วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ขอยืนยันว่า "อิบาดะฮที่นบีไม่ทำก็คือบิดอะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



ขอยืนยันว่า "อิบาดะฮที่นบีไม่ทำก็คือบิดอะฮ
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์
13 ชม. ·
บิดอะฮ์ของพวกวะฮฺฮาบีคณะใหม่คือสิ่งที่นะบีย์
ไม่ได้ทำ
บิดอะฮ์ของชาวซุนนะฮ์ที่แท้จริงคือสิ่งที่ค้านกับอัลกุรอ่านซุนนะฮ์และอิจมาอฺ
@@@@
ชี้แจง
วาทกรรมกล่าวหา และโฆษณาให้ร้าย มุสลิมที่ถูกศัตรูฉายาว่า พวกวะฮบีย์ ยังคงทะยอยเรียกไลท์บรรดาขาเชียร์ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อจะเอาชนะด้วยวาทกรรม แค่ข้อความไม่กี่อักษรโดยปราศจากหลักฐาน
ขอยืนยันว่า อิบาดะฮที่นบี ศอ็ลฯไม่ได้ทำ ไม่ได้สอน ไม่ได้สั่งไว้ มันคือบิดอะฮ ในศาสนา ไม่ใช่นิยามของวะฮบีย์แต่เป็นนิยามของปราชญอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ดังที่จะอธิบายต่อไปนี้คือ
อย่าว่า แต่อิบาดะฮไม่ได้ทำเลย แม้แต่อิบาดะฮ ที่บรรดาเศาะหาบะฮไม่ทำ ก็คือบิดอะฮ อย่างที่ ท่านอิบนุกะษีร (ร.ฮ)
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กลล่าวว่า
وَأَمَّا أَهْلُ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ فَيَقُولُونَ فِي كُلِّ فِعْلٍ وَقَوْلٍ لَمْ يَثْبُتْ عَنِ الصَّحَابَةِ : هُوَ بِدْعَةٌ ; لِأَنَّهُ لَوْ كَانَ خَيْرًا لَسَبَقُونَا إِلَيْهِ ؛ لِأَنَّهُمْ لَمْ يَتْرُكُوا خَصْلَةً مِنْ خِصَالِ الْخَيْرِ إِلَّا وَقَدْ بَادَرُوا إِلَيْهَا .
ความว่า "และสำหรับอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮนั้น พวกเขากล่าวในทุกการกระทำ และทุกคำพูดที่ไม่มีรายงานยืนยันว่ามาจากบรรดาเศาะฮาบะฮนั้น คือ บิดอะฮ เพราะถ้าหากมันเป็นสิ่งที่ดีงาม พวกเขาก็จะปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ละทิ้งประการหน่ึ่งประการใดจากบรรดาสิ่งที่ดีงาม นอกจากพวกเขาจะรีบเร่งไปสู่การกิบัติมัน - ตัฟสีรอิบนุกะษีร 7/278-279ในภาพอาจจะมี ข้อความ
กล่าวคือ อะฮลุสสุนนะอวัลญะมาอะฮนั้นพวกเขาถือว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยัน ว่าบรรดาเศาะหาบะฮปฏิบัตนั้น มันคือบิดอะฮ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ดี พวกเขาก็ได้ปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว
อบูอัลมุซฟัรอัสสัมอานีย์กล่าวว่า
إذا ترك النبي صلى الله عليه وسلم شيئا من الأشياء وجب علينا متابعته فيه
เมื่อนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากบรรดาสิ่งต่างๆ ก็จำเป็นแก่เรา จะต้องเจริญรอยตามท่านนบีในสิ่งนั้น – เกาะวาเฏียะอัลอะดิลละฮ เล่ม 1 หน้า 311
...........
สิ่งใดท่านนบีไม่ปฏิบัติ เราก็ไม่ปฏิบัติ แบบนี้เขาเรียกปฏิบัติตามสุนนะฮตัรกียะฮ
อนึง บิดอะฮ ที่นบี ศอ็ลฯ ห้าม หมายถึงบิดอะฮ ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ(อะกีดะฮ)และการประกอบศาสนกิจ(อิบาดะฮ) ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมทางดุนยา
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
บิดอะฮในทัศนะอิบนุตัยมียะฮ
يرى البدعية في مقابل السنة، وهي : (ما خالفت الكتاب والسنة أو إجماع سلف الأمة من الاعتقادات والعبادات) ، أو هي بمعنى أعم : (ما لم يشرعه الله من الدين.. فكل من دان بشيء لم يشرعه الله فذاك بدعة،
เขา(อิบนุตัยมียะฮ) เห็นว่า บิดอะฮ ในสิ่งที่ตรงกันข้ามของคำว่าสุนนะฮ และมันคือ สิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮ หรือ มติของอุมมะฮยุคสะลัฟ เกี่ยวกับเรื่อง อะกีดะฮ และอิบาดะฮ หรือ ด้วยความหมายกว้างๆ คือ สิ่งที่อัลลอฮ ไม่ได้บัญญัติมัน จากศาสนา และทุกคนที่ ถือศาสนาด้วยสิ่งใดๆที่อัลลอฮ ไม่ได้บัญญัติมัน นั้นคือ บิดอะฮ – ดู อุศูลลุลหุกมิ อะลัล มุบตะดิอะฮ อินดะ อิบนิตัยมียะฮ ของ ดร. อะหมัด บิน มุหัมหมัด อัลหะลีบีย์ หน้า 37
การประดิษฐ์สิ่งใหม่ในทางดุนยานั้น ท่านอิบนุอับดิลบัร(ร.ฎ)ได้ชี้แจงชัดเจนว่า
وَأَمَّا ابْتِدَاعُ الْأَشْيَاءِ مِنْ أَعْمَالِ الدُّنْيَا فَهَذَا لَا حَرَجَ فِيهِ وَلَا عَيْبَ عَلَى فَاعِلِهِ
สำหรับ การประดิษฐสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ที่เกี่ยวกับบรรดาการกระทำ ทางดุนยา(หรือทางโลก)นั้น ไม่มีความผิดใดๆ ในมัน และไม่มีการตำหนิใดๆแก่ผู้ที่กระทำมัน - ดู อัลอิสติซกาซ เล่ม 2 หน้า 67
การใช้คำว่าอะฮลุสสุนนะฮ หรือชาวสุนนะฮ แทนกลุ่มอาชาอิเราะฮ แล้วผลักใสมุสลิมที่ต่างทัศนะกับตน ว่า พวกวะฮบีย์ แยกออกจากคำว่า ชาวสุนนะฮ โดยไม่ให้เป็นชาวสุนนะฮ ไม่ทราบว่าคุณ อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ เอาหลักฐานอะไรมาเป็นเครื่องตัดสิน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/8/60

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

นบีสั่งให้อ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพจริงหรือ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



