วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมนั่งเทียนวิภาษคุณลักษณะอัลลอฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมนั่งเทียนวิภาษคุณลักษณะอัลลอฮ
Sukiman Tuanno
โอเคครับ ตอนนี้ผมขอสรุปเลยว่า อากีดะผมกับท่าน ในเรื่องอูศูลอากีดะ เราเหมือนกัน และเราเห็นพ้องกันว่าคนที่มีความเชื่ออัลลอฮฺอยู่บนอารัชด้วยซาตของพระองค์หรือการอยู่เหนืออารัชเป้นแบบรูปธรรม คืออัลลอฮฺอยู่จริงด้วยซาตของพระองค์เอง อาจจะนั่งติดบนอารัช(อิสติกรอร/ญาลาซา) หรืออยู่สูงเหนือขึ้นไป เหล่านี้เป็นอากีดะที่ผิดเพี้ยนทั้งสินและหลงทาง ผมสรุปอย่างนี้ ท่านยอมรับไหม ผมจะปิดประเด็นแล้วครับ
@@@
นาย Sukiman Tuanno นั่งเทียนอ้างว่า การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่เบื้องสูงด้วยซาตคืออะกีดะฮเพี้ยน แต่ไม่มีหลักฐานมาอ้างแม้อักษณเดียว มีแต่สมองล้วนๆ นี่คือนักอุปโลกน์อะกีดะฮตามตรรกทางปัญญา ที่เป็นผลผลิตของวิชากาลาม
มาดูตัวอย่าง อะกีดะฮสะลัฟต่อไปนี้
1.อิหม่ามอัลหาฟิซ อบูอะหมัด มุหัมหมัด บิน อาลี บิน มุหัมหมัด อัลกะเราะญีย์อัลกอ็ศศอบ (ฮ.ศ 360) กล่าวว่า
(قوله: {يخافون ربهم من فوقهم} دليل على أن الله -جل جلاله- بذاته في السماء [أي فوق السماء] على العرش، وليس في الأرض إلا علمه المحيط بكل شيء
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (พวกเขากลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขา จากเบื้องบนของพวกเขา) คือ หลักฐานแสดงว่า แท้จริง อัลลอฮ ผู้ซึ่งความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทรงเลิศยิ่ง ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนฟ้า บน บัลลังค์ ไม่ใช่อยู่บนแผ่นดิน นอกจากความรู้ของพระองค์ ห้อมล้อมด้วยทุกสิ่ง - ดู นุกตุอัลกุรอ่านอัดดาลละฮอะลัลบะยาน ของ อัลกอศศอ็บ เล่ม 2 หน้า 68
.....
2. อัลหารีษอัลมุหาสิบีย์(ฮ.ศ 243)ได้ยกตัวอย่างอายะฮต่างๆ .แล้วท่านอัลหาริษอัลมุหาสิบีย์ สรุปว่า
فهذا مقطع يوجب أنه فوق العرش، فوق الأشياء، منزه عن الدخول في خلقه، لا يخفى عليه منهم خافية، لأنه أبان في هذه الآيات أن ذاته بنفسه فوق عباده لأنه قال: {أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ [الملك : 16]} يعني فوق العرش، والعرش على السماء
ดังนี้แน่นอนว่า พระองค์อยู่เหนืออะรัช ,เหนือบรรดาสิ่งต่างๆ บริสุทธิ์จากการเข้าอยู่ในมัคลูคของพระองค์ ไม่มีความลับใดๆจากพวกเขาซ่อนเร้น พระองค์ เพราะแท้จริง พระองค์ทรงอธิบายในบรรดาอายะฮเหล่านี้ว่า แท้จริง ซาต(ตัวตน)ของพระองค์เอง อยู่เหนือ บรรดาบ่าวของพระองค์ เพราะว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า (พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงอยู่ บนฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า – อัลมุลก/16) หมายถึง ทรงอยู่เหนืออะรัช และอะรัช อยู่บนฟ้า..ดู ฟะฮมุลกุรอ่าน วะมาอานีฮา ของ อัลหาริษ อัลมุหาสิบีย์ หน้า 349-350 (ดูสำเนาหนังสือ)ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
.......
อัลมุหาสิบีย์ ยืนยันว่า อัลลอฮ ทรงอยู่เหนือบรรดาบ่าวของพระองต์ด้วยตัวตนของพระองค์เอง
.............
สองตัวอย่างข้างต้น ชัดเจนว่า การยืนยันว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือมัคลูค ด้วยตัวตน ไม่ใช่ หมายถึงเกียรติ หรืออำนาจปกครองอย่างที่นักตรรกนิยมตีความ
อนึง บางครั้งจะมีคำว่า "แยกจากมัคลูคของพระองค์ " มาเน้น ก็เพื่อจะยืนยันการอยู่เบื้องสูงจริงๆ เช่น อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงทัศนะสะลัฟว่า

وأظهر هذه الأقوال وإن كنت لا أقول به ولا أختاره ما تظاهرت عليه الآي والأخبار أن الله سبحانه على عرشه كما أخبر في كتابه وعلى لسان نبيه بلا كيف، بائن من جميع خلقه هذا جملة مذهب السلف الصالح فيما نقل عنهم الثقات

และบรรดาทัศนะเหล่านี้ ที่ชัดเจนที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้กล่าว(ไม่ได้มีทัศนะ)ด้วยมันและไม่ได้เลือกมัน คือ สิ่ง(ทัศนะ)ที่ อายะออัลกุรอ่านและบรรดาหะดิษ ได้แสดงให้ปรากฏบนมันว่า " แท้จริงอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อยู่บนอะรัช ของพระองค์ ตามสิ่งที่ถูกระบุในคัมภีร์ของพระองค์ และโดยผ่านคำพูดของนบีของพระองค์ โดยไม่ระบุรูปแบบวิธีการ(ว่าเป็นอย่างไร) ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูคของพระองค์ นี้คือข้อสรุปของมัซฮับบรรพชนยุคก่อนผู้ทรงธรรม (สะละฟุศศอลิหฺ)ในสิงที่บรรดาผู้เชื่อถือได้รายงานจากพวกเขา – ดู อัลอัสนา ชัรหุอัสมาอุลหุสนา เล่ม ๒ หน้า ๑๓๒
...........................
คำว่า " بائن من جميع خلقه "มีคำอธิบายดังนี้
معنى أن الله بائن من خلقه: أي أنه منفصل عن المخلوقات، فليس في ذاته شيء من مخلوقاته، ولا في مخلوقاته شيء من ذاته. ولا يحويه أو يُحيط به شيء من خلقه.
ความหมายคำว่า อัลลอฮแยกออกจากมัคลูคของพระองค์ หมายถึง พระองค์ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูค ไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์ อยู่ในมัคลูค และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์บรรจุและห้อมล้อม พระองค์
..........
والله أعلم بالصواب
31/7/60

