วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อะกีดะฮสะลัฟทีไม่เหมือนอะชาอิเราะฮกาลามียะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
อะกีดะฮสะลัฟทีไม่เหมือนอะชาอิเราะฮกาลามียะฮ

อับดุลลอฮ บิน อัซ-ซุบัยรฺ อัล-กุร็อยชีย์ อัล-อะสะดีย์ อัล-หุมัยดีย์) เสียชีวิต เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺที่ 219 ผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองมักกะฮฺ ลูกศิษย์สุฟยาน บิน อุยัยนะฮฺ และเป็นครูของอิมามอัล-บุคอรีย์ กล่าวว่า
รากฐานอัสสุนนะฮ แล้วเขาก็กล่าวบางสิ่งบางอย่าง หลังจากนั้นเขากล่าวว่า
وَمَا نَطَقَ بِهِ الْقُرْآنُ وَالْحَدِيثُ؛ مِثْلُ: ﴿وَقَالَتِ الْيَهُودُ يَدُ اللَّهِ مَغْلُولَةٌ غُلَّتْ أَيْدِيهِمْ﴾ [المائدة: 64]، وَمِثْلُ: ﴿وَالسَّمَاوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ﴾ [الزمر: 67]، وَمَا أَشْبَهَ هَذَا مِنَ الْقُرْآنِ وَالْحَدِيثِ، لَا نَزِيدُ فِيهِ، وَلَا نُفَسِّرُهُ؛ نَقِفُ عَلَى مَا وَقَفَ عَلَيْهِ الْقُرْآنُ وَالسُنَّةُ.
وَنَقُولُ: ﴿الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى (5)﴾ [طه: 5]، وَمَنْ زَعَمَ غَيْرَ هَذَا فَهُوَ مُعَطِّلٌ جَهْمِيٌّ.
และสิ่ง ที่อัลกุรอ่านและหะดิษได้พูดเอาไว้ด้วยมัน เช่น
وَقَالَتِ الْيَهُودُ يَدُ اللَّهِ مَغْلُولَةٌ غُلَّتْ أَيْدِيهِمْ
“และชาวยิวนั้นได้กล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮ์นั้นถูกล่ามตรวน มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวน”- อัลมาอิดะฮ/64 หรือดำรัสของอัลลอฮที่ว่า
وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ
“และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์” -อัซซุมัร/67 และอายะฮฺและหะดีษที่คล้ายคลึงกันนี้ เราจะไม่เพิ่มเติมและจะไปอรรถาธิบาย(ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร?) เราจะหยุด ตามสิ่งที่อัล-กุรอาน และอัส-สุนนะฮฺได้หยุดบนมัน (โดยไม่กล่าวว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร?) และเราจะกล่าวว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
“ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์” -ฏอฮา/5] ผู้ใดกล่าวอ้าง อื่นจากนี้(หมายถึงไม่เชื่อตามนี้) เขาก็คือ พวกญะฮฺมียะฮฺที่มีแต่ความมดเท็จ -ดู อุศูลอัสสุนนะฮ ของ อับดุลลอฮ บิน อัซ-ซุบัยรฺ อัล-กุร็อยชีย์ อัล-อะสะดีย์ อัล-หุมัยดีย์ หน้า 24
..............
สะลัฟจะศรัทธาต่อสิ่งที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ระบุเอาไว้ โดยไม่มีการเพิ่มเติม และไม่มีการอธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร จะพอกับสิ่งที่อัลลอฮและท่านนบี ศอ็ลฯ บอกไว้ ใครก็ตามที่ไม่พอ ไม่หยุด และไม่เชื่อตามที่อัลลอฮและนบีบอกไว้ เขาคือ ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ
อิบนุมันดะฮ (ฮ.ศ 310 -395) กล่าวว่า อัลหุมัยดีย์ กล่าวว่า
إن الله خلق آدم يعنى بيديه " .
فقال: لا نقول غير هذا على التسليم والرضا بما جاء القرآن والحديث. لا نستوحش أن نقول كما القرآن والحديث.
