วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปราชญ์มุจญตะฮิดไม่ผิดพลาดจริงหรือ




ปราชญ์มุจญตะฮิดไม่ผิดพลาดจริงหรือ
ก่อนที่จะผูกขาดกับมัซฮับหนึ่งมัซฮับใด หรือปราชญคนหนึ่งคนใดเป็นเฉพาะ ต้องถามตัวเองว่า "มุจญะฮตะฮิดมะอฺศูมใหม มุจญตะฮิดมีผิดพลาดใหน ถ้ายังไม่มีคำตอบ โปรดอ่านและศึกษาหะดิษต่อไปนี้
6919 حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ يَزِيدَ الْمُقْرِئُ الْمَكِّيُّ حَدَّثَنَا حَيْوَةُ بْنُ شُرَيْحٍ حَدَّثَنِي يَزِيدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْهَادِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ إِبْرَاهِيمَ بْنِ الْحَارِثِ عَنْ بُسْرِ بْنِ سَعِيدٍ عَنْ أَبِي قَيْسٍ مَوْلَى عَمْرِو بْنِ الْعَاصِ عَنْ عَمْرِو بْنِ الْعَاصِ أَنَّهُ سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ إِذَا حَكَمَ الْحَاكِمُ فَاجْتَهَدَ ثُمَّ أَصَابَ فَلَهُ أَجْرَانِ وَإِذَا حَكَمَ فَاجْتَهَدَ ثُمَّ أَخْطَأَ فَلَهُ أَجْرٌ
คำแปลตัวบท
จากอัมริน บิน อัลอาศ ว่าแท้จริงเขาได้ยินรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า "เมื่อผู้พิพากษาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วเขาได้(ตัดสิน)ถูกต้อง เขาก็จะได้รับการตอบแทนผลบุญสองเท่า และเมื่อเขาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วผิดพลาด เขาก็ได้รับการตอบแทนผลบุญหนึ่งเท่า - รายงานโดย อัลบุคอรี บทที่ 97 กิตาบุลเอียะติศอม
อัศศอนอานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وهذا الحديث صريح فى دلالته على أن المجتهد يكون مصيباً إذا أصاب حكم الله تعالى ،وحينئذ يكون له أجران : أجر الاجتهاد ،وأجر إصابة الحق ، ويكون المجتهد مخطئاً إذا لم يصب حكم الله تعالى ،وحينئذ يكون له أجر واحد ، وهو أجر الاجتهاد
และหะดิษนี้ ชัดจน ในการที่มัน(เป็นหลักฐาน)บ่งบอกว่า แท้จริง มุจญตะฮิด(ผู้ทำการวินิจฉัย)นั้น เขาเป็นผู้ที่ถูกต้อง เมื่อเขา(เขาทำการวินิจฉัย)ถูกต้องตรงกับหุกุมของอัลลอฮ ตะอาลา และในขณะนั้น เขาได้รับผลตอบแทน(ผลบุญ)สองเท่า คือ ผลตอบแทนของการอิจญติฮาดและผลตอบแทนของการที่ถูกต้องตรงกับความจริง 
และ(หะดิษนี้แสดงบอกว่า) มุจญตะฮิดนั้น เป็นผู้ที่ผิดพลาด เมื่อ(การวินิจฉัยของเขา)ไม่ถูกต้องตรงตามหุกุมของอัลลอฮตะอาลา และในขณะนั้น เขาได้รับผลตอบแทนหนึ่งเท่า คือ ผลตอบแทนของการอิจญติฮาด - ดูสุบุลุสสลาม เล่ม 4 หน้า 118 
............
ผู้รู้หรือ อุลามาอฺที่อยู่ในระดับมุจญตะฮิดนั้น ย่อมมีความผิดพลาดในการวินิจฉัย(อิจญติฮาด)ในเรื่องต่างๆ กล่าวคือ อุลามาอฺมุจญตะฮิดนั้น บางครั้งการวินิจฉัย หรือ การอิจญะติฮาดของเขา ถูกต้อง แต่บางครั้งอาจจะมีการผิดพลาดได้ เหมือนกัน เพราะเหตุนี้บรรดาอิหม่ามมุจญะตะฮิดทั้งสี่ได้เตือนให้ระวังเรื่องการตักลิด(การเชื่อตาม)พวกเขา ดังเช่นอิหม่ามชาฟิอีก็ได้กล่าวว่า
ما قلتُ وكان النبي (صلى الله عليه وآله) قد قال بخلاف قولي، فما صحّ من حديث النبي أولى ولا تقلدوني
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดไปและปรากฏว่า ท่านนบี ศอลฯได้กล่าวไว้ ขัดแย้งกับคำพูดของข้าพเจ้า ดังนั้นสิ่งที่เศาะเฮียะจากหะดิษของท่านนบีย่อมดีกว่า และอย่าได้(ตักลิด)เชื่อตามข้าพเจ้า - ดูอาดาบุชชาฟิอีย์ ของอัรรอซีย์ หน้า 93
..............
