วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การซิกริลละฮและเศาะลาวาตระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ

การซิกริลละฮและเศาะลาวาตระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ นั้นเป็นบิดอะฮ
อิบนุลหาจญ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 737)กล่าวว่า
فصل في الذِّكر بعد التسليمتين من صلاة التراويح :
وينبغي له أن يتجنب ما أحدثوه من الذكر بعد كل تسليمتين من صلاة التراويح ، ومن رفع أصواتهم بذلك ، والمشي على صوت واحد ؛ فإن ذلك كله من البدع ، وكذلك ينهى عن قول المؤذن بعد ذكرهم بعد التسلميتين من صلاة التراويح " الصلاة يرحمكم الله " ؛ فإنه محدث أيضاً ، والحدث في الدين ممنوع ، وخير الهدي هدي محمد صلى الله عليه وسلم ، ثم الخلفاء بعده ثم الصحابة رضوان الله عليهم أجمعين ولم يذكر عن أحد من السلف فعل ذلك فيسعنا ما وسعهم
บท เกี่ยวกับเรื่องการซิกรฺ หลังจากสองสะล่าม จากละหมาดตะรอเวียะ
และสมควรแก่เขา(อิหม่ามมัสยิด) จะต้อง ห่างใกล สิ่งที่พวกเขาประดิษบ์มันขึ้นมาใหม่ จากการซิกรฺ หลังจากสองสล่ามจากละหมาดตะรอเวียะ และการกล่าวเสียงดังด้วยดังกล่าว และการดำเนินบนเสียงเดียวกัน(กล่าวพร้อมๆกัน) เพราะแท้จริง ดังกล่าวนั้นทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของบิดอะฮ
และในทำนองเดียวกันนั้น ห้ามไม่ให้ผู้ทำหน้าที่อาซาน กล่าวหลังจากการซิกิร ของพวกเขา หลังจากสองสะล่ามละหมาดตะรอเวียะ ว่า " อัศเศาะลาตุ ยัรหะมุกุมุลลอฮ" เพราะแท้จริง มันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่นกัน และการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ถูกห้าม และทางนำที่ดีคือ ทางนำของมุหัมหมัด ศ็อลฯ หลังจากนั้น บรรดาเคาะลิฟะฮหลังจากท่านนบีมุหัมหมัด หลังจากนั้น บรรดาเศาะหาบะฮ (ร.ฎ) และ การกระทำดังกล่าวนั้น ไม่ได้ถูกระบุจากสะลัฟคนใด ดังนั้น เราเปิดกว้างในสิ่งที่พวกเขา(สะลัฟ)เปิดกว้าง - อัลมัดค็อล 2/293-294
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์(ฮ.ศ 974)กล่าวว่า
وَسُئِلَ) فَسَّحَ اللَّهُ فِي مُدَّتِهِ هَلْ تُسَنُّ الصَّلَاةُ عَلَيْهِ – صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ – بَيْنَ تَسْلِيمَاتِ التَّرَاوِيحِ أَوْ هِيَ بِدْعَةٌ يُنْهَى عَنْهَا؟
(فَأَجَابَ) بِقَوْلِهِ الصَّلَاةُ فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ. لَمْ نَرَ شَيْئًا فِي السُّنَّةِ وَلَا فِي كَلَامِ أَصْحَابِنَا فَهِيَ بِدْعَةٌ يُنْهَى عَنْهَا مَنْ يَأْتِي بِهَا بِقَصْدِ كَوْنِهَا سُنَّةً فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ دُونَ مَنْ يَأْتِي بِهَا لَا بِهَذَا الْقَصْدِ كَأَنْ يَقْصِدَ أَنَّهَا فِي كُلِّ وَقْتٍ سُنَّةٌ مِنْ حَيْثُ الْعُمُومُ بَلْ جَاءَ فِي أَحَادِيثَ مَا يُؤَيِّدُ الْخُصُوصَ إلَّا أَنَّهُ غَيْرُ كَافٍ فِي الدَّلَالَةِ لِذَلِكَ
เขา(ฟัสสะฮัลลอฮุฟีมุดดะติฮิ) ถูกถาม ว่า สุนัตให้กล่าวเศาะลาวาตนบี ศ็อลฯ ระหว่างสองสะล่ามของละหมาดตะรอเวียะ หรือไม่ หรือว่าเป็นบิดอะฮ ที่ถูกห้ามจากมัน? 
(เขาอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ ตอบ) ด้วยการกล่าวของเขาว่า " การเศาะละวาต ในที่นี้ ด้วยการเจาะจงมัน เราไม่เห็นสิ่งใด ในอัสสุนนะฮ และ เราไม่เห็นในคำพูดของ บรรดาสหายของเรา(ปราชญมัซฮับชาฟิอี) เพราะมันคือ บิดอะฮ ที่ถูกห้ามจากมัน แก่ผู้ใดก็ตาม ปฏิบัติ มัน โดยเจตนา ให้มันเป็นสุนัต ในที่นี้ ด้วยการเจาะจงมัน อื่นจาก(ไม่ได้ห้าม)ผู้ที่ปฏิบัติมัน ไม่ใช่ด้วยเจตนานี้ เช่น เจตนาว่ามันคือ สุนัต ที่ถูกระบุไว้กว้างๆ ให้ทำได้ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ได้มีมาในบรรดาหะดิษ สิ่งที่สนับสนุนการเจาะจงนั้น แต่ ไม่พอเพียงในการอ้างเป็นหลักฐานสำหรับดังกล่าว - อัล-ฟะตาวาอัลฟิกฮียะฮ อัลกุบรอ 1/186
............
อิบนุหะญัร ระบุว่า ถ้า ทำการเศาะลาตวาต ระหว่างสองสะล่ามละหมาดตอรอเวียะ โดยเจตนาว่าเป็นสุนัตเป็นการเฉพาะในสถานที่นี้ ถือเป็นบิดอะฮ มีหะดิษแต่ไม่มีน้ำหนักพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

การนาศิหัตระหว่างละหมาดตะรอเวียะ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป


การนาศิหัตระหว่างละหมาดตะรอเวียะ
เราจะพบว่ามีมัสยิดหลายแห่งที่อ้างว่า เป็นมัสยิดชาวสุนนะฮ ที่จัดกิจกรรมอบรมระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ คือ เมื่อจบ 4 รอ็กอัต ก็มีการนะศีหัต ทำกันเป็นประจำคล้ายๆกับว่า เป็นสุนนะฮ ในขณะที่ พอคนอื่นอ่านเศาะลาวาตนบี เมื่อจบ 4 ร็อกอัต ก็ว่าเป็นบิดบิดอะฮ เข้าทำนองว่าแต่เขา แต่อิเหนาเป็นเอง
ชัยค์อัลบานีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
قيام رمضان شُرع فقط لزيادة التقرب إلى الله عز وجل بصلاة القيام , ولذلك فلا نرى نحن أن نجعل صلاة التراويح يخالطها شيء من العلم والتعليم ونحو ذلك , وإنما ينبغي أن تكون صلاة القيام محض العبادة , أما العلم فله زمن , لا يحدد بزمن , وإنما يراعي فيه مصلحة المتعلمين , وهذا هو الأصل وأريد من هذا أن من إتخذ عادة أن يعلم الناس ما بين كل أربع ركعات مثلا في صلاة القيام , إتخذ ذلك عادة , فتلك محدثة مخالفة للسنة
กิยามเราะมะฏอน ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อเพิ่มความใกล้ชิด ต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง ด้วยการละหมาดกิยามเราะมะฎอนเท่านั้น และเพราะเหตุดังกล่าวนั้น เราเองไม่เห็นด้วยที่เราจะนำสิ่งใดๆจากวิชาความรู้ ,การสอนและในทำนองนั้น มาปะปนกับละหมาดตะรอเวียะ และความจริง ควรจะให้การละหมาดกิยามเราะมะฏอนนั้น เป็นอิบาดะฮเพียวๆ(ไม่ปะปนกับสิ่งอื่น) และสำหรับวิชาความรู้นั้น มีเวลาสำหรับมัน มันจะไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาหนึ่งเวลาใด และความจริง ผลประโยชน์ของผู้เรียนจะถูกรักษา ในมัน และนี้คือ หลักเดิม และจากกรณีนี้ ข้าพเจ้าหมายถึง การยึดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ การสอนผู้คนในระหว่าง ทุกๆสี่ร็อกอัต ในละหมาดกิยาม(เราะมะฎอน)เป็นต้น การยึดถือดังกล่าวนั้น เป็นธรรมปฏิบัติ ดังกล่าวนั้นคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ – ดู สิลสิละฮอัลฮุดา วัลนูร หน้า 693
มีคนถามเช็คอุษัยมีน (ร.ฮ)เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า
ما حكم الموعظة بين صلاة التراويح أو في وسطها ويكون هذا دائماً؟
การอบรม ระหว่างละหมาดตะรอเวียะ หรือ ในช่วงกลางของมัน และ มีอย่างนี้ เป็นประจำ มีหุกุมว่าอย่างรไร?