แท้จริงอัลลอฮทรงสร้างอาดัม หมายถึง ด้วยสองมือของพระองค์
เขา(อัลหุมัยดีย์ กล่าวว่า " เราะจะไม่กล่าวอื่นจากนี้ บนการยอมรับ และพอใจ ด้วยสิ่งที่ อัลกุรอ่านและ อัลหะดิษ นำมา เราะจะไม่ รู้สึกหนักใจ ต่อการที่เราจะกล่าว ดังเช่น สิ่งที่อัลกุรอ่านและหะดิษ (ได้กล่าวไว้) - ดู อัตเตาฮีด ของ อิบนุมันดะฮ เล่ม 3 หน้า 309
........
สะสัฟยอมรับ คุณลักษณะที่มีมาตามตัวบท ที่อัลลอฮและรอซูล ได้บอกไว้ เขาจะไม่หนักใจที่จะกล่าวตามที่อัลลอฮและรอซูลบอก ต่างกับพวกแนวคิดญะฮมียะฮ ที่มโนว่าถ้ายืนยันตามที่มีมาในตัวบท จะทำให้เกิดจินตนาการว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูค เลยอุตริเปลี่ยนความหมายด้วยการตีความ ให้กินกับปัญญา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/10/60

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมที่อุปโลกน์ให้วะฮบีย์เป็นมุญัสสิมะฮ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



วาทกรรมที่อุปโลกน์ให้วะฮบีย์เป็นมุญัสสิมะฮ
วาทกรรม "มุชับบิฮะฮ และมุญัสสิมะฮ "ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา โดย ศัตรูของผู้เผยแพร่ เตาฮีด นำโดย ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ และปราชญ์ยุคก่อนชัยค์มุหัมหมัด เช่น ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ ,อิบนุกอ็ยยิม เป็นต้น ศัตรูเตาฮีดพวกนี้ ก็อุปโลกน์ คำว่า "มุชับบะฮะฮ และมุญัสสิมะฮ ปรำปรำและยัดเหยียดให้ ด้วย อคติและและอธรรม
คำว่า "มุชับบิฮะฮ หมายถึง ผู้ที่เปรียบอัลลอฮว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค
และคำว่า "มุญัสสิมะฮ" ในทัศนะของพวกเขาคือ ผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮเป็นรูปร่าง เหมือนมนุษย์ ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ
สองคำนี้ "อาชาอิเราะฮกาลามียะฮ ยัดเหยียด บิดเบือน ให้แก่ ทุกคนที่ ยืนยัน(อิษบาต)ความหมายคุณลักษณะของอัลลอฮ ที่มีมาตามตัวบท โดยไม่ตีความ
ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فنقول: الذي نعتقد، وندين الله به هو مذهب سلف الأمة، وأئمتها من الصحابة والتابعين لهم بإحسان من الأئمة الأربعة، وأصحابهم -رضي الله عنهم أجمعين- وهو: الإيمان بذلك، والإقرار به، وإمراره كما جاء من غير تشبيه، ولا تمثيل، ولا تعطيل، قال الله -تعالى -: {وَمَنْ يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِنْ بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَى وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّى وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءَتْ مَصِيراً} [النّساء: 115].
เรากล่าวว่า "ที่เราเชื่อมั่นและนับถือศาสนา ต่ออัลลอฮ ด้วยมันคือ มัซฮับสะลัฟ แห่งอุมมะฮ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา จากบรรดาเศาะหาบะฮ,ตาบิอีน และบรรดาผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดีงาม จาก บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ และบรรดาศานุศิษย์ของพวกเขา (ร.ฎ) และมันคือ การศรัทธา ด้วยบรรดาอายาตสิฟาต และบรรดาหะดิษของมัน(หมายถึงหะดิษสิฟาต) ,ยอมรับมันและปล่อยมัน ดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา โดยไม่มีการเปรียบเทียบ,ไม่มีการอุปมา และไม่มีการปฏิเสธคุณลักษณะ ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“และผู้ใดที่ฝ่าฝืนรอซูลหลังจากทางนำอันถูกต้องได้ปรากฏแก่เขาแล้ว และปฎิบัติตามแนวทางผู้ที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาหันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย” (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 115)- มัจญมูอะฮ อัรรอสาอีลวัลมะสาอีล อัลนัจญดียะฮ หน้า 48
..........