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วาทะกรรมการจ่ายซะกาตด้วยข้าวสารเป็นข้ออ้างทำในสิ่งที่นบีไม่ทำ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วาทะกรรมการจ่ายซะกาตด้วยข้าวสารเป็นการกิยาสเพื่อเป็นข้ออ้างทำในสิ่งที่นบีไม่ทำ
Insan Berguna · มีเพื่อนร่วมกัน 21 คน
อุลามาอ์อิจตีหาดว่า วาญิบออกซากาตด้วยสิ่งที่ทำให้อิ่ม(อาหารหลัก)ของประเทศนั้นๆ เช่น ข้าวสาร ในประเทศไทย
ทั้งๆตัวบทที่ซอเหี้ยะไม่ได้บอกระบุว่าข้าวหรืออื่นๆ
นี่แหละคือบางส่วนอีบาดัตที่ปราชน์มุจตาฮิดทำการอิจตีหาด
ถ้าจะเอาตรงๆตามนบี วะบีต้องจ่ายซากาตกับอินทะผลัมหรือแป้ง ทำไมคุณวาบีไม่ตามนบีค่ะ แค่สงสัย??
@@@
ชี้แจง
อะฮลุลบิดอะฮ พยายามที่จะเอาข้ออ้างเรื่องการจ่ายซะกาตฟิตเราะฮข้าวสารมาเป็นข้ออ้างทำในสิ่งที่นบีไม่ทำ โดยอ้างว่า นี่คือการกิยาส เพราะนบีไม่ได้จ่ายข้าวสาร แต่จ่าย สิ่งอื่น จากหะดิษที่ว่า
عَنِ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : فَرَضَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ زَكَاةَ الْفِطْرِ صَاعًا مِنْ تَمْرٍ، أَوْ صَاعًا مِنْ شَعِيْرٍ، عَلَى الْعَبْدِ وَالْحُرِّ، وَالذَّكَرِ وَالأُنْثٰى، وَالصَّغِيرِ وَالْكَبِيرِ مِنَ الْمُسْلِمِينَ، وَأَمَرَ بِهَا أَنْ تُؤَدَّى قَبْلَ خُرُوجِ النَّاسِ إِلَى الصَّلاَةِ. (البخاري رقم 1407)
ความว่า จากอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม" ได้กำหนดให้บรรดามุสลิมต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺด้วยอินทผลัมแห้งหรือข้าวสาลีจำนวนหนึ่งศออฺ(2.8ก.ก.) ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเสรีชนหรือเป็นทาส ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เด็กและคนแก่ ในหมู่คนที่เป็นมุสลิม(ทุกคนต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺทั้งสิ้น) ท่านได้สั่งให้จ่ายมันก่อนออกไปละหมาดในเช้าวันอีด ( หะดิษเศาะเฮียะฮฺ บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดิษเลขที่ 1407)
และอีกรายงานหนึ่ง หะดีษจากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ที่มีปรากฏในบันทึกของอัล-บุคอรีย์และมุสลิมว่า
فَرَضَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمْ زَكَاةَ الفِطْرِ صَاعًا مِنْ تَمْرٍ أَو صَاعًا مِنْ بُرٍّ أَو صَاعًا مِنْ شَعِيْرٍ (وفي رواية : أَوْ صَاعاً مِنْ أَقِطٍ) عَلَى الصَّغِيْرِ وَالكَبِيْرِ مِنَ المُسْلِمِيْنَ.
ความว่า “ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กำหนดบัญญัติให้ออกซะกาตฟิฏเราะฮฺหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยลูกอินทผลัม หรือหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยแป้งสาลีละเอียด หรือหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยแป้งสาลีหยาบ (ในรายงานหนึ่งระบุว่า หรือหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยนมแข็ง) เหนือมุสลิมทั้งคนแก่และเด็ก”
...........
ความจริง เป้าหมมายของหะดิษ คือการจ่ายอาหารหลักที่ประชาชนรับประทาน ซึ่งประเทศใดใช้สิ่งใดเป็นอาหารหลัก ก็จ่ายสิ่งนั้น ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรื่อง การทำบิดอะฮ ที่นักทำบิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ เอามาเป็นข้ออ้างว่า สามารถทำในสิ่งที่นบีไม่ทำได้ และเข้าใจว่าเป็นหลักฐานเด็ดในการอ้างทำบิดอะฮ -นะอูซุบิลละฮ
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : ( كُنَّا نُخْرِجُ فِي عَهْدِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمَ الْفِطْرِ صَاعًا مِنْ طَعَامٍ . وَقَالَ أَبُو سَعِيدٍ : وَكَانَ طَعَامَنَا الشَّعِيرُ وَالزَّبِيبُ وَالْأَقِطُ وَالتَّمْرُ
รายงานจากสะอีด อัลคุดรีย์ (ร.ฎ) กล่าวว่า พวกเราได้จ่าย ในสมัยรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ หนึ่งศออฺจากอาหาร อบูสะอีดกล่าวว่า "และปรากฏว่าอาหารของพวกเรา คือ ข้าวสาลี , ,ลูกเกด ,เนยแข็ง และอินทผลัม -รายงานโดยบุคอรี(1510)และมุสลิม(985)
......
คำว่า "อาหารของเรา"มันชัดเจนว่า เป้าหมายหลักคือการจ่ายอาหารหลักของประชาชน เพราะฉะนั้นการจ่ายข้าวสาร ไม่ใช่เป็นการทำอิบาดะฮที่นบีไม่ทำ ไม่ใช่การอุตริบิดอะฮ แล้วเอามาอ้างว่า อิบาดะฮที่นบีไม่ทำก็ทำได้ เพราะเป็นอิบาดะฮได้มาจากการกิยาส -วัลอิยาซุบิลละฮ
การอุตริบิดอะฮคือ การประดิษฐ์รูปแบบอิบาดะฮขึ้นให่ม่ เลียนแบบศาสนบัญญัติ
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์กล่าวว่า
البدعة: طريقة في الدين مخترعة، تضاهي الشرعية، يقصد بالسلوك عليها ما يقصد بالطريقة الشرعية
บิดอะฮคือ แนวทางในเรื่อง ศาสนา ซึ่งถูกอุตริขึ้นมาใหม่ เลียนแบบศาสนบัญญัติ โดยมีจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติ เหมือนกับจุดมุ่งหมายตามแนวทางศาสนบัญญัติ – ดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 37
....
การจ่ายซะกาตฟิตเราะฮด้วยข้าวสาร ไม่ใช่การกำหนดแนวทางในศาสนาขึ้นใหม่ ที่จะเป็นช่องทางให้พวกอะฮลุลบิดอะฮเอามาอ้าง เพื่อทำในสิ่งที่นบีไม่ทำโดยอ้างว่าดี หรืออ้างว่าบิดอะฮหะสะนะฮ
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
فَإِنَّ الْأَصْلَ فِي الصَّدَقَاتِ أَنَّهَا تَجِبُ عَلَى وَجْهِ الْمُواساة لِلْفُقَرَاءِ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : (مِنْ أَوْسَطِ مَا تُطْعِمُونَ أَهْلِيكُمْ) ، وَالنَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَرَضَ زَكَاةَ الْفِطْرِ صَاعًا مِنْ تَمْرٍ أَوْ صَاعًا مِنْ شَعِيرٍ ؛ لِأَنَّ هَذَا كَانَ قُوتَ أَهْلِ الْمَدِينَةِ ، وَلَوْ كَانَ هَذَا لَيْسَ قُوتَهُمْ بَلْ يَقْتَاتُونَ غَيْرَهُ لَمْ يُكَلِّفْهُمْ أَنْ يُخْرِجُوا مِمَّا لَا يَقْتَاتُونَهُ ، كَمَا لَمْ يَأْمُرِ اللَّهُ بِذَلِكَ فِي الْكَفَّارَاتِ
แท้จริง หลักเดิมในเรื่อง บรรดาเศาะดะเกาะฮนั้น แท้จริงวาญิบ บนเหตุผลของการ ให้ความร่ำรวยแก่บรรดาคนยากจน ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า( จากอาหารปานกลาง ของสิ่งที่พวกเจ้าให้เป็นอาหารแก่ครอบครัวของพวกเจ้า ) และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กำหนดบัญญัติให้ออกซะกาตฟิฏเราะฮฺหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยลูกอินทผลัม หรือหนึ่งศออฺ(กันตัง)ด้วยแป้งสาลี เพราะว่า นี่คือ อาหารหลักของชาวมะดีนะฮ และถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ อาหารหลักของพวกเขา แต่ พวกเขาใช้อาหารหลักอื่นจากมัน แน่นอน ท่านนบีก็จะไม่บังคับพวกเขาให้จ่ายสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ใช้มันเป็นอาหารหลัก ดังที่อัลลอฮ ได้สั่งด้วยดังกล่าวนั้น ในบรรดาการจ่ายกัฟฟาเราะฮ - ดูมัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 25 หน้า 68
.........
เพราะฉะนั้น การจ่ายฟิตเราะฮด้วยอาหารหลักของประเทศใดๆที่ไม่มีในสมัยนบี ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่มาอ้างว่า สามารถกำหนดอิบาดะฮโดยความคิดเห็นได้
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276 ว่า
وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ، وَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“และในเรื่องของ อัลกุรบาต(เรื่องการแสดงความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์) จะถูก “จำกัดตามตัวบท” เท่านั้น จะไปแปรเปลี่ยนมันตามการอนุมานเปรียบเทียบต่างๆ(กิยาส)หรือแนวคิดต่างๆไม่ได้”
อิหม่ามนะสะฟีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ
لا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي
ไม่มีช่องทางสำหรับความคิดเห็น ในการรู้จัก สิ่งที่มันคือ การภักดีต่ออัลลอฮ และเพราะเหตุนี้ ไม่อนุญาตให้ยืนยันรากฐานอิบาดะฮ ด้วยความเห็น – ดู กัชฟุลอัสรอร เล่ม 2 หน้า 210
อิหม่ามอัลอัยนีย์กล่าวว่า
لأن التكليف عند أهل الحق لا يثبت إلا بالشرع
เพราะแท้จริง การบังคับใช้นั้น ในทัศนะของผู้ที่อยู่บนความถูกต้องนั้น มันจะไม่ถูกรับรอง นอกจากด้วยศาสนบัญญัติ
- ดู อัมดะตุลกอรี ชัรหเศาะเฮียะอัลบุคอรี ของอัลอัยนีย์ เล่ม 1 หน้า 299
.............
เพราะฉะนั้น การใช้ความเห็นกำหนดอิบาดะฮขึ้นมาใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต เพราะมันคือบิดอะฮ และการจ่ายซะกาตฟิตเราะฮ ด้วยอาหารมีตัวบทชัดเจนและไม่ได้ถูกจำกัดว่าต้องเป็นชนิดที่ท่านบีรับประทาน อย่างที่บางคนเข้าใจแล้วเอามาเป็นข้ออ้างว่า "ทำอิบาดะฮในสิ่งนบีไม่ทำก็ทำได้" จนกลายเป็นวาทกรรมเด็ดในหมู่นักอนุรักษ์บิดอะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/7/60

