วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลักฐานแสดงบอกการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ จากการรายงานของอิหม่ามบุคอรี




หลักฐานแสดงบอกการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ จากการรายงานของอิหม่ามบุคอรี

อิหม่ามบุคอรียื(๑๙๔ - ๒๕๖) ได้กล่าวในหนังสือเศาะเฮียะบุครีของท่านว่า

بَاب قَوْلِ اللَّهِ تَعَالَى تَعْرُجُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ وَقَوْلِهِ جَلَّ ذِكْرُهُ إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ وَقَالَ أَبُو جَمْرَةَ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ بَلَغَ أَبَا ذَرٍّ مَبْعَثُ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ لِأَخِيهِ اعْلَمْ لِي عِلْمَ هَذَا الرَّجُلِ الَّذِي يَزْعُمُ أَنَّهُ يَأْتِ...يهِ الْخَبَرُ مِنْ السَّمَاءِ وَقَالَ مُجَاهِدٌ الْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُ الْكَلِمَ الطَّيِّبَ يُقَالُ ذِي الْمَعَارِجِ الْمَلَائِكَةُ تَعْرُجُ إِلَى اللَّهِ


ว่าด้วยเรื่องคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า "มลาอิกะฮและอัรรูหฺขึ้นไปยังพระองค์" และคำตรัสของพระองค์ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ที่ว่า "คำพูดที่ดีขึ้นไปยังพระองค์" และอบูหัมซะอกล่าวว่า "รายงานจากอิบนุอับบาส ว่า ข่าวการแต่งตั้งนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ถึงมายังอบูซัรริน แล้วเขาได้กล่าวแก่พี่น้องของเขาว่าจงบอกให้ฉันรู้เกี่ยวกับความรู้ของชายผู้นี้(หมายถึงนบีมุหัมหมัด)ที่เขาอ้างว่า ข่าว(วะหยู)จากฟากฟ้าได้มายังเขา"และมุญาฮิดกล่าวว่า "การงานที่ดีได้ยกชูบรรดาถ้อยคำที่ดี,พระองค์ถูกกล่าวว่า " ผู้เป็นเจ้าของแห่งทางขึ้นสู่เบื้องสูง " คือ มลาอิกะฮขึ้นไปยังอัลลอฮ -ดูเศาะเฮียะบุคอรี ๑/๑๒๖
............
ข้างต้นเป็นหลักฐาชัดเจนที่บ่งบอกถึงการอยู่เบื้องสูงหรือ อยู่บนฟ้าของอัลลอฮ แต่มีคนบางกลุ่มพยายามใช้ตรรกทางปัญญาตีความบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และหลักฐานที่ตอกย้ำหลักฐานที่อิหม่ามบุคอรี เช่น


مِنَ اللَّهِ ذِي الْمَعَارِجِ 
[70.3] (การลงโทษนั้น) มาจากอัลลอฮ์ ผู้เป็นเจ้าของแห่งทางขึ้นสู่เบื้องสูง



تَعْرُجُ الْمَلائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ 
[70.4] มลาอิกะฮ์และอัรรูหฺ (ญิบรีล) จะขึ้นไปหาพระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี (ของโลกดุนยานี้)

والله أعلم بالصواب

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตัวอย่างของการกลัวมนุษย์จนยอมทิ้งสัจธรรมของอัลลอฮและรอซูล


ตัวอย่างของการกลัวมนุษย์จนยอมทิ้งสัจธรรมของอัลลอฮและรอซูล


อัลลอฮ ซ.บ ได้กล่าวถึงชนบางส่วนที่ปากบอกว่า ศรัทธาต่ออัลลอฮ (ซ.บ) แต่เมื่อประสบกับความเดือดร้อนเพราะสังคมลงโทษ จึงยอมละทิ้งอิสลามกลับสู่สภาพการกุฟูร

وَمِنَ النَّاسِ مَن يَقُولُ آمَنَّا بِاللَّهِ فَإِذَا أُوذِيَ فِي اللَّهِ جَعَلَ فِتْنَةَ النَّاسِ كَعَذَابِ اللَّهِ
...
และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ครั้นเมื่อเขาถูกทำร้ายในทางของอัลลอฮ์เขาก็ถือเอาการทดสอบของมนุษย์ประหนึ่งการลงโทษของอัลลอฮ์ - อัลอังกะบูต/10
อิหม่ามอัลบัฆวีย์(ร.ฮ) อธิบายว่า

قَوْلُهُ تَعَالَى : ( وَمِنَ النَّاسِ مَنْ يَقُولُ آمَنَّا بِاللَّهِ فَإِذَا أُوذِيَ فِي اللَّهِ ) أَصَابَهُ بَلَاءٌ مِنَ النَّاسِ افْتَتَنَ ( جَعَلَ فِتْنَةَ النَّاسِ كَعَذَابِ اللَّهِ ) أَيْ : جَعَلَ أَذَى النَّاسِ وَعَذَابَهُمْ كَعَذَابِ اللَّهِ فِي الْآخِرَةِ . أَيْ : جَزِعَ مِنْ عَذَابِ النَّاسِ وَلَمْ يَصْبِرْ عَلَيْهِ ، فَأَطَاعَ النَّاسَ كَمَا يُطِيعُ اللَّهَ مَنْ يَخَافُ عَذَابَهُ