ตัวอย่างการวินิจฉัยที่แปลกไปแหวกแนวไปจากคนอื่น
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَأَجْمَعَتْ الأُمَّة عَلَى تَحْرِيم الصَّلاة بِغَيْرِ طَهَارَة مِنْ مَاء أَوْ تُرَاب، وَلا فَرْق بَيْن الصَّلاة الْمَفْرُوضَة وَالنَّافِلَة وَسُجُود التِّلاوَة وَالشُّكْر وَصَلاة الْجِنَازَة، إِلا مَا حُكِيَ عَنْ الشَّعْبِيّ وَمُحَمَّد بْن جَرِير الطَّبَرِيِّ مِنْ قَوْلهمَا: تَجُوز صَلاة الْجِنَازَة بِغَيْرِ طَهَارَة، وَهَذَا مَذْهَب بَاطِل وَأَجْمَع الْعُلَمَاء عَلَى خِلافه
บรรดาอุมมะฮ มีมติเอกฉันท์ ว่า ห้ามละหมาดโดยปราศจาก การทำความสะอาด(หมายถึงวุฎุอฺหรือตะยัมมุม) ด้วยน้ำ หรือด้วยดิน และไม่มีความแตกต่างระหว่างละหมาดฟัรดูและละหมาดสุนัต ,การสุญูดติลาวะฮ,สุญูดชุกูร และละหมาดญะนาซะฮ นอกจาก สิ่งที่รายงานจากอัชชุอบีย์ และมุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ จากคำพูดของเขาทั้งสองที่ว่า "อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮได้ โดยปราศจากการทำความสะอาด และนี้คือทัศนะที่เป็นโมฆะ และบรรดาอุลามาอฺ มีมติ ขัดแย้งกับมัน - ชัรหุมุสลิม 3/103
خْبَرَنَا أَخْبَرَنَا أَبُو عَبْدِ اللَّهِ الْحَافِظُ ، ثنا أَبُو زَكَرِيَّا يَحْيَى بْنُ مُحَمَّدٍ الْعَنْبَرِيُّ ، ثنا مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ السَّلامِ بْنِ بَشَّارٍ ، ثنا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى ، أنبا حَمَّادُ بْنُ زَيْدٍ ، عَنِ الْمُثَنَّى بْنِ سَعِيدٍ ، رَدَّهُ إِلَى أَبِي الْعَالِيةِ ، قَالَ : قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : " وَيْلٌ لِلأَتْبَاعِ مِنْ عَثَرَاتِ الْعَالِمِ " ، قِيلَ : وَكَيْفَ ذَلِكَ يَا ابْنَ عَبَّاسٍ ؟ قَالَ : " يَقُولُ الْعَالِمُ مِنْ قَبْلِ رَأْيِهِ ، ثُمَّ يَسْمَعُ الْحَدِيثَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَيَدَعُ مَا كَانَ عَلَيْهِ
คำแปลตัวบท
อิบนุอับบาสกล่าวว่า " ความวิบัติ จะประสบแก่ ผู้ที่ตามความผิดพลาดของผู้รู้ มีผู้กล่าวแก่อิบนุอับบาสว่า ทำไมจึงเป็นเช่นดังกล่าวนั้นโอ้อิบนุอับบาส ? เขากล่าวว่า "ผู้รู้กล่าว ที่มาจากความเห็นของเขา ต่อมาเขาได้ยินหะดิษ จากนบี ศอ็ลฯ แล้วเขาก็ได้ละทิ้ง สิ่ง(ทัศนะ)ที่เขาเคยอยู่บนมัน - อัลมัดคอ็ล อิลาสุนันอัลกุบรอลิลอัลบัยฮะกีย หะดิษหมายเลข 677 เรื่อง بَابُ مَا يُخْشَى مِنْ زَلَّةِ الْعَالِمِ فِي الْعِلْمِ
ความหมายคือ ตามทัศนะที่ผิดปราชญ์ของผู้รู้ ต่อมาผู้รู้พบหะดิษเขาก็ปฏิบัติตามหะดิษ แต่คนที่ตามยังคงตามในสิ่งที่ผิดพลาดอยู่
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/6/59

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การจ่ายเงินตราแทนในเรื่องซะกาตในมุมมองของอิบนุตัยมียะฮ




การจ่ายเงินตราแทนในเรื่องซะกาตในมุมมองของอิบนุตัยมียะฮ
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَمَّا إخْرَاجُ الْقِيمَةِ فِي الزَّكَاةِ وَالْكَفَّارَةِ وَنَحْوِ ذَلِكَ . فَالْمَعْرُوفُ مِنْ مَذْهَبِ مَالِكٌ وَالشَّافِعِيِّ أَنَّهُ لَا يَجُوزُ وَعِنْدَ أَبِي حَنِيفَةَ يَجُوزُ وَأَحْمَد - رَحِمَهُ اللَّهُ - قَدْ مَنَعَ الْقِيمَةَ فِي مَوَاضِعَ وَجَوَّزَهَا فِي مَوَاضِعَ فَمِنْ أَصْحَابِهِ مَنْ أَقَرَّ النَّصَّ وَمِنْهُمْ مَنْ جَعَلَهَا عَلَى رِوَايَتَيْنِ .