นบีสั่งให้อ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพจริงหรือ
Faqir Abu Ikram Addalawi อ่านกุรอ่านที่กุบุ้ร อณุญาติครับท่าน
(ในกุบุ้ร😜😜 กับบนกุบุ้ร อันนี้ครับที่ไม่ได้)
นี่ครับ ส่วนหนึ่งจากหลักฐานที่ท่านนบีสั่งใช้ให้ซอฮาบัตอ่านกุรอ่านที่กุบุ้ร
عن ابن عمر : يقول سمعت النبي صلى الله عليه و سلم يقول :
إذا مات أحدكم فلا تحبسوه وأسرعوا به إلى قبره وليقرأ
عند رأسه بفاتحة الكتاب وعند رجليه بخاتمة البقرة في قبره
____
อย่าลืมไปค้นคว้าเพิ่มเติมก่อนฟัตวาด้วยตัวเองนะขอรับ
อิสลาม คือ การตักเตือน
วัลลอฮุอะลัม.
@@@
ชี้แจง
ข้างต้นละแบ Faqir Abu Ikram Addalawi ได้ไปเอาหะดิษเฎาะอีฟมาเป็นหลักฐาน และไม่กล้าแปล เพื่อสนับสนุนการอ่านอัลกุรอ่านที่กุโบร์ เพราะประเพณีการเฝ้ากุโบร์ในปัจจุบัน ก็คือ การนอนพักแรมที่หลุมศพ เพื่ออ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตายในหลุม ซึ่งได้ค่าตอบแทนค่อนข้างสูง รายได้งาม เป็นกอบเป็นกำ แถมเรื่องข้าวปลาอาหารเจ้าภาพจะจัดส่งปินโตมาใให้จนครบเจ็ดวัน
หะดิษดังกล่าวคือ
عَنِ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ إِذَا مَاتَ أَحَدُكُمْ فَلاَ تَحْبِسُوْهُ وَأَسْرِعُوْا بِهِ إِلَى قَبْرِهِ وَلْيُقْرَأْ عِنْدَ رَأْسِهِ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ وَعِنْدَ رِجْلَيْهِ بِخَاتِمَةِ سُوْرَةِ الْبَقَرَةِ فِي قَبْرِهِ
รายงานจากอิบนุอุมัร(ร.ฎ)ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านเสียชีวิต พวกท่านอย่าได้กักกันเขาไว้ (คืออย่าได้รอช้า)และจงรีบนำเขาไปยังหลุมศพของเขา และจงอ่าน ซูเราะฮอัลฟาติหะฮ ที่ศีรษะของเขา(มัยยิต) และอ่าน ช่วงสุดท้ายของซูเราะฮอัลบะเกาะเราะฮที่ สองเท้าของเขา (มัยยิต)ที่ หลุมศพของเขา -
ตัวอย่างหะดิษและสายรายงาน
خْبَرَنَا عَلِيُّ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ عَبْدَانَ , أنا أَحْمَدُ بْنُ عُبَيْدٍ الصَّفَّارُ , نا أَبُو شُعَيْبٍ الْحَرَّانِيُّ , نا يَحْيَى بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الْبَابْلُتِّيُّ , نا أَيُّوبُ بْنُ نَهِيكٍ الْحَلَبِيُّ مَوْلَى آلِ سَعْدِ بْنِ أَبِي وَقَّاصٍ , قَالَ : سَمِعْتُ عَطَاءَ بْنَ أَبِي رَبَاحٍ , سَمِعْتُ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عُمَرَ , سَمِعْتُ النَّبِيَّ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، يَقُولُ : " إِذَا مَاتَ أَحَدُكُمْ فَلا تَحْبِسُوهُ , وَأَسْرِعُوا بِهِ إِلَى قَبْرِهِ , وَلْيُقْرَأْ عِنْدَ رَأْسِهِ فَاتِحَةُ الْكِتَابِ ، وَعِنْدَ رِجْلَيْهِ بِخَاتِمَةِ الْبَقَرَةِ فِي قَبْرِهِ " . لَمْ يَكْتُبْ إِلا بِهَذَا الإِسْنَادِ فِيمَا أَعْلَمُ , وَقَدْ رَوَيْنَا الْقِرَاءَةَ الْمَذْكُورَةَ فِيهِ عَنِ ابْنِ عُمَرَ , مَوْقُوفًا عَلَيْهِ
1.มาดูสายรายงานหะดิษที่ระบุไว้ในตำราต่างๆ สรุปแล้วเป็นหะดิษเฎาะอิฟ
(1) عبد الله بن عمر
| (2) عطاء بن أسلم
| | (3) أيوب بن نهيك
| | | (4) يحيى بن عبد الله
| | | | (5) عبد الله بن الحسن
| | | | | (6) أحمد بن عبيد
| | | | | | (7) علي بن أحمد
| | | | | | | (8) أحمد بن الحسين
| | | | | | | | (9) الكتاب: شعب الإيمان للبيهقي [الحكم: إسناد ضعيف فيه يحيى بن عبد الله البابلتي وهو ضعيف الحديث ، وأيوب بن نهيك الحلبي وهو ضعيف الحديث]
.....................
| (2) عطاء بن أسلم
| | (3) أيوب بن نهيك
| | | (4) يحيى بن عبد الله
| | | | (5) عبد الله بن الحسن
| | | | | (6) سليمان بن أحمد
| | | | | | (7) الكتاب: المعجم الكبير للطبراني [الحكم: إسناد ضعيف فيه يحيى بن عبد الله البابلتي وهو ضعيف الحديث ، وأيوب بن نهيك الحلبي وهو ضعيف الحديث]
.......................
| (2) عطاء بن أسلم
| | (3) أيوب بن نهيك
| | | (4) يحيى بن عبد الله
| | | | (5) عبد الله بن الحسن
| | | | | (6) عباس بن محمد
| | | | | | (7) أحمد بن محمد
| | | | | | | (8) الكتاب: القراءة عند القبور للخلال [الحكم: إسناد ضعيف فيه يحيى بن عبد الله البابلتي وهو ضعيف الحديث ، وأيوب بن نهيك الحلبي وهو ضعيف الحديث]
| | | | | (6) محمد بن أحمد
| | | | | | (7) أحمد بن محمد
| | | | | | | (8) الكتاب: الأمر بالمعروف والنهي عن المنكر للخلال [الحكم: إسناد ضعيف فيه يحيى بن عبد الله البابلتي وهو ضعيف الحديث ، وأيوب بن نهيك الحلبي وهو ضعيف الحديث]
ผู้ที่อยู่ในสายรายงาน ชื่อ
1. ยะหยา บิน อับ ดุลลอฮ อัลบาบิลี หรือ อัลบาบิละตัยนฺ
2. อัยยูบ บิน นะฮีก อัลหะละบีย์
ทั้งสองท่านนี้ เฎาะอีฟ ดูรายละเอียะคำวิจารณ์ในหนังสือ สิลสิละฮอัลอะหาดีษอัฎเฎาะอีฟะฮวัลเมาฎูอะฮ เล่ม 9 หน้า 152 หะดิษหมายเลข 4140 ว่าเป็นหะดิษเฎาะอีฟมาก(ضعيف جدا )(ดูสำเนาที่แนบมา)
3. การอ่านอัลกุรอ่านที่กุโบร์ หากเป็นคำสั่งของท่านนบีจริง แน่นอน ย่อมมีการแพร่หลายในยุคเคาะลิฟะฮทั้งสี่ ,ยุคสะลัฟ แต่ไม่ปรากฏ ว่า เคาะลิฟะฮทั้งสี่ และบรรดาเศาะหาบะฮทั้งหลายปฏิบัติกัน และหากเป็นคำสั่งนบีจริง ยอมเป็นบทบัญญัติในอิสลามทีู่้กันแพร่หลาย แต่...ไม่ปรากฏเช่นนั้นเลย
.............
ขอเรียนว่า เราชี้แจงเรื่องนี้ เพื่อให้พี่น้องทราบข้อเท็จจริง เรื่องหลักฐาน ไม่ได้เจตนาขัดผลประโยชน์หรือตัดหนทางหากินของพี่น้องท่านใด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/8/60


เอกสารประกอบเพิ่มเติม



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อาชาอิเราะฮอะฮลุลกาลามไม่ได้อยู่ในแนวทางอบูหะซันและอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อาชาอิเราะฮอะฮลุลกาลามไม่ได้อยู่ในแนวทางอบูหะซันและอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์
มีคนอ้างว่า
ชาวซุนนะฮ์คณะเก่านั้น พวกเราถูกเรียกว่ากลุ่ม“อะชาอิเราะฮ์” ที่ถือตามหลักอะกีดะฮ์หลักความเชื่อต่ออัลลอฮฺจากแนวคิดของท่านอิหม่ามอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์(ช่วงปีฮิจเราะฮ์ที่260-324) ที่รวบรวมหลักความเชื่อมาจากชนในยุคสะลัฟศอลิห์ 300 ปีแรก,รวบรวมมาจากบรรดาอิหม่ามทั้ง 4 มัษฮับด้านฟิกฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม) อดีตและปัจจุบันกลุ่มอะชาอิเราะฮ์คือกลุ่มชนชั้นนำและชนหมู่มากของโลกอิสลาม โดยมีหลักความเชื่อว่า “อัลลอฮฺทรงมีมาแต่เดิม โดยไม่มีสถานที่”
ท่านผู้กอฎิลกุฎออฺ อิหม่ามตาญุดดีน อัสซุบกีย์ ปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ นามอันยิ่งใหญ่(ช่วงปีฮิจเราะฮ์ที่ 727-771) ได้กล่าวยืนยันว่า
وَبِالْجُمْلَةِ عَقِيْدَةُ الْأَشْعَرِيِّ هِيَ مَا تَضَمَّنَتْهُ عَقِيْدَةُ أَبِيْ جَعْفَرٍ اَلطَّحَاوِيِّ الَّتِيْ تَلَقَّاهَا عُلَمَاءُ الْمَذَاهِبِ بِالْقَبُوْلِ وَرَضُوْهَا عَقِيْدَةً
“และสรุปว่า หลักอะกีดะฮ์ความเชื่อต่ออัลลอฮฺของท่านอิหม่ามอัลอัชอะรีย์(ซึ่งเป็นผู้นำด้านอะกีดะฮ์ของกลุ่มคณะเก่า)นั้น คือหลักอะกีดะฮ์ที่ประมวลไว้จากหลักอากีดะฮ์ของท่านอิหม่ามอบูญะอฺฟัร อัฎฏ่อฮาวีย์(ปราชญ์สะลัฟ) ซึ่งบรรดาอุลามาอฺของมัษฮับต่างๆได้เรียนรู้(แบบรุ่นสู่รุ่น)ด้วยการยอมรับและด้วยการยินดีมาโดยตลอดในหลักอะกีดะฮ์นี้(ของท่านอิหม่ามอัชอะรีย์)”
หนังสือ, มู่อีดุ้ลนิอัม วะมุบีดุ้ลนิก็อม หน้าที่ 62.
ดังนั้น จงภูมิใจที่อยู่ในกลุ่มอะชาอิเราะฮ์และจงเผยแพร่หลักความเชื่อที่บริสุทธ์แนวทางอะฮิลิสซุนนะฮ์ฯนี้แก่พี่น้องมุสลิม
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
@@@@@
ชี้แจง
อิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ และอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ไม่ได้ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เหมือนกับอาชาอิเราะฮที่แอบอ้างอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ในปัจจุบัน
คนที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮบางกลุ่มทั้งหัวหน้ากลุ่มและศานุศิษย์ มักเอาคำพูดอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ ซึ่งเป็นปราชญสะลัฟมาอ้าง คือ
لَا تَحْوِيهِ الْجِهَاتُ السِّتُّ كَسَائِرِ الْمُبْتَدَعَاتِ
พระองค์ไม่ถูกห้อมล้อมด้วยทิศทั้งหก เหมือนสิ่งต่างๆที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่
อิบนุอะบิลอิซ ปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ เช่น เดียวกับอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ อธิบายว่า
وَقَوْلُ الشَّيْخِ رَحِمَهُ اللَّهُ : ( ( لَا تَحْوِيهِ الْجِهَاتُ السِّتُّ كَسَائِرِ الْمُبْتَدَعَاتِ ) ) هُوَ حَقٌّ ، بِاعْتِبَارِ أَنَّهُ لَا يُحِيطُ بِهِ شَيْءٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ ، بَلْ هُوَ مُحِيطٌ بِكُلِّ شَيْءٍ وَفَوْقَهُ . وَهَذَا الْمَعْنَى هُوَ الَّذِي أَرَادَهُ الشَّيْخُ رَحِمَهُ اللَّهُ
คำพูดของเช็ค (อัฏเฏาะหาวีย)ร.ฮ) (พระองค์ไม่ถูกห้อมล้อมด้วยทิศทั้งหก เหมือนสิ่งต่างๆที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่) มันคือความถูกต้อง โดยพิจารณา ที่ว่า แท้จริงพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์ห้อมล้อมพระองค์ แค่ ทว่า พระองค์ทรงห้อมล้อม ทุกสิ่งและทรงอยู่เหนือมัน และนี้คือ ความหมายที่เช็ค (หมายถึงอิหม่ามอัฏเฏาะฮาวียหมายถึง - ดู ชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฏาะฮาวียะฮ 1/269
.......
คือ อิหม่ามอัฏเฏาะฮาวียหมายถึง ทิศที่เป็นมัคลูคไม่ได้ห้อมล้อมอัลลอฮ ไม่ได้หมายถึงอิหม่ามอัฏเฏาะฮาวียปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงเหนือมัคลูค แต่อย่างใด
สำหรับ อะกีดะฮบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ คือ อัลลอฮอยูเหนือฟากฟ้า
อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย (ฮ.ศ 260 -324) อิหม่ามมัซฮับอัลอาชาอิเราะฮ ได้กล่าวถึง มติของนักวิชาการอะฮลิสสุนนะฮว่า
أنه تعالى فوق سماواته على عرشه دون أرضه ، وقد دل على ذلك بقوله : {أأمنتم من في السماء أن يخسف بكم الأرض}، وقال : {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه}. وقال : {الرحمن على العرش استوى}، وليس استواءه على العرش استيلاء كما قال أهل القدر، لأنه عز وجل لم يزل مستوليا على كل شيء
และแท้จริง พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัช อื่นจาก แผ่นดินของพระองค์และหลักฐานแสดงบอกดังกล่าวคือ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า จะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า” (อัลมุลก์/16)และพระองค์ตรัสว่า (คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน(ฟาฏิร/10)และพระองค์ตรัสว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสถิตเหนือบัลลังค์) การอิสติวาอของพระองค์บนอะรัชนั้น ไม่ใช่หมายถึงอำนาจการปกครอง ดังเช่นที่พวกกอ็ดดะรียะฮกล่าว เพราะแท้จริงพระองค์ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ทรงเป็นผู้ที่มีอำนาจปกครอง เหนือทุกสิ่งตลอดกาลอยู่แล้ว - ดู ริสาละฮอิลาอะฮลิษษะฮริ หน้า 232-234 หัวข้อ อัลอิจญมาออัตตาสีอฺ ฉบับตะหกีกโดย อับดุลลอฮชากีร มุหัมหมัดอัลญุนัยดีย
...............
อิหม่ามมัซฮับอาชาอิเราะฮยืนยันว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัช แต่ในขณะเดียวกัน คนที่แอบอ้างว่าสังกัดมัซฮับของอบูหะซันอัลอัชอารีย์ บางกลุ่มต่อต้านอะกีดะฮอัลลอฮอยู่บนฟ้าจนสุดขั้ว แถมกล่าวหาว่า การเชื่อว่าพระเจ้าอยู่เบื้องบนหรืออยู่บนฟ้า เป็นอะกีดะฮ ยิว และอะกีดะฮฟาโรห์ -นะอูซุบิลละฮ
ศึกษากันเถิดพี่น้องที่เคารพ สัจธรรมก็จะปรากฏแน่นอนด้วยอนุมัติของอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/8/60

