วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

แนวทางสะลัฟผู้ทรงธรรม((منهج السلف الصالح

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


แนวทางสะลัฟผู้ทรงธรรม((منهج السلف الصالح )
คำว่าสะลัฟผู้ทรงธรรม หมายถึงชาวสะลัฟในศตวรรษแรกของอุมมะฮนี้ อันได้แก่ บรรดาเศาะหาบะฮของท่านนบี ศ็อลฯ จากบรรดาชาวมุฮาญิรีน และชาวอันศอ็ร และบรรดาผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดี จากบรรดาชาวตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน ในศตวรรษ อันประเสริฐ
ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَالسَّابِقُونَ الأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالأَنصَارِ وَالَّذِينَ اتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ اللّهُ عَنْهُمْ وَرَضُواْ عَنْهُ
บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย -อัตเตาบะฮ/100
ท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า
خَيْرُكُمْ قَرْنِي، ثُمَّ الَّذِينَ يَلُونَهُمْ، ثُمَّ الَّذِينَ يَلُونَهُمْ
กลุ่มชนที่ดีที่สุดได้แก่ศตวรรษของฉัน ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา(อีกรุ่นหนึ่ง)” 
(รายงานโดย บุคคอรีย์)
فالسلف الصالح هم الصحابة والتابعون وتابعو التابعين. وكل من سلك سبيلهم وسار على نهجهم فهو سلفي نسبة إليهم
สะลัฟผู้ทรงธรรม คือ เหล่าเศาะฮาบะฮ ,บรรดาตาบิอูน (ผู้เป็นศิษย์เศาะฮาบะฮ) และบรรดาตาบิอุตตาบิอีน(ศิษย์ของตาบิอีน)
และทุกๆผู้ที่ดำเนินแนวทางพวกเขา และ เดินตามหนทางของพวกเขา เขาคือ "สะละฟีย์" เป็นการอ้างถึงการเกี่ยวของกับพวกเขา - มุอตะก็อด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ฟี อัลอัสมาอวัสสิฟาต ของมุหัมหมัด เคาะลิฟะฮ อัตตัยมีย์ 1/48
........
แนวทางอิสลามตามความเข้าใจสะลัฟผู้ทรงธรรม เป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดในการดำเนินตาม จึงแปลก ที่ทำไม่บางคนดูถูกเหยียดหยามคนที่ดำเนินตามแนวทางสะลัฟ เพียงเพราะเขาต่อต้านชิริกและบิดอะฮ ในศาสนา
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/6/62

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

พฤติกรรมละหมาดสตาร์ทติดอยาก



ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



พฤติกรรมละหมาดสตาร์ทติดอยาก
พฤติกรรมบางคนน่าเบื่อหน่ายมากคือเวลาเป็นอิหม่ามนำละหมาด ไม่ว่าละหมาดฟัรดู 5 เวลา หรือละหมาดญะนาซะฮ คือ กว่าจะสตาร์ทติดได้ ยกมือตักบีรอตุลเอียะรอม หลายครั้งครั้งแรก ไม่ติด เอาใหม่ครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่ติดเอาไหม่ครั้งที่สาม...ทั้งนี้ เพราะถูกสอนมาให้อ่านคำเนียต ตัวอย่างเช่น อ่านคำว่า "ข้าพเจ้าละหมาด ฟัรดูมัฆริบ 3 ร็อกอัต เป็นอิหม่าม เพื่ออัลลอฮ โดยให้คำเนียตนี้ บรรจุอยู่ในคำว่า "อัลลอฮุอักบัร" ซึ่งเขาเรียกว่า "มุกอเราะนะฮ" เพราะเหตุนี้ กว่าจะละหมาดสตาร์ทติดได้ ก็ยกมือตักบีรหลายครั้งสร้างความรำคาญแก่คนที่เป็นมะอมูม
ในภาษาอาหรับ เรียกว่า "วัสวะสะฮ (وسوسة )คือความสงสัยและไขว้เขวของจิตใจ เช่น สงสัย สับสนว่า เนียตติดหรือยัง
อิหม่ามอัสสะยูฏีย์(ร.ฮ) ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ได้กล่าวว่า
ومن البدع أيضاً: الوسوسة في نية الصلاة، ولم يكن ذلك من فعل النبي صلى الله عليه وسلم ولا أصحابه، كانوا لا ينطقون بشيء من نية الصلاة سوى التكبير.
และส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ อีกเช่นกันคือ การสับสน รวนเร ในการเนียตละหมาด และดังกล่าวนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากการกระทำของท่านนบี ศ็อลฯ และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากการกระทำของเศาะหาบะฮ ของท่าน พวกเขาไม่กล่าว สิ่งใดจากการเนียตละหมาด อื่นจากตักบีร(เราะตุลเอียะรอม) - อัลอัมรุลบิลอิตบาอฺ วัลนะฮยุอะนิลอิบติดาอฺ หน้า 295
อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ) กล่าวว่า
الوسوسة في نية الصّلاة والطهارة من جهلٍ بالشرع ،أو خبلٍ بالعقل
การสับสน/รวนเร ในการเนียตละหมาด และการเนียตการทำความสะอาด เป็นส่วนหนึ่งจากความโง่เขลาด้วย ศาสนบัญญัติ หรือ ความบกพร่องด้วยสติปัญญา(การเสียสติ) - จากตำราที่อ้างแล้ว
............
ทั้งนี้ หากเข้าใจศาสนา เขาก็จะรู้ว่าการเนียต คือ หน้าที่ของหัวใจ ไม่ต้องกล่าวเป็นคำพูด และไม่ต้องอ่านคำเนียในใจ จนกระทั่งเกิด ความสับสน รวนเร (อัลวัสวะสะฮ) ว่าเนียตติดหรือยัง จนเป็นเหตุให้ตักบีรเข้าละหมาดหลายครั้งกว่าจะติด
สรุปจากคำพูดอิหม่ามชาฟิอีคือ 
ละหมาดสตาร์ทติดอยากเพราะไม่เข้าใจศาสนาบัญญัติ
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/6/62