وَالْأَظْهَرُ فِي هَذَا : أَنَّ إخْرَاجَ الْقِيمَةِ لِغَيْرِ حَاجَةٍ وَلَا مَصْلَحَةٍ رَاجِحَةٍ مَمْنُوعٌ مِنْهُ
สำหรับการจ่ายราคา (ใช้เงินแทน)ในการจ่ายซะกาตและกัฟฟาเราะฮ(ค่าชดเชยความผิด)และในทำนองดังกล่าวนั้น เป็นที่รู้กัน จากมัซฮับมาลิก ,ชาฟิอี ว่าไม่อนุญาต และในทัศนะอบูหะนีฟะฮนั้นอนุญาต และ(ทัศนะ)อิหม่ามอะหมัดนั้น ได้ห้ามจ่ายราคา ในหลายแห่งและได้อนุญาตมันในหลายแห่ง และส่วนหนึ่งจากบรรดาศานุศิษย์ของเขา คือ ผู้ที่ยอมรับตามตัวบท และส่วนหนึ่งจากพวกเขา คือผู้ที่ให้มัน เป็นไปตามสองรายงาน(ของอิหม่ามอะหมัด) และที่ชัดเจนที่สุดในประเด็นนี้คือ การจ่ายราคา(เงินแทนตัวซะกาต)โดยไม่มีความจำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ที่มีน้ำหนัก นั้นคือสิ่งที่ถูกห้ามจากมัน -มัจญมัวะอัลฟะตาว่า 25/82
สรุป
ในทัศนะอิบนุตัยมียะฮนั้น อนุญาตให้จ่ายเงินแทนในกรณีที่มีความจำเป็นและเกิดประโยชน์แก่คนจน มากกว่า หากไม่เช่นนั้นก็เป็นสิ่งต้องห้าม
และอิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า
وَأَمَّا إخْرَاجُ الْقِيمَةِ لِلْحَاجَةِ أَوْ الْمَصْلَحَةِ أَوْ الْعَدْلِ فَلَا بَأْسَ بِهِ
และสำหรับการจ่ายราคา(แทนสิ่งของที่เป็นตัวซะกาต) เพราะความจำเป็นหรือมีประโยชน์ หรือเพื่อความเป็นธรรม ก็ไม่เป็นไร
โดยอิบนุตัยมียะฮได้อ้างหลักฐานว่า
كَمَا نُقِلَ عَنْ مُعَاذُ بْنُ جَبَلٍ أَنَّهُ كَانَ يَقُولُ لِأَهْلِ الْيَمَنِ : " ائْتُونِي بِخَمِيصِ أَوْ لَبِيسٍ أَسْهَلُ عَلَيْكُمْ وَخَيْرٌ لِمَنْ فِي الْمَدِينَةِ مِنْ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ " .
ดังสิ่งที่ได้ถูกรายงานจาก มุอาซ บิน ญะบัล เมื่อเขากล่าวแก่ชาวเยเมน ว่า "จงเอา เสื้อ หรือเสื้อผ้า มาให้ฉัน (แทน) มันสะดวกแก่พวกท่าน และเขาได้ให้ทางเลือกแก่ผู้ที่อยู่ในมะดีนะฮ จากบรรดาชาวมุฮาญิรีนและอันศอร - ดูมัจญมัวฟะตาวา 25/82-83
ในกรณีอะษัร (หะดิษ)มุอาซ นั้น ชัยค์อัลบานีย์ อธิบายว่า
ثم لو صح هذا الأثر لم يدل على قول أبي حنيفة أنه لا فرق بين القيمة والعين بل يدل لقول من يجوز إخراج القيمة مراعاة لمصلحة الفقراء والتيسير على الأغنياء وهو اختيار ابن تيمية
หลังจากนั้น หาก อะษัรนี้เศาะเฮียะ ก็ไม่ได้แสดงบอกว่า คำพูดของอบูหะนีฟะฮ ว่า ไม่มีการแบ่งแยกร่างหว่างราคา และตัวสิ่งของ (ที่เป็นตัวซะกาต) แต่ทว่า (คำพูดของอบูหะนีฟะฮนั้น) แสดงบอก ว่า ทัศนะของผู้ที่อนุญาตให้จ่ายราคา(แทน)นั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบรรดาคนยากจน และเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่บรรดาคนร่ำรวย และมันคือ ทัศนะที่เป็นทางเลือกของอิบนุตัยมียะฮ -ตะมามุนมินนะฮ 1/319
.............
ข้างต้นคือ การจ่ายเงินตราแทนตัวของสิ่งที่เป็นซะกาต ในมุมมองของ ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ โดยมีเหตุผลคือ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบรรดาคนยากจน และเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่บรรดาคนร่ำรวย หากไม่จำเป็น ก็เป็นสิ่งต้องห้าม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/6/59

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การตามอุลามาอฺตามอย่างไร






การตามอุลามาอฺตามอย่างไร

จะพบเห็นและได้ยินบ่อย วาทกรรมที่ว่า " คนนั้นคนนี้ไม่ตามอุลามาอฺ " เราตามอุลามาอฺ ใครไม่ตามอุลามาอฺจะหลงทาง" จึงกลายเป็นวาทกรรมที่สร้างความสับสนให้คนอาวามว่า ตกลงจะให้ตามผู้รู้ หรือจะให้ตามอัลลอฮและ รอซูลกันแน่
การตะอัศศุบและคลั่งใคล้ในตัวผู้รู้ จนเลยเถิด จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่า "การตาม"ในเรื่องศาสนา คือการตามอย่างใร การตามอุลามาอฺหรือผู้รู้นั้นตามอย่างไร เมื่อแยกไม่ออก ก็จะนั่งมโนมองคนอื่นที่ไม่เข้าใจเหมือนตนว่า "ไม่ตามอุลามาอ" อยู่ร่ำไป
อบูดาวูด (ร.ฮ) ได้กล่าวถึงความหมายการตามในทัศนะอิหม่ามอะหมัดว่า
سَمِعْتُ أَحْمَدَ ، يَقُولُ : " الِاتِّبَاعُ : أَنْ يَتَّبِعَ الرَّجُلُ مَا جَاءَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَعَنْ أَصْحَابِهِ ، ثُمَّ هُوَ مِنْ بَعْدُ فِي التَّابِعِينَ مُخَيَّرٌ