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ท่านหญิงอาอีฉะฮสอนให้ตะวัสซุลกับกุโบร์ท่านนบีจริงหรือ



ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ



ท่านหญิงอาอีฉะฮสอนให้ตะวัสซุลกับกุโบร์ท่านนบีจริงหรือ
Noppadol Pinpradit
ถ้ารักท่านหญิงอาอีชะห์ รด. ก็จงทำตามท่าน อย่าไปเชื่อศาสนาของมุฮำมัด บิน อับดุลวะฮาบ
อุมมุลมุอ์มินีน อาอิชะฮ์(ร.ฎ.)สอน อุมมัต ทำตะวัซซุลที่กุโบร์ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)
@@@@@@@@@@@@
باب مَا أَكْرَمَ اللهُ تَعَالَى نَبِيَّهُ صَلى الله عَليهِ وسَلم بَعْدَ مَوْتِهِ
หัวข้อ อัลลอฮ์ตะอาลาทรงประทานกะรอมัตแก่ศาสดาของพระองค์(ศ)หลังจากเสียชีวิตแล้ว
أَخْبَرَنَا أَبُو النُّعْمَانِ، حَدَّثَنَا سَعِيدُ بْنُ زَيْدٍ، حَدَّثَنَا عَمْرُو بْنُ مَالِكٍ النُّكْرِيُّ، حَدَّثَنَا أَبُو الْجَوْزَاءِ أَوْسُ بْنُ عَبْدِ الله قَالَ: قَحَطَ أَهْلُ الْمَدِينَةِ قَحْطًا شَدِيدًا, فَشَكَوْا إِلَى عَائِشَةَ
เอ๊าส์ บินอับดุลลอฮ์ได้เล่าว่า ชาวนครมะดีนะฮ์ได้ประสบภัยแล้งอย่างหนัก พวกเขาจึงไปร้องทุกข์ต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์
فَقَالَتْ: انْظُرُوا قَبْرَ النَّبِيِّ صَلى الله عَليهِ وسَلم، فَاجْعَلُوا مِنْهُ كُوًى إِلَى السَّمَاءِ حَتَّى لَا يَكُونَ بَيْنَهُ وَبَيْنَ السَّمَاءِ سَقْفٌ، قَالَ: فَفَعَلُوا, فَمُطِرْنَا مَطَرًا حَتَّى نَبَتَ الْعُشْبُ وَسَمِنَتِ الإِبِلُ حَتَّى تَفَتَّقَتْ مِنَ الشَّحْمِ، فَسُمِّيَ عَامَ الْفَتْقِ
นางได้กล่าวว่า พวกท่านจงดู(มุ่งไปหา)หลุมศพท่านนบี(ศ)เถิด จากที่นั้นพวกท่านจงทำให้มันเป็นสถานที่วิงวอนไปสู่ฟากฟ้า จนจะต้องไม่เป็นระหว่างที่ตรงนั้นกับท้องฟ้ามีเพดานกั้น เขา(เอ๊าส์)เล่าว่า แล้วพวกเขา(ชาวมะดีนะฮ์)ได้กระทำตามนั้น แล้วพวกเราได้รับน้ำฝน... แล้วเรียกปีนั้นว่า อามุลฟัตกุ
@@@@@@@@@@@@
สุนัน อัด-ดาริมี ตายฮ.ศ. 255 เล่ม 1 หน้า 227 ฮะดีษที่ 93
##################################
ชี้แจง
หะดิษข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ดังคำวิจารณ์ต่อไปนี้
1.ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะอ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وما روي عن عائشة – رضى الله عنها – من فتح الكوة من قبره إلى السماء لينزل المطر، فليس بصحيح ولا يثبت إسناده، وإنما نقل ذلك من هو معروف بالكذب. ومما يبين كذب هذا أنه في مدة حياة عائشة لم يكن للبيت كوة، بل كان بعضه باقياً كما كان على عهد النبي صلى الله عليه وسلم، بعضه مسقوف وبعضه مكشوف، وكانت الشمس تنزل فيه كما ثبت في “الصحيحين” عن عائشة أن النبي صلى الله عليه وسلم كان يصلي العصر والشمس في حجرتها لم يظهر الفيء بعد. ولم تزل الحجرة كذلك حتى زاد الوليد بن عبد الملك في المسجد في إمارته لما زاد الحجر في مسجد الرسول صلى الله عليه وسلم
และสิ่งที่ถูกรายงานจากอาอีฉะฮ (ร.ฎ) เกี่ยวกับการเปิด ช่องเพดาน จากหลุมศพของท่านนบี ไปสู่ฟากฟ้า เพื่อให้ฝนตกลงมา นั้น ไม่เศาะเฮียะ และ สายรายงานของมันไม่แน่นอน และความจริง ดังกล่าวนั้น ผู้รายงานคือ ผู้ที่เป็นที่รูจักกันว่า โกหกและส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อธิบาย การโกหกของหะดิษนี้ คือ ในสมัยที่ท่านหญิงอาอีฉะฮมีชีวิตอยู่ ไม่ปรากฏว่าบ้านหลังนั้นมีช่องเพดาน ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนของมัน ยังคงสภาพเดิมอยู่ ดังที่ปรากฏในสมัยของท่านนบี ศอ็ลฯ คือ ส่วนหนึ่งถูกทำให้มีหลังคา และสวนหนึ่ง ถูกเปิด(เปิดโล่งไม่มีหลังคา) และปรากฏว่า ดวงอาทิตย์ ได้ส่องลงมาที่มัน ดังที่มีรายงานยืนยัน ใน เศาะเฮียะบุคอรีและมุสลิมว่า รายงานจากอาอีฉะฮว่า แท้จริงท่านนบี ศอ็ลฯ ปรากฏว่าท่านได้ละหมาดอัศรี ในขณะที่แสงดวงอาทิตย์อส่องเข้าไปในห้องของนาง ไม่ปรากฏการเพิ่มเติมหลังจากนั้น และห้องนั้นยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น จนกระทั้ง (สมัยผู้ปกครอง)อัลวะลิด บิน อับดิลมาลิก ได้เพิ่มเติมในมัสยิดในสมัยการปกครองของเขา เมื่อเขาเพิ่มเติมห้องนั้น ให้เข้าอยู่ในมัสยิด ของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ – ดู อัรรอ็ด อะลัลบะการีย์ หน้า 68
2. ใน ตะฮซีบุลกะมาล ของ ชัยค์ยูซูบ บิน อับดิรเราะหมาน อัลมิซซีย์ เล่มที่ 10 หน้า 443 ระบุไว้ว่า
وَ قَالَ عَلِىٌّ ابْنُ الْمَدِيْنِى : سَمِعْتُ يَحْيَى بْنَ سَعِيْدٍ يُضَعِّفُ سَعِيْدَ بْنَ زَيْدٍ فِى الْحَدِيْثِ جِدًّا .
และ อะลีย์ อิบนุ อัลมะดีนีย์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ยะหยา บิน สะอีด มีทัศนะว่า สะอีด บิน เซด เฎาะอีฟ ใน หะดิษเป็นอย่างมาก ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
3. อิบนุหะญัร (ร.ฮ)ได้ระบุใน ตะฮซีบุตตะฮซีบ เล่ม 4 หน้า 29 ว่า
وقال بن حبان كان صدوقا حافظا ممن كان يخطىء في الأخبار ويهم حتى لا يحتج به إذا انفرد وقال أبو بكر البزار لين وقال في موضع آخر لم يكن له حفظ وقال الدارقطني ضعيف
และอิบนุหิบบาน ได้กล่าวว่า เขาเป็นผู้มีสัจจะ ,มีความจำ เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ ผิดพลาดในการรายงานบรรดาหะดิษ และเขาผิดพลาดจนกระทั่ง เขาไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐาน เมื่อเขารายงานเพียงลำพัง และ อบูบักร อัลบัซซาร กล่าวว่า “ หลักฐานอ่อน และเขาได้กล่าวไว้ใน ที่อื่นอีกว่า เขา(สะอีด บิน เซด) ไม่มีความจำ และ อัดดารุลกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า “เฎาะอีฟ ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
……………..
ขอเรียนผู้อ่านว่า
ผู้รายงานหะดิษนี้บรรดานักหะดิษได้วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ ผู้รายงานที่มีนามว่า “สะอีด บิน เซด บ้างก็ยอมรับ บ้างก็ไม่ยอมรับ
อัลบานีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวถึงจุดบกพร่องข้อที่ 2 ว่า
وثانيهما: أنه موقوف على عائشة وليس بمرفوع إلى النبي حجة، لأنه يحتمل أن يكون من قبيل الآراء الاجتهادية لبعض الصحابة، مما يخطئون فيه ويصيبون، ولسنا ملزمين بالعمل بها.
และปราการที่สอง : แท้จริงมันคือหะดิษเมากูฟ บนอาอีฉะฮ (หมายถึงเป็นคำพูดอาอีฉะฮ ไม่ใช่นบีพูดเอง) และ ไม่ได้เป็นหลักฐานด้วยการอ้างถึงท่านนบี เพราะ เป็นไปได้ว่า มันเป็นส่วนหนึ่งจาก ด้านความเห็นเกี่ยวกับการอิจญติฮาด ของบรรดาเศาะหาบะฮบางส่วน จากสิ่ง ที่พวกเขามีการผิดพลาดและมีความถูกต้องในมัน(หมายถึง มีผิดมีถูกได้ในการอิจญติฮาด-ผู้แปล) และเราไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยมัน – ดู อัตตวัซซุล หน้า 128
.......................ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
แปลก.. มีหะดิษเศาะเฮียะชัดเจน เกี่ยวกับดุอาขอฝนและละหมาดขอฝน แต่คนบางจำพวก กลับไปเอาขอนไม้ผุๆ ซึ่งเป็นหะดิษที่มีปัญหา เกี่ยวกับการตะวัซซุลกับหลุมศพ ...แปลก และแปลกจริงๆ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/6/60