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ห้ามทำเสียงดังขณะส่งญะนาซะฮไปกุโบร์




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ





ห้ามทำเสียงดังขณะส่งญะนาซะฮไปกุโบร์
การตามไปส่งญะนาซะฮไปกุโบร์ เป็นสุนนะฮเพื่อให้ได้ระลึกถึงความตายและวันอาคีเราะฮ นี่คือ เป้าหมายของศาสนา
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : ( مَنْ اتَّبَعَ جَنَازَةَ مُسْلِمٍ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا وَكَانَ مَعَهُ حَتَّى يُصَلَّى عَلَيْهَا وَيَفْرُغَ مِنْ دَفْنِهَا فَإِنَّه يَرْجِعُ مِنْ الأَجْرِ بِقِيرَاطَيْنِ كُلُّ قِيرَاطٍ مِثْلُ أُحُدٍ،
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ)ว่าแท้จริงรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า "ผู้ใดส่งญะนาซะฮมุสลิม ด้วยความศรัทธา และหวังในผลตอบแทน และเขาพร้อมกับญะนาซะฮจนกระทั่งได้ละหมาดให้แก่ญะนาซะฮ และเสร็จสิ้นจากการฝังญะนาซะฮนั้น แท้จริงเขากลับ โดยได้รับผลตอบแทนหลายกีรอฏ แต่ละกีรอฏ เท่ากับภูเขาอุหุด -รายงานโดยบุคอรี
........
แต่การไปส่งญะนาซะฮนั้น ต้องมีความสำรวมไม่ทำเสียงดัง ไม่ว่า ด้วยการ อาซาน หรือ ตักบีร หรือ ตะฮลีล หรืออ่านอัลกุรอ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่มีในคำสอนศาสนาอิสลามให้ปฏิบัติ
อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَيُسْتَحَبُّ لِمُتَّبِعِ الْجِنَازَةِ أَنْ يَكُونَ مُتَخَشِّعًا ، مُتَفَكِّرًا فِي مَآلِهِ ، مُتَّعِظًا بِالْمَوْتِ ، وَبِمَا يَصِيرُ إلَيْهِ الْمَيِّتُ ، وَلَا يَتَحَدَّثُ بِأَحَادِيثِ الدُّنْيَا ، وَلَا يَضْحَكُ
และส่งเสริม(สุนัต)ให้ ผู้ส่งญะนาซะฮ นั้น เป็นผู้ที่มีความสำรวม ,เป็นผู้ที่คิด เกี่ยวกับจุดจบของเขา และเป็นผู้ที่เอาบทเรียนกับการตาย และการตายมาถึงเขาด้วยสิ่งใด และ เขาจะไม่พูดคุยด้วยบรรดาคำพูดที่เกี่ยวกับดุนยา และเขาจะไม่หัวเราะ -ดู อัลมุฆนีย์ 2/174
.........
น้อยนักในสังคมบ้านเราที่ไปส่งญะนาซะฮด้วยความสำรวมและไม่พูดคุยกันแบบสัพเพเหระ เท่าที่สังเกตุดูสนุกสนานที่ได้พบปะคนรู้จัก
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ(ร.ฎ)ว่าท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า
لا تتبع الجنائز بصوت ولا نار
ท่านอย่าส่งบรรดาญะนาซะฮดวยเสียงดัง และ อย่า(ส่งบรรดาญะนาซะฮ)ด้วยไฟ -รายงานโดยอบูดาวูด และ อะหกามอัลญะนาอิซ ของอัลบานีย์ หน้า 70
عَنْ قَيْسِ بْنِ عَبَّادٍ قَالَ : كَانَ أَصْحَابُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَكْرَهُونَ رَفْعَ الصَّوْتِ عِنْدَ ثَلَاثٍ : عِنْدَ الْقِتَالِ وَعِنْدَ الْجَنَائِزِ وَعِنْدَ الذِّكْرِ .