หลัการของอิหม่ามชาฟิอี ที่อะฮลุลบิดอะฮไม่กล้าอ่าน


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

หลัการของอิหม่ามชาฟิอี ที่อะฮลุลบิดอะฮไม่กล้าอ่าน
อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وإنّما الاستحسان تلذذ، ولو جاز لأحد الاستحسان في الدين لجاز ذلك لأهل العقول من غير أهل العلم، ولجاز أن يشرع في الدين في كلّ باب، وأن يخرج كلّ أحد لنفسه شرعاً 
ความจริง การอิสติหซาน (การกำหนดหุกุมศาสนาด้วยการเห็นว่าดี)นั้น คือการทำตามอารมณ์ เพราะหากอนุญาตให้คนใด ทำตามที่เห็นว่าดี(อิสติหซาน)ในเรื่องศาสนา แน่นอน ก็จะอนุญาตเรื่องดังกล่าว แก่ผู้ที่มีสติปัญญา โดยไม่ใช่ผู้มีความรู้ และแน่นอน ก็จะอนุญาตให้เขาบัญญัติใน ศาสนา ในทุกๆเรื่อง และ ทุกคนก็จะสามารถออกศาสนบัญญัติให้แก่ตัวเองได้ – ดูอัรริสาละฮ หน้า 507 และอุศูลุลฟิกฮอัลอิสลามมีย์ ของอัซซุหัยลีย์ หน้า 749
@@@
ข้างต้น ท่านอิหม่ามชาฟิอี อธิบายชัดเจนว่า หากให้คนเรากำหนดหุกุมศาสนา ตามความเห็นว่าสิ่งนั้นดี ก็แสดงว่าอนุญาตให้คนเราบัญญัติศาสนาให้แก่ตัวเองได้
และท่านอิหม่ามชาฟิอี กล่าวอีกว่า
مَنِ اسْتَحْسَنَ فَقَدْ شَرَعَ .
ผู้ใดคิดว่าดี ตามความเห็น แน่นอน เขาได้บัญญัติศาสนบัญญัติแล้ว
قَالَ الرُّويَانِيُّ : مَعْنَاهُ أَنَّهُ يَنْصِبُ مِنْ جِهَةِ نَفْسِهِ شَرْعًا غَيْرَ الشَّرْعِ
อัรเรายานีย์ กล่าวว่า ความหมายของมันคือ แท้จริง เขากำหนดหุกุมศาสนา ที่มาจากตัว(ความเห็น)เขาเอง โดยปราศจากการอ้างอิงศาสนบัญญัติ - ดู อิรชาดุลฟุหูล ของอิหม่ามเชาการนีย์ หน้า 240
คำพูดอิหม่ามชาฟิอีต่อ
أن حراماً على أحد أن يقول بالاستحسان إذا خالف الاستحسان الخبر
แท้จริงหะรอมแก่คนหนึ่งคนใด กล่าว ด้วยความเห็นว่าดี เมื่อ การเห็นว่าดี(อิสติหซาน)นั้น ขัดแย้งกับอัลเคาะบัร(หะดิษ) ดู คำนำ หนังสืออัลอุม เล่ม 1 หน้า 70
อิบนุหัซมิน (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวไว้น่าสนใจคือ
الحق حق وإن استقبحه الناس، والباطل باطل وإن استحسنه الناس، فصح أن الاستحسان شهوة، واتباعُ للهوى وضلال، وبالله تعالى نعوذ من الخذلان.
ความจริง ก็คือความจริง แม้บรรดามนุษย์จะเกลียดชังมันก็ตาม และความเท็จ ก็คือความเท็จ แม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่าดีก็ตาม ดังนั้น ที่ถูกต้องนั้น การกำหนดหุมกุมเพราะเห็นว่าดี นั้นเป็นการชะฮวัต(เป็นความปราถนาของอารมณ์) และ คือการตามอารมณ์ และเป็นการลุ่มหลง และขอวิงวอนต่ออัลลอฮตะอาลา ให้พ้นจากความสิ้นหวังด้วยเถิด – ดู อัลอะหกาม ฟี อุศูลิลอะหกาม เล่ม 2 หน้ 196
........
เรื่องหุกุมศาสนา ไม่ใช่ใครจะคิดเอาเองได้ แต่จะต้องอ้างอิงหลักฐานทางศาสนบัญญัติ ไม่ใช่ มาจากความคิดเห็นว่าดีของมนุษย์ ซึ่งต่างกับอะฮลุลบิดอะฮ ที่ตักลิดความเห็นนักปราชญเป็นบทบัญญัติศาสนา โดยอ้างว่าเป็นสิ่งที่ดี นบีไม่ทำ ก็ทำได้ถ้าปราชญหรืออุลามาอฺรับรอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/7/60