พระองค์ผู้ทรงสูงส่งตรัสว่า (และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ครั้นเมื่อเขาถูกทำร้ายในทางของอัลลอฮ์) หมายถึง การทดสอบจากมนุษย์ ประสบกับเขา เขาจึงตกอยู่ในสภาพที่ลำบาก (เขาก็ถือเอาการทดสอบของมนุษย์ประหนึ่งการลงโทษของอัลลอฮ์) หมายถึง เขาถือเอาการทำร้าย ของมนุษย์ และการลงโทษของพวกเขา ประหนึ่งการลงโทษของอัลลอฮในวันอาคิเราะฮ หมายถึง เขาถอดใจ อันเนื่องมาจากการลงโทษชองมนุษย์ และไม่อดทนต่อมัน แล้วเขาก็ภักดีต่อมนุษย์ ประหนึ่ง ผู้ที่กลัวการลงโทษของอัลลอฮ ภักดีต่ออัลลอฮ - ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ 6/235
..........................
ตัวอย่างข้างต้น ไม่แตกต่างกันเลย กับมุสลิมบางคนที่พบกับสัจธรรม จากกิตาบุลลอฮและสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ จึงละทิ้งเรื่องชิรีก มาสู่เตาฮีด ทิ้งกิจกรรมบิดอะฮมาสู่การปฏิบัติตามอัสสุนนะฮ แต่ เมื่อประสบกับความเดือดร้อน และโดดเดี่ยว สูญเสียผลประโยชน์และตำแหน่งทางสังคมเพราะสังคมส่วนใหญ่ต่อต้าน และประนาม เขาก็ถอดใจ ไม่มีความอดทนต่อการทดสอบที่ประสบกับเขา ในที่สุด ยอมทิ้งหลักการที่ถูกต้อง กลับมาภักดีต่อมนุษย์ เพราะกลัวการลงโทษของมนุษย์ ในโลกนี้ เหมือนกับคนที่ภักดีต่ออัลลอฮ เพราะกลัวการลงโทษของอัลลอฮในวันกิยามะฮ -วัลอิยาซุบิลละฮ


رَبَّنَا لَا تُزِغْ قُلُوبَنَا بَعْدَ إِذْ هَدَيْتَنَا وَهَبْ لَنَا مِن لَّدُنكَ رَحْمَةً ۚ إِنَّكَ أَنتَ الْوَهَّابُ

โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ! โปรดอย่าให้หัวใจของพวกเราเอนเอียงออกจากความจริงเลย หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแนะนำแก่พวกเราแล้ว และโปรดได้ประทานความเอ็นดูเมตตาจากที่พระองค์ให้แก่พวกเราด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย
والله أعلم بالصواب

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อะกีดะฮ มุหัมหมัด บิน อิสหาก อิบนุมันดะฮ(310- 395)




อะกีดะฮ มุหัมหมัด บิน อิสหาก อิบนุมันดะฮ(310- 395)
เกี่ยวกับการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ


อิบนุมันดะฮ กล่าวว่า

ذكر الآي المتلوة والأخبار المأثورة في أن الله عز وجل على العرش فوق خلقه بائنا عنهم وبدء خلق العرش والماء، قال الله عز وجل: {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى} [طه : 5] وقال: {ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ الرَّحْمَن}ُ [الفرقان : 59] وقال: {إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ} [يونس : 3])
...
การระบุบรรดาอายาตที่ถูกอ่านและบรรดาคำบอกเล่าที่ถูกสืบร่องรอยมา ว่าแท้จริง อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยื่ง อยู่บนบัลลังค์(อะรัช) เหนือมัคลูคของพระองค์ โดยแยกจากพวกเขา และทรงริเรื่มสร้าง อะรัชและน้ำ ,อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยื่งอตรัสว่า

الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى 

ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ -ฏอฮา/5


ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ الرَّحْمَنُ فَاسْأَلْ بِهِ خَبِيرًا

แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบังลังก์ พระผู้ทรงกรุณาปรานี ดังนั้นจงถามผู้รู้เกี่ยวกับพระองค์- อัลฟุรกอน/59

إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ

แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ -ยูนูส /3

- ดู كتاب التوحيد ومعرفة أسماء الله وصفاته لابن منده (ج3 ص185 و187)
>>>>>>>>>
ปราชญ์ยุคสะลัฟ ,มุหัมหมัด บิน อิสหาก อิบนุมันดะฮ(310 395)ได้ยืนยันการอยู่เหนืออะรัชของอัลลอฮ โดยอาศัยหลักฐานจากสามอายะฮข้างต้นโดยไม่ตีความ อย่างเช่น คนบางกลุ่มที่ตีความ การอยู่เหนืออะรัชว่า คือการปกครอง การครอบครองโดยไม่แย่งชิง แล้วปรักปรำ กล่าวหา คนที่เชื่อว่า อัลลอฮอยู่บนอะรัช เป็นความเชื่อตามศาสนาฟิรเอานฺ(ฟาโรห์) และพยายามปรักปรำว่า คนเชื่อแบบนี้คือคนที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค(มุชับบะฮะฮ) นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮจริงหรือ




นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮจริงหรือ


ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 121
ผู้เขียน ได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮคือ

ท่านอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า

وَاسْتَدَلَّ بَعْضُ أَصْحِابِنَا فِيْ نَفْيِ الْمَكَانِ عَنْهُ بِقَوْلِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ (أَنْتَ الظَّاهِرُ فَلَيْسَ فَوْقَكَ شَيْءٌ وَأَنْتَ الْبَاطِنُ فَلَيْسَ دُوْنَكَ شَيْءٌ) وَإِذَا لَمْ يَكُنْ فَوْقَهُ شَيْءٌ وَلاَ دُوْنَهُ شَيْءٌ لَمْ يَكُنْ فِيْ مَكَانٍ
“ปราชญ์(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์)บางส่วนแห่งเรา ได้อ้างหลักฐานในการปฏิเสธการมีสถานที่ให้กับอัลเลาะฮ์ ด้วยคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “โอ้อัลเลาะฮ์ พระองค์ทรงปรากฏ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์, และพระองค์ทรงเร้นลับ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์” เมื่อไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์ และไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์ แน่นอนว่าพระองค์ไม่มีสถานที่” อัลอัสมาอฺ วัสซิฟาต หน้า 400
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง

คำว่า "ส่วนหนึ่งจากบรรดาสหายของเรา ที่อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ระบุ แสดงว่า เป็นความเห็นของปาชญ์บางส่วน ในมัซฮับชาฟิอี ส่วนคำว่า "ปราชญ์(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์) ข้อความนี้ ท่านอาจารย์ผู้เขียนวงเล็บใส่เองเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ความหมายจากตัวบทที่เป็นคำพูดอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์แต่อย่างใด
ขอเรียนว่า คำว่า “สถานที่” หากเป็นสิ่งที่เป็นมัคลูค แน่นอนไม่มีใครเชื่อและบอกว่า อัลลอฮอาศัยมัคลูคเป็นสถานที่
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)อธิบายชัดเจนว่า


السلف والأئمة وسائر علماء السنة إذا قالوا " إنه فوق العرش ، وإنه في السماء فوق كل شيء " لا يقولون إن هناك شيئا يحويه ، أو يحصره ، أو يكون محلا له ، أو ظرفا ووعاء ، سبحانه وتعالى عن ذلك ، بل هو فوق كل شيء ، وهو مستغن عن كل شيء ، وكل شيء مفتقر إليه ، وهو عالٍ على كل شيء

สะลัฟ ,บรรดาอิหม่ามและ อุลามาอฺสุนนะฮอื่นๆ เมื่อพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ อยู่เหนืออะรัช และแท้จริงพระองค์ อยู่บนฟ้าเหนือทุกๆสิ่ง แท้จริง ณที่นี้ พวกเขา ไม่ได้กล่าว(ไม่ได้หมายถึง) สิ่งใดๆ บรรจุพระองค์เอาไว้ หรือ จำกัดพระองค์ หรือ มันเป็นสถานที่ของพระองค์ หรือ เป็นภาชนะบรรจุ ,พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์ และสูงส่งจากดังกล่าว แต่ทว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง และ พระองค์ทรงไม่พึงพาอาศัยทุกๆสิ่ง และทุกๆสิ่งพึงพาอาศัยพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่สูงเหนือทุกๆสิ่ง – มัจญมัวะฟาตาวา 16/111-101
คำว่า “สถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮ คือ สถานที่เบื้องสูง เหนือมัคลูค 


ท่านอับดุลเกาะดีร อัลญัยลานีย์ (ฮ.ศ 470-561)นักวิชาการตะเศาวูฟ มัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า


وهو بجهة العلو مستو على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه})

และพระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (” คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน (ฟาฏิร/10) – อัลฆุนยะฮ ลิฏอลิบีย เฏาะรีกิลหัก 1/121
ส่วนคำคำว่า

وَأَنْتَ الظَّاهِرُ فَلَيْسَ فَوْقَكَ شَيْءٌ، وَأَنْتَ الْبَاطِنُ فَلَيْسَ دُونَكَ شَيْءٌ،

ความหพระองค์คือผู้โดดเด่นซึ่งไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าพระองค์ และพระองค์คือผู้ซ่อนเร้นซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากพระองค์
มาดูคำอธิบาย ของปราชญสะลัฟ คือ อิบนุญะรีร ในอายะฮที่ว่า 


هُوَ الْأَوَّلُ وَالْآخِرُ وَالظَّاهِرُ وَالْبَاطِنُ ۖ وَهُوَ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ ( 3 ) 


พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย และทรงเปิดเผยและทรงเร้นลับ และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่านอิหม่ามอิบนุญะรีร อธิบายว่า 


وَقَوْلُهُ : ( وَالظَّاهِرُ ) يَقُولُ : وَهُوَ الظَّاهِرُ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ دُونَهُ ، وَهُوَ الْعَالِي فَوْقَ كُلِّ شَيْءٍ ، فَلَا شَيْءَ أَعْلَى مِنْهُ 


และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และผู้ทรงเปิดเผย) หมายถึง พระองค์คือผู้ทรงเปิดเผย บททุกสิ่งอื่นจากพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่สูงเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใด สูงกว่าพระองค์ – ดูตัฟสีร อัฏฏอบรีย์ 23/170 ซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 3


มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า


فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا،

แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา
_________________

จากรายละเอียดข้างต้น แสดงว่ามีคนบางคนได้พยายามเอาคำพูดของอุลามาอฺ และหะดิษ มาใส่ความเห็นและความเข้าใจของตนเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มลาอิกะฮไม่รู้ว่าอัลลอฮอยู่ใหนจริงหรือ




มลาอิกะฮไม่รู้ว่าอัลลอฮอยู่ใหนจริงหรือ

ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า ๑๖๖-๑๖๗
 ผู้เขียนอ้างว่า
...
รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) กล่าวว่า

أُذِنَ لِىْ أَنْ أُحَدِّثَ عَنْ مَلَكٍ قَدْ مَرَقَتْ رِجْلاَهُ فِى الأَرْضِ السَّابِعَةِ ، وَالْعَرْشُ عَلىَ مَنْكِبِهِ ، وَهُوَ يَقُوْلُ سَبْحَانَكَ أَيْنَ كُنْتَ وَأَيْنَ تَكُوْنُ

"ฉันได้รับอนุญาตให้เล่าจากเรื่องมะลาอิกะฮ์ท่านหนึ่ง ซึ่งทั้งสองเท้าของเขาผ่านเข้ามาในแผ่นดินชั้นที่เจ็ด โดยที่อารัช(บัลลังก์)อยู่บนบ่าของเขา และมะลาอิกะฮ์(ผู้แบกบัลลังก์)ก็กล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงอยู่ใหนและพระองค์กำลังอยู่ใหน
และอาจารย์อารีฟีน แสงวิมานสรุปว่า
ในหะดิษบทนี้ยันยันว่า มลาอิกะฮนั้นได้ยืนยันความบริสุทธิ์ของอัลลอฮจากสถานที่และทิศและไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ใหน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@2
ชี้แจง
การสรุปของเจ้าของหนังสือ ข้างต้นที่บอกว่า มลาอิกะฮนั้นได้ยืนยันความบริสุทธิ์ของอัลลอฮจากสถานที่และทิศและไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ใหน”
เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ดังหลักฐานที่แสดงว่าการอ้างข้างต้นเป็นการอ้างที่เป็นโมฆะดังนี้

หะดิษข้างต้นไม่ได้ปฏิเสธการอยู่ทิศเบื้องสูงของอัลลอฮ และไม่ได้ปฏิเสธว่ามลาอิกะฮ ทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนมากมาย ไม่รู้ว่าอัลลอฮอยูใหน ตามที่ท่านอาจารย์อารีฟีนอ้าง เพราะอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

تَعْرُجُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ
[70.4] มลาอิกะฮ์และอัรรูหฺ (ญิบรีล) จะขึ้นไปหาพระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี (ของโลกดุนยานี้)
………….

ถ้าบรรดามลาอิกะฮไม่รู้ว่าอัลลอฮอยู่ใหน บรรดามลาอิกะฮและญิบรีล ขึ้นไปทำไม อีกทั้งอัลลอฮทรงยืนยันว่า บรรดามลาอิกะฮและญิบรีลขึ้นไปยังพระองค์

อิหม่ามอัลบัฆวีย์ อธิบายว่

( وَالرُّوحُ) يعني جبريل عليه السلام ( إِلَيْهِ) أي إلى الله عز وجل
และอัรรูห์ หมายถึง ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ( ไปยังพระองค์) หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง - ดู ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮ อัลมะอาริจญ อายะฮที่ 70

อิบนุญะรีร (ขออัลอฮเมตตาต่อท่าน)อธิบายว่า

تَصْعَد الْمَلَائِكَة وَالرُّوح , وَهُوَ جِبْرِيل عَلَيْهِ السَّلَام إِلَيْهِ , يَعْنِي إِلَى اللَّه جَلَّ وَعَزَّ ; وَالْهَاء فِي قَوْله { إِلَيْهِ } عَائِدَة عَلَى اسْم اللَّه

มลาอิกะฮและอัรรูหฺ ขึ้นไป และเขาคือ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ยังพระองค์ หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง และ อักษรฮา ในคำตรัสที่ว่า(อิลัยฮิ) กลับไปยังพระนามของอัลลอฮ (หมายถึงเป็นสรรพนามแทนชื่ออัลลอฮ) – ดู – ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4
……………
ข้างต้น ยืนยันชัดเจนว่า บรรดามลาอิกะฮและ ญิบรีลรู้ว่าอัลลอฮ อยู่ใหน เพราะพวกเขาขึ้นไปยังอัลลอฮ……

عن أبي هريرة رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال " يتعاقبون فيكم ملائكة بالليل وملائكة بالنهار ويجتمعون في صلاة الفجر وصلاة العصر،ثم يعرج الذين باتوا فيكم فيسألهم ربهم وهو أعلم بهم كيف تركتم عبادي؟ فيقولون تركناهم وهم يصلون ، وأتيناهم وهم يصلون".

รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า บรรดามลาอิกะฮที่เฝ้าคอยติดตามพวกท่าน ในตอนกลางคืน และมลาอิกะฮที่(เฝ้าคอยติดตามพวกท่าน)ในตอนกลางวัน และพวกเขาจะมาชุมนุมกันในเวลาละหมาดศุบฮิและอัศริ หลังจากนั้น บรรดา(มลาอิกะฮ)ผู้ที่พักแรมในหมู่พวกท่าน ได้ขึ้นไป แล้วพระผู้อภิบาลของพวกเขาได้ทรงถามพวกเขา ทั้งๆที่พระองค์ทรงรู้ยิ่งเกี่ยวกับพวกเขา ว่า " พวกเจ้าได้ทิ้งบ่าวของข้ามา มีสภาพเป็นอย่างไร? แล้วพวกเขา(บรรดามลาอิกะฮ)กล่าวว่า "พวกข้าพระองค์ได้ทิ้งพวกเขามา โดยที่พวกเขากำลังละหมาด? และพวกข้าพระองค์ได้ไปยังพวกเขา โดยที่พวกเขากำลังละหมาด" - รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม
........
العروج الصعود من أسفل إلى أعلى
อัลอุรูจญ์ คือ ขึ้นจากที่ต่ำไปยังที่สูง

จะเห็นได้ว่า บรรดามลาอิกะฮที่ทำหน้าที่เฝ้าติดตามบ่าวของอัลลอฮ พวกเขาขึ้นไปยังเบื้องสูง แล้วเมื่อเขาไม่รู้ว่าอัลลอฮอยู่ที่ใหน ตามที่อัลอัซฮารีอ้าง จึงขอถามว่า"แล้ว พวกเขาขึ้นไปทำไมหรือ ? แน่นอนพวกเขาย่อมรู้ดีว่าพระองค์อยู่ใหน พวกเขาจึงขึ้นไป

สำหรับหะดิษที่เจ้าของหนังสืออ้างคือ

أُذِنَ لِىْ أَنْ أُحَدِّثَ عَنْ مَلَكٍ قَدْ مَرَقَتْ رِجْلاَهُ فِى الأَرْضِ السَّابِعَةِ ، وَالْعَرْشُ عَلىَ مَنْكِبِهِ ، وَهُوَ يَقُوْلُ سَبْحَانَكَ أَيْنَ كُنْتَ وَأَيْنَ تَكُوْنُ

"ฉันได้รับอนุญาตให้เล่าจากเรื่องมะลาอิกะฮ์ท่านหนึ่ง ซึ่งทั้งสองเท้าของเขาผ่านเข้ามาในแผ่นดินชั้นที่ 7 โดยที่อารัช(บัลลังก์)อยู่บนบ่าของเขา และมะลาอิกะฮ์(ผู้แบกบัลลังก์)ก็กล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงอยู่ใหนและพระองค์กำลังอยู่ใหน

-ข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ มีการสับเปลี่ยน ระหว่างคำว่า มะลัก(ملك ) กับคำว่า ดีก (ديك )คือ รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ที่มีสายรายงานเดียวกันกับหะดิษข้างต้น โดยมีสำนวนว่า

إِنَّ الَلّهَ أُذُنٌ لِيَ أَنْ أُحَدِّثَ عَنْ دِيْكٍ رِجْلَاهُ فِيْ الْأَرْضِ وَعُنُقِهِ مَثْنِيَّةً تَحْتَ الْعَرْشِ وَهُوَ يَقُوْلُ سُبْحَانَكَ مَا أَعْظَمَ رَبَّنَا

แท้จริง "ฉันได้รับอนุญาตให้เล่าเกี่ยวกับเรื่องไก่ตัวผู้ ที่สองตีนของมันเขี่ยดิน และคอของมัน โค้งคำนับ อยู่ใต้อะรัช โดยที่มันกล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน พระผู้อภิบาลของเรา ช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก....

ชัยคฺ อบูอิสหาก อัลหุวัยนีย์ กล่าวว่า


" لَعَلَّ بَعْضَ الْرُّوَاةِ أَبْدَلَ لَفْظَةَ " دِيَكْ " بِـ " ملْكُ " أَوْ الْعَكْسِ . وَالْلَّهُ أَعْلَمُ " .
ทางที่บรรดาผู้รายงานบางส่วน เปลี่ยนถ้อยคำ “ดีก” ด้วยคำว่า มะลัก หรือในทางกลับกัน วัลลอฮุอะอลัม – ตัมบีฮุลฮาญิด ๔/๒๘ และดูการวิจารณ์เพิ่มเติมจาก อัลอิลัล ของอิหม่ามอัดดารุลกุฏนีย ๘/๑๕๖ และตะฮซีบ อัตตะฮซีบ ของอิบนุหะญัร ๑/๑๓๑

ส่วนหะดิษที่เศาะเฮียะระบุดังนี้

จากญาบิรฺ บิน อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ท่านได้กล่าวว่า :

أذن لي أن أحدث عن ملك من ملائكة الله من حملة العرش، إن ما بين شحمة أذنه إلى عاتقه مسيرة سبعمائة عام