ไมมีส่วนใดเลย ที่คำสอนชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ แตกต่างไปจากอะกีดะฮสะลัฟ เพียงแต่ เหล่าคน ที่มีอคติ และความเกลียดชัง ทำให้สายตา ฝ้าฟาง พร่ามัว จนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
การยืนยันคุณลักษณะ(สิฟาต)ของอัลลอฮ โดยไปเปรียบกับมัคลูค ไม่ถื่อว่า เป็นผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค อย่างที่อาชาอิเราะฮจอมปลอมอ้าง
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
ومُحالٌ أن يكون مَن قال عن اللهِ ما هو في كتابه منصوصٌ مُشبهًا إذا لم يُكيّف شيئا، وأقرّ أنه ليس كمثله شيء
เป็นไปไม่ได้ว่า ผู้ที่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ ต่อสิ่งที่ถูกล่าวเป็นตัวบทในคัมภีร์ของพระองค์นั้น เป็นมุชับบะฮะฮ(เป็นผู้ที่เชื่อว่าสิฟัตอัลลอฮคล้ายคลึงกับสิฟัตมัคลูค) เมื่อพระองค์ไม่ถูกพรรณารูปแบบว่าเป็นอย่างไรแม้แต่น้อย และเขาก็ยอมรับ ว่าแท้จริง พระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ - อัลอิสติซกัร ของ อับดุลบิร เล่ม 8 หน้า 150
...........
คนที่กล่าวเกี่ยวสิฟัตอัลลอฮ ตามตัวบทในอัลกุรอ่าน โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการและเขาเชื่อว่าอัลลอฮนั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ไม่ถือว่า เขาเป็น พวกมุชับบะฮะฮ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...
ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การให้รูปร่าง) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ กล่าวต่อไปว่า
وأما إذا قيل: يد لا تشبه الأيدي، كما أنّ ذاته لا تشبه الذوات، وسمعه لا يشبه الأسماع، وبصره لا يشبه الأبصار ولا فرق بين الجمع، فإن ذلك تنزيه
และ สำหรับ เมื่อถูกกล่าวว่า " มือ (ของอัลลอฮ) ไม่ได้เหมือนบรรดามือ ดังเช่น ซาตของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาซาต(ของบรรดามัคลูค) ,การได้ ได้ยินของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาการได้ยิน และการเห็นของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาการเห็น(ของบรรดามัคลูค) และไม่มีความแตกต่างระหวางการรวม เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น คือการตันซีฮ(การให้ความบริสุทธิ์แก่อัลลอฮ)- ที่มาได้อ้างแล้ว
.......ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
คือ เมื่อกล่าวว่า มือ, ตัวตน,การได้ยิน,การเห็น ของอัลลอฮ ไม่เหมือนกับบรรดามัคลูค นั้นแหละคือ การตันซีฮ (การให้ความบริสุทธิ์แก่อัลลอฮ)
เพราะฉะนั้น การยืนยันความหมายตามตัวบท โดยเชื่อว่าไม่เหมือนมัคลูค ไม่ใช่ การตัชบีฮ(การเปรียบเทียบ)และไม่ใช่การตัจญสีม(การให้รูปร่าง) อย่างที่อาชาอิเราะฮผู้รับแนวคิดญะฮมียะฮกล่าวหาและปรักปรำใส่ร่ายวะฮบีย์
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ กล่าวว่า
عَلامَةُ جَهْمٍ وَأَصْحَابِهِ دَعْوَاهُمْ عَلَى أَهْلِ الْجَمَاعَةِ، وَمَا أُولِعُوا بِهِ مِنَ الْكَذِبِ، إِنَّهُمْ مُشَبِّهَةٌ، بَلْ هُمُ الْمُعَطِّلَةُ
เครื่องหมาย ของญะฮมิน(หัวหน้าญะฮมียะฮ)และบรรดาศานุศิษย์ของเขา คือ การกล่าวหา อะฮลุสสุนนะฮ และสิ่งที่พวกเขาจุดไฟ จากการโกหกด้วยมัน ว่าแท้จริง(อะฮลุสสุนนะฮ)คือ มุชับบะฮะฮ แต่ในทางกลับกัน พวกเขา(ญะฮมียะฮ)นั้นแหละคือ พวกมุอัฏฏิละฮ (พวกปฏิเสธคุณลักษณะอัลลอฮ) - อัลลาลุกาอีย์ ใน ชัรหอุศูลเอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ หะดิษหมายเลข 937
............