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องอิบาดะฮใช้ความเห็นกำหนดได้หรือ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


เรื่องอิบาดะฮใช้ความเห็นกำหนดได้หรือ
มักจะพบคนอ้างกันบ่อยโดยเฉพาะผู้ที่ถือว่า บิดอะฮที่ดีก็มีในศาสนา จะอาศัยข้ออ้างจากหะดิษท่านมุอาซ บิน ญะบัลต่อไปนี้อุตริบิดอะฮ หรือใช้ความเห็นในการอุตริบิดอะฮ คือ
كَمَا حَدَّثَنَا الرَّبِيعُ بْنُ سُلَيْمَانَ الْمُرَادِيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا أَسَدُ بْنُ مُوسَى , وَكَمَا حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرِ بْنِ أَعْيَنَ قَالَ : حَدَّثَنَا عَاصِمُ بْنُ عَلِيِّ بْنِ عَاصِمٍ ، قَالا : حَدَّثَنَا شُعْبَةُ بْنُ الْحَجَّاجِ , عَنْ أَبِي عَوْنٍ الثَّقَفِيِّ , عَنِ الْحَارِثِ بْنِ عَمْرٍو ، ابْنِ أَخِي الْمُغِيرَةِ بْنِ شُعْبَةَ , عَنْ رِجَالٍ مِنْ أَهْلِ حِمْصَ مِنْ أَصْحَابِ مُعَاذٍ , عَنْ مُعَاذٍ , أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمَّا بَعَثَهُ إِلَى الْيَمَنِ ، قَالَ : " كَيْفَ تَقْضِي إِذَا عَرَضَ لَكَ قَضَاءٌ ؟ " , قَالَ : أَقْضِي بِمَا فِي كِتَابِ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ . قَالَ : " فَإِنْ لَمْ يَكُنْ فِي كِتَابِ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ ؟ " , قُلْتُ : بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . قَالَ : " فَإِنْ لَمْ يَكُنْ فِي سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ ؟ " , قَالَ : أَجْتَهِدُ رَأْيِي .....
คำแปลเฉพาะตัวบทดังนี้
จากบรรดาชายชาวเมืองหิมเศาะ จากสหายของมุอาซ จากมุอาซ ว่า แท้จริง ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อขณะที่ท่านได้ส่งเขา (ส่งมุอาซไปเป็นข้าหลวงแคว้นยะมัน ) ท่านกล่าวว่า “ ท่านจะตัดสินอย่างไร (เมื่อมีคดีถูกเสนอแก่ท่าน) เขา(มุอาซ)กล่าวว่า “ข้าพเจ้าตัดสินด้วย คัมภีร์ของอัลลอฮ , ท่านนบีกล่าวว่า “แล้วถ้าหากว่า กิจการหนึ่ง(คดีหนึ่งได้ถูกนำเสนอ)มายังท่าน ซึ่งไม่มีในคัมภีร์ของอัลลอฮล่ะ ? เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าตัดสินด้วยสุนนะฮของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านนบี กล่าวว่า แล้วถ้าไม่ปรากฏว่ามีจากสุนนะฮของรซูลุลลอฮล่ะ ? เขา(มุอาซ)กล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าก็จะอิจญติฮาด(วินิจฉัยอย่างเต็มความสามารถ) ด้วยความเห็นของข้าพเจ้า” – อบูดาวูด บทที่ 23 บาบที่ 11
มุหัมหมัด เราะชีดริฎอกล่าวว่า
وَمَا شُرِعَ مِنَ اجْتِهَادِ الرَّأْيِ فِي حَدِيثِ مُعَاذٍ وَغَيْرِهِ فَهُوَ خَاصٌّ بِالْقَضَاءِ لِأَنَّهُ نَصٌّ فِيهِ وَيَتَوَقَّفُ عَلَيْهِ وَمِثْلُهُ سَائِرُ الْأَحْكَامِ الدُّنْيَوِيَّةِ ، مِنْ سِيَاسِيَّةٍ وَإِدَارِيَّةٍ ، لَا فِي أُصُولِ دِينِ اللَّهِ وَعِبَادَتِهِ وَمَا حُرِّمَ عَلَى عِبَادِهِ تَحْرِيمًا دِينِيًّا ، فَإِنَّ اللَّهَ أَكْمَلَ دِينَهُ فَلَمْ يَتْرُكْ فِيهِ نَقْصًا يُكْمِلُهُ غَيْرُهُ بِظَنِّهِ وَرَأْيِهِ بَعْدَ وَفَاةِ رَسُولِهِ ، وَلَيْسَ لِحَاكِمٍ وَلَا مُفْتٍ أَنْ يُسْنِدَ رَأْيَهُ الِاجْتِهَادِيَّ إِلَى اللَّهِ تَعَالَى فَيَقُولُ : هَذَا حُكْمُ اللَّهِ وَهَذَا دِينُهُ ، بَلْ يَقُولُ : هَذَا مَبْلَغُ اجْتِهَادِي فَإِنْ كَانَ صَوَابًا فَمِنْ تَوْفِيقِ اللَّهِ تَعَالَى وَإِلْهَامِهِ وَإِنْ كَانَ خَطَأً فَمِنِّي وَمِنَ الشَّيْطَانِ ، كَمَا رُوِيَ عَنْ بَعْضِ أَئِمَّةِ سَلَفِنَا الصَّالِحِينَ .
และสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นมาจากการอิจญติฮาด โดยความเห็น ในหะดิษมุอาซ และอื่นจากเขานั้น มันก็เฉพาะสำหรับการตัดสินคดีเท่านั้น เพราะแท้จริงมันคือ ตัวบท เกี่ยวกับมัน .หยุดอยู่บนมัน และบรรดาหุกุมที่ที่เกียวกับทางดุนยาเหมือนกับมัน เช่น เรื่องการเมือง และการบริหารจัดการ ไม่ไ้ด้อยู่ในเรื่อง รากฐานศาสนา(อะกีดะฮ)และเรื่องอิบาดะฮของศาสนา และไม่ใช่สิ่งที่ต้องห้ามแก่บ่าวของพระองค์ ที่เป็นการห้ามในทางศาสนา เพราะแท้จริง อัลลอฮได้ทรงให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ดังนั้น พระองค์จะไม่ทรงทิ้งความบกพร่องให้ผู้อื่นจากพระองค์ มาทำให้มันสมบูรณ์ ด้วยการคาดเดาและด้วยความเห็นของเขา หลังจากที่รอซูลของพระองค์ได้เสียชีวิต...ตัฟสีรอัลมะนาร ๘/๓๕๕ อธิบายซูเราะฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ อายะฮที่ ๓๓ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
สรุปคือ
หะดิษมุอาซ เกี่ยวข้องกับ การตัดสินคดีความ และเกี่ยวขอ้งกับบรรดาหุกุมที่เกี่ยวทางโลก ไม่ใช่เรื่องอะกีดะฮ และอิบาดะฮ เพราะเรื่องนี้อัลลอฮทรงให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่ได้ทิ้งความบกพร่องให้คนอื่น มาใช้ความเห็นเพิ่มเติมให้สมบูรณ์
ท่าน อะหมัด มุสเฏาะฟา อัลมะรอฆีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟสีรของท่านว่า
وما شرع من اجتهاد الرأي في حديث معاذ وغيره فهو خاص بالقضاء لا بأصول الدين عباداته فقد أكمل الله دينه فلم يترك فيه نقص يكمله غيره بظنه ورأيه بعدوفاة رسوله وليس لقاض ولا مفت أن يسند رأيه الإجتهاد الى الله فيقول هذاحكم الله وهذادينه بل يقول هذامبلغ إجتهادي فإن كان صوابا فمن توفيق الله وإلهامه وإن خطأفمني ومن الشيطان
และสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นมาจากการอิจญติฮาด โดยความเห็น ในหะดิษมุอาซ และอื่นจากเขานั้น มันก็เฉพาะสำหรับการตัดสินคดีเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ หลักการศาสนาและ การปฏิบัติศาสนากิจ(อิบาดาต) เพราะแท้จริงอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งความบกพร่องใดๆในนั้น แล้วให้ผู้อื่น อื่นจากพระองค์ มาทำให้มันสมบูรณ์ด้วยการคาดเดาและความคิดเห็นของเขา หลังจากที่ศาสนทูตของพระองค์ได้เสียชีวิต และไม่อนุญาตให้ผู้พิพากษาและมุฟตีคนใด นำความเห็นของเขาที่ได้จากการอิจญติฮาด นำไปอ้างอิงกับอัลลอฮ โดยกล่าวว่า นี่คือ หุกุมอัลลอฮ นี่คือศาสนาของพระองค์ แต่ให้เขากล่าวว่า “นี่ เป็นเพียงการอิจญติฮาดของฉัน แล้วหากมันถูกต้อง มันก็มาจากการเตาฟิก(การช่วยเหลือ)ของอัลลอฮและการดลใจของพระองค์ และถ้าหากมันผิดพลาด มันก็มาจากตัวฉันเอง และมาจากชัยฏอน” – ดู ตัฟสีรอัลมะรอฆีย์ เล่ม 8 หน้า 140
.........................
นี่คือ การปกครอง และการตัดสินคดีความ ซึ่งหากไม่ปรากฏใน อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ก็ต้องอาศัยการอิจญติฮาดของผู้พิพากษา หรือ ผู้ปกครอง และ การอิจญติฮาด ก็อาจจะมีถูก มีผิด แต่ ถ้าผิดพลาด ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป เพราะเขามิได้เจตนา ที่จะให้ผิด ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
( إذا حكم الحاكم فاجتهد ثم أصاب فله أجران وإذا حكم واجتهد ثم أخطأ فله أجر واحد
เมื่อ ผู้พิพากษาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วเขาไ(ตัดสิน)ถูกต้อง เขาก็จะได้รับการตอบแทนผลบุญสองเท่า และเมื่อเขาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วผิดพลาด เขาก็ได้รับการตอบแทนผลบุญหนึ่งเท่า - รายงานโดย อัลบุคอรี บทที่ 97 กิตาบุลเอียะติศอม
........................
จึงสรุปได้ว่า การอิจญติฮาดนั้น เกี่ยวข้องกับ กิจการศาสนา ด้านการเมือง การปกครอง ส่วนเรื่อง อะกีดะฮ และ อิบาดะฮนั้น อัลลอฮ ได้ระบุหลักการไว้ในอัลกุรอ่านและ ท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำแบบอย่างไว้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องอิจญะติฮาด เพราะฉะนั้น การอุตริความเชื่อและพิธีกรรมศาสนา หรือ อิบาดะฮ โดยอ้างว่า ใช้หลักการกิยาส ตามความเห็นจากการวินิจฉัย(อิจญติฮาด) เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง
……………
.والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/7/60