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตัวอย่างของการเผยแพร่ศาสนาแบบโฆษณาชวนเชื่อ




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ




ตัวอย่างของการเผยแพร่ศาสนาแบบโฆษณาชวนเชื่อ
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์
22 ชม. ·
ผู้รู้คณะเก่าไม่ได้ต่อต้านซุนนะฮ์ไม่ได้ต่อต้านหลักความเชื่อของชนสะลัฟชนยุคก่อนๆแต่เราต่อต้านวะฮฺฮาบีคณะใหม่ที่แอบอ้างซุนนะฮ์
@@@@@@@@
ชี้แจง
วาฮาบีย์ คือ วาทกรรมกรรมที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาจาก อะฮลุลบิดอะฮ ที่เอาไว้หลอกและมอมเมาคนอาวาม ใครต่อต้านชิริก ต่อต้านบิดอะฮ ต่อต้านการตีความอายาตและหะดิษสิฟาตตามตรรกทางปัญญา ก็ จะถูกโจมตีให้ร้ายและเอาคำว่า"วะฮบีย" ยัดเยียดให้ ให้คนอาวามมองว่าเป็นพวกที่ชั่วต้องระวัง เพื่อพวกหัวโจกอะฮลุลบิดอะฮ จะได้ปิดหูปิดตาแสวงหาประโยชน์จากคนอาวามต่อไป
"คนโง่เป็นเหยื่อคนฉลาด" เพราะฉะนั้น กลยุทธปลุกปั่นให้คนอาวามอยู่ในกะลา และเป็นประชาตักลิดต่อไป ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ไม่ให้พบความจริง
เท่าที่รู้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน คนที่ถูกใส่ร้ายว่า คือพวกลัทธิวะฮบีย์ เรียกร้อง สู่เตาฮีด ตามแนวทางบรรพชนยุคสะลัฟ ต่อต้านชิริกและบิดอะฮ เรียกร้องสู่การปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่มีแม้อักษรเดียว ที่เขาเรียกร้องให้ทำบิดอะฮและปกป้องบิดอะฮ ต่างกับคนบางกลุ่มที่ปากบอกเป็นอะฮลุสสุนนะฮ แต่หัวใจเป็นอะฮลุลบิดอะฮ เพราะฉะนั้น คนที่ต่อต้านกลุ่มนี้คือ กลุ่มคนที่เกรงจะเสียผลประโยชน์จากการหากินกับความโง่เขลาของประชาชนคนอาวาม
มาดูคำพูดของชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ ปราชญ์ที่ถูกศัตรูของท่านอุปโลกน์ว่า เป็นวะฮบีย์
ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับอับดุลวะฮาบ กล่าวว่า

وأما مذهبنا فمذهب الإمام أحمد بن حنبل إمام أهل السنة, ولا ننكر على أهل المذاهب الأربعة إذا لم يخالف نص الكتاب والسنة وإجماع الأمة وقول جمهورها"

สำหรับมัซอับของเรา เราดำเนินตามมัซฮับ อิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล อิหม่ามแห่งอะฮลุสสุนนะฮ และเราไม่ปฏิเสธ ชาวมัซฮับทั้งสี่ เมื่อ เขาไม่ขัดแย้งกับตัวบท แห่งคัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ.ไม่ขัดแย้งกับอัลอิจญมาอฺและทัศนะของปราชญ์ส่วนใหญ่(ญุมฮูร) -อัรเราะสาอีลอัชชัคศียะฮ 107ในภาพอาจจะมี ข้อความ
อิหม่ามมุหัมหมัด บิน อับดุ้ลวะฮับ กล่าวว่า

لست ولله الحمد أدعوا إلى مذهب صوفي أو فقيه أو متكلم أو إمام من الأئمة الذين أعظمهم مثل ابن القيم والذهبي وابن كثير وغيرهم ، بل أدعوا إلى الله وحده لا شريك له ، وأدعو إلى سنة رسول الله صلى الله عليه وسلم التي أوصى بها أول أمته وآخرهم وأرجوا أني لا أرد الحق إذا أتاني ، بل أشهد الله وملائكته وجميع خلقه إن أتانا منكم كلمة من الحق لأقبلها على الرأس والعين ، ولأضربن الجدار بكل ما خالفها من أقوال أئمتي حاشا رسول الله صلى الله عليه فإنه لا يقول إلا الحق

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮซึ่งมวลการสรรเสริญ เป็นของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชิญชวน(ดะอฺวะอ)ไปสู่ มัซฮับซูฟีย์ มัซฮับฟิกฮ มัซฮับนักวิภาษวิทยา หรือ มัซฮับ ผู้นำคนหนึงคนใด จากบรรดาผู้นำ ซึ่ง ข้าพเจ้าได้ให้ความสำคัญแก่พวกเขา เช่น อิบนุกฮ็ยยิม อัซซะฮะบี อิบนุกะษีร และอื่นจากพวกเขา แต่ทว่า ข้าพเจ้า จะเชิญชวนไปสู่ อัลลอฮองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ แก่พระองค์ และข้าพเจ้าจะ เชิญชวนไปสู่สุนนะฮของรซูลลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งท่านได้สั่งเสียไว้แก่อุมมะฮของท่านรุ่นก่อนและรุ่นหลัง และข้าพเจ้าหวังว่าข้าพเจ้าจะไม่ ปฏิเสธ ความจริงที่มายังข้าพเจ้า แต่ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าขอปฏิญาน ต่ออัลลอฮ มลาอิกะฮของพระองค์ และบรรดามัคลูคของพระองค์ ทั้งหมด ว่า หากถ้อยคำใดที่เป็นความจริง มาจาก พวกท่านได้มาถึงเรา แน่นอน ข้าพเจ้าจะยอมรับ โดยเอาหัวและตาเป็นประกัน และข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าจะทุบกำแพง กับ ทุกๆสิ่งที่ขัดแย้ง กับมัน(กับคำพูดที่มาจากความจริง) จาก คำพูดของบรรดา ผู้นำของข้าพเจ้า นอกจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แท้จริง ท่านรซูลจะไม่พูดนอกจากความจริงเท่านั้น..
-ดูอัรเราะสาอีลอัชชัคศียะฮ หน้า 252
.......ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
สรุปแนวทางดะอวะฮของชัยค์มุหัมหมัด
1. ไม่ได้เรียกร้องให้ตะอัศศุบและผูุกขาดกับมัซฮับ
2. เรียกร้องสู่เตาฮีด และอัสสุนนะฮ
3. ยอมรับความจริง ที่มาจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯโดยไม่มีเงื่อนไข
4. ไม่ต่อต้านผู้ที่สังกัดมัซฮับ หากไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่าน,อัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺ
.......
มีสุภาษิต อยู่ประโยคหนึ่งว่า
" ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน"
เพราะฉะนั้น การเผยแพร่ศาสนา โดยใช้กลยุทธโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนให้ร้าย สักวันชาวบ้านจะรู้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะโลกแห่งการสื่อสารไร้พรหมแดนอย่างทุกวันนี้ หยุดเถอะครับ ถ้าท่านยังนับถือว่าอัลลอฮคือพระเจ้า
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/8/60

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

สิ่งที่ดีในศาสนาที่นบีไม่ได้แนะนำไว้มีด้วยหรือ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


