วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

วาทกรรมปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ภาค 2






วาทกรรมปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ภาค 2
บัน ฟาตอนี
เมื่อวานนี้ เวลา 8:30 น.
อีกโองการจากอัลกุรอ่านที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า อัลเลาะห์ตะอาลานั้นทรงมีอยู่ ซึ่งไม่ใช่ทิศเบื้องสูง หรือทิศใดๆก็ตามที่ทำให้เข้าใจว่าจักวาลทั้งหมดนี้อยู่ทิศเบื้องล่างตามที่วะฮาบีย์ได้มโนภาพกัน
وَقَالَ إِنِّي ذَاهِبٌ إِلَىٰ رَبِّي سَيَهْدِينِ (99) الصافات
และอิบรอฮีมกล่าวว่า “ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน แน่นอนพระองค์จะทรงแนะทางให้แก่ฉัน
หากวะฮาบี กล่าวว่า พระเจ้าอยู่บนอารัซ
ขอถามกลับว่า ที่นบีอิบรอฮีม กล่าวว่า ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน นบีอิบรอฮีม ขึ้นไปหาพระเจ้าบนอารัช หรือนบีอิบรอฮีมไปที่ไหน
เชิญวะฮาบี เชิญมุญัซซิมะห์ เชิญมุซับบิฮะห์ ว่ามาคับ
..........................
ชี้แจง
คุณ บัน ฟาตอนี ใช้อารมณ์ อคติ และความเข้าใจตัวเองบังอาจนำอัลกุรอ่านมาชง โดยไม่เกรงกลัวต่ออัลลอฮ แม้แต่น้อย แค่ต้องการเอาชนะและดิสเครดิตพี่น้องมุสลิม ที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์เท่านั้น ชางน่าเวทนาจริงๆ
อายะฮข้างล่างนี้ ไม่มีสะลัฟคนใดเอาเอามาเป็นหลักฐานปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ แม้แต่คนเดียว
وَقَالَ إِنِّي ذَاهِبٌ إِلَىٰ رَبِّي سَيَهْدِينِ (99) الصافات
และอิบรอฮีมกล่าวว่า “ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน แน่นอนพระองค์จะทรงแนะทางให้แก่ฉัน
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) ปราชญยุคสะลัฟอธิบายว่า
وَقَوْلُهُ ( وَقَالَ إِنِّي ذَاهِبٌ إِلَى رَبِّي سَيَهْدِينِ ) يَقُولُ : وَقَالَ إِبْرَاهِيمُ لَمَّا أَفْلَجَهُ اللَّهُ عَلَى قَوْمِهِ وَنَجَّاهُ مِنْ كَيْدِهِمْ : ( إِنِّي ذَاهِبٌ إِلَى رَبِّي ) يَقُولُ : إِنِّي مُهَاجِرٌ مِنْ بَلْدَةِ قَوْمِي إِلَى اللَّهِ : أَيْ إِلَى الْأَرْضِ الْمُقَدَّسَةِ ، وَمُفَارِقُهُمْ ، فَمُعْتَزِلُهُمْ لِعِبَادَةِ اللَّهِ
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(และเขากล่าวว่า “ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน แน่นอนพระองค์จะทรงแนะทางให้แก่ฉัน) กล่าวคือ และอิบรอฮีม เมื่ออัลลอฮ ให้เขามีชัยต่อกลุ่มชนของเขา และให้เขาปลอดภัยจากเหล่เหลี่ยม ของพวกเขา (“ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน) กล่าวคือ แท้จริงฉัน คือผู้อพยพ จากเมืองของกลุ่มชนของฉัน ไปสู่อัลลอฮ หมายถึง ไปสู่แผ่นดินอันบริสุทธิฺ์ และแยกตัวจากพวกเขา แล้วปลีกตัวจากพวกเขาตามลำพังเพื่ออิบาดะฮต่ออัลลอฮ -ตัฟสีรอัฏอ็บรีย์ 21/71
.....
ความหมายของอายะฮคือ ท่านนบีอิบรอฮีบต้องการที่จะอพยพไปยังปาเลสไตน์ และแยกตัวออกจากกลุ่มชนของเขาแล้วปลีกตัวตามลำพังเพื่ออิบาดะฮต่ออัลลอฮ อายะฮนี้ไม่เกี่ยวกับอะกีดะฮ ที่เป็นหลักฐานปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮแม้แต่น้อย แต่คุณ บัน ฟาตอนี บังอาจเอามาชง ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ช่างกล้าหาญจริง ...ความวิบัติย่อมประสบกับคนที่จงใจบิดเบือนโองการของอัลลอฮอย่างแน่นอน
ทำไมจึงไม่เอาอายะฮ ที่บ่งบอกว่าอัลลอฮอยู่เบื้องสูง ทั้งๆที่มีแต่คุณปิดบังไว้เช่น
يخافون ربهم من فوقهم ويفعلون ما يؤمرون
ความว่า “และพวกเขาจะกลัวพระเจ้าของพวกเขาจากเบื้องบนของพวกเขา และปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาถูกบัญชา ” (อัลนะห์ลฺ / 50)
อิบนุญะรีร ปราชญสะลัฟอธิบายว่า
يَقُولُ تَعَالَى ذِكْرُهُ : يَخَافُ هَؤُلَاءِ الْمَلَائِكَةُ الَّتِي فِي السَّمَاوَاتِ ، وَمَا فِي الْأَرْضِ مِنْ دَابَّةٍ ، رَبَّهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ ، أَنْ يُعَذِّبَهُمْ إِنْ عَصَوْا أَمْرَهُ ،....
พระผู้ซึ่ง เกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง กล่าวว่า บรรดามลาอิกะฮเหล่านี้ ที่อยู่บนฟ้า และสิ่งที่อยู่บน แผ่นดิน จากบรรดา สัตว์โลก กลัวพระเจ้าของพวกเขา จากเบื้องบนของพวกเขา ว่า จะลงโทษพวกเขา หากพวกเขาฝ่าฝืน คำสั่งพระองค์ .....ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลนะหลิ อายะฮที่ 50
..............
คำว่า رَبَّهُمْ مِنْ فَوْقِهِمْ (พระเจ้าของพวกเขา จากเบื้องบนพวกเขา) ข้อความนี้ชัดเจนว่า ทรงอยู่เบื้องบน แต่ พวกมีแนวคิดญะฮมียะฮ กลับมองไม่เห็น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/4/59