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คำว่าบิดอะฮในศาสนาคืออะไร

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

คำว่าบิดอะฮในศาสนาคืออะไร
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
أَنَّ الْبِدْعَةَ فِي الدِّينِ هِيَ مَا لَمْ يَشْرَعْهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ وَهُوَ مَا لَمْ يَأْمُرْ بِهِ أَمْرَ إيجَابٍ وَلَا اسْتِحْبَابٍ . فَأَمَّا مَا أَمَرَ بِهِ أَمْرَ إيجَابٍ أَوْ اسْتِحْبَابٍ وَعُلِمَ الْأَمْرُ بِهِ بِالْأَدِلَّةِ الشَّرْعِيَّةِ : فَهُوَ مِنْ الدِّينِ الَّذِي شَرَعَهُ اللَّهُ وَإِنْ تَنَازَعَ أُولُو الْأَمْرِ فِي بَعْضِ ذَلِكَ . وَسَوَاءٌ كَانَ هَذَا مَفْعُولًا عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْ لَمْ يَكُنْ فَمَا فُعِلَ بَعْدَهُ بِأَمْرِهِ
แท้จริง บิดอะฮในศาสนา คือ สิ่งที่ อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ไม่ได้บัญญัติมันไว้และมันคือ สิ่งที่พระองค์ไม่ได้สั่งด้วยมัน เป็นคำสั่งที่เป็นวาญิบ และไม่ได้เป็นคำสั่งที่เป็นการส่งเสริมให้ปฏิบัติ ดังนั้นสำหรับ สิ่งที่พระองค์ สังด้วยมัน เป็นคำสั่งที่เป็นวาญิบ(ข้อบังคับ)หรือเป็นคำสั่งที่ส่งเสริมให้ปฏิบัติ และ คำสั่งด้วยมันนั้น ถูกรู้ ด้วยหลักฐานเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ มันคือ ส่วนหนึ่งจากศาสนา ที่อัลลอฮได้บัญญัติมัน และแม้ว่าบรรดาอุลุลอัมริ(นักปราชญ)จะขัดแย้งกันในบางส่วนของดังกล่าวนั้น และ ไม่ว่าสิ่งนี้ถูกปฏิบัติ ในสมัยนบี ศอ็ลฯ หรือไม่ก็ตาม แล้วสิ่งนั้นได้ถูกปฏิบัติหลังจากยุคของท่านนบีด้วยคำสั่งของท่านนบี - มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม ๔ หน้า ๑๐๘
.........................
๑. บิดอะฮในศาสนาคือสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลไม่ได้บัญญัติไว้ คือ สิ่งที่อัลลอฮหรือรอซูลไม่ได้สั่งให้ปฏิบัติ ว่าเป็นวาญิบหรือสุนัต
๒. สิ่งใดที่อัลลอฮและรอซูลสั่งไว้ ไม่ว่ในรูปของวาญิบหรือสุนัต และรู้ได้ด้วยหลักฐานทางศาสนบัญญัติ แม้ว่าบรรดานักปราชญ์จะเห็นขัดแย้งกันในบางประเด็นก็ตาม
๓. และสิ่งที่เป็นคำสั่งดังกล่าวไม่ว่าจะถูกปฏิบัติในสมัยนบีหรือได้มีการปฏิบัติยุคหลังด้วยคำสั่งนบีก็ตาม
อบูมันศูร อัลอัซฮะรีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
كلٌ من أنشأ مالم يُسْبَقْ إليه قيل له: أبدعت. ولهذا قيل لمن خالف السنة: مُبتدع. لأنه أحدث في الإسلام مالم يسبقه إليه السَّلف. وروى عن النبي صلى الله عليه و سلم بإسناد صحيح أنه قال: إياكم ومُحدثات الأمور، فإن كل مُحدثة بدعة، وكل بدعة ضلالة)
และทุกๆผู้ที่ปฏิบัติสิ่งใดๆที่ไม่เคยมีมาก่อน จะถูกกล่าวแก่เขาว่า "อับตะดะอะ"("เขาประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่)) และเพราะเหตุนี้จะถูกกล่าวแก่ผู้ที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮว่า "มุบตะเดียะ(ผู้ประดิษฐ์บิดอะฮ) เพราะแท้จริงเขาได้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในอิสลาม สิ่งซึ่ง ชนยุคสะลัฟไม่ได้ปฏิบัติมันก่อนเขา และได้ถูกรายงานจากนบี ศอ็ลฯ ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะว่า ท่านนบีกล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลายจงระวังบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา) เพราะแท้จริงทุกสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่นั้น คือ บิดอะฮและทุกๆบิดอะฮคือ การหลงผิด - ตะฮซีบุลลุเฆาะฮ หมวดอักษร บาอฺดาล,อัยนฺ