;ความว่า “ฉันได้รับอนุญาตให้กล่าวถึงมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งจากจำนวนบรรดามลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่แบกและค้ำบัลลังก์ของอัลลอฮฺ แท้จริงมลาอิกะฮฺ(ท่านนี้)ระยะระหว่างติ่งหูจนถึงหัวไหล่ของท่านมี(ความห่างเป็น)ระยะเวลา(การเดินทาง) 700 ปี” (รายงานโดยอบู ดาวูด : 3727, เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ ดูใน เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3953 และรวมหะดีษเศาะฮีหฺของอัล-อัลบานีย์ : 151)
............
ขอยกตัวอย่างอีกสักหนึ่งหลักฐานที่บ่งบอกว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์ผู้เขียนหนังสือโจมตีวะฮบีย์อ้างว่า มลาอิกะฮไม่รู้ว่าอัลลอฮ อยู่ใหนนั้น เป็นการการอ้างที่ไม่ตรงกับความจริง อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเป็นการบิดเบือน อัลลอฮย่อมรู้ยิ่งในเจตนาของคน

ขอยืนยันว่า มลาอิกะฮรู้ว่า อัลลอฮอยู่ที่ใหน (ขอยืนยันสักล้านครั้ง)

เพราะว่า หะดิษเมียะรอจญ ที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ขึ้นไปรับบทบัญญัติละหมาด ๕ เวลาจากอัลลอฮ ซึ่งปราชญ์ยุคสลัฟยืนยันดังนี้คือ
อิหม่ามอิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311)

وَفِي الأَخْبَارِ دَلالَةٌ وَاضِحَةٌ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عُرِجَ بِهِ مِنَ الدُّنْيَا إِلَى السَّمَاءِ السَّابِعَةِ ، وَأَنَّ اللَّهَ تَعَالَى فَرَضَ عَلَيْهِ الصَّلَوَاتِ عَلَى مَا جَاءَ فِي الأَخْبَارِ ، فَتِلْكَ الأَخْبَارُ كُلُّهَا دَالَّةٌ عَلَى أَنَّ الْخَالِقَ الْبَارِئَ فَوْقَ سَبْعِ سَمَاوَاتِهِ

ในบรรดาการบอกเล่า(หมายถึงหะดิษอัลเมียะรอจญ) คือหลักฐาน แสดงว่า แท้จริงนบี ศอ็ลฯ ถูกนำขึ้น จากดุนยา สู่ชั้นฟ้าที่เจ็ด และอัลลอฮ ตาอาลา ได้กำหนดละหมาดห้าเวลา ให้เป็นข้อบังคับ บนสิ่งที่มีมาในบรรดาคำบอกเล่า(หมายถึงหะดิษเมียะรอจญ์) และ บรรดาคำบอกเล่า(หะดิษ) ทั้งหมด แสดงบอกว่า พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ ผู้ทรงให้บังเกิด อยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ - กิตาบุตเตาฮีด หน้า 119
อิบนุคุซัยมะฮ ปราชญยุคสะลัฟ ยืนยันว่า หะดิษเมียะรอจญเป็นหลักฐานว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า

والله أعلم بالصواب

ปล.ยังมีหลักฐานอีกมากมายที่บ่งบอกการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ แต่ที่เสนอมาข้างต้นมันพอเพียงแล้วสำหรับคนที่แสวงหาสัจธรรมด้วยความอิคลาศเพื่ออัลลอฮ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ใครเป็นเจ้าของโลโก้ موجود بلا مكان







ใครเป็นเจ้าของโลกโก้ موجود بلا مكان 




ผู้เป็นเจ้าของวาทกรรม موجود بلا مكان (ทรงมีโดยไม่มีสถานที่) คือ กลุ่มมุอฺตะซิละฮ
อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ (ฮ.ศ 260-328)ปราชญ์สะลัฟที่ถูกอ้างว่าเป็นหัวหน้ามัซฮับอาชาอิเราะฮ กล่าวว่า
اختلف المعتزلة في ذلك، فقال قائلون: البارئ بكل مكان، بمعنى أنه مدبر لكل مكان...والقائلون بهذا القول جمهور المعتزلة أبو هزيل والجعفراني والإسكافي ومحمد بن عبد الوهاب الجبائي. وقال قائلون: البارئ لا في مكان، بل هو على ما لم يزل. وهو قول هشام الفوطي وعباد بن سليمان وأبي زفر وغيرهم من المعتزلة. وقالت المعتزلة في قول الله عزوجل (طه: 5) ]الرحمن على العرش استوى[ يعني استولى
พวกมุอฺตะซิละฮ มีความเห็นขัดแย้งกันในประเด็นดังกล่าว มีผู้กล่าวว่า พระเจ้าผู้สร้าง อยู่ทุกหนทุกแห่ง ความหมายคือ ทรงบริหารทุกหนทุกแห่ง ..และบรรดาผู้ที่กล่าวด้วยทัศนะนี้ คือพวกมุอฺตะซิละฮส่วนใหญ่ ได้แก่ อบูฮุซัยลฺ, อัลญะอฺฟะรอนีย์, อัลอิสกาฟีย์,และมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮฮับอัลญุบาอีย์ และมีผู้กล่าวว่า " พระผู้ทรงสร้าง ไม่อยู่ในสถานที่ แต่ทว่า ทรงดำรงอยู่ตลอดไป และมันคือ ทัศนะของฮิชาม อัลฟุวาฏี,อับบาด บิน สุไลมาน,อบีซุฟัรและอื่นจากพวกเขา จากพวกมุอฺตะซิละฮ และพวกมุอฺตะซิละฮ กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า "พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอิสติวาอ์ อยู่บนอะรัช- ฏอฮา/5 ว่า หมายถึง อำนาจการปกครอง" – ดู - อัลมะกอลาตอิสลามียีน1/236
สรุป
ท่าน อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ กล่าวว่า 
1-"ผู้ที่อ้างว่าอัลลอฮทรงมี โดยไม่อยู่สถานที่คือ มุอตะซิละฮ มีนามว่า "ฮิชามอัลฟุวาฏี,อับบาด บินสุลัยมานและ อบีซูฟัร
2. ผู้ที่ตีความคำว่า "อิสติวาอ" ว่าหมายถึง การปกครอง คือ พวกมุอตะซิละฮ
........
คำว่า อยู่บนฟ้า คืออยู่เบื้องสูง ไม่ใช่อาศัยมัคลูคเป็นสถานที่อย่างที่อาชาอิเราะฮแนวญะฮมียะฮ มโน