ท่านอิบนุอุษัยมีนตอบว่า
أما الموعظة فلا، لأن هذا ليس من هدي السلف , لكن يعظهم إذا دعت الحاجة أو شاء بعد التراويح، وإذا قصد بهذا التعبد فهو بدعة, وعلامة قصد التعبد أن يداوم عليها كل ليلة
สำหรับการอบรม นั้น ไม่ได้ เพราะนี้ ไม่ได้มาจากทางนำของชาวสะลัฟ แต่ให้อบรมพวกเขา เมื่อมีความจำเป็นหรือมีความประสงค์ หลังจากที่ละหมาดตะรอเวียะเสร็จแล้ว และเมื่อ เจตนา ให้เป็นอิบาดะฮ ด้วยการกระทำนี้ มันคือ บิดอะฮ และ เครื่องหมายที่แสดงว่า เจตนา ให้เป็นอิบาดะฮ คือ การทำเป็นประจำทุกคืน –ลิกออุลบาบอัลมัฟตัวะห์ หน้า 118 
............
สรุปคือ การนะศีหัตระหว่าง ละหมาดตะรอเวียะ ไม่มีแบบอย่างจากสะลัฟ หากเจตนาให้เป็นอิบาดะฮ มันคือบิดอะฮ ทางที่ดี หากจะนะศีหัตบ้างเป็นครั้งคราว ควรจะทำหลังจากละหมาดตารอเวียะ เสร็จแล้ว ไม่ควรจะทำเป็นประจำ จนกลายเป็นอาดะฮ ที่ทำให้คนอาวามเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของอิบาดะฮที่พึงกระทำ 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

แปรงฟันหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยเป็นมักรูฮจริงหรือ




แปรงฟันหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยเป็นมักรูฮจริงหรือ
ส่วนหนึ่งจากความคิดเห็นของอุลามาอฺ ที่คนอาวามเอามาเป็นหุกุม(ข้อชี้ขาด)ในศาสนาคือ อ้างว่า
มักโระฮ์ถูฟันแปรงฟันสำหรับผู้ถือศีลอดหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยแล้ว เพราะมันจะทำให้หายไปซึ่งกลิ่นปาก(ของผู้ถือศีลอด)ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นความคุณงามความดีของผู้ถือศีลอด โดยอ้างหะดิษที่ว่า
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
فَوَالَّذِي نَفْسُ مُحَمَّدٍ بِيَدِهِ لَخِلْفَةُ فَمِ الصَّائِمِ أَطْيَبُ عِنْدَ اللَّهِ مِنْ رِيحِ الْمِسْكِ
"ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ ซึ่งกลิ่นปากของผู้ถือศีลอดนั้นย่อมหอมยิ่ง ณ ที่อัลเลาะฮ์ มากกว่ากลิ่นของชมดเฉียงเสียอีก" รายงานโดยมุสลิม
.........
ความจริงหะดิษข้างต้น ไม่ใช่ให้รักษากลิ่นเหม็นของปาก เพราะเข้าใจว่าเป็นกลิ่นที่อัลลอฮทรงโปรด นี่คือความเข้าใจผิด หะดิษข้างต้น ได้บอกถึงคุณค่าของผู้ที่ถือศีลอด ว่า กลิ่นปากของผู้ที่ถือศีลอดแม้มนุษย์จะรังเกียจแต่อัลลอฮตาอาลาทรงพอพระทัย ไม่ใช่ห้ามแปรงฟัน เพื่อรักษากลิ่มเหม็นเอาไว้
อนึ่ง กลิ่นปากนั้น มาจากกลิ่นของอาหารที่อยู่ในกระเพาะ ไม่ใช่มาจากฟันที่อยู่ในปาก จะแปรงอย่างไรมันก็ไม่หมด กลิ่นมันก็ออกมาอีก
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
« لَوْلاَ أَنْ أَشُقَّ عَلَى أُمَّتِي أَوْ عَلَى النَّاسِ لَأَمَرْتُهُمْ بِالسِّوَاكِ مَعَ كُلِّ صَلاَةٍ » [متفق عليه]
“หากไม่เป็นเพราะฉันจะก่อลำบากกับประชาชาติของฉัน แน่นอนฉันจะใช้ให้พวกเขาแปรงฟันทุกๆ(เวลา)ละหมาด” [บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺและมุสลิม]
.............