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อิหม่ามอัชชาฏิบีย์กล่าวว่า

الْبِدْعَةُ : طَرِيقَةٌ فِي الدِّينِ مُخْتَرَعَةٌ ، تُضَاهِي الشَّرْعِيَّةَ ، يُقْصَدُ بِالسُّلُوكِ عَلَيْهَا مَا يُقْصَدُ بِالطَّرِيقَةِ الشَّرْعِيَّةِ
บิดอะฮคือ แนวทางในเรื่อง ศาสนา ซึ่งถูกอุตริขึ้นมาใหม่ เลียนแบบศาสนบัญญัติ โดยมีจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติ เหมือนกับจุดมุ่งหมายตามแนวทางศาสนบัญญัติ – ดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 37
.........................
ความหมายบิดอะฮในทางศาสนาที่ระบุข้างต้น เป็นสิ่งที่ให้ความชัดเจนว่า มีความแตกต่างกับความหมายบิดอะฮในทางถาษา เพราะบิดอะฮในทางศาสนา เกี่ยวกับ เรื่องอะกีดะอและอิบาดะฮ หรือการปฏิบัติตนให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ ต่างกับกับเรื่องอาดะอ หรือ ธรรมเนียมปฏิบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ในทางโลก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๑/๗/๖๐

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เมื่อราชสีห์นั่งเทียนอธิบายอะกีดะฮกล่าวหาวะฮบีย์

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เมื่อราชสีห์นั่งเทียนอธิบายอะกีดะฮกล่าวหาวะฮบีย์
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
6 ชม.
อุลามาอ์ทั้งโลกจากอดีตกาลจวบปัจจุบัน เค้าอิสบาตสิฟัต
ส่วนวะบีจะอิสบาตอวัยวะ แต่จะพ่วงท้ายด้วยไม่เหมือนมัคลูก
อุลามาอ์สลัฟบอกว่า อัลลอฮมี "สิฟัตยะดุน"
ไม่ได้บอกว่า อัลลอฮมี "มือจริงๆ" เหมือนอย่างวะบีได้มโนแต่อย่างใด
เพราะถ้าอัลลอฮมีมือจริงๆ
มือจริงๆคือซาต คือสัดส่วน หรืออวัยวะ หาใช่สิฟัตแต่อย่างใด
ถึงจะต่อท้ายด้วยไม่เหมือนมัคลูกก้อเหอะ
มือจริงๆ คือซีฟัตตรงไหนครับ ท่านวะฮาบีย์ทั้งหลาย ? ? ?
อากีดะห์คลุมเครือแบบนี้ ยังจะดื้อรั้นอีกหรือ ? ? ?
อย่าเบื่อกับคำตักเตือนโดยเฉพาะเรื่องใหญ่ เรื่องอากีดะห์หลักศรัทธา
เรามาดูความหมายของคำว่า “ยะดุน” ในอัลกุรอ่านที่กลุ่มวะฮฺฮาบีคณะใหม่ชอบอ้างว่าคำนี้หมายถึงอัลลอฮฺทรงมีมือจริงๆ
ถ้อยคำศิฟัต “ยะดุน” เหล่าอุลามาอ์ในยุคสะลัฟศอลิห์ และค่อลัฟศอลืห์นั้น จะทำการยืนยันว่าเป็นศิฟัตของอัลลอฮฺ แค่สะลัฟไม่แปลเป็นภาษาอื่นจากอาหรับ เช่น แปลว่า “พระหัตถ์” เนื่องจาก “ยะดุน” ตามหลักภาษาอาหรับนั้น มีความหมายหลายนัย เช่น
1) มืออวัยวะตั้งแต่ขอบบรรดานิ้วไปยังฝ่ามือ(ซึ่งเป็นความหมายหะกีกีย์คำแท้ตามหลักภาษาอาหรับอันเป็นที่รู้กัน)
2) พลัง [اَلْقُوَّةُ]
3) เดชานุภาพ [اَلْقُدْرَةُ]
@@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นผู้ใช้นามแฝงว่า ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน นั่งเทียนเขียนวิจารณ์อะกีดะฮวะฮบีย์ โดยใช้ความเห็นและตรรกทางปัญญาของตน มโนและจินตนาการว่า ถ้ายืนยันสิฟัตยัด(พระหัตถ์)ตามความหมายที่มีมาตามตัวบท ถือเป็นการให้อวัยะวะแก่อัลลอฮ นี่คือมุชับบะฮะฮ(ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค)ตัวจริงเสียงจริง ทั้งๆที่คุณลักษณะนี้อัลลอฮเป็นผู้บอกเองและได้ยืนยัน โดยตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ความว่า "ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น" (ซูเราะฮฺ อัชชูรอ : 11)
การยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามที่อัลลอฮและนบีของพระองค์บอก ปราชญยุคสะลัฟไม่ถือว่าเป็นการตัชบีฮหรือการเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค ดังที่ท่านอิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ฮ.ศ 163-238) กล่าวว่า
وأما إذا قال كما قال الله تعالى يد وسمع وبصر ولا يقول كيف ولا يقول مثل سمع ولا كسمع فهذا لا يكون تشبيها وهو كما قال الله تعالى في كتابه ليس كمثله شيء وهو السميع البصير
แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงได้ยิน, ทรงเห็น พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น”
(หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51
อัลฟาฟิซ อบูบักร อัลอิสมาอีลีย์ (ฮ.ศ ๓๗๑) กล่าวว่า
وخلق آدم عليه السلام بيده، ويداه مبسوطتان ينفق كيف يشاء، بلا اعتقاد كيف يداه، إذ لم ينطق كتاب الله تعالى فيه بكيف
และพระองค์ทรงสร้างอาดัม อะลัยฮิสสลาม ด้วยมือของพระองค์ และสองมือของพระองค์ ถูกแบออก ทรงประทาน(ความโปรดปรานแก่มัคลูค) ตามที่ทรงประสงค์ โดยไม่เอียะติกอด(เชื่อ)ว่า มือของพระองค์เป็นอย่างไร เพราะ ไม่ได้ถูกกล่าวเอาไว้ในคัมภีรของอัลลอฮ ตะอาลา ด้วยการอธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไรในมัน – เอียะติกอด อะอิมมะติลหะดิษ หน้า 37