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

วาทกรรมปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

 
 
 
วาทกรรมปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
 
อบูอับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
ไปหาในตำราของท่านอิมามชาฟิอีย์เขียน ไม่มีแม่เเต้อักษรเดียวที่ท่านบอกว่า อัลเลาะห์อยู่บนฟ้า แต่ถ้าไปหาใน โตราห์และไบเบิ้ล ดันเจอ ว่าพระเจ้าสูง 60 ศอก อยู่บนฟ้า
.................
ชี้แจง
มาดูปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ชี้แจงดังนี้
อิหม่ามอัศศอบูนีย์ ฉายาและชื่อเต็มคือ
شيخ الإسلام أبو عثمان ، إسماعيل بن عبد الرحمن بن أحمد بن إسماعيل بن إبراهيم بن عابد بن عامر ، النيسابوري ، الصابوني .
ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง ฮ.ศ ๓๗๓ - ๔๔๙ ได้ได้กล่าวถึงอะกีดะฮของอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ว่า
وإنما احتج الشافعي رحمة الله عليه على المخالفين في قولهم بجواز إعتاق الرقبة الكافرة في الكفارة بهذا الخبر؛ لاعتقاده أن الله سبحانه فوق خلقه، وفوق سبع سماواته على عرشه، كما معتقد المسلمين من أهل السنة والجماعة، سلَفِهم وخلفِهم؛ إذ كان رحمه الله لا يرو خبرًا صحيحًا ثم لا يقول به.
และความจริง อัชชาฟิอี (ร.ฮ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยหะดิษนี้(หมายถึงหะดิษญารียะฮ ที่ตอบท่านนบีว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า-ผู้แปล )ตอบโต้บรรดาผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ในกรณีเกี่ยวกับทัศนะของพวกเขา(ที่อ้างว่า) อนุญาตให้ปล่อยท่านหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟร เพราะ อะกีดะฮของเขา(หมายถึงชาฟิอี)เชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ( ซ.บ) ทรงอยู่เหนื่อมัคลูคของพระองค์ และเหนือ บรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ บนบัลลังค์(อะรัช)ของพระองค์ ดังที่เป็นหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ยุคสะลัฟและยุคเคาะลัฟ เพราะ ปรากฏว่าเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) เขาจะไม่รายงานหะดิษที่เศาะเอียะใดๆ แล้วต่อมาเขาไม่นำมากล่าวด้วยมัน - อะกีดะฮสะลัฟ วะอัศหาบิลหะดิษ ของ อิหม่ามอัศศอบูนีย์ หน้า ๑๑๘,๑๘๙
>>>>>>>>>>
หมายถึง อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหะดิษญารียะฮ เป็นหลักฐานตอบโต้ บรรดาผู้ที่อ้างว่า อนุญาตให้ปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟรได้ สำหรับทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น อนุญาตปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟรได้ ก็ต่อเมื่อนางรับอิสลาม โดยที่อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหลักฐานจากหะดิษญารียะฮ คือ ท่านนบี ถามทาสหญิงคนนั้นว่า อัลลอฮอยู่ที่ใหน ?นางตอบว่า “อัลลอฮ อยู่บนฟ้า” แล้วนบีรับรองว่านางเป็นมุสลิม แล้วนบีบอกให้ปล่อยนางเป็นอิสระ และอัศศอบูนีย์ ยืนยันว่า "อิหม่ามชาฟิอีนั้น ไม่เคยปรากฏว่า เมื่อท่านรายงานหะดิษเศาะเฮียะ แล้วท่านไม่นำมันมาอ้างเป็นหลักฐาน
มาดูคำพูดอิหม่ามชาฟิอีย์ที่ท่านอ้างหลักฐานด้วยหะดิษญารียะฮในตำราของท่านดังนี้

وَأَحَبُّ إلَيَّ أَنْ لَا يُعْتِقَ إلَّا بَالِغَةً مُؤْمِنَةً فَإِنْ كَانَتْ أَعْجَمِيَّةً فَوَصَفَتْ الْإِسْلَامَ أَجْزَأَتْهُ ، أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ هِلَالِ بْنِ أُسَامَةَ عَنْ عَطَاءِ بْنِ يَسَارٍ عَنْ عُمَرَ بْنِ الْحَكَمِ أَنَّهُ قَالَ { أَتَيْت رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُلْت يَا رَسُولَ اللَّهِ إنَّ جَارِيَةً لِي كَانَتْ تَرْعَى غَنَمًا لِي فَجِئْتهَا وَفَقَدَتْ شَاةً مِنْ الْغَنَمِ فَسَأَلْتهَا عَنْهَا فَقَالَتْ أَكَلَهَا الذِّئْبُ فَأَسِفْت عَلَيْهَا وَكُنْت مِنْ بَنِي آدَمَ فَلَطَمْتُ وَجْهَهَا وَعَلَيَّ رَقَبَةٌ أَفَأَعْتِقُهَا ؟ فَقَالَ لَهَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَيْنَ اللَّهُ ؟ فَقَالَتْ فِي السَّمَاءِ فَقَالَ مَنْ أَنَا ؟ فَقَالَتْ أَنْتَ رَسُولُ اللَّهِ قَالَ فَأَعْتِقْهَا