หะดิษข้างต้น ส่งเสริมให้แปรงฟันทุกเวลาละหมาด ไม่ได้มีข้อยกเว้น
สัยยิด สาบิก (ร.ฮ) กล่าวว่า
ويستحب للصائم أن يتسوك أثناء الصيام، ولا فرق بين أول النهار وآخره. قال الترمذي: " ولم ير الشافعي بالسواك، أول النهار وآخره بأسا ". وكان النبي صلى الله عليه وسلم يتسوك، وهو صائم
และชอบให้ผู้ถือศีลอด แปรงฟัน ในขณะถือศีลอด และไม่ได้แบ่งแยก ระหว่างช่วงต้นของกลางวัน และช่วงท้ายของมัน อัตติรมิซีย์กล่าวว่า อัชชาฟิอี เห็นว่าไม่เป็นไร การแปรงฟันช่วงต้นของกลางวันและช่วงปลายของมัน และปรากฏว่า นบี ศ็อลฯ นั้นแปรงฟัน โดยที่ท่านกำลังถือศีลอด - ดู- ฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 459
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَبِجَمِيعِ الْأَحَادِيثِ الَّتِي رُوِيَتْ فِي مَعْنَاهُ وَفِي فَضْلِ السِّوَاكِ فَإِنَّهَا بِإِطْلَاقِهَا تَقْتَضِي إِبَاحَةَ السِّوَاكِ فِي كُلِّ وَقْتٍ وَعَلَى كُلِّ حَالٍ وَهُوَ الْأَصَحُّ وَالْأَقْوَى
และทั้งหมดของบรรดาหะดิษ ที่ถูกรายงาน ในความหมายของมันและในคุณค่าของการแปรงฟัน แท้จริงมัน(การแปรงฟัน) ด้วยการกล่าวมันไว้กว้างๆ(ไม่ได้เจาะจง) หมายถึง อนุญาตให้แปรงฟันทุกเวลา และบนทุกสภาพการณ์ และมันคือ ทัศนะที่ถูกต้องและแข็งแรงที่สุด - ตุหฟะตุลอะฮวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 418 (ดูสำเนาที่แนบมา)
..................
เพราะฉะนั้น ตามทัศนะที่ถูกต้องและแข็งแรงที่สุดคือ ผู้ถือศีลอุด อนุญาตให้ แปรงฟันช่วงใหนก็ได้ในตอนกลางวัน ไม่ได้เป็นมักรูฮแต่อย่างใด ไม่ใช่ปล่อยไว้ให้ปากเหม็นไม่ยอมแปรงฟันโดยอ้างว่าอัลลอฮชอบ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อย่าเป็นโต๊ะครูอาหารตามสั่ง





อย่าเป็นโต๊ะครูอาหารตามสั่ง
การเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา และสอนศาสนา แล้วถ้าสอนตามใจลูกศิษย์หรือตามใจคนอาวาม คนอาวามชอบแบบใหนก็ปรุงให้ได้ตามใจคนสั่ง แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนขายอาหารตามสั่ง แบบนี้แล้วศาสนาจะเหลืออะไร
และต้องไม่ลืมว่า เราไม่สามารถทำอะไรให้คนทุกคนพอใจได้หรอก ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว คือ สิ่งที่อัลลอฮตาอาลาและรอซูลของพระองค์ได้บัญญัติไว้
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ مُحَمَّدٍ الْعُثْمَانِيُّ ، قَالَ : سَمِعْتُ أَبَا بَكْرٍ النَّيْسَابُورِيَّ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : قَالَ الشَّافِعِيُّ : " يَا رَبِيعُ ، رِضَى النَّاسِ غَايَةٌ لا تُدْرَكُ ، فَعَلَيْكَ بِمَا يُصْلِحُكَ فَالْزَمْهُ ، فَإِنَّهُ لا سَبِيلَ إِلَى رِضَاهُمْ
คำแปลตัวบท
อัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า โอ้รอเบียะ ความพอใจของมนุษย์นั้น คือเป้าหมายที่ยั่งไม่ถึง ดังนั้น ท่านจงยึด ด้วยสิ่งที่เกิดผลดีแก่ท่าน แล้วจงยึดมัน เพราะแท้จริง ไม่มีหนทางใด ที่จะไปถึงความพอใจของพวกเขาได้ - หิลยะฮอัลเอาลียาอ ของ อบีนุอัยมฺ หะดิษหมายเลข 13745
..........