สิ่งที่ดีในศาสนาที่นบีไม่ได้แนะนำไว้มีด้วยหรือ
บิดอะฮที่ดี คือ สิ่งที่นบี ศอ็ลฯไม่ได้สอนไว้ แต่มีคนเห็นว่าดี จึงมีวาทกรรมขึ้นมาว่า "นบีไม่ทำก็ทำได้
จึงถามผู้อุตริบิดอะฮในศาสนาทั้งหลายว่า สิ่งที่ดีในศาสนานามีด้วยหรือที่ศาสนทูตของอัลลอฮ ไม่ได้บอก ไม่ได้สอน ไม่ได้แนะนำและเผยแพร่แก่อุมมะฮ มีด้วยหรือ???ทั้งๆที่คุณลักษณะของบรรดารอซูลนั้น มี 4 ข้อคือ
1.ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ ไม่พูดเท็จ
2.อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำความชั่วฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ
3.ตับลีค คือ นำศาสนาเผยแพร่แก่มนุษย์โดยทั่วถึง ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
4.ฟะตอน๊ะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด เท่าทันคน ไม่โง่เขลา
หนึ่งในสี่นั้นคือ ตับลีค คือ นำศาสนาเผยแพร่แก่มนุษย์โดยทั่วถึง ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ ۖ وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ ۚ وَاللَّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ ۗ إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ
ร่อซูลเอ๋ย ! จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเข้า และถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นจะทรงคุ้มกันเจ้าให้พ้นจากมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงแนะนำพวกที่ปฏิเสธศรัทธา- อัล-มาอิดะฮ/67
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า
يَقُولُ تَعَالَى مُخَاطِبًا عَبْدَهُ وَرَسُولَهُ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِاسْمِ الرِّسَالَةِ ، وَآمِرًا لَهُ بِإِبْلَاغِ جَمِيعِ مَا أَرْسَلَهُ اللَّهُ بِهِ ، وَقَدِ امْتَثَلَ صَلَوَاتُ اللَّهِ وَسَلَامُهُ عَلَيْهِ ذَلِكَ ، وَقَامَ بِهِ أَتَمَّ الْقِيَامِ
พระองค์ทรงสูงส่งตรัส โดยการสนทนากับบ่าวและรอซูลของพระองค์ ,มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ด้วยนามของ อัรริสาละฮ และโดยการสั่งให้เขาเผยแพร่ ทั้งหมดของสิ่งที่อัลลอฮทรงส่งเขามาด้วยมัน และแท้จริง เขา(มุหัมหมัด) ศอ็ลฯ ได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวนั้น และเขา(มุหัมหมัด) ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยมัน เป็นการปฏิบัติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ -ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 151
.......
ท่านนบี ศอ็ลฯได้เผยแพร่ คำสอนที่อัลลอฮส่งท่านมา ด้วยดังกล่าวนั้น สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว จึงถามผู้อุตริบิดอะฮว่า แล้วมี สิ่งที่ดีหรืออิบาดะฮที่ดี ที่นบีไม่ได้สอนอีกหรือ ? นบี ศอ็ลฯ เผยแพร่ไม่หมดอีกหรือ
ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า
مَا بَعَثَ اللَّهُ مِنْ نَبِيٍّ إِلاَّ كَانَ حَقًّا عَلَيْهِ أَنْ يَدُلَّ أُمَّتَهُ عَلَى خَيْرِ مَا يَعْلَمُهُ لَهُمْ، وَيَنْهَاهُمْ عَنْ شَرِّ مَا يَعْلَمُهُ لَهُمْ
ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ อัลลอฮมิได้ทรงส่งนบีท่านใดมา นอกจาก เป็นหน้าที่เหนือเขา จะต้อง แนะนำ อุมมะฮของเขา ถึงความดีของสิ่งที่เขารู้มันให้แก่พวกเขา(อุมมะฮ) และ ห้ามพวกเขา(อุมมะฮ)จากความชั่วร้ายของสิ่งที่เขารู้มันให้แก่พวกเขา(อุมมะฮ) – รายงานโดยมุสลิม จากหะดิษอับดุลลอฮ บุตร อัมริน บุตร อัลอาศ หะดิษหมายเลข 1844 กิตาบุลอิมาเราะฮ
..........
บรรดานบีทั้งหลาย มีหน้าที่ แนะนำสิ่งที่ดี และห้ามสิ่งที่ชั่ว ตามที่ได้มีการวะหยูมา แล้ว มีอีกหรือ สิ่งที่ดีในศาสนาที่นบีไม่รู้ แล้วมีการอุตริขึ้นมาทีหลังและบอกว่า "เป็นบิดอะฮที่ดี "
อิหม่ามมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า
من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا
ผู้ใดอุตริบิดอะฮขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี (เห็นว่าเป็นบิดอะฮหะสะนะฮ) แน่นอนเขาอ้างว่า แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) แล้ว สิ่งใดในวันนั้นไม่เป็นศาสนา ดังนั้นในปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นศาสนา - อัลเอียะติศอม 1/28
............
จึงสรุปว่า ความดีต่างๆในศาสนานั้น ที่ถูกสอนไว้ครบถ้วนแล้ว จึงถามนักอุตริบิดอะฮทั้งหลายว่า "ยังมีความดีในศาสนาที่นบี ศอ็ลฯไม่รู้ ไม่ได้บอกไว้ มีด้วยหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/8/60

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แปลก...ทำไมจึงเลิกทำบิดอะฮไม่ได้


ในภาพอาจจะมี ข้อความ



แปลก...ทำไมจึงเลิกทำบิดอะฮไม่ได้
แปลก....มีมุสลิมบางส่วน พยายามเหลือเกินที่จะปกป้องบิดอะฮ พยายามเหลือเกิน ที่จะอุตริบิดอะฮ พยายามเหลือเกินที่จะทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮในศาสนา
สุนนะฮที่ท่านนบี ศอ็ลฯทำแบบอย่างมันน้อยไปหรือ มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้เข้าสวรรค์หรือ ?
حَدَّثَنَا حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ ، أنبا عِيسَى بْنُ يُونُسَ ، عَنِ الأَعْمَشِ ، عَنْ حَبِيبِ بْنِ أَبِي ثَابِتٍ ، عَنْ أَبِي عَبْدِ الرَّحْمَنِ السُّلَمِيِّ ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُودٍ ، قَالَ : " اتَّبِعُوا وَلا تَبْتَدِعوَا ، فَقَدْ كُفِيتُمْ ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ ضَلالَةٌ "
คำแปลตัวบท
รายงานจากอับดุลลอฮ บิน มัสอูด ว่าเขาได้กล่าวว่า "พวกท่านจงเจริญรอยตาม(สุนนะอ)และอย่าอุตริบิดอะฮ แท้จริง(การอิตติบาอ)นั้นทำให้ เพียงพอแก่พวกท่านแล้ว และทุกบิดอะฮคือการหลงผิด - ดู อัสสุนนะฮ ของ อัลมัรวะซีย์ หะดิษหมายเลข 64ในภาพอาจจะมี ข้อความ
......
มันมีนัยอะไร มันมีประโยชน์อะไรแอบแฝงอยู่ในสิ่งที่เป็นบิดอะฮหรือ จึงเลิกหรือละทิ้งมันไม่ได้ ช่วยตอบที่ ทั้งๆที่ท่านนบี ศอ็ลฯและบรรพชนยุคสะลัฟผู้ทรงธรรม เรียกร้องให้ตามสุนนะฮและให้ระวังบิดอะฮในศาสนา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/8/60

วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ละหมาดวันศุกร์ต้องมีจำนวน 40 คนขึ้นไปจึงจะใช้ได้จริงหรือ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