และที่ข้าพเจ้าชอบคือ จะไม่มีการปล่อยทาสให้เป็นอิสระ นอกจาก เป็นหญิงผู้ศรัทธาที่บรรลุศาสนภาวะ แล้วถ้าปรากฏว่านางเป็นหญิงอะญัม(ไม่ใช่อาหรับ) แล้วนางมีคุณลักษณะอิสลาม ก็ใช้ได้,มาลิก ได้บอกแก่เรา จากฮิลาล บิน อุสามะฮ จาก อะฏออฺ บิน ยะสาร จากอุมัร บินหะกัม ว่า “เขากล่าวว่าฉันมีทาสคนหนึ่งที่เคยเลี้ยงแพะของฉันในพื้นที่ระหว่างอุฮุดและอัล-ญะวานิยยะฮฺ วันหนึ่งเขาได้กระทำความผิดบางอย่าง เขาได้ออกโดยเอาแพะไปตัวหนึ่ง ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่าต้องมีอารมณ์โกรธ ฉันจึงตบหน้านาง และ จำเป็นแก่ฉันจะต้องปล่อยทาสให้เป็นอิสระ, ฉันควรปล่อยทาสของฉันคนนี้เป็นอิสระไหม?’ แล้วรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้กล่าวแก่นางว่า “อัลลอฮอยู่ที่ไหน?”
นางตอบว่า “อยู่บนฟากฟ้า” แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ถามต่อไปอีกว่า “ฉันคือใคร?” ทาสของฉันตอบว่า “ท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮ” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริงนางคือผู้ศรัทธา
-ดู หนังสือ อัลอุม ของอิหม่าชาฟิอีย์ เล่ม 5 บทว่าด้วย باب عتق المؤمنة في الظهار

……………
อิหม่ามชาฟิอีย์รับรองหะดิษญารียะฮที่ระบุว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า โดยการนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิง แต่ คนอ้างตามชาฟิอีย์บางกลุ่มไม่รับรองหะดิษนี้ ..และกล่าวหาว่าการเชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าเป็นอะกีดะฮที่หลุ่มหลง และเป็นอะกีดะฮยะฮูดีย์ -วัลอิยาซุบิลละฮ
การที่นักปราชญเอาหะดิษใดๆมาเป็นหลักฐาน แสดงว่า เขารับรองหะดิษนั้น ในทำนองเดียวกัน อิหม่ามชาฟิอี นำหะดิษญารียะฮ ที่นางบอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า มาเป็นหลักฐาน ท่านก็ถือว่าหะดิษนั้น เป็นหะดิษเศาะเฮียะ อย่างที่อิหม่ามอัศศอบูนีย์ ได้ยืนยันไว้ เพราะฉะนั้นวาทกรรม ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ โดยใช้ความเห็นและตรรกมาเป็นหลักฐาน ย่อมไม่มีน้ำหนักแม้แต่น้อย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/4/59

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

อิสลามตามกิตาบุลลอฮและซุนนะฮนบี: อิหม่ามชาฏิบีย์ไม่ได้สอนให้ผูกขาดมัซฮับบัน ฟาตอน...

อิสลามตามกิตาบุลลอฮและซุนนะฮนบี:

อิหม่ามชาฏิบีย์ไม่ได้สอนให้ผูกขาดมัซฮับบัน ฟาตอน...
: อิหม่ามชาฏิบีย์ไม่ได้สอนให้ผูกขาดมัซฮับ บัน ฟาตอนี 22 เมษายน เวลา 13:37 น. ท่านอัซซาฏิบีย์ ได้กล่าวหลักการไว้เช่นกันว่า   فتاوى ...



อิหม่ามชาฏิบีย์ไม่ได้สอนให้ผูกขาดมัซฮับ
บัน ฟาตอนี
22 เมษายน เวลา 13:37 น.
ท่านอัซซาฏิบีย์ ได้กล่าวหลักการไว้เช่นกันว่า
 
فتاوى المجتهدين بالنسبة إلى العوام كالأدلة الشرعية بالنسبة إلى المجتهدين والدليل عليه أن وجود الأدلة بالنسبة الى المقلدين وعدمها إذا كانوا لا يستندون منها شيئا فليس النظر
فى الأدلة والإستنباط من شأنهم ولا يجوز ذلك لهم البتة
 
ความว่า " บรรดาคำฟัตวาของอุลามาอฺมุจญฺตะฮิดีน สำหรับคนเอาวามทั่วไปนั้น ก็เปรียบเสมือนดาลิ้ลทางศาสนาสำหรับอุลามาอฺมุจตาฮิดีน(หมายถึง คำฟัตวาของอุลามาอฺก็คือ ดาลิ้ล สำหรับคนเอาวามทั่วไปนั้นเอง) และหลักฐานที่ยืนยันว่า คำฟัตวาของอุลามาอฺคือหลักฐานสำหรับคนเอาวามก็คือ การมีหรือไม่มีบรรดาหลักฐานต่างๆ สำหรับบรรดาคนมุก๊อลลิดนั้นมีค่าเท่ากัน เมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะทำการวินิจฉัยหลักฐานอะไรได้ (กล่าวคือ หากคนเอาวามมีหลักฐาน ไม่ว่าจะเอามาจากอัลกุรอานหรือซุนนะห์ก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะทำการวินิจฉัยได้ เพราะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา และหากไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถทำการวินิจฉัยได้ เพราะจะวินิจฉัยจากสิ่งใด ในเมื่อไม่มีหลักฐาน เพราะการวินิจฉัยนั้นต้องมีทั้งสองสิ่งเป็น
........................
ชี้แจง
 
ข้ออ้างข้างต้น อาจจะนำมาซึ่งการเข้าใจผิด ซึ่งความจริงแค่เป็นข้ออนุโลมสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ เท่านั้น ไม่ใช่ให้สังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ
มาดูคำพูดอิหม่ามชาฏิบีย์เต็มๆ
 
فَتَاوَى الْمُجْتَهِدِينَ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْعَوَامِّ كَالْأَدِلَّةِ الشَّرْعِيَّةِ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْمُجْتَهِدِينَ .
 
