่า “ใครบอกท่านว่าสิ่งนี้รายงานจากมาลิก? เขา(อะหมัด บิน หัมบัล) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินมัน จากสุรัยญ์ บิน อัลนุอฺมาน จากอับดุลลอฮ บิน นาเฟียะ – อัชชะรีอะฮ ของอิหม่ามอัลอาญุรีย์ - บาบอัตตะฮซิร มิน มะซาฮิบอัลหุลูลียะฮ หะดิษหมายเลข 672
อิหม่ามอัลอาญุรียฺ (ฮ.ศ 360) กล่าวว่า


والذي يذهب إليه أهل العلم أن الله عز وجل سبحانه على عرشه فوق سماواته، وعلمُهُ محيط بكل شيء


และที่นักวิชาการ แสดงทัศนะไปสู่มัน คือ แท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) อยู่บนอะรัชของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ และความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมด้วยทุกๆสิ่ง 
الشريعة للآجري (ج8 ص1075 و1079 و1081
อินชาอัลลอฮ จะมีตอนต่อไป โปรดติดตาม
والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขในการตามผู้นำ




เงื่อนไขของการตามผู้นำ

อิบนุอะบิลอิซ (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า

فَقَدْ دَلَّ الْكِتَابُ وَالسُّنَّةُ عَلَى وُجُوبِ طَاعَةِ أُولِي الْأَمْرِ ، مَا لَمْ يَأْمُرُوا بِمَعْصِيَةٍ ، فَتَأَمَّلْ قَوْلَهُ تَعَالَى : أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ [ النِّسَاءِ : 59 ] - كَيْفَ قَالَ : وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ ، وَلَمْ يَقُلْ وَأَطِيعُوا أُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ ؟ لِأَنَّ أُولِي الْأَمْرِ لَا يُفْرَدُونَ بِالطَّاعَةِ ، بَلْ يُطَاعُونَ فِيمَا هُوَ طَاعَةٌ ...لِلَّهِ وَرَسُولِهِ . وَأَعَادَ الْفِعْلَ مَعَ الرَّسُولِ لِأَنَّ مَنْ يُطِعِ الرَّسُولَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ ، فَإِنَّ الرَّسُولَ لَا يَأْمُرُ بِغَيْرِ طَاعَةِ اللَّهِ ، بَلْ هُوَ مَعْصُومٌ فِي ذَلِكَ ، وَأَمَّا وَلِيُّ الْأَمْرِ فَقَدْ يَأْمُرُ بِغَيْرِ طَاعَةِ اللَّهِ ، فَلَا يُطَاعُ إِلَّا فِيمَا هُوَ طَاعَةٌ لِلَّهِ وَرَسُولُهُ .