ละหมาดวันศุกร์ต้องมีจำนวน 40 คนขึ้นไปจึงจะใช้ได้จริงหรือ
ได้อ่านเอาเอกสารฉบับหนึ่ง เขาตั้งชื่อว่า ละหมาดญุมอะฮ ตามแนวทาง มัซฮับชาฟิอีแท้ ซึ่งผู้เขียน ไม่ระบุชื่อตัวเอง ว่าคือใคร แต่คนอามาให้บอกว่า เป็นบาบอคนหนึ่ง เท่าที่เคยอ่านเอกสารลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ผู้เขียนไม่กล้าเปิดเผยชื่อ อาจจะกลัวเสียหน้าเมื่อมีคนมาวิจารณ์ด้วยหลักฐานที่มีน้ำหนักกว่า และต่อไปนี้ ผู้เขียนเอกสารดังกล่าวได้อ้างหลักฐานว่า “การละหมาดวันศุกร์ต้องมีจำนวน 40 คนจึงจะใช้ได้ โดยอ้างรายงานข้างล่างนี้
حَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ حَدَّثَنَا ابْنُ إِدْرِيسَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ إِسْحَقَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي أُمَامَةَ بْنِ سَهْلٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ كَعْبِ بْنِ مَالِكٍ وَكَانَ قَائِدَ أَبِيهِ بَعْدَ مَا ذَهَبَ بَصَرُهُ عَنْ أَبِيهِ كَعْبِ بْنِ مَالِكٍ أَنَّهُ كَانَ إِذَا سَمِعَ النِّدَاءَ يَوْمَ الْجُمُعَةِ تَرَحَّمَ لِأَسْعَدَ بْنِ زُرَارَةَ فَقُلْتُ لَهُ إِذَا سَمِعْتَ النِّدَاءَ تَرَحَّمْتَ لِأَسْعَدَ بْنِ زُرَارَةَ قَالَ لِأَنَّهُ أَوَّلُ مَنْ جَمَّعَ بِنَا فِي هَزْمِ النَّبِيتِ مِنْ حَرَّةِ بَنِي بَيَاضَةَ فِي نَقِيعٍ يُقَالُ لَهُ نَقِيعُ الْخَضَمَاتِ قُلْتُ كَمْ أَنْتُمْ يَوْمَئِذٍ قَالَ أَرْبَعُونَ
คำแปลตัวบท
รายงานจากอับดุรเราะมาน บิน กะอับ บิน มาลิก ว่า และเขาเป็นผู้นำทางของบิดาของเขาและหลังจากที่ได้สูญเสียการมองเห็น ว่าได้รายงานจากบิดาของเขา ,กะอับ บินมาลิก (ร.ฎ) ว่าแท้จริง ปรากฏว่าเมื่อเขาได้ยิน เสียงอาซานวันศุกร์ เขาได้วิงวอนขอความเมตตา แก่อัสอัด บิน ซุรอเราะฮ ,เขา(บุตรของกะอับ) กล่าวว่า แล้วข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่เขา(บิดา คือกะอับ)ว่า “เมื่อท่านได้ยินเสียงอาซาน ท่านจะขอความเมตตาให้แก่อัสอัด บิน ซุรอเราะฮอย่างนั้นหรือ? เขา(ท่านกะอับ)ได้กล่าวว่า “ เพราะแท้จริงเขา (อัสอัด บิน ซูรอเราะฮ) คือ บุคคลแรกที่ที่ร่วมทำละหมาดญุมอัตกับเรา ที่ ฮัรมิ-อัลนะบีต จาก หมู่บ้าน บนีบะยาเฎาะฮ ที่ นาเกียะ (สถานทีที่เป็นบึงน้ำใกล้มะดีนะฮ ) ที่ถูกเรียกว่า บึงน้ำ อัลคอฎิมาต ,ข้าพเจ้า กล่าวว่า “พวกท่านในวันนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ ? เขากล่าวว่า “มีผู้ชายจำนวน 40 คน –รายงานโดยอบูดาวูด หะดิษหมายเลข 1069
.................
หะดิษข้างต้นถูกผู้ที่สังกัดมัซฮับชาฟิอี อ้างว่า เป็นเงือนไขที่ทำให้ละหมาดวันศุกร์ ใช้ได้คือ จำนวน 40 คนขึ้นไป ซึ่งความจริง ไม่ใช่เป็นเงื่อนไขในการละหมาดญุมอัต(ละหมาดวันศุกร์) แต่เป็นเพียงเหตุการณ์ในครั้งนั้น มีคนร่วมละหมาด 40 คน ไม่ใช่เงื่อนไขว่า ต้องครบจำนวน 40 คนจึงจะสามารถทำละหมาดวันศุกร์ได้อย่างที่บางคนเข้าใจ
อิหม่ามอัชเชากานีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَأُجِيبَ عَنْ ذَلِكَ : بِأَنَّهُ لَا دَلَالَة فِي الْحَدِيث عَلَى اشْتِرَاط الْأَرْبَعِينَ ، لِأَنَّ هَذِهِ وَاقِعَة عَيْن . وَذَلِكَ أَنَّ الْجُمُعَة فُرِضَتْ عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ بِمَكَّةَ قَبْل الْهِجْرَة كَمَا أَخْرَجَهُ الطَّبَرَانِيُّ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ ، فَلَمْ يَتَمَكَّن مِنْ إقَامَته هُنَالِكَ مِنْ أَجَل الْكُفَّار ، فَلَمَّا هَاجَرَ مَنْ هَاجَرَ مِنْ أَصْحَابه إلَى الْمَدِينَةِ كَتَبَ إلَيْهِمْ يَأْمُرهُمْ أَنْ يُجَمِّعُوا فَجَمَّعُوا ، وَاتُّفِقَ أَنَّ عُدَّتهمْ إذَنْ كَانَتْ أَرْبَعِينَ ، وَلَيْسَ فِيهِ مَا يَدُلّ عَلَى أَنَّ مَنْ دُون الْأَرْبَعِينَ لَا تَنْعَقِدُ بِهِمْ الْجُمُعَة
และได้ถูกตอบเกี่ยวกับ ดังกล่าวนั้น เพราะว่า ในหะดิษ ไม่ได้เป็นหลักฐาน ที่บ่งบอกถึงการกำหนดเงื่อนไข 40 คน เพราะในกรณีนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ และดังกล่าวนั้น เพราะว่า การละหมาดญุมอัต ถูกกำหนดให้เป็นฟัรดู แก่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านอยู่ที่นครมักกะฮ ก่อนการฮิจญเราะฮ ดังที่ปรากฏหะดิษรายงานโดย อัฏฏอ็บรอนีย์ จากอิบนิอับบาส แล้วไม่สามารถที่จะทำการละหมาดญุมอัต ณ ที่นั้นได้ เนื่องจากพวกกุฟุร (ขัดขวาง) แล้วเมื่อ ผู้ที่อพยพ ได้อพยพ(ฮิจญเราะฮ)จากบรรดาสาวกของท่านนบี ไปยังนครมะดีนะฮ ท่านได้ทำบันทึกมายังพวกเขา โดยใช้ให้พวกเขา ละหมาดญุมอัต แล้วพวกเขาก็ได้ละหมาดญุมอัต และสอดคล้องกับจำนวนของพวกเขาเวลานั้น ปรากฏว่ามี 40 คน และในนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นหลักฐาน ที่แสดงบอกว่า น้อยกว่า 40 คน ละหมาดญุมอัตใช้ไม่ได้ - นัยลุ้ลเอาฏอร เล่ม 3 หน้า 275
อิหม่ามอัชเชาการนีย์ กล่าวอีกว่า
وَأَمَّا مَنْ قَالَ إنَّهَا تَصِحّ بِاثْنَيْنِ فَاسْتَدَلَّ بِأَنَّ الْعَدَد وَاجِبٌ بِالْحَدِيثِ وَالْإِجْمَاع، وَرَأَى أَنَّهُ لَمْ يَثْبُت دَلِيل عَلَى اشْتِرَاط عَدَد مَخْصُوص، وَقَدْ صَحَّتْ الْجَمَاعَة فِي سَائِر الصَّلَوَات بِاثْنَيْنِ، وَلَا فَرْق بَيْنَهَا وَبَيْن الْجَمَاعَةِ، وَلَمْ يَأْتِ نَصٌّ مِنْ رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِأَنَّ الْجُمُعَة لَا تَنْعَقِد إلَّا بِكَذَا، وَهَذَا الْقَوْل هُوَ الرَّاجِحُ عِنْدِي.
และสำหรับผู้ที่ มีทัศนะว่า แท้จริง มัน(ละหมาดวันศุกร์) ด้วยจำนวนสองคน ก็ใช้ได้ (เศาะฮ) เพราะเขาอ้างหลักฐาน ด้วยจำนวนที่เป็นวาญิบ ด้วยหะดิษและอิจญมาอฺ และเขาเห็นว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยัน การกำหนดเงื่อนไขจำนวนที่ถูกเฉพาะเจาะจงไว้ และ แท้จริง การญะมาอะฮ(การละหมาดรวมกัน) นั้นใช้ได้ ในบรรดาละหมาดอื่นๆด้วยจำนวนสองคน และไม่มีการแบ่งแยก ระหว่างมัน(ละหมาดญุมอัต)กับ การญะมาอะฮ และไม่ ปรากฏตัวบทใดๆ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ว่า แท้จริงการละหมาดญุมอัตนั้น จะไช้ไม่ได้ นอกจากด้วยจำนวนเท่านั้นเท่านี้ และนี้คือ ทัศนะที่มีน้ำหนัก ในทัศนะของข้าพเจ้า- ดู นัยลุลเอาฏอร เล่ม 3 หน้า 276
อิหม่ามอัสสะญูฏีย์ ปราชญ์มัซฮับ ชาฟิอี ได้กล่าวถึง ทัศนะเกี่ยวกับจำนวนคนที่ทำให้ละหมาดวันศุกร์ใช้ได้ มี ถึง 14 ทัศนะ และท่านได้กล่าวถึงทัศนะที่ 14 ว่า

الرَّابِعَ عَشَرَ : جَمْعٌ كَثِيرٌ بِغَيْرِ قَيْدٍ ، وَهَذَا مَذْهَبُ مالك ، فَالْمَشْهُورُ مِنْ مَذْهَبِهِ أَنَّهُ لَا يُشْتَرَطُ عَدَدٌ مُعَيَّنٌ ، بَلْ تُشْتَرَطُ جَمَاعَةٌ تَسْكُنُ بِهِمْ قَرْيَةٌ ، وَيَقَعُ بَيْنَهُمُ الْبَيْعُ وَلَا تَنْعَقِدُ بِالثَّلَاثَةِ وَالْأَرْبَعَةِ وَنَحْوِهِمْ . قَالَ الْحَافِظُ ابن حجر فِي شَرْحِ الْبُخَارِيِّ : وَلَعَلَّ هَذَا الْمَذْهَبَ أَرْجَحُ الْمَذَاهِبِ مِنْ حَيْثُ الدَّلِيلُ ، وَأَقُولُ : هُوَ كَذَلِكَ ؛ لِأَنَّهُ لَمْ يَثْبُتْ فِي شَيْءٍ مِنَ الْأَحَادِيثِ تَعْيِينُ عَدَدٍ مَخْصُوصٍ