ฟะตาวาของบรรดามุจญตะฮีดนั้น สำหรับบรรดาคนอาวามนั้น เป็นเสมือนหนึ่ง หลักฐานทางศาสนบัญญัติ สำหรับบรรดามุจญตะฮีด
 
وَالدَّلِيلُ عَلَيْهِ أَنَّ وُجُودَ الْأَدِلَّةِ بِالنِّسْبَةِ إِلَى الْمُقَلِّدِينَ وَعَدَمَهَا سَوَاءٌ ؛ إِذْ كَانُوا لَا يَسْتَفِيدُونَ مِنْهَا شَيْئًا ، فَلَيْسَ النَّظَرُ فِي الْأَدِلَّةِ وَالِاسْتِنْبَاطُ مِنْ شَأْنِهِمْ ، وَلَا يَجُوزُ ذَلِكَ لَهُمْ أَلْبَتَّةَ ، وَقَدْ قَالَ تَعَالَى : فَاسْأَلُوا أَهْلَ الذِّكْرِ إِنْ كُنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ [ النَّحْلِ : 43 ] .
 
และหลักฐานบนเขาคือ สำหรับบรรดาคนอาวามนั้น มีบรรดาหลักฐานหรือไม่มีหลักฐาน ก็มีค่าเท่านกัน เพราะพวกเขา ไม่สามารถจะเอาประโยชน์สิ่งใดๆจากมันเลย (เพราะไม่มีความรู้) เพราะการพิจรณาและวิเคราะห์ในบรรดาหลักฐานนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา และดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตสำหรับพวกเขาอย่างเด็ดขาด และแท้จริง อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า "พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้ที่มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ - อัลนะหลุ /43
 
وَالْمُقَلِّدُ غَيْرُ عَالِمٍ ، فَلَا يَصِحُّ لَهُ إِلَّا سُؤَالُ أَهْلِ الذِّكْرِ ، وَإِلَيْهِمْ مَرْجِعُهُ فِي أَحْكَامِ الدِّينِ عَلَى الْإِطْلَاقِ ، فَهُمْ إِذًا الْقَائِمُونَ لَهُ مَقَامَ الشَّارِعِ ، وَأَقْوَالُهُمْ قَائِمَةٌ مَقَامَ أَقْوَالِ الشَّارِعِ
 
คนมุกอ็ลลิด (หมายถึงคนอาวาม)นั้น ไม่เหมื่อนกับคนที่มีความรู้ เพราะย่อมไม่ถูกต้องสำหรับเขา (สำหรับคนอาวาม) นอกจากจะต้องถาม ผู้มีความรู้ และ พวกเขา(มุจญะตะฮีด) คือ ที่กลับของคนอาวาม ในบรรดาหุกุมศาสนา โดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น พวกเขา(บรรดามุจญตะฮิด) ในเมื่อพวกเขาอยู่ในฐานะ(ตัวแทน)ผู้บัญญัติศาสนาบัญญัติ และบรรดาคำพูดของพวกเขา(บรรดามุจญตะฮีด) อยู่ในฐานะ(ตัวแทน)บรรดาคำพูดของผู้บัญญัติศาสนบัญญัติด้วย - อัลมุวาฟิกอต ของอิหม่ามชาฏิบีย์ เล่ม 5 หน้า 336
..............
จากคำพูดของอิหม่ามชาฏีบีย์ คือ ข้ออนุโลมสำหรับคนอาวาม ที่ไม่มีความรู้ ไม่ใช่ สำหรับทุกคน และคนที่ไม่มีความรู้ นั้นต้องถามผู้รู้ คือ ถามหลักฐาน ไม่ใช่ถามความเห็น แล้วตักลิดตลอดกาล
มาดูอายะฮที่อิหม่ามชาฏิบีย์กล่าวถึง
อายะฮนี้มีดั่งนี้

وَمَا أَرْسَلْنَا مِن قَبْلِكَ إِلاَّ رِجَالاً نُّوحِي إِلَيْهِمْ فَاسْأَلُواْ أَهْلَ الذِّكْرِ إِن كُنتُمْ لاَ تَعْلَمُونَ

และเรามิได้ส่งผู้ใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเป็นผู้ชายที่เราได้วะฮีแก่พวกเขา ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้
อายะฮนี้ ประทานลงมาเพื่อตอบโต้ผู้ที่ค้านการส่งมนุษย์มาทำหน้าที่รอซูล เขาจะไม่ยอมรับ เขาจะยอมรับผู้เป็นรอซูลที่เป็นมลาอิกะฮ อัลลอฮ จึงให้นบี บอกแก่พวกเขาว่า จงไปถามผู้รู้ ว่า ในประชาชาติที่ผ่านมา ผู้เป็นรอซูล เป็นมนุษย์หรือมลาอิกะฮ แสดงให้เห็นว่า ให้ถามข้อเท็จจริงจากผู้รู้ ไม่ใช่ให้หลับหูหลับตาตามผู้รู้
อิหม่ามเชากานีย์อธิบายว่า

