วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กลุ่มวะฮบีย์ในปัจจุบันนำเรื่องสิฟาตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮจริงหรือ






 กลุ่มวะฮบีย์ในปัจจุบันนำเรื่องสิฟาตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮจริงหรือ

แต่ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 39
อาจารย์ผู้เขียน กล่าวถึงกลุ่มที่เขาเรียกวะฮบีย์ว่า
“ปัจจุบันนี้มีการนำเรื่องสิฟัตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนทั่วไปจากกลุ่มวะฮบียะฮไม่ว่าจะตามสถาบันหรือสื่อต่างๆจนเกิดฟิตนะฮ ขึ้นในหัวใจของสามัญชนทั่วไปและอ้างว่าเป็นแนวทางอะฮลิสซุนนะฮวัลญะมาอะฮที่สะละฟุศศอลิยึดอยู่.......” โดย อาจารย์ได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้ว่า
ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานถึงท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ว่า

مَا وَصَفَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى بِنَفْسِهِ فِىْ كِتَابِهِ فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيْرُهُ ، لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُفَسِّرَهُ بِالْعَرَبِيَّةِ وَلاَ بِالْفَارِسِيَّةِ

“สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาด้วยกับพระองค์เองในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอ่าน(ผ่าน)มันก็คือการอธิบายมันแล้ว โดยที่ไม่อนุญาติให้คนใดคนหนึ่ง ทำการอธิบายมันด้วยภาษาอาหรับหรือภาษาเปอร์เซีย” ดู อัลอัศมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 298
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ขอชี้แจงว่า
คำพูดของอิบนุอุยัยนะฮไม่ใช่ห้ามแปลความหมายทางภาษา เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮ แต่หมายถึงการอธิบายรูปแบบสิฟาต ว่าเป็นอย่างไร มาดูหลักฐานต่อไปนี้
ซูฟยาน บิน อุยัยนะฮ(ฮ.ศ 198) กล่าวว่า

كُلُّ شَيْءٍ وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فِي الْقُرْآنِ ، فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيرُهُ ، لا كَيْفَ وَلا مِثْلَ

ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน ไม่มีการถามว่าเป็นอย่างไร และไม่มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
كتاب الصفات للدارقطني (ص70)؛ شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة للالكائي (ج3 ص431)

อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 538) อธิบายคำพูดอิบนุอุยัยนะฮว่

فقراءته تفسيره" أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل

การอ่านของมัน คือการตัฟสีรมัน หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ

العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360

มาดูอิหม่ามอัซซะฮะบีย์อาธิบายครับ

وكما قال سفيان وغيره "قراءتها تفسيرها"، يعني أنها بينة واضحة في اللغة، لا يبتغى بها مضائق التأويل والتحريف. وهذا هو مذهب السلف مع إتفاقهم أيضا أنها لا تُشْبِه صفات البشر بوجه إذ الباري لا مثل له لا في ذاته ولا في صفاته 

และดังที่ ซูฟยานและอื่นจากเขา กล่าวว่า “การอ่านมัน คือ การตัฟสีรมัน หมายถึง แท้จริงมันมีความหมายชัดเจน และแจ่มแจ้งในทางภาษา และไม่สมควร ทำให้ยุ่งยากด้วยการตีความและเปลี่ยนแปลงความหมาย และนี้คือ แนวทางของสะลัฟ พร้อมทั้งการเห็นฟ้องของพวกเขา อีกว่า ไม่คล้ายคลึงกับ บรรดาลักษณะของมนุษย์ จะด้วยทางใดๆ (ก็ตาม) เพราะ พระผู้ทรงสร้าง ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบใดๆสำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับซาตของพระองค์ และ ไม่ว่าเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ก็ตาม –ดู อัลอุลูวีย ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 251

ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า

هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.

หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)

เพราะฉะนั้น คำพูดสะลัฟ ไม่ได้หมายถึงห้ามแปลความหมายในทางภาษา โดยให้อ่านทับศัพท์อย่างที่ท่านเจ้าของหนังสือเข้าใจ และกล่าวหาว่ากลุมวะฮบีย์ แปลความหมายสิฟัตมุตาชาบิฮ ให้คนอาวามฟังจนเกิดฟิตนะฮ ไปการปรักปรำให้ร้าย จึงถามว่า ไม่ทราบว่าสะลัฟคนใดบอกว่า สิฟาตอัลลอฮ เป็นมุตาชาบิฮาต หรือ เป็นสิ่งที่มีความหมายคลุมเครือ อย่างที่อาจารย์อ้าง
والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น