ข้าพเจ้าได้ยินเขา(อะหมัด)กล่าวว่า "อัลอิตติบาอฺ(การตาม) คือ การที่คนนั้น เขาได้ตามสิ่งที่มาจากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และจากบรรดาสาวกของท่าน หลังจากนั้น คือ ผู้ที่อยู่สมัยหลังจากนั้น ในบรรดาตาบิอีนนั้น ให้มีทางเลือก (ในการตาม) - ดู มะสาอีลอะหมัด ของอบีดาวูดอัสสิญิสตานีย์ กิตาบุลญะนาอิซ เรื่อง บาบุฟีรเราะยิ และตัฟสีรอัฎวาอุลบะยาน 7/ 352
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَقَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ بْنُ خُوَيْزٍ مِنْدَادٌ الْبَصْرِيُّ الْمَالِكِيُّ : " التَّقْلِيدُ مَعْنَاهُ فِي الشَّرْعِ الرُّجُوعُ إِلَى قَوْلٍ لا حُجَّةَ لِقَائِلِهِ عَلَيْهِ ، وَهَذَا مَمْنُوعٌ مِنْهُ فِي الشَّرِيعَةِ ، وَالاتِّبَاعُ مَا ثَبَتَ عَلَيْهِ حُجَّةٌ
และอบูอับดุลลอฮ บุตร คุวัยซฺ มันดาด อัลบะเศาะรี อัล-มาลิกีย์ กล่าวว่า " การตักลีด ความหมายในทางศาสนาคือ การกลับไปหาคำพูดใดๆ ที่ไม่หลักฐานสำหรับผู้ที่กล่าวคำพูดนั้น และดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งถูกห้ามในศาสนาบัญญัติ และคำว่า"อิตบาอฺคือ (การตาม)สิ่งที่ปรากฏหลักฐานยืนยัน - ญามิอุบะยานิลอิลมิวะฟัฎลิฮ 2/993
.........................
สรุปคือ
1. ตักลิดคือ ตามคำพูดคนอื่นที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน นี่คือสิ่งต้องห้าม
2. อัลอิตบาอฺ คือ ตามสิ่งที่มีหลักฐานยืนยืน
สำหรับอายะฮต่อไปนี้ที่มักจะมีผู้อ้างว่าเป็นหลักฐานให้สังกัดมัซฮับอุลามาอฺ และให้ตามอุลามาอฺ คืออายะฮที่ว่า
فَاسْأَلُوا أَهْلَ الذِّكْرِ إِن كُنتُمْ لَا تَعْلَمُونَ
" ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้" (อันนะหฺลู / ๔๓)
อายะฮข้างต้น ไม่ได้สอนให้ตักลิดมัซฮับ หรือ ตามอุลามาอฺ โดยปราศจากหลักฐาน แต่เป็นการสอนให้ถามข้อเท็จจริง หรือหลักฐานจากอุลามาอฺ หรือบรรดาผู้รู้
อิหม่ามเชากานีย์(ร.ฮ) อธิบายว่า
وَقَدِ اسْتُدِلَّ بِالْآيَةِ عَلَى أَنَّ التَّقْلِيدَ جَائِزٌ وَهُوَ خَطَأٌ ، وَلَوْ سَلِمَ لَكَانَ الْمَعْنَى سُؤَالَهُمْ عَنِ النُّصُوصِ مِنَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ ، لَا عَنِ الرَّأْيِ الْبَحْتِ ، وَلَيْسَ التَّقْلِيدُ إِلَّا قَبُولَ قَوْلِ الْغَيْرِ دُونَ حُجَّتِهِ . ِ .
แท้จริง ด้วยอายะฮนี้ ได้ถูกอ้างเป็นหลักฐาน ว่า การตักลิดนั้น คือ เป็นการอนุญาต และมันคือ ความผิดพลาด และถ้าจะให้มันปลอดภัย ความหมายก็คือ ถามพวกเขา(หมายถึงผู้รู้) เกี่ยวกับหลักฐาน จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ใช่ถาม เกี่ยวกับความเห็น ล้วนๆ และการตักลิด ไม่ใช่อื่นใด นอกจากการรับเอาคำพูดผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐานของมัน ดูตัฟสีร ฟัตหุลเกาะดีร เล่ม 5 หน้า 929
.......
เพราะฉะนั้น อายะฮข้างต้น สอนให้ถามข้อเท็จจริงและหลักฐานจากผู้รู้ (อุลามาอ) ไม่ใช่ถามความเห็นผู้รู้ แล้วตามอย่างหูหนวกตาบอด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/6259

รักอัลลอฮ แล้วจะตามใคร





รักอัลลอฮ แล้วจะตามใคร
การบอกว่า "รักอัลลอฮ" แค่ปลายลิ้น มันเป็นสิ่งที่ง่าย ใครๆก็พูดได้ เพราะปากไม่มีหูรูด พูดจริงบ้าง พุดเท็จบ้าง พูดไม่ตรงกับใจบ้าง แล้วแต่จะพูด ปากจึงเป็นอวัยวะ ที่ตลบตะแลงได้ตลอดเวลา ในวันกิยามะฮเมื่อถูกสอบสวน ปากก็จะถุกผนึกไว้ ดังอัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
الْيَوْمَ نَخْتِمُ عَلَىٰ أَفْوَاهِهِمْ وَتُكَلِّمُنَا أَيْدِيهِمْ وَتَشْهَدُ أَرْجُلُهُم بِمَا كَانُوا يَكْسِبُونَ
วันนี้เราจะปิดผนึกปากของพวกเขาและมือของพวกเขาจะพูดแก่เรา และเท้าของพวกเขาจะเป็นพยานตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้- ยาสีน/65
รักอัลลอฮต้องตามสุนนะฮนบี
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ
จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร.ฮ)อธิบายว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการศาสนาของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
عَنِ ابْنِ جُرَيْجٍ قَوْلَهُ : " إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ ، قَالَ : كَانَ قَوْمٌ يَزْعُمُونَ أَنَّهُمْ يُحِبُّونَ اللَّهَ ، يَقُولُونَ : إِنَّا نَحْبُ رَبَّنَا ! فَأَمَرَهُمُ اللَّهُ أَنْ يَتْبَعُوا مُحَمَّدًا - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَجَعَلَ اتِّبَاعَ مُحَمَّدٍ عَلَمًا لِحُبِّهِ .