وَقَدِ اسْتُدِلَّ بِالْآيَةِ عَلَى أَنَّ التَّقْلِيدَ جَائِزٌ وَهُوَ خَطَأٌ ، وَلَوْ سَلِمَ لَكَانَ الْمَعْنَى سُؤَالَهُمْ عَنِ النُّصُوصِ مِنَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ ، لَا عَنِ الرَّأْيِ الْبَحْتِ ، وَلَيْسَ التَّقْلِيدُ إِلَّا قَبُولَ قَوْلِ الْغَيْرِ دُونَ حُجَّتِهِ . ِ .
แท้จริง ด้วยอายะฮนี้ ได้ถูกอ้างเป็นหลักฐาน ว่า การตักลิดนั้น คือ เป็นการอนุญาต และมันคือ ความผิดพลาด และถ้าจะให้มันปลอดภัย ความหมายก็คือ ถามพวกเขา(หมายถึงผู้รู้) เกี่ยวกับหลักฐาน จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ใช่ถาม เกี่ยวกับความเห็น ล้วนๆ และการตักลิด ไม่ใช่อื่นใด นอกจากการรับเอาคำพูดผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐานของมัน ดูตัฟสีร ฟัตหุลเกาะดีร เล่ม 5 หน้า 929
.......
เพราะฉะนั้น อายะฮข้างต้น สอนให้ถามข้อเท็จจริงและหลักฐานจากผู้รู้ ไม่ใช่ถามความเห็นผู้รู้ แล้วตามอย่างหูหนวกตาบอด และไม่ใช่การผูกขาดมัซฮับ

และมาดูคำพูดอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ เช่นกัน คือ
 
رَأْيُ الْمُقَلِّدَةِ لِمَذْهَبِ إِمَامٍ يَزْعُمُونَ أَنَّ إِمَامَهُمْ هُوَ الشَّرِيعَةُ ، بِحَيْثُ يَأْنَفُونَ أَنْ تُنْسَبَ إِلَى أَحَدٍ مِنَ الْعُلَمَاءِ فَضِيلَةٌ دُونَ إِمَامِهِمْ ، حَتَّى إِذَا جَاءَهُمْ مَنْ بَلَغَ دَرَجَةَ الِاجْتِهَادِ وَتَكَلَّمَ فِي الْمَسَائِلِ وَلَمْ يَرْتَبِطْ إِلَى إِمَامِهِمْ رَمَوْهُ بِالنَّكِيرِ ،
 
ความเห็นของคนตักลิดมัซฮับอิหม่าม นั้น พวกเขา เขาใจว่าอิหม่ามของพวกเขาคือ ชะรีอะฮ(ศาสนบัญญัติ) โดยที่พวกเขาปฏิเสธ การอ้างอิง ความประเสริฐ ให้แก่คนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอฺ อื่นจากแก่อิหม่ามของพวกเขา และจนกระทั่ง เมื่อผู้ที่อยู่ในระดับขั้นอิจญติฮาด(มุจญตะฮิด) มายังพวกเขา และเสวนาในบรรดาประเด็นต่างๆ โดยที่เขาผู้นั้นไม่ได้ผูกมัดกับอิหม่ามของพวกเขา (ที่พวกเขาสังกัดอยู่) พวกเขาก็จะกล่าวหาเขาผู้นั้น ด้วยการปฏิเสธ –อัลเอียะติศอม เล่ม 2 หน้า 843
กล่าวคือ คนที่ตักลิดอิหม่ามมัซฮับ เข้าใจว่า อิหม่ามของเขาคือ ศาสนบัญญัติ หมายถึงเป็นมาตรฐานในหุกุมศาสนา และพวกเขาถือว่าอิหม่ามของเขาดีกว่าอิหม่ามอื่น ใครก็ตามที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับมุจญตะฮิด หากนำคำสอน ไม่ตรงกับอิหม่ามของพวกเขา ก็จะถูกพวกเขากล่าวหา ด้วยการปฏิเสธ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/4/59

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

ความหมายอิสติวาอฺในทัศนะปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ภาค 1




ความหมายอิสติวาอฺในทัศนะปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ภาค 1
 
1.อิบนุคุซัยมะฮ มีชื่อเต็มว่า มุหัมหมัด บิน อิสหาก บิน คุซัยมะฮ บิน อัลมุฆีเราะฮ บิน ศอลิห บิน บักรฺ อัสสะละมีย์ อัชชาฟีอีย์ (ฮ.ศ 311-223) ปราชญมัซฮับชาฟิอีย์ กล่าวว่า
ท่านหญิงอาอีฉะฮ (ร.ฎ)กล่าวว่า
 
سبحان من وسع سمعه الأصوات " ، فسمع اللَّه جل وعلا كلام المجادلة ، وهُوَ فوق سبْعٍ
سماوات مستو عَلَى عرشه وقد خفى بعض كلامها عَلَى من حضرها وقرب منها
 
มหาบริสุทธิ์ ผู่ซึ่ง การได้ยินของพระองค์ ครอบคลุมถึงบรรดาเสียงต่างๆ แล้วอัลลอฮ ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงสูงส่ง ทรงได้ยิน คำพูดของสตรีที่โต้แย้งกัน) และพระองค์ ทรงอยู่เหนือ เจ็ดชั้นฟ้า ผู้ทรงอยู่บนอะรัช ของพระองค์ และแท้จริง ส่วนหนึ่งของคำพูดของนาง ได้ซ่อนเร้น แก่ผู้ที่อยู่ต่อหน้านาง และอยู่ใกล้นาง - ดู กิตาบุตเตาฮิด เล่ม 1 หน้า 107 ตรวจทานโดย ดร.อับดุลอะซีซ อัชชะฮวาน
ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
 