แท้จริง อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกว่า จำเป็นต้องเชื่อฟังต่อผู้นำ(อุลิลอัมริ) ตราบใดที่พวกเขาไม่สั่งให้ทำการฝ่าฝืน (ทำสิ่งที่ผิด) ท่านจงสังเกต คำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “พวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ ,พวกเจ้าจงเชื่อฟังรอซูล และผู้นำในหมู่พวกเจ้า – อันนิสาอฺ/59 อย่างไรเล่าที่ พระองค์ตรัสว่า “ พวกเข้าจงเชื่อฟังรอซูล โดยที่พระองค์ ไม่ได้ตรัสว่า “وَأَطِيعُوا أُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ(และพวกเจ้าจงเชื่อฟังผู้นำในหมู่พวกเจ้า) ? (คำตอบคือ) เพราะผู้นำนั้น พวกเขาจะไม่ถูกให้เป็นเอกเทศด้วยการเชื่อฟัง แต่ทว่า พวกเขาจะถูกเชื่อฟัง ในสิ่งที่พวกเขาเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลของพระองค์เท่านั้น และพระองค์ กล่าวคำกริยา (คำว่า وَأَطِيعُوا) ซ้ำ พร้อมกับคำว่ารอซูล เพราะว่า ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอน เขาได้เชื่อฟังอัลลอฮแล้ว เพราะแท้จริงรอซูล จะไม่สั่ง ด้วยอื่นจากการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ ยิ่งไปกว่านั้น เขา(รอซูล) คือมะอศูม(ผู้ได้รับการคุ้มครองจากความผิด) ในดังกล่าว และสำหรับผู้นำนั้น บางครั้ง เขาสั่ง ด้วยอื่นจากการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ ดังนั้น เขาจะไม่ถูกเชื่อฟัง นอกจากในสิ่งที่ เขาเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น – ดู ชัรหอัลอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/543
>>>>>>>>
สรุป
1. การเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล เป็นการเชื่อฟังโดยปราศจากเงือนไข
2. การเชื่อฟังผู้นำนั้น เป็นการเชื่อฟังที่มีเงือนไขคือ เชื่อฟังในสิ่งที่ไม่ขัดหรือฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮและรอซูล
3. อัลลอฮตาอาลา ใช้คำกริยาที่ว่า وَأَطِيعُوا ซ้ำกับคำว่า อัลลอฮ และรอซูล แตไม่ได้ใช้นำหน้าคำว่า อุลิลอัมริ จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า การเชื่อฟังผู้นำนั้น ไม่ใช่การเชื่อฟังโดยเอกเทศ แต่เป็นการเชื่อฟังที่มีเงื่อนไข คือ เชื่อฟังในสิ่งที่เขาปฏิบัติตามอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น
والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขของอะมัลที่ถูกตอบรับ






เงื่อนไขของอะมัลที่ถูกตอบรับ
อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า
بَلَىٰ مَنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ فَلَهُ أَجْرُهُ عِندَ رَبِّهِ وَلَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ

...
หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขา ให้แก่อัลลอฮ์ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ- อัลบะเกาะฮเราะฮ/112
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า


وَهُوَ مُحْسِنٌ ) أَيْ : مُتَّبِعٌ فِيهِ الرَّسُولَ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . فَإِنَّ لِلْعَمَلِ الْمُتَقَبَّلِ شَرْطَيْنِ ، أَحَدُهُمَا : أَنْ يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ وَحْدَهُ وَالْآخَرُ : أَنْ يَكُونَ صَوَابًا مُوَافِقًا لِلشَّرِيعَةِ . فَمَتَى كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُتَقَبَّلْ ; وَلِهَذَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ " . رَوَاهُ مُسْلِمٌ مِنْ حَدِيثِ عَائِشَةَ ، عَنْهُ ، عَلَيْهِ السَّلَامُ .


(และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดี) หมายถึง เขาเป็นผู้ปฏิบัติตามรอซูล ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในมัน ,เพราะแท้จริง การงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)ที่ถูกตอบรับนั้น มี 2 เงื่อนไข คือ
1. มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮพระองค์เดียว
2. มีความถูกต้อง สอดคล้องตามบทบัญญัติ
ดังนั้น เมื่อมัน มีความบริสุทธิ์ใจ และขณะเดียวกันมันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกตอบรับ และเพราะเหตุนี้ ,ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ ผู้ใดประกอบการงานใดๆ ที่ไม่มีกิจการ(ศาสนา)ของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ –รายงานโดย มุสลิม จากหะดิษ อาอีฉะฮ จากท่านนบี อะลัยฮิสสลาม
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายอีกว่า