والله أعلم بالصواب

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อะกีดะฮอิบนุกะษีร เกี่ยวกับอายาตสิฟาต




ในซูเราะฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ ๕๔

พระองค์ตรัสว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้านั้น คืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผนดินภายในหกวันแล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์
อิบนุกะษีรอธิบายว่า

فَلِلنَّاسِ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَقَالَاتٌ كَثِيرَةٌ جِدًّا ، لَيْسَ هَذَا مَوْضِعَ بَسْطِهَا ، وَإِنَّمَا يُسْلَكُ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَذْهَبُ السَّلَفِ الصَّالِحِ : مَالِكٌ ، وَالْأَوْزَاعِيُّ ، وَالثَّوْرِيُّ ، وَاللَّيْثُ بْنُ سَعْدٍ ، وَالشَّافِعِيُّ ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ ، وَإِسْحَاقُ بْنُ رَاهَوَيْهِ وَغَيْرُهُمْ ، مِنْ أَئِمَّةِ الْمُسْلِمِينَ قَدِيمًا وَحَدِيثًا ، وَهُوَ إِمْرَارُهَا كَمَا جَاءَتْ مِنْ غَيْرِ تَكْيِيفٍ وَلَا تَشْبِيهٍ وَلَا تَعْطِيلٍ . وَالظَّاهِرُ الْمُتَبَادَرُ إِلَى أَذْهَانِ الْمُشَبِّهِينَ مَنْفِيٌّ عَنِ اللَّهِ

สำหรับ มนุษย์นั้น ในประเด็นนี้ มีบรรดาทัศนะมากมายจริงๆ ,ในที่นี้ ไม่ใช่ที่ที่จะต้องอธิบายมันให้กว้างออกไป และในประเด็นนี้ ได้ถูกให้ดำเนินตามมัซฮับของสะละฟุศศอลิหฺ คือท่านมาลิก , ท่านอัลเอาซะอีย์ , ท่านอัษเษารีย์ , ท่านอัลลัยษ์ บิน สะอัด , ท่านอัชชาฟิอีย์ , ท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล , ท่านอิสหาก ร่อฮุวัยฮ์ , และท่านอื่น ๆ จากนักปราชญ์บรรดามสุลิมีนทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งมันคือ การปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่มันได้มีมา โดยไมอธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่เปรียบเทียบ และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต) และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่นำไปสู่ความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันที(คือพวกที่เข้าใจว่าอัลลอฮคล้ายคลึงมัคลูค)นั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์..." ดู ตัฟซีร อิบนุ กะษีร ซูเราะฮ์ อัลอะร๊อฟ อายะฮ์ที่ 54

สรุปคือ
1. ประเด็นความหมายอิสติวาอฺนั้น บรรดานักวิชาการมีความเห็นขัดแย้งกันมากมากมายยิ่งนัก
2.  ในประด็นนี้ ให้ดำเนินตามแนวทางบรรพชนยุคสะลัฟ เช่น ท่านมาลิก , ท่านอัลเอาซะอีย์ , ท่านอัษเษารีย์ , ท่านอัลลัยษ์ บิน สะอัด , ท่านอัชชาฟิอีย์ , ท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล , ท่านอิสหาก ร่อฮุวัยฮ์ , และท่านอื่น ๆ 
3.  แนวทางสะลัฟเกี่ยวกับอายาตสิฟาตคือ การปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่มันได้มีมา โดยไมอธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่เปรียบเทียบ และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต)
4.   ความหมายที่ปรากฏตามตัวบท   ตามการจินตนาการและความเข้าใจของผู้ที่นำอัลลอฮไปเปรียบกับมัคลูค ถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ

 คำว่า

إمرارها كما جاءت
หมายถึง ปล่อยมันให้เป็นไปตามที่ได้มีมา หมายถึงยอมรับตามที่ปรากฏในอัลกุรอ่านโดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต)

ดังที่อัลหาฟิซ อบีบักร อัลเคาะฏิบ (ฮ.ศ.463) กล่าวว่า

إِثباتها وإِجراؤها عَلَى ظاهرها ، ونفي الكيفية عنها

คือ การยืนยันมันและปล่อยมันบนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธ การอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – อะลามุลนุบะลาอ เล่ม 18 หน้า 284
คำว่าปล่อยให้ผ่านไป ไม่ใช่ไมรู้ความหมาย ไม่ใช่ห้ามแปลอย่างที่บางกลุ่มเข้าใจ
คำว่า
والظاهر المتبادر إلى أذهان المشبهين منفي عن الله
และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่เข้ามาอยู่ในความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันทีนั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์