فَإذَا سَأَلْتُمُ اللهَ فَسْأَلُوْهُ الْفِرْدَوْسَ فَإنَّهُ أوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأعْلَى الْجَنَّةِ أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَانِ
وَمِنْهُ تَفَجَّرَ أنْهَارُ الْجَنَّةِ
“เมื่อพวกท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ก็จงขอสวรรค์ อัลฟิรเดาซ์ เพราะมันอยู่ครงกลางและสูงสุดของสวรรค์ บัลลังค์ของอัลลอฮ์ถูกมองเห็นจากด้านบนของมัน และบรรดาแม่น้ำในสวรรค์พวยพุ่งออกจากมัน” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2581
อิบนุคุซัมะฮ (ร.ฮ) อธิบายหะดิษข้างต้นว่า
 
قَالَ أَبُو بَكْرٍ : فَالْخَبَرُ يُصَرِّحُ أَنَّ عَرْشَ رَبِّنَا جَلَّ وَعَلا فَوْقَ جَنَّتِهِ ، وَقَدْ أَعْلَمَنَا جَلَّ وَعَلا
أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشِهِ ، فخَالِقُنَا عَالٍ فَوْقَ عَرْشِهِ الَّذِي هُوَ فَوْقَ جَنَّتِهِ
อบูบักร์ กล่าวว่า “และหะดิษ ได้อธิบายชัดเจนว่า แท้จริง อะรัชของพระเจ้าของเรา (ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง ) อยู่เหนือสวรรค์ ของพระองค์ และ พระองค์(ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง) ได้บอกให้เรารู้ว่า “แท้จริง พระองค์ทรงสถิต(ทรงอยู่) บนอะรัชของพระองค์ และ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่สูงเหนือ อะรัช ของพระองค์ ซึ่ง มันอยู่เหนือสวรรค์ของพระองค์ – 
กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 1 หน้า 241
อิบนุคุซัยมะฮ (ร.ฮ)กล่าวอีกว่า
 
فتلك الأخبار كلها دالة على أن الخالق الباري فوق سبع سمواته، لا على ما زعمت
المعطلة: أن معبودهم هو معهم في منازلهم
 
บรรดาหะดิษ ทั้งหมดนั้น แสดงบอกว่า แท้จริง พระผู้สร้าง อยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ ไม่ใช่ บนสิ่งที่พวกมุอัฏฏิละฮ(พวกปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮ)ได้อ้าง ว่า แท้จริงพระเจ้าที่ถูกเคารพภักดี อยู่พร้อมกับพวกเขาในสถานที่อาศัยของพวกเขา -อัตเตาฮีด วะอิษบาตสิฟาติรรอ็บ 1/273
อิบนุคุซัยมะฮ (ร.ฮ)กล่าวอีกว่า
 
من لم يُقرّ بأن الله تعالى على عرشه قد استوى فوق سبع سمواته فهو كافر بربه، يُستتاب فإن تاب وإلا ضُربت عنقه
 
ผู้ใดไม่ยอมรับว่าอัลลอฮ ตาอาลา ทรงอยู่บนบัลลังค์(อะรัช) แท้จริงทรงสถิต เหนือบรรดาเจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ เขาคือ ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของเขา จะต้องให้เขาทำการเตาบัต หากเขาทำการเตาบัต(สารภาพผิด) และถ้าไม่สารภาพผิด คอของเขาจะถูกบั่น
معرفة علوم الحديث للحاكم (ص285) قال: " سمعت محمد بن صالح بن هانئ يقول: سمعت أبا بكر محمد بن إسحاق بن خزيمة يقول:..." وذكره. ورواه ابن قدامة في "إثبات صفة العلو" (ص185) بسنده إلى الحاكم.
.......................
จากรายละเอียดข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า อิบนุคุซัยมะฮ ปราชญ์มัซฮับชาฟิอียยุคสะลัฟ ได้ยืนยันความหมาย ของ การอิสติวาอฮ (الاستواء )คือ การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เหนืออะรัช จริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะความสูงส่งทางฐานันดร์ อย่างที่อาชาอิเราะฮยุคหลังพยายามอ้างเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ , อินชาอัลลอฮยังมีปราชญ์มัซฮับชาฟิอีท่านอื่นๆอีก จะเสนอในโอกาสต่อไป อินชาอัลลอฮ โปรดติดตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/4/59

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

อย่าไปหวังกับจุดยืนของนักศาสนาพานิช


 
 
 
 
 
 
 
อย่าไปหวังกับจุดยืนของนักศาสนาพานิช
 
การทำธุรกิจ ก็ต้องแสวงหาตลาด และความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งมีหลากหลายแบบ การเอาใจลูกค้า โอนอ่อนตามความต้องการของลูกค้า และรักษาน้ำใจของลูกค้า ย่อมต้องมีในหมู่นักธุรกิจ คนที่ทำงานศาสนา เอาศาสนาเป็นธุกิจแสวงหาผลกำไร เราอย่าไปหวังอะไรจากพวกเขาให้มากนัก กับจุดยืน และการยืนหยัดบนความถูกตามที่ที่อัลลอฮตาอาลา และท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯสอนไว้
อัลลอฮตาอาลา บัญชาว่า
فَلِذَلِكَ فَادْعُ وَاسْتَقِمْ كَمَا أُمِرْتَ وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءهُمْ
ดังนั้น เพื่อการนี้แหละเจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนและจงดำรงมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรมดังที่เจ้าได้รับบัญชา และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา - อัช-ชูรอ :15
อย่าเอาใจคน ทำตามอารมณ์ของคนที่ไม่มีความรู้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
ثُمَّ جَعَلْنَاكَ عَلَى شَرِيعَةٍ مِّنَ الْأَمْرِ فَاتَّبِعْهَا وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاء الَّذِينَ لَا يَعْلَمُونَ
แล้วเราได้ตั้งเจ้าให้อยู่บนแนวทางหนึ่ง ในเรื่องของศาสนาที่แท้จริง ดังนั้นจงปฏิบัติตามแนวทางนั้น และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้ไม่รู้ -อัลญาษียะฮ /18
عن سفيان بن عبد الله - رضي الله عنه - قال: قلتُ: يا رسول الله! قُل لي في الإسلام قولاً لا أسألُ عنه أحدًا غيرَك. قال: «قُل: آمنتُ بالله، ثم استقِم»؛ رواه مسلم.