ความหมายคือ การที่จะทำให้มนุษย์ถูกใจหรือพอใจทั้งหมดนั้นยาก เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เห็นว่ามีประโยชน์ มีผลดี ก็จงยึดสิ่งนั้น เพราะไม่มีทางที่จะให้มนุษย์ทุกคนพอใจ ได้
อัลลอฮตาอาลาได้สอนท่านนบี ศอ็ลฯ ว่า
ثُمَّ جَعَلْنَاكَ عَلَىٰ شَرِيعَةٍ مِّنَ الْأَمْرِ فَاتَّبِعْهَا وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَ الَّذِينَ لَا يَعْلَمُونَ
แล้วเราได้ตั้งเจ้าให้อยู่บนแนวทางหนึ่ง ในเรื่องของศาสนาที่แท้จริง ดังนั้นจงปฏิบัติตามแนวทางนั้น และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้ไม่รู้- อัลญาษียะฮ/18
.............
อัลลอฮตาอาลาสั่งให้ยืดหยัดตามคำสอน อย่าตามอารมณ์ของบรรดาผู้ที่ไม่รู้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/5/61

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วาทกรรมบิดเบือนอะกีดะฮและกล่าวหาวะฮบีย์เป็นมุชับบิฮะฮ


วาทกรรมบิดเบือนอะกีดะฮและกล่าวหาวะฮบีย์เป็นมุชับบิฮะฮ
Matty Ibnufatim Hamady
9 พฤษภาคม เวลา 14:10 น. •
...
พวกมุชับบีฮะห์ วาฮาบียะห์ ยึดโองการ ข้างล่างนี้ ว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่อยู่ด้านบน...
تعرج الملائكة والروح إليه في يوم كان مقداره خمسين ألف سنة
คนเหล่านี้ อ้างคำอธิบายของท่าน อิบนุ ญะรีรเเล้ว ไปเข้าใจเอง โดยอ้างว่า
يقول تعالى ذكره : تصعد الملائكة والروح - وهو جبريل عليه السلام - إليه يعني إلى الله جل وعز ، والهاء في قوله : ( إليه ) عائدة على اسم الله
ความว่า คำว่า اليه คือ ไปยังอัลลอฮ์ คือ บรรดามลาอีกัต เเละญิบรีล ขึ้นไปหาอัลลอฮ์
เเต่วาฮาบีย์ อ้างไม่หมดคำกล่าวของท่าน อิบนุ ญะรีร ว่า คำว่า الى الله หมายถึงอะไร..?
ท่านอธิบายต่อว่า...
يقول : كان مقدار صعودهم ذلك في يوم لغيرهم من الخلق خمسين ألف سنة ، وذلك أنها تصعد من منتهى أمره من أسفل الأرض السابعة إلى منتهى أمره ، من فوق السماوات السبع
คำว่า الى الله คือ الى منتهى امر الله หมายถึง ไปยังที่สิ้นสุดของคำสั่งหรือการงานของอัลลอฮ์ จากบนฟากฟ้าทั้งเจ็ด ..