จากอิบนุญุรัยญฺ เกี่ยวกับคำตรัสที่ว่า “จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่าน” เขาได้กล่าวว่า “ คนกลุ่มหนึ่ง เข้าใจว่า พวกเขารักอัลลอฮ โดยกล่าวว่า “พวกเรารักพระเจ้าของเรา” ดังนั้นอัลลอฮจึงสั่งให้พวกเขาปฏิบัติตามมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และให้การปฏิบัติตามมุหัมหมัด เป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า รักพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 6 หน้า 322
...............
จากอัลกุรอ่านและคำอธิบายข้างต้นสรุปว่า
1.รักอัลลอฮ ต้องตามสุนนะฮนบี
2.ปากบอกว่ารักอัลลอฮ แต่ไม่ตามสุนนะฮ คือ การอ้างเท็จ
3. การประกอบศาสนากิจที่ไม่มีคำสอนในศาสนา อัลลอฮจะไม่ตอบรับ
4.การปฏิบัติตามนบี คือสิ่งที่พิสูจน์ว่ารักอัลลอฮจริง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/6/59

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วาทกรรม"นบีห้ามไหม?"





วาทกรรม"นบีห้ามไหม?
เมื่อใครสักคนทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮ พอมีคนมาถามว่า มีแบบอย่างจากท่านนบี ศอ็ลฯ ไหม ?ก็จะถูกย้อนศรว่า แล้วที่พวกฉันทำนบีห้ามไหม ?
จึงถามว่า ลืมไปแล้วหรือว่า อัลลอฮ ตาอาลาส่ง มุหัมหมัด บุตร อับดุลลอฮ หลานอับดุลมุฏเฏาะลิบมา เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่มนุษย์ชาติ โดยเฉพาะ คนที่ปากปฏิญานว่า "แท้จริง มุหัมหมัด คือ ศาสนทูตของอัลลอฮ"
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا
“โดยแน่นอน ในเราะสูลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมาก”- อัลอะซาบ/21
ท่านนบี ศอ็ลฯ รับคำสั่งจากอัลลอฮ ตาอาลา ในคือเมียะรอจญ์ ให้ละหมาดวันละ 5 เวลา ต่อมาอัลลอฮ ตาอาลาส่งญิบรีล มานำสอนวิธีละหมาดแก่ท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วท่านก็ได้กำชับอุมะฮของท่านให้เอาแบบอย่างการปฏิบัติละหมาดจากท่าน
บะชีร บิน อบีมัสอูด(ร.ฎ)ว่า
سَمِعْتُ أَبَا مَسْعُودٍ يَقُولُ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ نَزَلَ جِبْرِيلُ فَأَمَّنِي فَصَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ يَحْسُبُ بِأَصَابِعِهِ خَمْسَ صَلَوَاتٍ
ข้าพเจ้าได้ยินอบูมัสอูดกล่าวว่า "ฉันได้ยิน รซูลุลลอฮ สอ็ลฯ กล่าวว่า ญิบรีล ได้ลงมา และนำละหมาดฉัน แล้วฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ท่านนบีได้คำนวนด้วยนิ้วของท่าน 5 ละหมาด - รายงานโดยมุสลิม
และท่านนบี ศอ็ลฯ ได้เอาแบบอย่างนั้น มาสอนเหล่าเศาะหาบะฮ โดยกล่าวกำชับ ให้ละหมาดตามแบบอย่างของท่านนบี ศอ็ลฯเอง 
คำว่า
« صَلُّوا كَمَا رَأَيْتُمُونِي أُصَلِّي » [البخاري برقم 631]
ความว่า: “พวกท่านจงทำการละหมาด ตามที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 631)
อิหม่าม อัรชัรกะชีย์กล่าวว่า
الْمُتَابَعَةَ كما تَكُونُ في الْأَفْعَالِ تَكُونُ في التُّرُوكِ
การเจริญรอยตาม ในเรื่อง การทิ้ง(ของนบี)นั้น ก็เหมือนการเจริญรอยตาม ในการกระทำ(ของนบี) - ดู บะหรุลมุฮีฏ เล่ม 4 หน้า 191 
..............................
หมายความว่า
เมื่อนบี ศอ็ลฯ ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ เป็นการตามสุนนะฮนบี เมื่อนบีไม่ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือการทำตามสุนนะฮนบี
ถ้าอ้างว่า นบีไม่ทำก็ทำได้ เพราะไม่ห้าม แล้ว คิดรูปแบบอิบาดะฮตามที่อารมณ์ เห็นว่าดี อ้างว่าเป็นคำสอนศาสนา แล้ว สุนนะฮนบี เอาไว้ทำไมหรือ แล้วที่ท่านปฏิญานรับรองนบีนั้น เป็นการปฏิญาน แค่ลมปากกระนั้นหรือ เพราะทำตามที่คิดเอง ไม่ใส่ใจว่านบี ศอ็ลฯจะทำแบบอย่างไว้หรือไม่ แล้วสิ่งที่คิดเอง เป็นศาสนาของใครหรือ
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122 
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/6/59
เมื่อใครสักคนทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮ พอมีคนมาถามว่า มีแบบอย่างจากท่านนบี ศอ็ลฯ ไหม ?ก็จะถูกย้อนศรว่า แล้วที่พวกฉันทำนบีห้ามไหม ?