รายงานจาก กัยส์ บิน อับบาดเขาได้กล่าวว่า ปรากฏว่าบรรดา เศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ พวกเขารังเกียจ การทำเสียงดัง ณ สามประการ คือ ขณะทีทำสงคราม ,ทีบรรดาญะนาซะฮ และ ขณะทำการซิกริลละฮ - ดูอัลมุศ็อนนิฟ อิบนิอบีชัยบะฮ 7/695 หมายเลข 4906 เรื่อง กิตาบอัลญิฮาด
อิบนุมุฟลิห (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَيُكْرَهُ رَفْعُ الصَّوْتِ وَلَوْ بِالْقِرَاءَةِ ، اتِّفَاقًا ، قَالَهُ شَيْخُنَا ، وَحَرَّمَهُ جَمَاعَةٌ مِنْ الْحَنَفِيَّةِ وَغَيْرِهِمْ
และมักรูฮ ขึ้นเสียงดัง และแม้ว่าด้วยการอ่านอัลกุรอ่านก็ตาม โดยการเห็นฟ้องของปวงปราชย์ ,อาจารย์เราได้กล่าวไว้ และ ปราชญ์มัซฮับหะนะฟียะฮคณะหนึ่งและอื่นจากพวกเขา ได้ชี้ขาดมันว่า หะรอม -อัลฟุรูอ 3/205
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
لَا يُسْتَحَبُّ رَفْعُ الصَّوْتِ مَعَ الْجِنَازَةِ لَا بِقِرَاءَةِ وَلَا ذِكْرٍ وَلَا غَيْرِ ذَلِكَ هَذَا مَذْهَبُ الْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ وَهُوَ الْمَأْثُورُ عَنْ السَّلَفِ مِنْ الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ وَلَا أَعْلَمُ فِيهِ مُخَالِفًا ; بَلْ قَدْ رُوِيَ عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { أَنَّهُ نَهَى أَنْ يُتْبَعَ بِصَوْتِ أَوْ نَارٍ } رَوَاهُ أَبُو داود
ไม่ส่งเสริม(สุนัต)ให้ทำเสียงดัง พร้อมกับ(การส่ง) ญะนาซะฮ ไม่ว่าจะด้วยอ่านอัลกุรอ่าน และไม่ว่าจะด้วยการซิกริลละฮ นี้คือ มัซฮับอิหม่ามทั้งสี่ และมันคือร่องรอย(หมายถึงรายงาน)จากสะลัฟ จากเหล่าเศาะหาบะฮ ,บรรดาตาบิอีน และข้าพเจ้า ไม่ทราบว่ามีการเห็นขัดแย้งในประเด็นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ได้มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลฯ ว่า ท่านได้ห้ามการส่งญะนาซะฮ ด้วยการทำเสียงดังหรือด้วยไฟ -รายงานโดยอบูดาวูด -มัจญมัวะฟะตาวา 24/293
............
ในทัศนะอิหม่ามทั้งสี่ ห้ามยกเสียงดัง พร้อมกับการส่งญะนาซะฮไปกุโบร์ แล้ว การอาซาน ,การกล่าวตักบีร ,การกล่าวตะฮลีล การเศาะวาต ขณะพาญะนะฮไปฝังที่กุโบร์นั้น เอาแบบอย่างมาจากซุนนะฮของใคร
ขอให้พี่น้องโปรดพิจาณา เรามีท่านนบี ศ็อลฯไว้เป็นแบบอย่าง ลองทบทวนกันดู และขอมาอัฟหากบทความนี้ระคายเคืองกับพีน้อง เพียงแค่ให้พี่น้องได้อ่านและพิจารณาเท่านั้น มิบังอาจไปบังคับ หรือดูหมิ่นดูแคลน
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/6/62

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

การอ้างการเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺของนบีมาสนับสนุนรายอแน




การอ้างการเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺของท่านนบี มาสนับสนุนรายอแน ชัวส์หรือมั่วนิ่ม
มีพี่น้องมุสลิมคนหนึ่ง นามแฝง Faisal Dalawii Azharii อ้างว่า
#จึงเป็นเหตุให้ผู้นำชุมชนบางแห่ง ใช้วัน รายอ 6 นี้ เป็นวันเยี่ยมกุบุร...แทนวัน อีดิลฟิตรี...
عن ابن عمر رضي الله عنهما قال كان النبي صلى الله عليه وسلم يأتي مسجد قباء كل سبت ماشيا وراكبا وكان عبد الله بن عمر رضي الله عنهما يفعله.
ความว่า
“ท่านศาสดา(ศอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม) จะเดินทางไปยัง มัสยิด กุบาอฺ ทุกๆวัน เสาร์ มีทั้ง เดินเท้า และ มีทั้งขี่พาหนะ...และท่าน อิบนุ อุมัรก็ได้ ปฏิบัติเช่นนั้น เป็นประจำ
(รายงานโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)
ท่านอีหม่าม นาวาวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวอธิบายว่า
“ฮาดีษนี้ เป็นหลักฐานหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า อนุญาตให้ เจาะจงวันต่างๆเพื่อการเยียมเยียนได้”
(ชัรฮู มุสลิม เล่ม 9 หน้า 171/ฟัตฮุลบารียฺ เล่ม 3 หน้า 69)
#การละหมาดตัซบีฮ์ในวันรายอ 6#
ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จะมีบางชุมชน ที่ร่วมใจ ถือโอกาสในวันดังกล่าว ทำการละหมาด ตัซบีฮ์ กัน...
ซึ่งความจริงแล้ว การละหมาด ตัซบีฮ์ ไม่ได้ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติกันในวันดังกล่าวเพียงอย่างเดียว...
เราสามารถจะละหมาดในวันเวลาใดก็ได้ตามที่เราต้องการ...
@@@@
ชี้แจง
ในกรณีการเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺนั้น มีรายงานส่งเสริมให้กระทำคือ
ท่านสะฮฺล์ บิน หะนีฟ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :
«مَنْ تَطَهَّرَ فِي بَيْتِـهِ، ثُمَّ أَتَى مَسْجِدَ قُبَاءَ فَصَلَّى فِيهِ صَلاةً، كَانَ لَـهُ كَأَجْرِ عُمْرَةٍ»
ความว่า �ผู้ใดอาบน้ำละหมาดชำระล้างร่างกายที่บ้านของเขา หลังจากนั้นเขามุ่งหน้าไปยังมัสยิดกุบาอ์แล้วทำการละหมาด เขาจะได้รับผลบุญเทียบเท่าการทำอุมเราะฮฺหนึ่งครั้ง� (บันทึกโดยนะสาอีย์ 699 และอิบนุมาญะฮฺ 1412)
......
การอ้างว่าอนุญาตให้เจาะจงในการซิยาเราะฮได้นั้น มีผู้คัดค้าน ดังที่อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَفِي هَذَا الْحَدِيثِ عَلَى اخْتِلَافِ طُرُقِهِ دَلَالَةٌ عَلَى جَوَازِ تَخْصِيصِ بَعْضِ الْأَيَّامِ بِبَعْضِ الْأَعْمَالِ الصَّالِحَةِ وَالْمُدَاوَمَةِ عَلَى ذَلِكَ ، وَفِيهِ أَنَّ النَّهْيَ عَنْ شَدِّ الرِّحَالِ لِغَيْرِ الْمَسَاجِدِ الثَّلَاثَةِ لَيْسَ عَلَى التَّحْرِيمِ [1] لِكَوْنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَأْتِي مَسْجِدَ قُبَاءٍ رَاكِبًا
และในหะดิษนี้ อบู่บนการแตกต่างของสายรายงานของมัน คือหลักฐานที่แสดงบอกว่า อนุญาตให้เจาะจงบางส่วนของบรรดาวัน ด้วยบางส่วนของบรรดาการงานที่ดีและปฏิบัติเป็นประจำบนดังกล่าวนั้น และในหะดิษนี้ แสดงว่าการห้ามจากการจงใจเดินทางเพื่ออื่นจากมัสยิดทั้งสามนั้น ไม่ใช่บ่งบอกว่าเป็นการห้าม เพราะท่านนบี ศ็อลฯ ไปยังมัสยิดกุบาอฺ โดยการขี่พาหนะ
، وَتُعُقِّبَ بِأَنَّ مَجِيئَهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَى قُبَاءٍ إِنَّمَا كَانَ لِمُوَاصَلَةِ الْأَنْصَارِ وَتَفَقُّدِ حَالِهِمْ ، وَحَالِ مَنْ تَأَخَّرَ مِنْهُمْ عَنْ حُضُورِ الْجُمُعَةِ مَعَهُ ، وَهَذَا هُوَ السِّرُّ فِي تَخْصِيصِ ذَلِكَ بِالسَّبْتِ .