ความหมายคำพูด ข้างต้นคือ
ความหมายตามที่ปรากฏตามตัวบท ที่ทำให้เกิดจินตนาการของผู้ที่เข้าใจว่าทรงคล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น จะถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ
ทั้งนี้ เพราะอัลลอฮได้ปฏิเสธไว้แล้วว่า “ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์” 


والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

กลุ่มวะฮบีย์ในปัจจุบันนำเรื่องสิฟาตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮจริงหรือ






 กลุ่มวะฮบีย์ในปัจจุบันนำเรื่องสิฟาตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮจริงหรือ

แต่ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 39
อาจารย์ผู้เขียน กล่าวถึงกลุ่มที่เขาเรียกวะฮบีย์ว่า
“ปัจจุบันนี้มีการนำเรื่องสิฟัตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนทั่วไปจากกลุ่มวะฮบียะฮไม่ว่าจะตามสถาบันหรือสื่อต่างๆจนเกิดฟิตนะฮ ขึ้นในหัวใจของสามัญชนทั่วไปและอ้างว่าเป็นแนวทางอะฮลิสซุนนะฮวัลญะมาอะฮที่สะละฟุศศอลิยึดอยู่.......” โดย อาจารย์ได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้ว่า
ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานถึงท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ว่า

مَا وَصَفَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى بِنَفْسِهِ فِىْ كِتَابِهِ فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيْرُهُ ، لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُفَسِّرَهُ بِالْعَرَبِيَّةِ وَلاَ بِالْفَارِسِيَّةِ

“สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาด้วยกับพระองค์เองในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอ่าน(ผ่าน)มันก็คือการอธิบายมันแล้ว โดยที่ไม่อนุญาติให้คนใดคนหนึ่ง ทำการอธิบายมันด้วยภาษาอาหรับหรือภาษาเปอร์เซีย” ดู อัลอัศมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 298
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ขอชี้แจงว่า
คำพูดของอิบนุอุยัยนะฮไม่ใช่ห้ามแปลความหมายทางภาษา เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮ แต่หมายถึงการอธิบายรูปแบบสิฟาต ว่าเป็นอย่างไร มาดูหลักฐานต่อไปนี้
ซูฟยาน บิน อุยัยนะฮ(ฮ.ศ 198) กล่าวว่า

كُلُّ شَيْءٍ وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فِي الْقُرْآنِ ، فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيرُهُ ، لا كَيْفَ وَلا مِثْلَ

ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน ไม่มีการถามว่าเป็นอย่างไร และไม่มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
كتاب الصفات للدارقطني (ص70)؛ شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة للالكائي (ج3 ص431)

อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 538) อธิบายคำพูดอิบนุอุยัยนะฮว่

فقراءته تفسيره" أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل

การอ่านของมัน คือการตัฟสีรมัน หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ

العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360

มาดูอิหม่ามอัซซะฮะบีย์อาธิบายครับ

وكما قال سفيان وغيره "قراءتها تفسيرها"، يعني أنها بينة واضحة في اللغة، لا يبتغى بها مضائق التأويل والتحريف. وهذا هو مذهب السلف مع إتفاقهم أيضا أنها لا تُشْبِه صفات البشر بوجه إذ الباري لا مثل له لا في ذاته ولا في صفاته 

และดังที่ ซูฟยานและอื่นจากเขา กล่าวว่า “การอ่านมัน คือ การตัฟสีรมัน หมายถึง แท้จริงมันมีความหมายชัดเจน และแจ่มแจ้งในทางภาษา และไม่สมควร ทำให้ยุ่งยากด้วยการตีความและเปลี่ยนแปลงความหมาย และนี้คือ แนวทางของสะลัฟ พร้อมทั้งการเห็นฟ้องของพวกเขา อีกว่า ไม่คล้ายคลึงกับ บรรดาลักษณะของมนุษย์ จะด้วยทางใดๆ (ก็ตาม) เพราะ พระผู้ทรงสร้าง ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบใดๆสำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับซาตของพระองค์ และ ไม่ว่าเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ก็ตาม –ดู อัลอุลูวีย ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 251

ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า

هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.

หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)

เพราะฉะนั้น คำพูดสะลัฟ ไม่ได้หมายถึงห้ามแปลความหมายในทางภาษา โดยให้อ่านทับศัพท์อย่างที่ท่านเจ้าของหนังสือเข้าใจ และกล่าวหาว่ากลุมวะฮบีย์ แปลความหมายสิฟัตมุตาชาบิฮ ให้คนอาวามฟังจนเกิดฟิตนะฮ ไปการปรักปรำให้ร้าย จึงถามว่า ไม่ทราบว่าสะลัฟคนใดบอกว่า สิฟาตอัลลอฮ เป็นมุตาชาบิฮาต หรือ เป็นสิ่งที่มีความหมายคลุมเครือ อย่างที่อาจารย์อ้าง
والله أعلم بالصواب