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


......
การแปลความหมายตามตัวบทว่ามือ โดยไม่เชื่อว่ามือนั้นเป็นอย่างไร เพราะอัลลอฮไม่ได้บอกไว้ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ หรือไม่เป็น ก็ไม่ได้ทรงระบุไว้ จึงไม่มีใครที่เข้าใจอะกีดะฮ จินตนาการถึงรูปแบบสิฟัตว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
อบูอุษมาน อัศเศาะบูนีย์ อัชชะฟีอีย์ (ฮ.ศ 449) นักปราชญ์ ที่เกือบจะทันยุคสลัฟ กล่าวว่า
ولا يعتقدون تشبيها لصفاته بصفات خلقه، فيقولون: إنه خلق آدم بيديه، كما نص سبحانه عليه في قوله –عز من قائل- {قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ } [ص : 75].
และพวกเขา(อะฮลุลหะดิษ)ไม่เชื่อว่า เป็นการตัชบีฮ(การเปรียบเทียบว่า)บรรดาสิฟัตของพระองค์ คล้ายคลึงกับมัคลูคของพระองค์ โดยพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้าง อาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ ดังที่อัลลอฮ(ซ.บ)ได้ตรัสเป็นตัวบทไว้ในคำตรัสของพระองค์ (อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า ? ศอด/75 – ดู อะกีดะตุสลัฟ อัศหาบุลหะดิษ ของอัศศอบูนีย์ หน้า 37 ตรวจทาน โดย อบุลยะมีน อันมันศูรีย์ และหน้า 161-162 ตรวจทานโดย นาศีร อัลญะเดียะ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
จากคำอธิบายของ อบูอุษมาน อัศศอบูนีย์ข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การที่กล่าวว่า “อัลลอฮ สร้างอาดัมด้วยสองมือของพระองค์” ตามที่อัลลอฮได้กล่าวเป็นตัวบทไว้ในอัลกุรอ่านนั้น ,บรรดาอะฮลุลหะดิษที่เป็นชาวสะลัฟ ไม่เชื่อว่า เป็นการนำอัลลอฮไปเปรียบกับมัคลูฮ
เรื่องนี้ได้ชี้แจงไปแล้วเป็นสิบๆครั้ง แต่ท่านราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน ไม่ยอมอ่าน ไม่ยอมเข้าใจ แล้วนั่งเทียนกล่าวหาและปรักปรำ คนที่แปลความหมายทางภาษาสิฟัตตามที่มีมา ว่า เป็นพวกให้อวัยวะแก่อัลลอฮ ในที่สุดการใช้ตรรกทางปัญญามานั่งเทียนกล่าวหาคนอื่นก็ทำให้ "ราชสีห์แสดงทาสแท้ออกมาเป็นมูสังแย้ว"ในที่สุด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/7/60

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อิหม่ามทั้งสี่ห้ามตามแบบหูหนวกตาบอด(تقليد الاعمى )