และได้ถูกโต้แย้งว่า แท้จริงการมายังกุบะอฺของท่านนบี ศ็อลฯนั้น เพื่อติดต่อสัมพันธ์การชาวอันศ็อรฺ และคนหาสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา และสภาพของผู้ที่ในหมู่พวกเขา ล้าช้าจากการมาร่วมละหมาดวันศุกร์พร้อมกับท่านนบี(ณ มัสยิดอันนะบะวีย์) และนี้คือสาเหตุ ในการเจาะจงดังกล่าว(เจาะจงเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺ)ในวันเสาร์ – ดู ฟัตหุลบารีย 3/83-84
และชิฮาบุดดีน อบูลอับบาส อัลก็อสเฏาะลานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وخص السبت لأجل مواصلته لأهل قباء وتفقد حال من تأخر منهم عن حضور الجمعة معه في مسجده بالمدينة
และการเจาะจง วันเสาร์ ก็เพื่อ การติดต่อสัมพันธ์ของท่านนบีแก่ชาวกุบาอฺ และค้นหาสภาพความเป็นอยู่ผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเขา ที่เป็นเหตุให้ล้าช้าจากการมารวมละหมาดญุมอัตพร้อมกับท่านนบี ณ มัสยิดของท่านนบีที่ มะดีนะฮ –ดู อิรชาดอัสสารีย์ ชัรหเศาะเฮียะบุคอรีย์ ของ อัลก็อสเฏาะลานีย์ 3/247
...........
สรุปคือ
การเอาหะดิษนี้มาอ้างว่าอนุญาตให้เจาะจงวันในการทำความดีหรือซิยาเราะฮกุโบร์ นั้น ได้ถูกคัดค้าน เพราะที่ท่านนบี ศ็อลฯ เดินทางไปกุบาอฺในวันเสาร์นั้น ท่านต้องการติดต่อสัมพันธ์ และดูสภาพความเป็นอยู่ของชาวอันศอร์ และดูว่าสาเหตุอะไรที่ชาวอันศอร์ ณ ตำบลกุบาอฺ ไปละหมาดญุมอัตที่มัสยิดอันนะบะวีย์ล่าช้า
เพราะฉะนั้น การเอาหะดิษข้างต้น มาสนับสนุนการเจาะจงเยี่ยมกุโบร์(ดยเชื่อว่าดีกว่าวันอื่น)และการกำหนดพิธีรายอแน หรือรายอ บวช 6 หม้อนั้น เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะการรายอแน ไม่มีในอัสสุนนะฮมาแต่เดิม ส่วนการเจาะจงเยี่ยมกุโบร์ อันเนื่องมาจากวันอื่นไม่ว่างและไม่ได้เชื่อว่าดีกว่าวันอื่นนั้นไม่เป็นไร
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/6/62
ชัวส์หรือมั่วนิ่ม
มีพี่น้องมุสลิมคนหนึ่ง นามแฝง Faisal Dalawii Azharii อ้างว่า
#จึงเป็นเหตุให้ผู้นำชุมชนบางแห่ง ใช้วัน รายอ 6 นี้ เป็นวันเยี่ยมกุบุร...แทนวัน อีดิลฟิตรี...
عن ابن عمر رضي الله عنهما قال كان النبي صلى الله عليه وسلم يأتي مسجد قباء كل سبت ماشيا وراكبا وكان عبد الله بن عمر رضي الله عنهما يفعله.
ความว่า
“ท่านศาสดา(ศอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม) จะเดินทางไปยัง มัสยิด กุบาอฺ ทุกๆวัน เสาร์ มีทั้ง เดินเท้า และ มีทั้งขี่พาหนะ...และท่าน อิบนุ อุมัรก็ได้ ปฏิบัติเช่นนั้น เป็นประจำ
(รายงานโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)
ท่านอีหม่าม นาวาวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวอธิบายว่า
“ฮาดีษนี้ เป็นหลักฐานหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า อนุญาตให้ เจาะจงวันต่างๆเพื่อการเยียมเยียนได้”
(ชัรฮู มุสลิม เล่ม 9 หน้า 171/ฟัตฮุลบารียฺ เล่ม 3 หน้า 69)
#การละหมาดตัซบีฮ์ในวันรายอ 6#
ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จะมีบางชุมชน ที่ร่วมใจ ถือโอกาสในวันดังกล่าว ทำการละหมาด ตัซบีฮ์ กัน...
ซึ่งความจริงแล้ว การละหมาด ตัซบีฮ์ ไม่ได้ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติกันในวันดังกล่าวเพียงอย่างเดียว...
เราสามารถจะละหมาดในวันเวลาใดก็ได้ตามที่เราต้องการ...
@@@@
ชี้แจง
ในกรณีการเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺนั้น มีรายงานส่งเสริมให้กระทำคือ
ท่านสะฮฺล์ บิน หะนีฟ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :
«مَنْ تَطَهَّرَ فِي بَيْتِـهِ، ثُمَّ أَتَى مَسْجِدَ قُبَاءَ فَصَلَّى فِيهِ صَلاةً، كَانَ لَـهُ كَأَجْرِ عُمْرَةٍ»
ความว่า �ผู้ใดอาบน้ำละหมาดชำระล้างร่างกายที่บ้านของเขา หลังจากนั้นเขามุ่งหน้าไปยังมัสยิดกุบาอ์แล้วทำการละหมาด เขาจะได้รับผลบุญเทียบเท่าการทำอุมเราะฮฺหนึ่งครั้ง� (บันทึกโดยนะสาอีย์ 699 และอิบนุมาญะฮฺ 1412)
......
การอ้างว่าอนุญาตให้เจาะจงในการซิยาเราะฮได้นั้น มีผู้คัดค้าน ดังที่อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَفِي هَذَا الْحَدِيثِ عَلَى اخْتِلَافِ طُرُقِهِ دَلَالَةٌ عَلَى جَوَازِ تَخْصِيصِ بَعْضِ الْأَيَّامِ بِبَعْضِ الْأَعْمَالِ الصَّالِحَةِ وَالْمُدَاوَمَةِ عَلَى ذَلِكَ ، وَفِيهِ أَنَّ النَّهْيَ عَنْ شَدِّ الرِّحَالِ لِغَيْرِ الْمَسَاجِدِ الثَّلَاثَةِ لَيْسَ عَلَى التَّحْرِيمِ [1] لِكَوْنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَأْتِي مَسْجِدَ قُبَاءٍ رَاكِبًا
และในหะดิษนี้ อบู่บนการแตกต่างของสายรายงานของมัน คือหลักฐานที่แสดงบอกว่า อนุญาตให้เจาะจงบางส่วนของบรรดาวัน ด้วยบางส่วนของบรรดาการงานที่ดีและปฏิบัติเป็นประจำบนดังกล่าวนั้น และในหะดิษนี้ แสดงว่าการห้ามจากการจงใจเดินทางเพื่ออื่นจากมัสยิดทั้งสามนั้น ไม่ใช่บ่งบอกว่าเป็นการห้าม เพราะท่านนบี ศ็อลฯ ไปยังมัสยิดกุบาอฺ โดยการขี่พาหนะ
، وَتُعُقِّبَ بِأَنَّ مَجِيئَهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَى قُبَاءٍ إِنَّمَا كَانَ لِمُوَاصَلَةِ الْأَنْصَارِ وَتَفَقُّدِ حَالِهِمْ ، وَحَالِ مَنْ تَأَخَّرَ مِنْهُمْ عَنْ حُضُورِ الْجُمُعَةِ مَعَهُ ، وَهَذَا هُوَ السِّرُّ فِي تَخْصِيصِ ذَلِكَ بِالسَّبْتِ .
และได้ถูกโต้แย้งว่า แท้จริงการมายังกุบะอฺของท่านนบี ศ็อลฯนั้น เพื่อติดต่อสัมพันธ์การชาวอันศ็อรฺ และคนหาสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา และสภาพของผู้ที่ในหมู่พวกเขา ล้าช้าจากการมาร่วมละหมาดวันศุกร์พร้อมกับท่านนบี(ณ มัสยิดอันนะบะวีย์) และนี้คือสาเหตุ ในการเจาะจงดังกล่าว(เจาะจงเยี่ยมมัสยิดกุบาอฺ)ในวันเสาร์ – ดู ฟัตหุลบารีย 3/83-84
และชิฮาบุดดีน อบูลอับบาส อัลก็อสเฏาะลานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وخص السبت لأجل مواصلته لأهل قباء وتفقد حال من تأخر منهم عن حضور الجمعة معه في مسجده بالمدينة
และการเจาะจง วันเสาร์ ก็เพื่อ การติดต่อสัมพันธ์ของท่านนบีแก่ชาวกุบาอฺ และค้นหาสภาพความเป็นอยู่ผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเขา ที่เป็นเหตุให้ล้าช้าจากการมารวมละหมาดญุมอัตพร้อมกับท่านนบี ณ มัสยิดของท่านนบีที่ มะดีนะฮ –ดู อิรชาดอัสสารีย์ ชัรหเศาะเฮียะบุคอรีย์ ของ อัลก็อสเฏาะลานีย์ 3/247
...........
สรุปคือ
การเอาหะดิษนี้มาอ้างว่าอนุญาตให้เจาะจงวันในการทำความดีหรือซิยาเราะฮกุโบร์ นั้น ได้ถูกคัดค้าน เพราะที่ท่านนบี ศ็อลฯ เดินทางไปกุบาอฺในวันเสาร์นั้น ท่านต้องการติดต่อสัมพันธ์ และดูสภาพความเป็นอยู่ของชาวอันศอร์ และดูว่าสาเหตุอะไรที่ชาวอันศอร์ ณ ตำบลกุบาอฺ ไปละหมาดญุมอัตที่มัสยิดอันนะบะวีย์ล่าช้า
เพราะฉะนั้น การเอาหะดิษข้างต้น มาสนับสนุนการเจาะจงเยี่ยมกุโบร์(ดยเชื่อว่าดีกว่าวันอื่น)และการกำหนดพิธีรายอแน หรือรายอ บวช 6 หม้อนั้น เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะการรายอแน ไม่มีในอัสสุนนะฮมาแต่เดิม ส่วนการเจาะจงเยี่ยมกุโบร์ อันเนื่องมาจากวันอื่นไม่ว่างและไม่ได้เชื่อว่าดีกว่าวันอื่นนั้นไม่เป็นไร
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/6/62