กลุ่มอาชาอิเราะฮ บางกลุ่มยังคงใช้วิธีกล่าวหา วะฮบีย์ ว่า เป็นพวกมุชับบิฮะฮ พวกมุญัสสิมะฮ ต่อไปเพราะมันคือ พฤติกรรมของญะฮมุน(หัวหน้าแนวคิดญะฮมียะฮ) และสาวกของเขา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/10/60


วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตัวอย่างอะกีดะฮแนวอะฮลุลกาลามที่ถูกอ้างว่าเป็นอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ตัวอย่างอะกีดะฮแนวอะฮลุลกาลามที่ถูกอ้างว่าเป็นอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ
Sukiman Tuanno
จากอิหม่ามอัสสุบกีย์ กล่าวว่า หลักอากีดะของอัฮลิสสุนนะนั้น อัลลอฮทรงดั้งเดิม ไม่มีทิศสำหรับพระองค์ ไม่มีสถานที่ ไม่ผ่านขั้นตอนของเวลา ไม่ถูกกล่าวกับพระองค์ว่าอยู่ไหน พระองค์จะไม่ถูกเห็นด้วยกับการเผชิญหน้าและอยู่บนการเผชิญหน้า พระองค์ทรงมีมาแล้วโดยไม่มีสถานที่อยู่ พระองค์ทรงสร้างสถานที่และเวลา และปัจจุบันพระองค์ก็ยังอยู่เช่นนั้น(ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) จาก อัสสุบกีย์ ฏอบากอต อัชชาฟีอียะ อัลกุบรอ เล่ม 9 หน้า 41
............
ชัแจง
ข้้างต้น คนอ้างไม่กล้าเอาตัวบทอาหรับมา กลัวว่าคนจะรู้ว่าตนเองแปลไม่ถูก ขาดความมั่นใจ ขอวิจารณ์ ดังนี้คือ
1.ตาญุุดดีน อัสสุบกีย์ ชื่อเต็มว่า อบูนัศรุน ตาญุดดีน อับดุลวาฮาบ บิน อาลี บิน อับดุลกาฟีย์ อัสสุบกีย์ เป็นปราชญ์ ยุคเคาลัฟ มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ 727-771 มีแนวคิดแบบอาชาอิเราะฮ
2. มาดูข้อความ คำพูดอิหม่ามตายุดดีนอัสสุบกีย์และความหมาย
ดังนี้
عقيدتنا أن الله قديم أزليٌّ، لا يُشْبِهُ شيئا ولا يشبهه شىء، ليس له جهة ولا مكان، ولا يجري عليه وقتٌ ولا زمان، ولا يقال له أين ولا حيث، يُرَى لا عن مقابلة ولا على مقابلة، كان ولا مكان، كوَّن المكان، ودبَّرَ الزمان، وهو الآن على ما عليه كان، هذا مذهب أهل السنة
อะกีดะฮของเรา แท้จริง อัลลอฮทรงมีมาแต่เดิม ทรงนิจนิรันดร์ ทรงไม่คล้ายคลึงสิ่งใดๆและ ไม่มีสิ่งใดคล้ายคลึงพระองค์ ไม่มีทิศสำหรับพระองค์ ไม่มีสถานที่ ,เวลาและกาลเวลาไม่ ผ่านบนพระองค์ และ ไม่ถูกกล่าวกับพระองค์ว่าอยู่ไหน ,ไม่ถูกกล่าวว่าอยู่ที่ใด พระองค์จะไม่ถูกเห็นด้วยกับการเผชิญหน้าและอยู่บนการเผชิญหน้า พระองค์ทรงมีมาแล้วโดยไม่มีสถานที่อยู่ พระองค์ทรงสร้างสถานที่และทรงบริหาร เวลา และปัจจุบันพระองค์ก็ยังอยู่เช่นนั้น(ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) นี้คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮ ..-ฏอบากอต อัชชาฟีอียะ อัลกุบรอ เล่ม 9 หน้า 41
…………..