จากซุฟยาน อิบนิ อับดุลลอฮฺ-รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ-กล่าวว่า ฉันกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ จงบอกฉันสักคำพูดหนึ่งในอิสลาม ฉันจะไม่ถามหามัน จากผู้ใดนอกจากท่าน ท่านรอซูล-ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิวะซัลลัม-กล่าวว่า ท่านจงกล่าวว่า ฉันศัรทธาต่ออัลลอฮฺ หลังจากนั้นจงยืนหยัด บันทึกโดยมุสลิม
.............
เรามาศึกษา ใช้คติ ไม่มีใครแก่เกินเรียน และอย่าทำตัวแค่เป็นคนอาวามที่ตักลิดและผูกติดกับตัวบุคคล ตลอดชี้วิต มีสติกันสักนิด ในการแสวงหาสัจธรรม ไม่มีใครช่วยเราได้ เมื่ออยู่ ณ พระพักต์แห่งอัลลฮฮ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นดีที่สุด 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/4/59

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

ความถูกต้องไม่ได้วัดกันที่จำนวนคน






 
 
ความถูกต้องไม่ได้วัดกันที่จำนวนคน
 
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
 
وَإِن تُطِعْ أَكْثَرَ مَن فِي الأَرْضِ يُضِلُّوكَ عَن سَبِيلِ اللّهِ إِن يَتَّبِعُونَ إِلاَّ الظَّنَّ وَإِنْ هُمْ إِلاَّ يَخْرُصُونَ
[6.116] และหากเจ้าเชื่อฟังส่วนมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอา เอง และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น
อิหม่ามอัสสะอฺดีย์ ได้กล่าวว่า
 
ودلت هذه الآية، على أنه لا يستدل على الحق، بكثرة أهله، ولا يدل قلة السالكين لأمر من الأمور أن يكون غير حق، بل الواقع بخلاف ذلك، فإن أهل الحق هم الأقلون عددا،
الأعظمون -عند الله- قدرا وأجرا
อายะฮนี้ แสดงให้เห็นว่า จะไม่ถูกอ้างหลักฐานยันยันความถูกต้อง โดยถือคนส่วนมากเป็นบรรทัดฐาน และ กิจการใด จากบรรดากิจการต่างๆ ที่คนส่วนน้อยดำเนินตามอยู่ ไม่ได้แสดงบอกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ในทางกลับกัน ความเป็นจริง มันขัดแย้งกับดังกล่าวนั้น เพราะ ผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง นั้น พวกเขามีจำนวนน้อยมาก, พวกเขามีคุณค่าและการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮ. - ดูตัฟสีรอัสสะอฺดีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ 116 ซูเราะฮ อัลอันอาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

8/4/59

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

อัลฮิดายะฮ






อัลฮิดายะฮ
อัลฮิดายะฮ คือ
إرشاد ودلالة على ما يوصل إلى المطلوب
การแนะนำทางที่ถูกต้อง และชี้แนะ บนสิ่งที่นำไปสู่สิ่งที่ต้องการ
ฮัลฮิดายะฮ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ฮิดายะฮเตาฟิก ( هداية التوفيق ) คือ การสร้าง การศรัทธาให้เกิดขึ้นในหัวใจ ซึ่ง ฮิดายะฮประเภทนี้ เป็นสิทธิของอัลลอฮเท่านั้น
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
(إِنَّكَ لَا تَهْدِي مَنْ أَحْبَبْتَ وَلَـٰكِنَّ اللَّـهَ يَهْدِي مَن يَشَاءُ)
ความว่า “แท้จริง เจ้าไม่สามารถที่จะชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เจ้ารักได้ แต่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์” (ซูเราะฮฺอัลเกาะศ็อศ อายะฮฺ 56)
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
مَن يُضْلِلِ اللّهُ فَلاَ هَادِيَ لَهُ وَيَذَرُهُمْ فِي طُغْيَانِهِمْ يَعْمَهُونَ
“ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้หลงไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แนะนำใด ๆ สำหรับเขา พระองค์จะทรงปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในการละเมิดของพวกเขา -”อัล-อะอฺรอฟ :186
2. ฮิดาดายะฮ อัลอิรชาด ,วัดดิลาละฮ วัลบะบาน(هداية الإرشاد ، والدلالة ، والبيان ) คือ การ ชี้แนะหนทางที่ถูกต้อง,การแนะนำและการอธิบาย
การฮิดายะฮประเภทนี้ เป็นหน้าที่ของบรรดานบี ,บรรดารอซูล และบรรดาผู้เจริญรอยตาม ซึ่ง หมายถึง การชี้แนะ หนทางที่ถูกต้อง การอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَ وَإِنَّكَ لَتَهْدِي إِلَى صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ
[42.52] และแท้จริงเจ้านั้น ชี้แนะสู่ทางอันเที่ยงธรรมอย่างแน่นอน
وَهَدَيْنَاهُ النَّجْدَيْنِ
[90.10] และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี และความชั่วแก่เขาแล้ว
...............
เพราะฉะนั้น ผู้ทำงานเผยแพร่ศาสนา และครูผู้สอนศาสนา อยู่ในฐานะผู้ถ่ายทอดความรู้ แนะนำและอธิบายแนวทางที่ถูกต้องที่ถ่ายทอดมาจากคำสอนศาสนาเท่านั้น เขาไม่มีสิทธิ และไม่มีความสามารถที่จะบันดาลให้ผู้อื่นเชื่อตามที่ตนเองชี้แนะและสั่งสอนได้
เพราะการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจมนุษย์นั้น เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ และเป็นพระประสงค์ของพระองค์
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/4/59