@@@@@
ชี้แจง
สันดานของทาสแนวคิดญะฮมียะฮ หนีไม่พ้นการกล่าวหาคนที่พวกมันอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ ว่า เป็น พวกมุชับบิฮะฮ เพียงเพราะไม่ใช้ตรรกเน่าๆเหมือนมันตีความอายาตสิฟาต เพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
การยืนยันความหมายตามตัวบทในทางภาษา โดยไม่เปรียบกับมัคลูก ปราชญสะลัฟยืนยันว่า ไม่ใช่การตัชบีฮ (การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค และเครื่องหมายของญะฮมียะฮคือ การกล่าวหาผู้ที่ยึดตามตัวบทว่า “เป็นมุชับบิฮะฮ” –วัลอิยาซุบิลละฮ
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ (ร.ฮ)ปราชญยุคเคาะลัฟ กล่าวว่า
وَكَذَلِكَ قَالَ خَلْقٌ كَثِيرٌ مِنْ أَئِمَّةِ السَّلَفِ : عَلَامَةُ الْجَهْمِيَّةِ تَسْمِيَتُهُمْ أَهْلَ السُّنَّةِ مُشَبِّهَةً ، فَإِنَّهُ مَا مِنْ أَحَدٍ مِنْ نُفَاةِ شَيْءٍ مِنَ الْأَسْمَاءِ وَالصِّفَاتِ إِلَّا يُسَمِّي الْمُثْبِتَ لَهَا مُشَبِّهًا ، ..
และในทำนองดังกล่าวนั้น มนุษย์จำนวนมากจากบรรดาผู้นำยุคสะลัฟ ได้กล่าวว่า "เครื่องหมายของญะฮมียะฮ นั้น พวกเขาจะเรียกชื่อชาวสุนนะฮว่า "มุชับบิฮะฮ(ผู้ที่เปรียบพระเจ้ากับมัคลูค) เพราะแท้จริง ไม่มีคนใด จากผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดๆจากบรรดาพระนามและคุณลักษณะ นอกจาก ผู้ที่ให้การรับรองมันจะถูกเรียกว่า "มุชับบะฮะฮ" - ดู ชัรหอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 86
............
กล่าวคือ เครื่องหมายของพวกญะฮมียะฮ นั้นจะฉายาหรือเรียกอะฮลุสสุนนะฮ ที่ยืนยันหรือรับรองบรรดาพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ โดยไม่ตีความ ว่า พวกมุชับบิฮะฮ
นาย Matty Ibnufatim Hamady ยังโกหกบิดเบื่อน อะกีดะฮอิบนุญะรีรต่อว่า
เเต่วาฮาบีย์ อ้างไม่หมดคำกล่าวของท่าน อิบนุ ญะรีร ว่า คำว่า الى الله หมายถึงอะไร..?
ท่านอธิบายต่อว่า...
يقول : كان مقدار صعودهم ذلك في يوم لغيرهم من الخلق خمسين ألف سنة ، وذلك أنها تصعد من منتهى أمره من أسفل الأرض السابعة إلى منتهى أمره ، من فوق السماوات السبع
คำว่า الى الله คือ الى منتهى امر الله หมายถึง ไปยังที่สิ้นสุดของคำสั่งหรือการงานของอัลลอฮ์ จากบนฟากฟ้าทั้งเจ็ด ..
.........
ขอตอบว่า
1.อิหม่ามอิบนุญะรีร ยืนยันว่า มลาอิกะฮขึ้นไปยังอัลลอฮ ชัดเจนคือ
تَصْعَد الْمَلَائِكَة وَالرُّوح , وَهُوَ جِبْرِيل عَلَيْهِ السَّلَام إِلَيْهِ , يَعْنِي إِلَى اللَّه جَلَّ وَعَزَّ ; وَالْهَاء فِي قَوْله { إِلَيْهِ } عَائِدَة عَلَى اسْم اللَّه
มลาอิกะฮและอัรรูหฺ ขึ้นไป และเขาคือ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ยังพระองค์ หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง และ อักษรฮา ในคำตรัสที่ว่า(อิลัยฮิ) กลับไปยังพระนามของอัลลอฮ (หมายถึงเป็นสรรพนามแทนชื่ออัลลอฮ) – ดู – ตัฟสีรอัฏเฎาะบะรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4
2. คำอธิบายต่อมาที่ว่า
( فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ ) يَقُولُ : كَانَ مِقْدَارُ صُعُودِهِمْ ذَلِكَ فِي يَوْمٍ لِغَيْرِهِمْ مِنَ الْخَلْقِ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ ، وَذَلِكَ أَنَّهَا تَصْعَدُ مِنْ مُنْتَهَى أَمْرِهِ مِنْ أَسْفَلِ الْأَرْضِ السَّابِعَةِ إِلَى مُنْتَهَى أَمْرِهِ ، مِنْ فَوْقِ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ .
(ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี ) กล่าวคือ ระยะของการขึ้นของพวกเขา ดังกล่าวนั้น ในวันหนึ่ง สำหรับผู้อื่นจากพวกเขาจากมัคลูค เท่ากับ ห้าหมื่นปี และดังกล่าวนั้น แท้จริงพวกเขา(มลาอิกะฮและญิบรีล)ขึ้นจากปลายสุดของกิจการงานของพระองค์ จากที่ต่ำสุดของ แผ่นดินชั้นที่เจ็ด จนถึงปลายสุดของกิจการงานของพระองค์ จากเบื้องบนบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด
.........
จุดหมายปลายทางแห่งกิจการของอัลลอฮ อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด เป็นสิ่งที่แสดงชัดเจนว่าอัลลอฮอยู่เบื้องสูง แล้วมลาอิกะฮขึ้นไปหาพระองค์ มาดูหลักฐานสนับสนุนยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ที่มลาอิกะฮ ,การงานที่ดีและกิจการต่างๆ ขึ้นไปยังพระองค์ เช่น
ท่านอิหม่ามบุคอรีได้กล่าวว่า
عن سعيد بن يسار عن أبي هريرة عن النبي صلى الله عليه وسلم ولا يصعد إلى الله إلا الطيب
รายงานจากสะอีด บิน ยะสาร จากอบีฮุรัยเราะฮ จากนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมว่า “ จะไม่ถูกนำขึ้นไปยังอัลลอฮ นอกจาก สิ่งที่ดีเท่านั้น – ดูเศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 4 หะดิษหมายเลข 7430
وَقَالَ مُجَاهِدٌ الْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُ الْكَلِمَ الطَّيِّبَ يُقَالُ ذِي الْمَعَارِجِ الْمَلَائِكَةُ تَعْرُجُ إِلَى اللَّهِ
และมุญาฮิด ได้กล่าวว่า การงานที่ดี ยกบรรดาคำพูดที่ดี พระองค์ถูกเรียกว่า ซิลมะอาริจญ(ผู้เป็นเจ้าของแห่งทางขึ้นสู่เบื้องสูง) คือ มลาอิกะฮขึ้นไปยังอัลลอฮ - ดู
เศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 4 หน้า 389
และอายะฮอีกอายะฮหนึ่งจากหลายๆอายะฮ ที่แสดงถึงการอยู่เบื้องของอัลลอฮคือ
يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ أَلْفَ سَنَةٍ مِّمَّا تَعُدُّونَ
พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตามที่พวกเจ้านับ –อัสสัจญดะฮ /5
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) ได้กล่าวทัศนะต่างๆ ที่อธิบายอายะฮข้างต้น แล้วท่านได้สรุปว่า
وَأَوْلَى الْأَقْوَالِ فِي ذَلِكَ عِنْدِي بِالصَّوَابِ قَوْلُ مَنْ قَالَ : مَعْنَاهُ : يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُ ذَلِكَ الْيَوْمِ فِي عُرُوجِ ذَلِكَ الْأَمْرِ إِلَيْهِ
และทัศนะที่ถูกต้องที่สุดของบรรดาทัศนะ ต่างๆในทัศนะข้าพเจ้า ในเรื่องดังกล่าวคือ ทัศนะของผู้ที่ กล่าวว่า “ความหมายของมัน คือ พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้น มันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของวันดังกล่าวนั้น ในการขึ้นของกิจการดังกล่าวนั้น ไปยังพระองค์ – ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ อธิบายอายะฮ ที่ 5 ซูเราะฮอัสสัจญดะฮ
...........
อิหม่ามอิบนุญะรีร (ร.ฮ)ไม่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านได้อธิบายยืนยันว่า มลาอิกะฮและญิบรีล ขึ้นไปยังอัลลอฮ ในการอรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4 และในอายะฮ ที่ 5 ซูเราะฮอัสสัจญดะฮ ท่านอิบนุญะรีร ยืนยันว่า กิจการนั้น ขึ้นไปยังอัลลอฮ คำว่า ขึ้นไป แสดงถึง เป้าหมายอยู่เบื้องสูง คนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นไม่เข้าใจ
หยุดโกหกบิดเบือนใส่ร้ายคนที่ถูกฉายาให้เป็นวะฮบีย์ได้แล้วครับ คุณ Matty Ibnufatim Hamady
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/5/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