ขอเรียนว่า ข้างต้นไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ ผู้ทรงธรรม ด้วยหลักฐานต่อไปนี้
2.1 คำว่า “ไม่มีทิศ” ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ เพราะสะลัฟ ไม่ได้กล่าวปฏิเสธคำว่า “ทิศ” ดังที่ อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)กล่าวทัศนะสะลัฟว่า
وقد كان السلف الأول لا يقولون بنفي الجهة , ولا ينطقون بل نطقوا هم والكافة بإثباتها لله , كما نطق كتابه وأخبرت رسله , ولم ينكر أحد من السلف الصالح أنه استوى على عرشه حقيقة
และปรากฏว่าสะลัฟยุคแรก พวกเขาไม่ได้กล่าวด้วยการปฏิเสธ คำว่า "ทิศ" และพวกเขาจะไม่พูด แต่ทว่า พวกเขาเองทั้งหมด รับรองมัน(การอิสติวาอฺ)แก่อัลลอฮ ดังที่คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารอซูลของพระองค์ ได้บอกไว้ และไม่มีคนใดจากชาวสะลัพผู้ทรงธรรม ปฏิเสธ ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์จริงๆ(ไม่ใช่อุปมาอุปมัย) - ดู ตัฟสีรญามิอิลอะหกาม 7/219-220
2.2 คำว่า "ไม่มีสถานที่ " ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ เพราะ ไม่มีสะลัฟท่านใดปฏิเสธคำว่าสถานที่แก่อัลลอฮ ซึ่งหมายถึงสถานที่เบื้องสูง แยกจากมัคลูค
อิหม่ามหัรบฺุ บิน อิสมาอีล อัลกุรมานีย์ (ฮ.ศ 280)กล่าวว่า
أن الجهمية أعداء الله وهم الذين يزعمون أن القرآن مخلوق وأن الله لم يكلم موسى ولا يرى في الآخرة ولا يعرف لله مكان وليس على عرش ولا كرسي وهم كفار فأحذرهم
ญะฮมียะฮ คือ ศัตรูอัลลอฮ และพวกเขาอ้างว่า อัลกุรอ่าน คือ มัคลูค (สิ่งถูกสร้าง) แท้จริงอัลลอฮไม่ได้พูดกับมูซา ,พระองค์จะไม่ถูกเห็น ในวันอาคีเราะฮ , เขาไม่รู้สถานที่สำหรับอัลลอฮ (ว่าอยู่ที่ใหน) ,(เขาอ้างว่า) ไม่ได้อยู่บนอะรัช และไม่ได้อยู่บนกุรสีย์ และพวกเขาคือ กาเฟร ดังนั้นจงระวังพวกเขา --อัลอุลูว์ ลิอะลีิลฆอ็ฟฟาร หน้า 194,กิตาบอะรัช ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ 2/262
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 652 กล่าวว่า
ولا يقدر أحد ان ينقل عن أحد من سلف الامة وأئمتها في القرون الثلاثة حرفا واحدا يخالف ذلك لم يقولوا شيئا من عبارات النافية أن الله ليس في السماء والله ليس فوق العرش
และไม่มีคนหนึ่งคนใด สามารถรายงานจากคนใดจากชาวสะลัฟ แห่งอุมมะฮ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ในศตวรรษที่สาม แม้แต่อักษรเดียว ขัดแย้งกับดังกล่าวนั้น พวกเขา(สะลัฟ) ไม่เคยพูดสิ่งใดๆจากบรรดาข้อความที่ปฏิเสธ ว่าแท้จริง อัลลอฮไม่ได้อยู่บนฟ้า ,อัลลอฮไม่้ได้อยูเหนืออะรัช ....บะบายตัลบิส อัลญะฮมียะฮ 2/45
2.3 การอ้างว่า อัลลอฮจะไม่ถูกเห็นแบบเผชิญหน้า แบบนี้ไม่ใช่อะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ เพราะอะกีดะฮที่ขัดต่ออัสสุนนะฮ จะได้เห็นอัลลอฮด้วยตา ในวันกิยามะฮ โดยหะดิษระบุชัดเจนว่าเห็นอัลลอฮด้วยตาในวันกิยามะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้
อัลลอฮฺตรัสว่า
وُجُوهٞ يَوۡمَئِذٖ نَّاضِرَةٌ إِلَىٰ رَبِّهَا نَاظِرَةٞ
ความว่า “ในวันนั้น หลายๆใบหน้าจะเบิกบาน จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน” (อัล-กิยามะฮฺ: 22-23)
ท่านอิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
، إِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ ) أَيْ : تَرَاهُ عَيَانًا ، كَمَا رَوَاهُ الْبُخَارِيُّ ، رَحِمَهُ اللَّهُ ، فِي صَحِيحِهِ : " إِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبَّكُمْ عَيَانًا "
คำตรัสที่ว่า (จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน) หมายถึง มันเห็นพระองค์ ด้วยต่าเปล่า ดังสิ่งที่อัลบุคอรี(ขออัลลอฮ ตะอาลาเมตตาต่อท่าน)ได้รายงานมันในเศาะเฮียะของท่านว่า ? แท้จริง พวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วยตาเปล่า? - ดู ตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบาย อายะฮที่ 22 ซูเราะฮอัลกิยามะฮ
2.4 การอ้างว่า จะไม่ถูกถามเกี่ยวกับอัลลอฮว่าอยู่ที่ใหน ความเชื่อเช่นนี้ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ ไม่ใช่อะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ เพราะมีหะดิษชัดเจนว่า ท่านนบี ศอ็ลฯ ถามทาสหญิงว่าอัลลอฮอยู่ใหน
อิหม่ามอัซซะฮบีย์ ได้กล่าวถึงหะดิษญารียะฮ ที่ท่านนบีถามทาสหญิงคนหนึ่งว่าอัลลอฮอยู่ใหนว่า ว่า
هذا حديث صحيح أخرجه مسلم وأبو داود والنسائي وغير واحد من الأئمة في تصانيفهم ، يمرونه كما جاء ولا يتعرضون له بتأويل ولا تحريف ، وهكذا رأينا كل من يسأل : أين الله ؟ ، يبادر بفطرته ويقول : في السماء ، ففي الخبر مسالتان :إحداهما : شرعية قول المسلم : أين الله .الثانية : قول المسؤول : في السماء . فمن أنكر هاتين المسألتين فإنما ينكر على المصطفى صلى الله عليه وسلم
นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม,อบูดาวูด,อันนะสาอีย์ และหลายคนจากบรรดาอิหม่ามในงานเขียนของพวกเขา ,โดยพวกเขาปล่อยให้มันผ่านไปและพวกเขาไม่คัดค้านมันด้วยการตีความและเปลี่ยนความหมาย และในทำนองเดียวกันนี้ เราเห็นว่า ทุกๆคนที่ถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ด้วยธรรมชาติของเขา เขาจะตอบทันทีว่า “ อยู่บนฟากฟ้า” ดังนั้น ในหะดิษนี้ แบ่งออกเป็นสองประเด็นคือ
1. คำพูดของมุสลิมที่ว่า “อัลลอฮอยู่ใหน” ชอบด้วยหลักศาสนบัญญัติ
2. คำพูดของผู้ถูกถาม คือ อยู่บนฟากฟ้า
ดังนั้น ใครคัดค้าน สองประเด็นนี้ ความจริง เขาได้คัดค้านนบีมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม – มุคตะศอรอัลอะลูย์ หน้า 81 ,อัลอุลูว์ ลิลอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 26 และอิษบาตรสิฟะติลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮ หน้า 70
..............
จากที่กล่าวมา แค่หลักฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คำพูดของชัยค์ตายุดดีนอัสสุบกีย์ที่ นาย Sukiman Tuanno มาอ้างนั้น ไม่ใช่อะกีดะฮอะลุสสุนนะฮตามแนวทางสะลัฟ แต่เป็นอะกีดะฮตามแนวทางอาชาอิเราะฮที่เดินตามแนวทางอะฮลุลกาลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/10/60

เอกสารประกอบเพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อเขาหาว่าคำว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคือตรรกวิบัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เมื่อเขาหาว่าคำว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคือตรรกวิบัติ
Sukiman Tuanno
ผู้ดูแล · 1 ชม.
มาดูตรรกะวิบัติกัน..