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


อิหม่ามทั้งสี่ห้ามตามแบบหูหนวกตาบอด(تقليد الاعمى )
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
6 ชม.
ท่ามมาลิกี เกิดปีฮศ.93 เสียชีวิตปี179..เจ้าของหนังสือที่มีชื่อเสียงดังมากคือ อัลมุวัฏเฎา ะ ท่านเป็นชาวมาดีนะและได้รับความรู้จากตาบีอีนโดยตรง ซึ่งไม่เหมือนกับท่านฮานะฟีที่เป็นชาวกุฟะ ท่านได้รับฮาดสน้อยกว่าท่านมาลิกี และท่านมาลีกีนี้ เป็นผู้ที่เข้มงวดในการปฏิบัติตามกีตาบุลลอฮ์และซุนนะบีมาก.
ท่านชาฟีอี.เกิดปีฮศ.150 เสียชีวิตปีฮศ.204..เป็นคนที่มีความจำเก่งและฉลาดท่านเก่งในด้านฟิกฮ์มากและเคร่งในกีตาบุลลอฮ์และสนับสนุนซุนนะในซุนนะ(นาซิรซุนนะ)
ท่านฮัมบาลี เกิดปี164 เสียชีวิตปีฮศ.214 เจ้าของหนังสืออัลมุสุนัดเป็นผู้ที่เคร่งในซุนนะและต่อต้านบิดอะที่หลงผิด
สรุป มัสหับต่างที่กล่าวมานั้น
ล้วนยึดถือตามคัมภีร์ของอัลลออ์เล่มเดียวกันและแบบฉบับบรอซุ้ลลัลลออ์คนเดียวกัน....
มีอะกีดะเดียวกัน ยอมรับในชารีอัตของท่านนะบี เหมือนกันและมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันและหลักอีบาดะเดียวกัน
ฉนั้นเป็นไปได้หรือว่า ท่านอีหม่ามทั้ง4 และคนรุ่นก่อนๆจะนำสิ่งที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อนมาถ่ายทอดหรือยัดเยียด...สิ่งที่วะฮาบีย์เข้าใจว่า การมีมัสหับนั้น เป็นการกระทำที่เป็นบิดอะในสายตาเขา....
ซึ่งวะฮาบีย์อ้างว่าไม่จำเป็นต้องมีมัสหับ..เลยทำให้เขาไม่รับอุลามะบางคนที่เห็นว่าขัดแย้งกับทัศนะของเขา
@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นผู้ใช้นามแฝงว่า ราชสีห์ นำเอาปีเกิดของอิหม่ามทั้งสี่มาพิมพ์แล้วชงเรื่องโจมตีวะฮบีย์ ว่า "วะฮาบีย์อ้างว่าไม่จำเป็นต้องมีมัสหับ..เลยทำให้เขาไม่รับอุลามะบางคนที่เห็นว่าขัดแย้งกับทัศนะของเขา"
...
ขอบอกว่า
ข้างต้นคุณนั่งเทียนระบายความรู้สึกของคุณที่อคติต่อคนที่ถูกเรียกวะฮบีย์ ตามอารมณ์ ทั้งนี้เพราะ 
1. ไม่มีอิหม่ามมัซฮับท่านใดสอนให้ยึดติดกับทัศนะของพวกเขาแม้แต่คนเดียว แต่พวกเขาสอนให้ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ โดยให้ละทิ้งทัศนะใดๆที่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เช่น
1.1 อบูหะนีฟะฮ (ฮ.ศ 80-150) กล่าวว่า
لا يحل لأحد أن يأخذ بقولنا ما لم يعلم من أين أخذناه 
ไม่หะลาลให้คนหนึ่งคนใด เอาทัศนะของเรา ตราบใดที่เขาไม่รู้ว่าเราเอามาจากใหน - ดู หาชียะฮอิบนุอาบิดี อะลาบะหริอัรรอิก เล่ม 6 หน้า 293
وفي رواية : »حرام على مَن لم يعرف دليلي أن يُفتي بكلامي
และในอีกรายงานหนึ่ง: “เป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ที่ไม่รู้จักหลักฐานของฉัน ในการที่เขาจะเอาคำพูดของฉันไปชี้ขาด
1.2 มาลิก บิน อะนัส (ฮ.ศ 93-179) กล่าวว่า
أَخْبَرَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْمُؤْمِنِ ، نا أَبُو عَبْدِ اللَّهِ مُحَمَّدُ بْنُ أَحْمَدَ الْقَاضِي الْمَالِكِيُّ , نا مُوسَى بْنُ إِسْحَاقَ ، نا إِبْرَاهِيمُ بْنُ الْمُنْذِرِ ، نا مَعْنُ بْنُ عِيسَى ، قَالَ : سَمِعْتُ مَالِكَ بْنَ أَنَسٍ ، يَقُولُ : " إِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ ، أُخْطِئُ وَأُصِيبُ ، فَانْظُرُوا فِي رَأْيِي ، فَكُلَّمَا وَافَقَ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ فَخُذُوا بِهِ , وَكُلَّمَا لَمْ يُوَافِقِ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ , فَاتْرُكُوهُ
คำแปลตัวบท
แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง มีผิด มีถูก ดังนั้นพวกท่านจงพิจารณา ในความเห็นของข้าพเจ้า แล้วทุกสิ่งที่สอดคล้องกับ อัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ก็จงเอามัน และทุกสิ่งที่ ไม่สอดคล้องกับอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ ก็จงทิ้งมันเสีย - ญามิอุบะยานอิลมิ วะฟัฎลิฮ เล่ม 2 หน้า 32 หมายเลข 891
1.3 มุหัมหมัด บิน อิดริส อัชชาฟิอี (ฮ.ศ 150-204) กล่าวว่า
وَأَخْبَرَنَا أَبُو عَبْدِ اللَّهِ الْحَافِظُ ، قَالَ : حَدَّثَنَا أَبُو الْعَبَّاسِ ، قَالَ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ ، يَقُولُ : " إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ " 
คำแปลตัวบท
ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด
- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙
1.4 อะหมัด บิน หัมบัล (ฮ.ศ 164-241)
อิบนุกอ็ยยิม(ร.ฮ)รายงานคำพูดอิหม่ามอะหมัดว่า
وَقَدْ فَرَّقَ أَحْمَدُ بَيْنَ التَّقْلِيدِ وَالِاتِّبَاعِ فَقَالَ أَبُو دَاوُد : سَمِعَتْهُ يَقُولُ : الِاتِّبَاعُ أَنْ يَتْبَعَ الرَّجُلُ مَا جَاءَ عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَعَنْ أَصْحَابِهِ ، ثُمَّ هُوَ مِنْ بَعْدُ فِي التَّابِعِينَ مُخَيَّرٌ ، وَقَالَ أَيْضًا : لَا تُقَلِّدْنِي وَلَا تُقَلِّدْ مَالِكًا وَلَا الثَّوْرِيَّ وَلَا الْأَوْزَاعِيَّ ، وَخُذْ مِنْ حَيْثُ أَخَذُوا
และความจริง อิหม่ามอะหมัด ได้แบ่งแยกระหว่าง การตักลิด(การเชื่อตาม)และ การอิตติบาอฺ(การเจริญรอยตาม) โดยที่ท่านอบูดาวูดได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ยินเขา(อะหมัด)กล่าวว่า "อัลอิตติบาอฺ คือ การที่คนนั้น เขาได้ตามสิ่งที่มาจากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และจากบรรดาสาวกของท่าน หลังจากนั้น คือ ผู้ที่อยู่สมัยหลังจากนั้น ในการตามนั้น ให้มีทางเลือก และเขา(อะหมัด)ได้กล่าวไว้อีกว่า"อย่าตักลีดตามข้าพเจ้า,อย่าตักลิดตามมาลิก,อย่าตักลิดตามอัษเษารีย์และอย่าตักลิดตามอัลเอาซาอีย์ และให้เอา ตามที่พวกเขาเอามา -อะอฺลามุลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 139 และ รายงานโดยอบูดาวูด ในมะสาอิลอิหม่ามอะหมัด หน้า 276-277
..................
ข้างต้น คือการห้ามตักลิด(เชื่อตาม)แบบหูหนวกตาบอด ของบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ ไม่ใช่เป็นวาทกรรมของวะฮบีย์ และไม่มีแม้แต่อักษรเดียวที่อิหม่ามสี สอนให้สังกัดมัซฮับผูกขาดด้วยมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นเฉพาะแม้แต่อักษรเดียว แต...นักตักลิดมัซฮับมโนว่า คำพูดข้างต้นคือ การถ่อมตนและเป็นการสอนเฉพาะศิษย์ระดับมุจญตะฮิด เพื่อเป็นข้ออ้างว่าต้องสังกัดมัซฮับสำหรับคนอาวาม จะรักษาความเป็นคนอาวามตลอดชาติหรือไง ใครสอน?
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ) กล่าวว่า
الواجب على كل من بلغه أمر الرسول صلى الله عليه وسلم وعرفه أن يبينه للأمة وينصح لهم ويأمرهم باتباع أمره وإن خالف ذلك رأي عظيم من الأمة فإن أمر رسول الله صلى الله عليه وسلم أحق أن يعظم ويقتدى به من رأى أي معظم قد خالف أمره في بعض الأشياء خطأ ومن هنا رد الصحابة ومن بعدهم على كل مخالف سنة صحيحة وربما أغلظوا في الرد لا بغضا له بل هو محبوب عندهم
วาญิบ แก่ทุกๆผู้ที่คำสั่งของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้ถึงมายังเขา และเขารู้จักมัน ให้เขาอธิบายมันแก่อุมมะฮ ,ตักเตือนและสั่งพวกเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านนบี และถ้าดังกล่าวนั้น (หมายถึง คำสั่งนบี) ขัดแย้งกับความเห็นของคนสำคัญคนใดจากอุมมะฮนี้ ดังนั้น คำสั่งของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ สมควรที่จะให้ความสำคัญ และปฏิบัติตาม ด้วยมันยิ่งกว่าความเห็นของบุคคลสำคัญคนใด ทีขัดแย้งคำสั่งของท่านนบี ในบางสิ่ง เพราะความผิดพลาด และด้วยเหตุนี้ บรรดาเศาะหาบะฮ และผู้ที่อยู่ในยุคหลังพวกเขา ต่อต้านทุกๆผู้ที่ขัดแย้งกับสุนนะฮที่เศาะเฮียะ และบางครั้ง พวกเขาใช้คำพูดหยาบคายในการต่อต้าน ไม่ใช่เพราะความโกรธเขาผู้นั้น แต่ทว่า เขาคือผู้เป็นทีรัก ในทัศนะของพวกเขา (คือเตือนเพราะรัก ไม่ใช่เพราะโกรธ) - ดู มัจญมัวะเราะสาอีล อิบนุเราะญับ อัลหัมบะลี เล่ม 1 หน้า 245

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

จากคำพูดของอิบนุเราะญับสรุปได้ดังนี้
หนึ่ง –วาญิบแก่ผู้รู้ที่ได้รับรู้คำสั่งหรือสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ให้ชี้แจงและตักเตือนชาวบ้านให้ปฏิบัติตาม 
สอง – คำสั่งของนบี ศอ็ลฯ หรือสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ย่อมมีความ
สำคัญกว่าความเห็นของบุคคลไม่ว่าจะสำคัญแค่ใหนก็ตาม 
สาม - เหล่าเศาะหาบะฮและปราชญยุคหลังจากพวกเขา ต่อต้านผู้ที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮที่มาจากรายงานที่เศาะเฮียะ
.............
คนที่ถูกท่านฉายาให้เป็นวะฮบีย์ เขาไม่ต่อต้านการสังกัดมัซฮับ แต่เขาต่อต้านการยึดกับมัซฮับและตามแบบหูหนวกตาบอดต่างหากครับ บาบอ ราชสีห์
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/7/60
ا