وَأَمَّا إِنْ كَانَ الْعَمَلُ مُوَافِقًا لِلشَّرِيعَةِ فِي الصُّورَةِ الظَّاهِرَةِ ، وَلَكِنْ لَمْ يُخْلِصْ عَامِلُهُ الْقَصْدَ لِلَّهِ فَهُوَ أَيْضًا مَرْدُودٌ عَلَى فَاعِلِهِ وَهَذَا حَالُ الْمُنَافِقِينَ وَالْمُرَائِينَ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : ( إِنَّ الْمُنَافِقِينَ يُخَادِعُونَ اللَّهَ وَهُوَ خَادِعُهُمْ وَإِذَا قَامُوا إِلَى الصَّلَاةِ قَامُوا كُسَالَى يُرَاءُونَ النَّاسَ وَلَا يَذْكُرُونَ اللَّهَ إِلَّا قَلِيلًا ) [ النِّسَاءِ : 142 ]


และสำหรับ หากปรากฏว่าการงาน(อะมั้ล)นั้นสอดคล้องตามบทบัญญัติ ในรูปแบบภายนอก และ ผู้ปฏิบัติมัน เจตนาไม่มีความบริสุทธิ์ เพื่ออัลลอฮ มันก็ถูกตีกลับบนผู้ที่ปฏิบัติมัน(หมายถึงไม่ถูกตอบรับ) และนี้คือสภาพ (อะมั้ล)ของบรรดาผู้กลับกลอก(มุนาฟิกีน)ที่โอ้อวดให้ผู้คนเห็น ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นกำลังหลอกลวงอัลลอฮฺ อยู่ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้านโดยให้ผู้คนเห็นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกพึงอัลลอฮฺ นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น)- อันนิสาอฺ/142
สรุป
การประกอบอะมั้ลอิบาดะฮที่อัลลอฮทรงรับนั้น จะต้องปฏิบัติเพื่ออัลลอฮ และการปฏิบัตินั้นจะต้องถูกต้องตรงตามที่มีบทบัญญัติไว้ และการประกอบการงานใดๆในเรื่องศาสนา ที่ไม่มีในบทบัญญัติศาสนาจะไม่ถูกตอบรับจากอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

เมือเป็นบิดอะฮจะให้บอกว่าเป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ




เมือเป็นบิดอะฮจะให้บอกว่าเป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ


วาทะกรรมหนึ่งที่ได้ยินจนชินหู ได้เห็นจนชินตา คือ "อะไรๆก่อหาว่าบิดอะฮ" 
ความจริงคำว่า "บิดอะฮ"เป็นสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวและเตือนให้ระวัง ไม่ใช่เป็นคำพูดที่มาจากบรรดาคนที่ถูกฉายาว่า "วะฮบีย" และคณะใหม่ แต่อย่างใด


عَنِ الْعِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : وَعَظَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَوْعِظَةً ، وَجَلَتْ مِنْهَا الْقُلُوبُ ، وَذَرَفَتْ مِنْهَا الْعُيُونُ ، فَقُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، كَأَنَّهَا مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ ، فَأَوْصِنَا ، قَالَ : أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللَّهِ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ ، وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ بَعْدِي فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ رَوَاهُ أَبُو دَاوُدَ وَالتِّرْمِذِيُّ ، وَقَالَ حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ

: “จากอัลอิรบาฏ บินสารียะฮฺ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ให้ข้อตักเตือนแก่พวกเรา ด้วยข้อเตือนที่กินใจที่ทำให้หัวใจสะท้าน และทำให้น้ำตาคลอ พวกเราได้กล่าวว่าโอ้รซูลุลลอฮ "มันเปรียบเสมือนข้อตักเตือนอำลา ฉะนั้นได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด ท่านกล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พร้อมทั้งรับฟังและเชื่อฟังแม้ว่าผู้สั่งใช้พวกท่านจะเป็นบ่าว(ทาส)ก็ตาม เพราะผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในสุนนะฮฺของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาคอลีฟะฮฺที่ปราดเปรื่องและได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดมันด้วยฟันกราม และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา )เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”( รายงานโดย อบูดาวุด และ อัต-ติรมีซีย์)
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) อธิบายว่า