@@@@
ไม่น่าเชื่อว่า ข้างต้นเป็นคำพูดมุสลิม นาย Sukiman Tuanno เอาข้อความที่ผมและคุณ ชารีฟ บอกว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า มาโพสต์ดูหมิ่น เยาะเย้ยว่า "เป็นตรรกวิบัติ - นะอูซุบิลละฮ
เพราะเหตุนี้กระมัง ที่อิหม่ามชาฟิอี ต่อต้านพวกเสพวิชากาลาม ที่นำตรรกทางปัญญามาปฏิเสธคุณลักษณะอัลลอฮที่มีมาตามตัวบทและตีความเปลี่ยนความหมายให้กินกับปัญญาของตน
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
حُكْمِي فِي أهْلِ الكلاَمِ أنْ يُضْرَبُوا بِالْجَرِيْدِ وَالنِعَالِ وَيُطَافُ بِهِمْ فِي العَشَائِرِ وَالقَبَائِلِ وَيُقَالُ : هَذَا جَرَاءُ مَنْ تَرَكَ الكِتَابَ وَالسُنَّةَ وَأقْبَلَ عَلَى الكلاَمِ
“คำตัดสินของฉันเกี่ยวกับนักวิพากษ์นิยมนั้นคือ ให้หวดด้วยก้านอินผลัม และรองเท้า แล้วจับแห่รอบวงศาคณาญาติและชนเผ่าต่างๆ โดยให้กล่าวว่า นี่คือรางวัลของผู้ละทิ้งอัลกุรอานและซุนนะห์แล้วไปรับเอาวิชากะลาม” - ซิยะรุ้ลอะอ์ลามิลนุบะลาอ์ 10/29
ในศาสนานั้น เราไม่สามารถใช้หลักฐานทางปัญญา หรือ ที่เรียกว่า “ดะลีลุ้ลอั๊กลี่ย์” ( الدليل العقلي ) นำหน้า, โต้แย้งหรือหักล้างหลักฐานทางศาสนาที่เรียกว่า “ดะลีลุ้ลนักลีย์” ( الدليل النقلي ) หมายถึงหลักฐานทางศาสนาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอัลกุรอานและฮะดีษของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเรื่องนี้เราได้พบว่า ชาวสะลัฟได้แสดงจุดยืนไว้อย่างชัดเจน ดังคำพูดของท่าน อิหม่ามอะห์หมัด รอฮิมะฮุลลอฮ์ ที่กล่าวว่า
والسُّـنَّةُ عِنْدَنَا: آثَارُ رَسُولِ اللهِ-صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ–،والسُّنَّةُ تُفَسِّرُ القُرْآنَ،وَهِيَ دَلائِلُ القُرْآنِ،وَلَيْسِ فِي السُّنَّةِ قِيَاسٌ،وَلا تُضْرَبُ لَهَا الأَمْثَالُ،وَلا تُدْرَكُ بالعُقُولِ وَلا الأَهْوَاءِ،إنَّمَا هُوَ الإتِّـبَاعُ وتَرْكُ الهَوَى
และอัสสุนนะฮ ในทัศนะของเรา คือ บรรดาร่องรอย (หะดิษ)ของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และอัสสุนนะฮ อรรถาธิบายอัลกุรอ่าน และมันคือบรรดาหลักฐาน แห่งอัลกุรอ่าน “ไม่มีการนำสิ่งใดมาเปรียบเทียบในเรื่องซุนนะห์ (ไม่ถือเป็นการกิยาสในสิ่งที่ขัดแย้งกับซุนนะห์ หรือที่มีซุนนะห์ชัดเจนอยู่แล้ว) และไม่มีการนำสิ่งใดมาอุปมาเป็นตัวอย่าง และไม่สามรถล่วงรู้ได้ด้วยสติปัญญา แม้แต่อารมณ์ความรู้สึก แต่มันคือการปฏิบัติตาม และการละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกนั้น” อุศูลุลซุนนะห์ หน้าที่ 19
การเชื่อว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า เป็นอะกีดะฮที่มีหลักฐาน เช่น
อัลลอฮอยู่บนฟ้า คืออะกีดะฮของอิสลาม เป็นความเชื่อของบรรพชนยุคสะลัฟผู้ทรงธรรม ดังที่ อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฎ) กล่าวว่า
مقالة السلف وأئمة السنة بل الصحابة والله ورسوله صلى الله عليه وسلم والمؤمنين : وأن الله فوق سماواته
คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือ
แท้จริงอัลลอฮ อยู่เหนือฟากฟ้าของพระองค์ – อัลอะลูว์ หน้า 107
قال الإمام عبد الله بن إمام أحمد حدثني أبي رحمه الله، نا سريج بن النعمان، نا عبد الله بن نافع، قال: كان مالك بن أنس يقول:" الله في السماء وعلمه في كل مكان لا يخلو منه شيء
อิหม่ามอับดุลลอฮ บิน อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้า (ร.ฮ) ได้เล่าข้าพเจ้าว่า "สุรัยญ บิน อัลนุอมาน ได้ เล่าเรา ว่า อับดุลลอฮ บิน นาเฟียะได้เล่าเรา โดยเขาได้กล่าวว่า อานัส บิน มาลิก กล่าวว่า " อัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้า และความรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากมัน
-แหล่งอ้างอิง
"مسائل أحمد من رواية أبي داود 353"، "السنة لعبد الله بن أحمد (1/280) "والشريعة للآجري 289"، "وشرح أصول اعتقاد أهل السنة للالكائي 673"وابن عبد البر في"التمهيد"(7/138
.............