ทัศนะที่สิบสี่ คือ คนจำนวนมาก โดยไม่จำกัด และนี้คือ มัซฮับมาลิก และที่แพร่หลายจากมัซฮับของเขาคือ จำนวนที่เฉพาะเจาะจงไม่ถูกกำหนดให้เป็นเงื่อนไข แต่ทว่า เงือนไขที่ถูกกำหนดคือ หมู่คณะที่อยู่อาศัยเป็นหมู่บ้าน และมีการซื้อขายในระหว่างพวกเขา และ มันจะไม่ถูกนับว่าใช้ได้ ด้วยคนสามคน ,สี่คนหรือ ในทำนองนั้น ,อัลหาฟิซอิบนุหะญัร ได้กล่าวไว้ ใน การอธิบายหะดิษบุคอรี(หมายถึง หนังสือฟัตหุลบารีย์) ว่า หวังว่าทัศนะนี้ เป็นทัศนะที่มีน้ำหนัก ในแง่ของหลักฐาน และข้าพเจ้า (อิหม่ามสะยูฏีย์) ก็กล่าว(หมายถึงมีทัศนะ)ว่า มันเป็นเช่นดังกล่าวนั้น เพราะ ไม่มีบรรดาหะดิษใดๆ ยืนยัน การเจาะจงจำนวนที่ถูกเฉพาะเอาไว้เลย – ดู อัลหาวีย์ ลิลฟะตาวีย์ ของอิหม่ามสะยูฎีย์ บทว่าด้วยเรื่อง
ضوء الشمعة في عدد الجمعة หน้า 66ในภาพอาจจะมี ข้อความ
....................
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)ได้ระบุทัศนะของบรรดานักวิชาการ เกี่ยวกับจำนวนคนที่จะทำให้ละหมาดญุมอัตใช้ได้ ถึง 15 ทัศนะ และท่านกล่าวถึงทัศนะที่ 15 ว่า
الْخَامِسَ عَشَرَ جَمْعٌ كَثِيرٌ بِغَيْرِ قَيْدٍ . وَلَعَلَّ هَذَا الْأَخِيرَ أَرْجَحُهَا مِنْ حَيْثُ الدَّلِيلِ
ทัศนะที่ สิบห้า : คือ คนจำนวนมาก โดยไม่มีการจำกัดจำนวน และ บางที่ ทัศนะสุดท้ายนี้ คือ ทัศนะที่มีน้ำหนักกว่า ในด้านหลักฐาน – ดูฟัตหุลบารีย์ กิตาบุลญุมอัต
............
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร และอิหม่ามสะยูฏีย์ เห็นด้วยกับทัศนะที่ว่า ไม่มีเงื่อนไขเจาะจงจำนวนคนที่ทำให้ละหมาดวันศุกร์ใช้ได้
......................
และมีการอ้างหะดิษต่อไปนี้ ว่า ทัศนะว่า ต้องมีเงื่อนไขว่า 40 คน การละหมาดวันศุกร์ จึงใช้ได้ คือ
จากญาบีร บิน อับดุลลอฮ กล่าวว่า
مضت السنة أنّ في كل أربعين فما فوقها جمعة
ตามสุนนะฮที่ผ่านมานั้น แท้จริงในทุกๆสี่สิบคนขึ้นไปนั้น ให้ละหมาดญุมอัต"
เช็คร็อมลีย์ ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า
( قَوْلُهُ : وَلِقَوْلِ جَابِرٍ مَضَتْ ) رَوَاهُ الدَّارَقُطْنِيّ وَالْبَيْهَقِيُّ وَفِيهِ عَبْدُ الْعَزِيزِ ، قَالَ الدَّارَقُطْنِيّ : مُنْكَرُ الْحَدِيثِ ، وَقَالَ الْبَيْهَقِيُّ : هَذَا الْحَدِيثُ لَا يُحْتَجُّ بِمِثْلِهِ ، وَحَدِيثُ إذَا اجْتَمَعَ أَرْبَعُونَ رَجُلًا إلَخْ أَوْرَدَهُ صَاحِبُ التَّتِمَّةِ وَلَا أَصْلَ لَهُ ، وَحَدِيثُ لَا جُمُعَةَ إلَّا بِأَرْبَعِينَ لَا أَصْلَ لَهُ
คำพูดที่ของเขาว่า (เพราะญาบีร กล่าวว่า ตามสุนนะฮที่ผ่านมา...) รายงานโดย อัดดารุลกุฏนีย์ และอัลบัยฮะกีย์ ในสายรายงาน มี (ผู้รายงานชื่อ)อับดุลหะซีซ อัดดารุลกุฏนีย์ กล่าวว่า “มุงกะรุลหะดิษ(หะดิษที่ถูกปฏิเสธ)อัลบัยฮะกีย์ กล่าวว่า “หะดิษนี้ นำมาเป็นหลักฐาน ด้วยหะดิษที่เหมือนกับมันไม่ได้ และหะดิษที่ว่า เมื่อมีจำนวนคน40 คนร่วมกัน..จนจบหะดิษ ที่เจ้าของหนังสือ อัตตะติมมะฮได้รายงานมันนั้น และไม่มีที่มาสำหรับมัน (คือ เป็นหะดิษไม่มีที่มา)และหะดิษ ที่ว่า การละหมาดญุมอัตจะใช้ไม่ได้ นอกจาก ด้วยจำนวน 40 คนนั้น เป็นหะดิษไม่มีที่มา – นิฮายะฮอัลมุหตาจญ อิลาชัรหอัลมินฮาจญ เล่ม 2 หน้า 305
..........
สรุปว่า ไม่มีหะดิษเศาะเฮียะสักบทเดียว ที่อ้างว่า ต้อง มีจำนวน 40 คนเท่านั้นจึงจะละหมาดวันศุกร์ได้ แม้แต่หะดืษเดียว แต่มีหะดิษเศาะเฮียะระบุว่า ท่านนบี ศอ็ลฯ ละหมาดญุมอัต กับเหล่าเศาะหาบะฮ 12 คน
حَدَّثَنَا مُعَاوِيَةُ بْنُ عَمْرٍو ، قَالَ : حَدَّثَنَا زَائِدَةُ ، عَنْ حُصَيْنٍ ، عَنْ سَالِمِ بْنِ أَبِي الْجَعْدِ ، قَالَ : حَدَّثَنَا جَابِرُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ ، قَالَ : " بَيْنَمَا نَحْنُ نُصَلِّي مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذْ أَقْبَلَتْ عِيرٌ تَحْمِلُ طَعَامًا فَالْتَفَتُوا إِلَيْهَا حَتَّى مَا بَقِيَ مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَّا اثْنَا عَشَرَ رَجُلًا ، فَنَزَلَتْ هَذِهِ الْآيَةُ وَإِذَا رَأَوْا تِجَارَةً أَوْ لَهْوًا انْفَضُّوا إِلَيْهَا وَتَرَكُوكَ قَائِمًا سورة الجمعة آية 11
คำแปลตัวบท
จากญาบีร บิน อับดุลลอฮ กล่าวว่า ระหว่างที่พวกเราละหมาดพร้อมกับท่านนบี ศอ็ลฯ ทันใดนั้น มีกองคารวานอูฐ บรรทุกอาหารมา แล้วพวกเขา(เศาะหาบะฮ) ก็มุ่งไปยัง กองคารวานสินค้านั้น จนกระทั้ง ไม่มีใครเหลืออยู่พร้อมกับท่านนบี ศอ็ลฯ ยกเว้น 12 คน แล้วอายะฮนี้ ได้ลงมาคือ(และเมื่อพวกเขาได้เห็นการค้าและการละเล่นพวกเขาก็กรูกันไปที่นั้น และปล่อยเจ้าให้ยืนอยู่คนเดียว)- ซูเราะฮญุมอัต อายะฮที่ 11
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
14/8/60

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อุมมะตุลวาฮิดะฮฉบับไม่แอบอ้าง







อุมมะตุลวาฮิดะฮฉบับไม่แอบอ้าง
ไปนั่งอ่านบทความวิจารณ์ เรื่อง อุมมะตุลวาฮ โดยผู้มีแนวคิดอาชาอิเราะฮ(ปลอมไม่ใช่แนวทางอิหม่ามอาชาอิเราะฮแท้) คนหนึ่ง ในหน้าเพจ ตรงประเด็นสี่มัสหับ เพื่ออุมมาตุลวาฮีดะห์ โดยนั่งเทียนเขียน ไม่มีหลักฐานทางวิชาการแม้แต่อักษรเดียว แล้วรู้สึกอยากจะนำเสนอเรื่องอุมมะตุลวาฮิดะฮ ที่อ้างอิงหลักฐาน ที่เป็นของแท้ไม่แอบอ้าง ไม่ใช้ตรรกทางปัญญานั่งเทียนเขียน
عَنْ أَبِيْ نَجِيْحٍ العِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ :
"وَعَظَنَا رَسُوْلُ اللهِ صلى الله عليه وسلم مَوْعِظَةً وَجِلَتْ مِنْهَا القُلُوْبُ وَذَرَفَتْ مِنْهَا العُيُوْنُ . فَقُلْنَا يَا رَسُوْلَ اللهِ كَأَنَّهَا مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ فَأَوْصِنَا ، قَالَ :
" اُوْصِيْكُمْ بِتَقْوَى اللهِ عَزَّ وَجَلَّ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلَافاً كَثِيراً ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِيْ وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ المَهْدِّيِّيْنَ عَضُّوْاعَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ "
رَوَاهُ أَبُوْ دَاودَ وَالتِّرْمِذِيُّ وَقَالَ : حَدِيْثٌ حَسَنٌ صَحِيْحٌ.
ความว่า: จากท่านอบู นะญีหฺ อัล-อิรบาฎฺ อิบนุ สาริยะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ เล่าว่า: “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศอ็ลฯ ได้ตักเตือนเราด้วยการตักเตือนหนึ่งที่ทำให้จิตใจหวาดหวั่น และน้ำตาเอ่อล้น แล้วพวกเราก็กล่าวว่า: “โอ้เราะสูลุลลอฮฺ ประหนึ่งว่ามันคือคำตักเตือนของผู้ที่
จะจากลา ดังนั้นท่านจงสั่งเสียให้แก่พวกเราเถิด” ท่านกล่าวว่า : “ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติและสูงส่งยิ่ง และจงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ถึงแม้นว่าทาสคนหนึ่งจะปกครองท่านก็ตาม และหากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป เขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดไว้ซึ่งสุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำ จงกัดมันด้วยฟันกราม และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด และทุกๆ ของความหลงผิดนั้นอยู่ในไฟนรก” หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ
ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในสภาพสังคมที่ขัดแย้งกันโดย
หนึ่ง- ปฏิบัติตามสุนนะฮของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
สอง- ปฏิบัติตามสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน
สาม -ห่างใกลจากบิดอะฮและเตือนกันให้ระวังเรื่องบิดอะฮในศาสนา
อิสลามสอนให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยกกัน โดยให้ยึดสายเชือกแห่งอัลลอฮ
สายเชื่อกอัลลอฮคืออะไร โปรดดูต่อไปนี้
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
อิบนุกะษีร(ร.ฮ)อธิบายว่า
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า
(
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน ไม่ใช่สามัคคีกัน บนอุตริกรรมหรือบิดอะฮ ถ้ายึดสายเชือกผุๆ แห่งการตามอารมณ์
อัลลอฮ (ซ.บ) ตรัสว่า
وَمَا كَانَ النَّاسُ إِلَّا أُمَّةً وَاحِدَةً فَاخْتَلَفُوا وَلَوْلَا كَلِمَةٌ سَبَقَتْ مِنْ رَبِّكَ لَقُضِيَ بَيْنَهُمْ فِيمَا فِيهِ يَخْتَلِفُونَ
ความว่า “และมนุษย์นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกัน แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน และหากมิใช่เพราะลิขิตซึ่งได้บันทึกไว้ที่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าแล้วไซร้ แน่นอนก็คงเกิดการตัดสินแล้วระหว่างพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน” ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 19
อิบนุกะษีร ได้อธิบายอายะห์ข้างต้นดังนี้
ثُمَّ أَخْبَرَ تَعَالَى أَنَّ هَذَا الشِّرْكَ حَادِثٌ فِي النَّاسِ ، كَائِنٌ بَعْدَ أَنْ لَمْ يَكُنْ ، وَأَنَّ النَّاسَ كُلَّهُمْ كَانُوا عَلَى دِينٍ وَاحِدٍ ، وَهُوَ الْإِسْلَامُ ؛ قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : كَانَ بَيْنَ آدَمَ وَنُوحٍ عَشَرَةُ قُرُونٍ ، كُلُّهُمْ عَلَى الْإِسْلَامِ ، ثُمَّ وَقَعَ الِاخْتِلَافُ بَيْنَ النَّاسِ ، وَعُبِدَتِ الْأَصْنَامُ وَالْأَنْدَادُ وَالْأَوْثَانُ ، فَبَعَثَ اللَّهُ الرُّسُلَ بِآيَاتِهِ وَبَيِّنَاتِهِ وَحُجَجِهِ الْبَالِغَةِ وَبَرَاهِينِهِ الدَّامِغَةِ
หลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์ทรงบอกให้ทราบว่า การตั้งภาคีเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ทั้งๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะมนุษย์ทั้งหมดทุกคนต่างก็อยู่บนศาสนาเดียวกันก็คือ อิสลาม อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า : ช่วงระหว่างนบีอาดัมถึงนบีนัวฮ์นั้นสิบศตวรรษ มนุษย์ทุกคนอยู่บนอิสลาม หลังจากนั้นก็เกิดการขัดแย้งระหว่างผู้คน เกิดการสักการะรูปปั้น, สิ่งเทียบเคียงพระเจ้า และเจว็ดต่างๆ ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ส่งบรรดารอซูลมาพร้อมกับสัญญาณต่างๆของพระองค์, ข้ออ้างอิงที่ชัดเจน และหลักฐานที่มิอาจปฏิเสธได้” ตัฟซีร อิบนิกะษีร เล่มที่ 2 หน้าที่ 541
..................
สรุปจากคำอธิบายของอิบนุกะษีร หากจะเรียกร้องสู่แนวคิดอุมมะตุลวาฮาดะฮ จากอายะฮข้างต้นคือ การเรียกร้อง มนุษย์ มาสู่ศาสนาและอะกีดะฮเดียวกัน ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสิบศัตวรรษแรกนับจากยุคของอาดัม ไม่ใช่เรียกร้องให้รวมเป็นหนึ่งเดียวบนอะกีดะฮยัดใส้หรืออะกีดะฮที่เป็นผลผลิตมาจากแนวคิดตรรกนิยม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/8/60

วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เมื่อผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮบอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคืออะกีดะฮกาเฟรยะฮูดีย์




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เมื่อผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮบอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคืออะกีดะฮกาเฟรยะฮูดีย์..
Al-Yafaie Bin-nazaie ผู้ที่มีอะกีดะฮ์ว่า อัลเลาะฮ์อยู่บนฟ้า.คือพวกกาฟีรยะฮูดีย์และนัสรอนีย์ครัช..
.....................
นี้คือหลักฐานจากปราชย์อะลิสซุนนะของชาวสุนนีย์4มัสหับ
ท่านอิหม่ามอัลมุฟัสสิร มุฮัมมัด อิบนุ อัฮมัด อัลอันซอรีย อัลกุรตุบีย ในหนังสือตัฟสีรอันโด่งดัง อัลญามิอฺ ลี อัหกาม อัลกุรอาน หรือที่รู้จักกันดีคือหนังสือตัฟสีร อัลกุรตุบีย ซึ่งได้บันทึกไว้ว่า
"و"العليّ" يراد به علو القدر والمنزلة لا علو المكان، لأن الله منزه عن التحيز"
และพระนามของอัลลอฮฺ อัล อะลิยฺ คือความสูงส่งในด้านของความสามารถ ความมีตำแหน่งเกียรติ ไม่ไช่การสูงส่งแบบมีสถานที่
เพราะอัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์จากการมีสถานที่ ( จากหนังสือ อัลญามิอฺ ลี อัหกามิลกุรอาน เล่ม 3 หน้า 278 อัลบากอเราะ : 255 )
...................
สรุปแล้วความเชื่อที่ว่าอัลเลาะมีที่อยู่กับสถานทีตรงนั้นตรงนี้เป็นความเชื่อของพวกมุญัสสิมะที่เป็นพวกหนึ่งจากพวกอัรกรอมียะฮ์นั้นเอง
@@@

ชี้แจง


ตราบใดที่คนที่อ้างว่าเป็นมุสลิมแต่ยึดเอาตรรกทางปัญญาและการตักลิดตามแนวทางอะฮลุลกาลามนำหน้าหลักฐานจากกิตาบุลลอฮ และอัสสุนนะฮ ตลอดจนแนวทางสะลัฟผู้ทรงธรรม เราจะเห็นว่า วาทกรรมข้างต้นจะออกมาจากมุสลิมจอมปลอม เรื่อยๆ
ข้อความข้างต้น บรรดาผู้ที่แอบอ้างว่ามีอะกีดะฮอาชาอิเราะฮตามอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ เปลียนมือการมาโพสต์เผยแพร่ กันเรื่อยๆแบบสิ้นคิด สิ้นวิชาการ เริ่มจากแกนนำอาชาอิเราะฮแล้วคนอื่นๆก่อนหน้านี้ไม่นาน คนที่ใช้นามว่า Sukiman Tuanno ได้นำมาอ้างแล้วนี่ก็เป็นคิวของนายนามปลอม ชื่อ Al-Yafaie Bin-nazaie ไปกอ็ปเอามาโพสต์อีก
ขอชี้แจงดังนี้
นายนามปลอม ชื่อ Al-Yafaie Bin-nazaie และอาชาอิเราะฮแอบอ้าง ซึ่งเป็น ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮและมุอตะซิละฮ ได้อ้าง อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ข้างต้น ซึ่งข้างต้นซึ่ง เป็นความเห็นปราชญยุคหลัง ในขณะเดียวกัน อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ได้ระบุทัศนะสะลัฟว่า
คำพูดของอิหม่ามกุรฏุบีย์เองที่ว่า

ولم ينكر أحد من السلف الصالح أنه استوى على عرشه حقيقة ....
และไม่มีคนใดจากชาวสะลัพผู้ทรงธรรม ปฏิเสธ ว่า อัลลอฮทรงสถิตเหนือบัลลังก์ของพระองค์จริงๆ - ตัฟสีรอัลญามิอุลอะหกามุลกุรอ่าน เล่ม 7 หน้า 219....สรุป สะลัฟยอมรับ การอยู่เหนืออะรัชของอัลลอฮ จริงๆแต่ อะชาอีเราะฮแนวคิดญะฮมียะฮไม่ยอมรับ
และในขณะเดียวกัน อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ได้ ระบุหะดิษว่า

وَرَوَى حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ عَاصِمِ بْنِ بَهْدَلَةَ - وَهُوَ عَاصِمُ بْنُ أَبِي النَّجُودِ - عَنْ زِرِّ بْنِ حُبَيْشٍ عَنِ ابْنِ مَسْعُودٍ قَالَ : بَيْنَ كُلِّ سَمَاءَيْنِ مَسِيرَةُ خَمْسِمِائَةِ عَامٍ وَبَيْنَ السَّمَاءِ السَّابِعَةِ وَبَيْنَ الْكُرْسِيِّ خَمْسُمِائَةِ عَامٍ ، وَبَيْنَ الْكُرْسِيِّ وَبَيْنَ الْعَرْشِ مَسِيرَةُ خَمْسِمِائَةِ عَامٍ ، وَالْعَرْشُ فَوْقَ الْمَاءِ وَاللَّهُ فَوْقَ الْعَرْشِ يَعْلَمُ مَا أَنْتُمْ فِيهِ وَعَلَيْهِ
และรายงานโดยหัมมาด บิน สะละมะฮวว่า รายงานจาก อาศิม บิน บะฮดะละฮ คือ อาศิม บิน อบีนุญูด จากซิรริน บิน หุบัยซ จากอิบนุมัสอูดว่า เขากล่าวว่า "ระหว่างทุกๆชั้นฟ้า ระยะทาง 500 ปี และระหว่างชั้นฟ้าที่เจ็ดและระหว่างอะรัชระยะทาง 500 ปี และระหว่างอัลกุสีย์ และระหว่างอะรัช ระยะทาง 500 ปี และอะรัช อยู่เหนือน้ำ และอัลลอฮอยู่เหนืออะรัช ทรงรู้สิ่งที่พวกท่านอยู่ในมันและบนมัน - ดู .ตัฟสีรอัลญามิอฺ ลี อะหกามิลกุรอาน เล่ม 4 หน้า 275 อัลบากอเราะ : 255ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
..............
หะดิษข้างต้นคำว่า "อัลลอฮอยู่เหนืออะรัช" ชัดเจนการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
แกนนำอาชาอิเราะฮแอบอ้างและลูกศิษย์อย่าง Al-Yafaie Bin-nazaie ก็จะไม่เคยอ่านตำราเกียวกับอะกีดธสะลัฟของจริง จึงมโนคิดว่า คำว่า"อยู่บนฟ้า" หมายถึงอยู่ในมัคลูค และคุณ Al-Yafaie Bin-nazaie ยังโง่เขลาเบาปัญญา เพราะแยกความแตกต่างระหว่างพระเจ้าผู้สร้างกับมัคลูคผู้ถูกสร้างไม่ได้
มาดูอะกีดะฮสะลัฟยืนยันว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าและได้อธิบายว่าอย่างไร

وَرَوَى يُوسُفُ بْنُ مُوسَى الْبَغْدَادِيُّ ، أَنَّهُ قِيلَ لِأَبِي عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلٍ : " اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فَوْقَ السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عَرْشِهِ بَائِنٌ مِنْ خَلْقِهِ ، وَقُدْرَتُهُ وَعِلْمُهُ فِي كُلِّ مَكَانٍ ؟ . قَالَ : نَعَمْ ، عَلَى الْعَرْشِ وَعِلْمُهُ لَا يَخْلُو مِنْهُ مَكَانٌ " .

และยยูซูฟ บิน มูซา อัลบัฆดาดีย์ กล่าวว่า "ได้ถูกกล่าวแก่ อบีอับดุลลอฮ ,อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช ของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ,พลังอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ใช่ไหมครับ ? เขา(อะหมัด) กล่าวตอบว่า "ครับ อยู่บน อะรัช และ ความรอบรู้ของพระองค์นั้น ไ่มีสถานที่ใด ซ่อนเร้นจากพระองค์ - ดู ชัรหอะกีดะฮอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ของอัลลาลุกาอีย์ เล่ม 3 หน้า 402 และ กิตาบอัลอะรัช ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 2 หน้า 247 และอัลอุลูว์ลิอะลียิลฆอ็ฟฟาร หน้า 176
.............
คำว่า แยกจากมัคลูกของพระองค์ แสดงว่า อัลลอฮไม่ได้อาศัยมัคลูคเป็นสถานที่อยู่ ตามที่พวกอาชาอิเราะฮแนวคิดญะฮมียะฮปรักปรำให้แก่คนที่ถูกเรียกวะฮบีย์
อิบนุอบีอาศิม (ฮ.ศ 287)ปราชญ์สะลัฟได้ ตั้งหัวข้อเรืองในตำราของเขาว่า
باب: ما ذكر أن الله تعالى في سمائه دون أرضه
บทว่าด้วยสิ่งที่ระบุว่า แท้จริงอัลลอฮตาอาลาอยูบนบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ อื่นจากแผ่นดินของพระองค์ - แล้ว อิบนุอบีอาศิม ได้ ระบุหลักฐานหะดิษญารียะฮ ที่ท่านนบีศอ็ลฯ ถามทาสหญิงว่าอัลลอฮอยู่ใหน?แล้วนางตอบว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า - ดูอัสสุนนะฮของ อิบนิอบีอาศิม หะดิษหมายเลข 499 หน้า 342-343ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
.........
คำว่า อยู่บนฟ้า ของพระองค์ อื่นจากแผ่นดิน เป็นการเน้นว่า อยู่บนฟ้าหรืออยู่เบื้องสูงจริง ๆ
มีหลักฐานมากมายที่ยืนยันจากอัลกุรอ่าน อัสสุนนะฮและ อะษัรจากสะลัฟ แต่ต่อให้เอามากองท่วมหัว คนที่เสพแนวคิดตรรกอะฮลุลกาลาม ก็จะไม่มองหากไม่กินกับตรรกทางปัญญาของตน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
3/8/60