จึงถามว่า ลืมไปแล้วหรือว่า อัลลอฮ ตาอาลาส่ง มุหัมหมัด บุตร อับดุลลอฮ หลานอับดุลมุฏเฏาะลิบมา เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่มนุษย์ชาติ โดยเฉพาะ คนที่ปากปฏิญานว่า "แท้จริง มุหัมหมัด คือ ศาสนทูตของอัลลอฮ"
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا
“โดยแน่นอน ในเราะสูลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมาก”- อัลอะซาบ/21
ท่านนบี ศอ็ลฯ รับคำสั่งจากอัลลอฮ ตาอาลา ในคือเมียะรอจญ์ ให้ละหมาดวันละ 5 เวลา ต่อมาอัลลอฮ ตาอาลาส่งญิบรีล มานำสอนวิธีละหมาดแก่ท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วท่านก็ได้กำชับอุมะฮของท่านให้เอาแบบอย่างการปฏิบัติละหมาดจากท่าน
บะชีร บิน อบีมัสอูด(ร.ฎ)ว่า
سَمِعْتُ أَبَا مَسْعُودٍ يَقُولُ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ نَزَلَ جِبْرِيلُ فَأَمَّنِي فَصَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ ثُمَّ صَلَّيْتُ مَعَهُ يَحْسُبُ بِأَصَابِعِهِ خَمْسَ صَلَوَاتٍ
ข้าพเจ้าได้ยินอบูมัสอูดกล่าวว่า "ฉันได้ยิน รซูลุลลอฮ สอ็ลฯ กล่าวว่า ญิบรีล ได้ลงมา และนำละหมาดฉัน แล้วฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ฉันได้ละหมาดพร้อมกับเขา หลังจากนั้น ท่านนบีได้คำนวนด้วยนิ้วของท่าน 5 ละหมาด - รายงานโดยมุสลิม
และท่านนบี ศอ็ลฯ ได้เอาแบบอย่างนั้น มาสอนเหล่าเศาะหาบะฮ โดยกล่าวกำชับ ให้ละหมาดตามแบบอย่างของท่านนบี ศอ็ลฯเอง 
คำว่า
« صَلُّوا كَمَا رَأَيْتُمُونِي أُصَلِّي » [البخاري برقم 631]
ความว่า: “พวกท่านจงทำการละหมาด ตามที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่: 631)
อิหม่าม อัรชัรกะชีย์กล่าวว่า
الْمُتَابَعَةَ كما تَكُونُ في الْأَفْعَالِ تَكُونُ في التُّرُوكِ
การเจริญรอยตาม ในเรื่อง การทิ้ง(ของนบี)นั้น ก็เหมือนการเจริญรอยตาม ในการกระทำ(ของนบี) - ดู บะหรุลมุฮีฏ เล่ม 4 หน้า 191 
..............................
หมายความว่า
เมื่อนบี ศอ็ลฯ ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ เป็นการตามสุนนะฮนบี เมื่อนบีไม่ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือการทำตามสุนนะฮนบี
ถ้าอ้างว่า นบีไม่ทำก็ทำได้ เพราะไม่ห้าม แล้ว คิดรูปแบบอิบาดะฮตามที่อารมณ์ เห็นว่าดี อ้างว่าเป็นคำสอนศาสนา แล้ว สุนนะฮนบี เอาไว้ทำไมหรือ แล้วที่ท่านปฏิญานรับรองนบีนั้น เป็นการปฏิญาน แค่ลมปากกระนั้นหรือ เพราะทำตามที่คิดเอง ไม่ใส่ใจว่านบี ศอ็ลฯจะทำแบบอย่างไว้หรือไม่ แล้วสิ่งที่คิดเอง เป็นศาสนาของใครหรือ
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122 
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/6/59

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วาทกรรมมโนว่าถ้าใครยืนยันความหมายศิฟาตตามตัวบทหมายถึงการสร้างรูปร่างให้พระเจ้า





วาทกรรมมโนว่าถ้าใครยืนยันความหมายศิฟาตตามตัวบทหมายถึงการสร้างรูปร่างให้พระเจ้า
บรรดาผู้ที่ยืนยันหรือรับรอง(اثبات)คุณลักษณะของอัลลอฮตามความหมายที่ปรากฏตามตัวบทที่มาในอัลกุรอ่านและหะดิษ จะถูกคนบางกลุ่มกล่าวหาว่า "เป็นพวกมุญัสสิมะฮ"(คือผู้ที่ให้รูปร่างแก่อัลลอฮ)
ทั้งๆที่ คำว่า "รูปร่าง"เกี่ยวกับอัลลอฮ ไม่มีการระบุไว้ในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ แม้แต่อักษรเดียว ไม่ว่าในเชิงยืนยัน(อิษบาต)หรือในเชิงปฏิเสธ(นัฟยฺ) แล้วคำนี้เอามาจากใหน แน่นอนเอามาจากการมโนหรือคิดไปเองโดยปราศจากข้อเท็จจริง หรือเกิดจากการวิตกจริต ว่าถ้ายืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามความหมายตามตัวบทที่มีมา จะทำให้เกิดจินตนาการว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูค- นะอูซุบิลละฮ ไปคิดในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจินตนาการของมนุษย์ได้อย่างไร เขาไม่เห็นหรือว่า อัลลอฮตาอาลาตรัสไว้
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน พระองค์ และพระองค์คือ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นยิ่ง
คำว่า ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น “ คงไม่มีใคร เข้าใจว่า เหมือนการได้ยิน และการเห็นเหมือนมัคลูค
อิบนุอัลบะนา อัลหัมบะลี (ฮ.ศ. 417) กล่าวว่า
وأما المشبهة والمجسمة فهم الذين يجعلون صفات الله -عز وجل- مثل صفات المخلوقين، وهم كفار
และสำหรับ มุชับบะฮฮะฮ และมุญัสสิม นั้น พวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ ให้คุณลักษณะ ของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง เหมือนกับบรรดาลักษณะของมัคลูค และพวกเขาคือ บรรดากาเฟร - อัลมุคตัร ฟิอุศูลิดสุนนะฮ ของ อิบนุอัลบะนา หน้า 81
................