 à¹„ม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ทัศนะญุมฮูรเกี่ยวกับการเห็นจันทร์เสี้ยว




ทัศนะญุมฮูรเกี่ยวกับการเห็นจันทร์เสี้ยว (รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม-กรุณาอ่านให้จบ)
1.มัฮฮับหะนะฟียะฮ
قال الحنفية (2): اختلاف المطالع، ورؤية الهلال نهاراً قبل الزوال وبعده غير معتبر، على ظاهر المذهب، وعليه أكثر المشايخ، وعليه الفتوى، فيلزم أهل المشرق برؤية أهل المغرب، إذا ثبت عندهم رؤية أولئك، بطريق موجب، كأن يتحمل اثنان الشهادة، أو يشهدا على حكم القاضي، أو يستفيض الخبر، بخلاف ما إذا أخبر أهل بلدة كذا رأوه؛ لأنه حكاية
ปราชญ์หะนะฟียะฮ (2)ได้กล่าวว่า ความแตกต่างของมัฏลาอฺและการเห็นจันทร์เสี้ยว ในตอนกลางวัน ก่อนพลบค่ำ และหลังจากมัน นั้นไม่ถูกพิจจารณา บน ความชัดเจนของมัซฮับ ,บรรดาชัยค์ส่วนมาก(มีทัศนะ)อยู่บนมัน และการฟัตวา อยู่บนมัน ,ชาวตะวันออกจำเป็น(จะต้องถือศีลอด)ด้วยการเห็น(จันทร์เสี้ยว)ของชาวตะวันตก เมื่อการเห็นพวกเขาเหล่านั้น เป็นที่แน่นอน ณ พวกเขา ด้วยแนวทางที่ชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัย ดังเช่น การที่สองคนที่เป็นพยานให้การสนับสนุน หรือทั้งสองได้เป็นพยานบนการตัดสินของกอฎีย์ หรือ ข่าวได้แพร่หลายเป็นจำนวนมาก ต่างกับสิ่งที่ ชาวเมืองหนึ่งเมืองใด ได้บอกอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าพวกเขาได้เห็นมัน เพราะแท้จริงมันคือ การรายงาน/เรื่องเล่า- ดู อัลฟิกฮอัลอิสลามีย์วะอะดิลละติฮี ของอัซซุฮัยลีย์ 2/606
............ 
(2) الدر المختار ورد المحتار: 131/ 2 - 132، مراقي الفلاح: ص109
โดยส่วนตัวเห็นว่า การรายงานข่าวเห็นจันทร์เสี้ยวผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ได้เป็นข่าวโคมลอยเสมอไป แต่เป็นการรายงานข่าวจริงที่สมารถตรวจสอบได้ก็มี 
.......
2.มัซฮับมาลิกียะฮ
وقال المالكية (3): إذا رئي الهلال، عمَّ الصوم سائر البلاد، قريباً أو بعيداً، ولا يراعى في ذلك مسافة قصر، ولا اتفاق المطالع، ولا عدمها، فيجب الصوم على كل منقول إليه، إن نقل ثبوته بشهادة عدلين أو بجماعة مستفيضة، أي منتشرة
และปราชญ์มาลิกียะฮ (3) ได้กล่าวว่า เมื่อจันทร์เสี้ยว ถูกเห็น การถือศีลอด ก็ครอบคคุม บรรดาเมืองอื่นๆทั่วไป จะใกล้หรือใกล และ ระยะทางการย่อละหมาด ,การตรงกันของมัฏลาอฺ และการไม่ตรงกันของมัน จะไม่ถูกรับฟัง (ไม่ถูกพิจารณา)ในดังกล่าวนั้น ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องถือศีลอด แก่ทุกๆผู้ที่ถูกรายงานมายังเขา หาก การยืนยันของมัน ถูกรายงานด้วยพยานที่ยุติธรรมสองคน หรือ ด้วยคนคณะหนึ่งที่แพร่หลาย - ที่มาได้อ้างแล้ว
............