قَوْلُهُ : وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ تَحْذِيرٌ لِلْأَمَةِ مِنَ اتِّبَاعِ الْأُمُورِ الْمُحْدَثَةِ الْمُبْتَدَعَةِ ، وَأَكَّدَ ذَلِكَ بِقَوْلِهِ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ وَالْمُرَادُ بِالْبِدْعَةِ : مَا أُحْدِثَ مِمَّا لَا أَصْلَ لَهُ فِي الشَّرِيعَةِ يَدُلُّ عَلَيْهِ ، فَأَمَّا مَا كَانَ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الشَّرْعِ يَدُلُّ عَلَيْهِ ، فَلَيْسَ بِبِدْعَةٍ شَرْعًا ، وَإِنْ كَانَ بِدْعَةً لُغَةً ، وَفِي " صَحِيحِ مُسْلِمٍ " عَنْ جَابِرٍ ، أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَقُولُ فِي خُطْبَتِهِ : إِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّهِ ، وَخَيْرَ الْهَدْيِ هَدْيُ مُحَمَّدٍ ، وَشَرَّ الْأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ .


คำพูดของท่านนบีที่ว่า(พวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด) คือ การเตือนให้ระวัง แก่อุมมะฮ จากการปฏิบัติตามบรรดาสิ่งใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา และดังกล่าวนั้นถูกเน้นด้วยไม่มีที่มา(รากฐาน)ในศาสนบัญญัติ ที่แสดงบอกบนมัน สำหรับสิ่งที่ไม่รากฐานจากบทบัญญัติ ที่แสดงบอกไว้บนมัน มันไม่ใช่บิดอะฮ และแม้จะเป็นบิดอะฮตามความหมายในทางภาษาก็ตาม และในเศาะเฮียะมุสลิม รายงานจากญาบีร ว่าแท้จริง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวในคุฏบะฮของท่านว่า "แท้จริง คำพูดที่ดี คือ คัมภีร์อัลลอฮ และทางนำที่ดีคือ ทางนำมุหัมหมัด และ บรรดาสิ่งที่ชั่วร้ายคือ บรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา)และทุกบิดอะฮคือ ความหลงผิด- ดู ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม ๒/๑๒๗
และอิบนุเราะญับได้กล่าวอีกว่า


فَكُلُّ مَنْ أَحْدَثَ شَيْئًا ، وَنَسَبَهُ إِلَى الدِّينِ ، وَلَمْ يَكُنْ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الدِّينِ يَرْجِعُ إِلَيْهِ ، فَهُوَ ضَلَالَةٌ ، وَالِدَيْنُ بَرِيءٌ مِنْهُ ، وَسَوَاءٌ فِي ذَلِكَ مَسَائِلُ الِاعْتِقَادَاتِ ، أَوِ الْأَعْمَالُ ، أَوِ الْأَقْوَالُ الظَّاهِرَةُ وَالْبَاطِنَةُ


แล้วทุกคนที่ประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปอ้างว่าเป็นศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีที่มาในศาสนา ที่จะกลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด โดยที่ ศาสนา นั้น เป็นอิสระจากมัน, ในเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ อะกีดะฮ หรือ การปฏิบัติศาสนกิจ หรือ คำพูด ที่แสดงออกมาโดยภายนอก และภายในใจก็ตาม 
ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม ๒/๑๒๘


>>>>>
การสอนให้ปฏิบัติตามสุนนะฮและให้ระวังบิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ เป็นคำสอนที่มาจากท่านนบี สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้มาจากคำสอนของวะฮบีย์ แล้วจะให้คนที่ถูกฉายาว่าวะฮบีย์ เปลี่ยนคำว่า"บิดอะฮ"ให้เป็นสุนนะฮอย่างนั้นหรือ ?และถ้าให้พันจากพันธนาการคำว่า"วะฮบีย์"จากคอของเขา โดยการให้เขามายอมรับสิ่งที่เป็นบิดอะฮอย่างนั้นหรือ?

والله أعلم بالصواب