ไม่มีมุสลิมคนใด แม้แต่คนเดียว ที่ถูกฉายา ว่า “วาฮาบีย” มีความเชื่อว่า อัลลอฮ ทรงมีรูปร่างเหมือนกับมัคลูค เพราะอัลลอฮตรัสไว้แล้วว่าไม่เหมือน อัลลอฮทรงมีแต่ไม่เหมือน แค่นี้ก็จบ สำหรับคนที่มีสติสัมปชัญญะ และสายตาไม่ได้ฟ้าฟาง
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...
ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การให้รูปร่าง) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104
อิบนุคุซัยมะฮ อัชชาฟิอีย์(ฮ.ศ) 311)กล่าวว่า
نحن نقول: إن الله سميع بصير كما أعلمنا خالقنا وبارؤنا، ونقول: من له سمع وبصر من بني آدم فهو سميع بصير، ولا نقول أن هذا تشبيه المخلوق بالخالق.
เราขอกล่าวว่า แท้จริง อัลลอฮ คือ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น ดังที่ ผู้ทรงสร้างเรา และผู้ทรงเนรมิต ได้ทรงบอกให้เรารู้ และเรา กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่ มีการได้ยิน มีการเห็น จากลูกหลานอาดัม เขาก็คือ ผู้ที่ได้ยิน ผู้ที่เห็น และเราจะไม่กล่าวว่า แท้จริง นี้คือ การเปรียบเทียบมัคลูค(ผู้ถูกสร้าง)ว่าคล้ายคลึงกับคอลิค(ผู้สร้าง)
กิตาบ อัตเตาฮีด วะอิษบาตรสิฟาติรรอ็บ ของอิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 61
...........
ข้างต้น ชัดเจน ว่า เมื่อเรารับรองสิฟัตอัลลอฮ ตามตัวบท และไม่ได้หมายความว่าว่าเราไปเชื่อว่าอัลลอฮคล้ายคลึงมัคลูค และไม่ใช่ว่า หมายความว่า เรา เชื่อว่า อัลลอฮมีรูปร่าง(ตัจญสีม)
............
การเชื่อตามความหมายตามที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและหะดิษ โดยเชื่อว่าไม่เหมือนกับมัคลูค ไม่ถือว่า เป็นพวกมุชับบะฮฮะฮและมุญัสสิมะฮ ดังที่อะชาอิเราะฮบางกลุ่มรวมกับพันธมิตรของเขาคือชีอะฮ มโนแล้วยัดข้อหาพี่น้องมุสลิมที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ว่า "เป็นพวกมุญัสสิม " อย่างอคติและโดยปราศจากการเข้าใจในข้อเท็จจริง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/6/59

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับหญิง เสียศีลอดไหม






การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับหญิง เสียศีลอดไหม
การมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างหญิงกับหญิง (المساحقة )เสียศีลอดหรือไม่ เป็นประเด็นหนึ่งที่ควรรู้ เพราะถ้าผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาในเดือนเราะมะฏอน ถือเป็นบาปใหญ่และผู้กระทำผิดนั้น จะต้องเตาบะฮ และจะต้องชดใช้พร้อมกับต้องจ่ายค่าปรับ((กัฟฟาเราะฮ )ดังหะดิษ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ جَاءَ رَجُلٌ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ هَلَكْتُ فَقَالَ وَمَا ذَاكَ قَالَ وَقَعْتُ بِأَهْلِي فِي رَمَضَانَ قَالَ تَجِدُ رَقَبَةً قَالَ لا قَالَ فَهَلْ تَسْتَطِيعُ أَنْ تَصُومَ شَهْرَيْنِ مُتَتَابِعَيْنِ قَالَ لا قَالَ فَتَسْتَطِيعُ أَنْ تُطْعِمَ سِتِّينَ مِسْكِينًا قَالَ لا قَالَ فَجَاءَ رَجُلٌ مِنْ الأَنْصَارِ بِعَرَقٍ وَالْعَرَقُ الْمِكْتَلُ فِيهِ تَمْرٌ فَقَالَ اذْهَبْ بِهَذَا فَتَصَدَّقْ بِهِ قَالَ عَلَى أَحْوَجَ مِنَّا يَا رَسُولَ اللَّهِ وَالَّذِي بَعَثَكَ بِالْحَقِّ مَا بَيْنَ لابَتَيْهَا أَهْلُ بَيْتٍ أَحْوَجُ مِنَّا قَالَ اذْهَبْ فَأَطْعِمْهُ أَهْلَكَ
มีรายงานของอะบูฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนะบี ว่า “มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านรซูลุ้ลลอฮ Solallah และกล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ฉันเสียหายหมดแล้ว ท่านรซูลุ้ลลอฮ ถามว่า อะไรที่ทำให้ท่านเสียหาย ? เขาตอบว่า ฉันได้ร่วมประเวณีกับภริยาของฉันในเดือนรอมฎอน ท่านรซูลุ้ลลอฮได้ถามเขาต่อไปว่า ท่านมีความสามารถที่จะปล่อยทาสไหม ? เขาตอบว่า ไม่ครับ ,ท่านรซูลุลลอฮ กล่าวว่า "ท่านสามารถที่จะถือศีลอดสองเดือนติดต่อกันไหม? เขากล่าวตอบว่า "ไม่ครับ"! ท่านรซูลุลลอฮ ถามอีกว่าท่านมีความสามารถที่จะให้อาหารแก่คนมิสกีน 60 คนไหม ? เขาตอบว่า ไม่ครับ ! ท่านรซูลุ้ลลอฮ จึงบอกแก่เขาว่าจงนั่งอยู่ที่นี่แล้วเขาก็นั่งลง แล้วท่านรซูลุ้ลลอฮ ได้เข้าไปเอาถุงหนึ่ง มีอินทผลัมเต็มถุง แล้วพูดขึ้นว่า เอาไปทำศ่อดะเกาะฮฺ เขาจึงพูดว่าระหว่างภูเขาสองลูกสีดำนี้มีใครยากจนมากกว่าฉันหรือ ? ท่านนะบีจึงหัวเราะจนกระทั่งมองเห็นเขี้ยวของท่าน ท่านรซูลุลลอฮ ได้กล่าวว่าเอาไปเถอะ แล้วเอาไปให้ครอบครัวของท่านกินกัน -
บันทึกโดย : อัลบุคอรีย์ และมุสลิม และคนอื่น ๆ
ท่านนบี กล่าวแก่ผู้ที่เจตนาร่วมหลับนอนกับภรรยาในตอนกลางวันว่า
صم يوماً مكانه
ท่านจงถือศีลอดแทนวันนั้น
رواه أبو داود (2393) , وابن ماجه (1671) , وصححه الألباني في "إرواء الغليل" (940)
ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับหญิง (السحاق ) เป็นสิ่งต้องห้าม ดังหะดิษที่ว่า
ولا يفضي الرجل إلى الرجل في الثوب الواحد
และผู้หญิงจะต้องไม่สัมผัสเสียดสีผิวกายกับผู้หญิงด้วยกัน ในผ้าห่มผืนเดียว - รายงาน โดย อหมัดและมุสลิม
การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับหญิง (السحاق ) เสียศีลอดไหม
อิบนุกุดามะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
فَإِنْ تَسَاحَقَتْ امْرَأَتَانِ ، فَلَمْ يُنْزِلَا ، فَلَا شَيْءَ عَلَيْهِمَا . وَإِنْ أَنْزَلَتَا ، فَسَدَ صَوْمُهُمَا . وَهَلْ يَكُونُ حُكْمُهُمَا حُكْمَ الْمُجَامِعِ دُونَ الْفَرْجِ إذَا أَنْزَلَ ، أَوْ لَا يَلْزَمُهُمَا كَفَّارَةٌ بِحَالٍ ؟ فِيهِ وَجْهَانِ ، مَبْنِيَّانِ عَلَى أَنَّ الْجِمَاعَ مِنْ الْمَرْأَةِ هَلْ يُوجِبُ الْكَفَّارَةَ ؟ عَلَى رِوَايَتَيْنِ ، وَأَصَحُّ الْوَجْهَيْنِ ، أَنَّهُمَا لَا كَفَّارَةَ عَلَيْهِمَا ; لِأَنَّ ذَلِكَ لَيْسَ بِمَنْصُوصٍ عَلَيْهِ ، وَلَا فِي مَعْنَى الْمَنْصُوصِ عَلَيْهِ ، فَيَبْقَى عَلَى الْأَصْلِ
ถ้าหากผู้หญิงสองคนมีเพศสัมพันธ์กัน แล้านางทั้งสอง ไม่ได้หลั่งน้ำกาม ก็ไม่มีสิ่งใด บนนาง (คือไม่เสียศีลอด) และถ้าน่างทั้งสองหลั่งน้ำกาม การถือศีลอดของนางทั้งสองก็เสีย ,หุกุม(ข้อตัดสิน)ของนางทั้งสอง เหมือนกับหุกุม การมีเพศสัมพันธ์(ระหว่างชายหญิง)นอกอวัยวะเพศ เมื่อเขาหลั่งน้ำกามหรือไม่? หรือว่านางทั้งสองไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮโดยสิ้นเชิง? (คำตอบคือ)อยู่บนรายงานสองรายงาน และที่ถูกต้องที่สุดของสองวิธีนั้นคือ แท้จริงนางทั้งสอง ไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ(ค่าปรับ) เพราะดังกล่าวนั้น ไม่มีตัวบทที่ถูกระบุไว้บนมัน และ ไม่ได้อยู่ในความหมายของตัวบท ที่ถูกระบุไ้ว้ บนมัน ดังนั้น มันคงอยู่บนหลักเดิม (คือไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะอ) -อัลมุฆนีย์ ๓/๒๘
สรุป
หญิงที่เล่นเลสเบี้ยนกัน นั้น เป็นสิ่งหะรอม แต่ไม่เสียศีลอด หากไม่หลั่งน้ำกามออกมา และไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ อย่างไรก็ตามการ กระทำสิ่งต้องห้าม เป็นการการทำลายเจตนารมณ์ของการถือศีลอด แล้วจะเอาบุญจากใคร
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑/๖/๕๙