(3) الشرح الكبير: 510/ 1، بداية المجتهد: 278/ 1 ومابعدها، القوانين الفقهية: ص116
3.มัซฮับอัลหะนาบะละฮ
وقال الحنابلة (1): إذا ثبتت رؤية الهلال بمكان، قريباً كان أو بعيداً، لزم الناس كلهم الصوم، وحكم من لم يره حكم من رآه.
และปราขญ์มัซฮับหะนาบะละฮ (1)ได้กล่าวว่า "เมื่อการเห็นจันทร์เสี้ยวได้รับการยืนยันแน่นอน ณ สถานที่ใดๆ ไม่ว่าใกล้หรือใกล จำเป็นแก่ประชาชนทั้งหมด ของพวกเขา จะต้องถือศีลอด และหุกุมผู้ที่ไม่เห็นจันทร์เสี้ยว ก็คือหุกุมผู้ที่เห็นมัน (หมายถึงหุกุมเดียวกัน -ผู้แปล) - ที่มาได้อ้างแล้ว 2/607
...
(1) كشاف القناع: 353/ 2
4.ส่วนมัซฮับชาฟิอีอียะฮ ซึ่งแตกต่างจากญุมฮูรคือ
وأما الشافعية فقالوا (2): إذا رئي الهلال ببلد لزم حكمه البلد القريب لا البعيد، بحسب اختلاف المطالع في الأصح، واختلاف المطالع لا يكون في أقل من أربعة وعشرين فرسخاً (3).
และสำหรับ ปราชญ์ชาฟิอียะฮ พวกเขาได้กล่าวว่า "เมื่อจันทร์เสี้ยวถูกเห็น ณ เมืองใด หุกุมของมัน (หมายถึงต้องถือศีลอด-ผู้แปล) ก็จำเป็นแก่เมืองที่อยู่ใกล้ ไม่จำเป็นแก่เมืองที่อยู่ใกล โดยพิจารณาของความแตกต่าง ของบรรดามัฏลาอฺ ในทัศนะที่ถูกต้องที่สุด และการแตกต่างของบรรดามัฏลาอฺ จะไม่มีไม่น้อยกว่า 24 ฟัรซัก(3).... - อัลฟิกฮอัลอิสลามีย์วะอะดิลละติฮี ของอัซซุฮัยลีย์ 2/607
......
(2) المجموع: 297/ 6 - 303، مغني المحتاج: 422/ 1 - 
(3) الفرسخ (5544 م) وهذه المسافة تساوي 5544×24=056،133 كم، انظر جدول المقاييس، علماً بأن مسافة القصر (89كم): هي أربعة برد أو ستة عشرة فرسخاً، والفرسخ ثلاثة أميال
..........
สรุป
1.มัซฮับ หะนะฟียะฮ ,มาลิกียะฮ และหะนาบะฮละะฮ ไม่เอาเหตุผลเรื่องการแตกต่างของมัฏลาอฺมาพิจารณา คือ เมืองใหนเห็นจันทร์เสี้ยว เมืองอื่นๆไม่ว่าใกล้หรือ ใกล เมื่อได้รับข่าวที่แน่นอน ก็จำเป็นต้องถือศีลอด
2.มัซฮับชาฟิอียะฮ เอาเหตุผลการแตกต่างของมัฏลาอฺมาเป็นเงื่อนไข ในกรณีเมืองที่อยู่ใกล้กัน คือระยะทางที่น้อยกว่าอนุญาตให้ย่อละหมาดได้ ซึ่งกรณีมัซฮับชาฟิอียะฮมีการเห็นต่างสองฝ่าย ผู้อ่านไปศึกษาได้ในมัจญมัวะชัรหอัลมุหัซซับของอิหม่ามนะวาวีย์
ขอเรียนผู้อ่านว่า กระผมนั้นมีความรู้น้อยนิด แต่ที่นำเสนอเพื่อเป็นวิชาการให้พี่น้องได้อ่านและพิจารณาเท่านั้น ไม่บังอาจนำประเด็นนี้โต้แย้งกับ หลังอีดฟัฏรีย์ ผมถูกฉายาจากบางคนว่า เป็นจอมบิดเบือนฟันหลอ" ซึ่งคนกล่าวหาต้องตอบกับอัลลอฮในวันกิยามะฮเอง

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/6/62
หมายเหตุดูสำเนาหนังสืออ้างอิงข้างล่าง





 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ





 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