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

เห็นต่างแล้วแตกแยก คืออุตริกรรมที่เกิดจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ







เห็นต่างแล้วแตกแยก คืออุตริกรรมที่เกิดจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ
 
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
 
فَكُلُّ مَسْأَلَةٍ حَدَثَتْ فِي الْإِسْلَامِ فَاخْتَلَفَ النَّاسُ فِيهَا ، وَلَمْ يُوَرِّثْ ذَلِكَ الِاخْتِلَافُ بَيْنَهُمْ عَدَاوَةً ، وَلَا بَغْضَاءَ ، وَلَا فُرْقَةً; عَلِمْنَا أَنَّهَا مِنْ مَسَائِلِ الْإِسْلَامِ ، وَكُلُّ مَسْأَلَةٍ طَرَأَتْ فَأَوْجَبَتِ الْعَدَاوَةَ وَالتَّنَافُرَ وَالتَّنَابُزَ وَالْقَطِيعَةَ عَلِمْنَا أَنَّهَا لَيْسَتْ مِنْ أَمْرِ الدِّينِ فِي شَيْءٍ ،
 
ทุกๆประด็นปัญหา ที่เกิดขึ้นในอิสลาม แล้วบรรดามนุษย์ได้ขัดแย้งกัน และความขัดแย้งดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเป็นศัตรูต่อกัน ,การโกรธเคืองและการแตกแยกระหว่างพวกเขา เราก็จะรู้ว่า แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากประเด็นปัญหาของอิสลาม และทุกๆประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วนำไปสู่การเป็นศัตรูต่อกัน, การต่อสู้แข่งขันกัน,การเรียกฉายาต่อกัน และการตัดสัมพันธ์กัน เราก็จะรู้ว่า แท้จริง มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องศาสนาแม้แต่น้อย
................
สรุป
1. ถ้าประเด็นใดๆเห็นต่างกันในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอิสลาม ก็จะไม่มีผลต่อการทำให้เกิดการเป็นศัตรูต่อกัน ,การโกรธเคืองและการแตกแยกกัน
2. ถ้าเห็นต่างกันในประเด็นใดๆ แล้วก่อให้เกิด การเป็นศัตรูต่อกัน, การต่อสู้แข่งขันกัน,การเรียกฉายาใส่ร้ายต่อกัน และการตัดสัมพันธ์กัน เราก็จะทราบว่า มันไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา (แต่มันเกิดจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ)
وَأَنَّهَا الَّتِي عَنَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِتَفْسِيرِ الْآيَةِ ، وَهِيَ قَوْلُهُ : إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُوا دِينَهُمْ وَكَانُوا شِيَعًا [ الْأَنْعَامِ : 159 ] وَقَدْ تَقَدَّمَتْ; فَيَجِبُ عَلَى كُلِّ ذِي دِينٍ وَعَقْلٍ أَنْ يَجْتَنِبَهَا ، وَدَلِيلُ ذَلِكَ قَوْلُهُ تَعَالَى : وَاذْكُرُوا نِعْمَةَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَانًا [ آلِ عِمْرَانَ : 103 ] فَإِذَا اخْتَلَفُوا وَتَقَاطَعُوا; كَانَ ذَلِكَ لِحَدَثٍ أَحْدَثُوهُ مِنَ اتِّبَاعِ الْهَوَى
และแท้จริงที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ให้ความหมาย ด้วยการอรรถาธิบาย อายะฮนี้ และคือ คำตรัสของพระองค์ ที่ว่า
"แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้น - อันอันอาม/159 และมันได้ถูกกล่าวล่วงหน้ามาแล้ว ดังนั้น จำเป็นเหนือผู้ที่นับถือศาสนาทุกคน และผู้มีปัญญาทุกคน ต้องห่างใกลจากมัน และหลักฐานดังกล่าวนั้นคือ คำตรัสของอัลลอฮตาอาลาที่ว่า
"และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้หัวใจของพวกเจ้ามีความสนิทสนมกัน และพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์ "- อาลิอิมรอน/103
ดังนั้นเมื่อพวกเขาขัดแย้งกัน และตัดสัมพันธ์ต่อกัน ดังกล่าวนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ที่พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา จากการตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ - อัลมุวาฟิกอต ของอิหม่ามอัชชาติบีย์ 5/64 กิตาบุลอิจญติฮาด
..............
การเห็นต่างหรือมีความเห็นขัดแย้งกัน แล้วตัดความสัมพันธ์ต่อกัน เหตุการณ์แบบนี้คือ อุตริกรรมที่เกิดจากการอารมณ์ใฝ่ต่ำ เพราะฉะนั้นการเห็นต่าง แล้วแตกแยก ตัดความสัมพันธ์ และทำลายกัน ไม่ใช่ศาสนาอย่ามาอ้าง นบี ศอ็ลฯว่า ท่านแตกแยกเหมือนกัน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/4/59