มีหลักฐานอันมากมาย ทั้งอัลกุรอ่านและหะดิษ ซึ่งเราได้นำเสนอหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีผลทำให้พวกแนวคิดญะฮมียะฮ กลับตัว
والله أعلم بالصواب
อะสันหมัดอะดั้ม
9/10/60

เอกสารประกอบเพิ่มเติม
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กฏของสิ่งที่นบีและสะลัฟผู้ทรงธรรมละทิ้งไม่ปฏิบัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


กฏของสิ่งที่นบีและสะลัฟผู้ทรงธรรมละทิ้งไม่ปฏิบัติ

القاعدة الثالثة: إذا تَرَكَ الرسول صلى الله عليه وسلم فعل عبادة من العبادات، مع كون موجبها وسببها المقتضي لها قائمًا ثابتًا، والمانع منها منتفيًا؛ فإن فعلها بدعة
กฏข้อที่สาม : เมื่อรอซูล ศอ็ลฯ ได้ละทิ้ง การปฏิบัติอิบาดะฮใดๆจากบรรดาอิบาดาต ทั้งๆที่ เหตุผลและสาเหตุของมัน ที่ความต้องการให้ปฏิบัติสำหรับมัน ยังคงอยู่ และ อุปสรรค์ที่มาขัดขวางไม่ให้ปฏิบัตินั้น ไม่มี ดังนั้น แท้จริงการปฏิบัติมัน (การปฏิบัติอิบาดะฮนั้น) คือบิดอะฮ - อัลอิบดาอฺ ของ อาลีมะหฟูซ หน้า 34 และ เกาะวาอิด มะริฟะติลบิดอิ ของ อัลญิซานีย์ หน้า 74
.......
กล่าวคือ อิบาดะฮใดๆที่ท่านนบีละทิ้งไม่ปฏิบัติในสมัยของท่านทั้งที่สิ่งนั้น มีเหตุผลที่จะปฏิบัติ และไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติ ดังนั้น การปฏิบัติอิบาดะฮนั้นถือเป็นบิดอะฮ
القاعدة الرابعة: كل عبادة من العبادات، ترك فعلها السلف الصالح من الصحابة والتابعين وتابعيهم، أو نقلها، أو تدوينها في كتبهم، أو التعرض لها في مجالسهم، فإنها تكون بدعة، بشرط أن يكون المقتضي لفعل هذه العبادة قائما، والمانع منه منتفيا
กฏช้อที่ 4 : ทุกๆอิบาดะฮ จากบรรดาอิบาดะฮต่างๆ ที่สะลัฟผู้ทรงธรรม จากบรรดาเศาะหาบะฮ ,บรรดาตาบิอีนและบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ได้ละทิ้งไม่ปฏิบัติมัน หรือ ไม่มีการรายงานมัน หรือ ไม่มีการบันทึกไว้ในบรรดาตำราของพวกเขา หรือ ไม่มีการนำมันมาแสดงในมัจลิส ของพวกเขา แท้จริงมันคือ บิดอะฮ โดยมีเงื่อนไขว่า เหตุผลในการปฏิบัตินี้คงอยู่ และสิ่งขัดขวาง(หรืออุปสรรคใดๆ) ไม่มี - ที่มาได้อ้างแล้ว
..............
เพราะฉะนั้น การอ้างว่านบีไม่ทำ สะลัฟไม่ทำ สามารถทำได้ เป็นการอ้างลอยๆ โดยปราศจากหลักฐานทางวิชาการ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/10/60

สำเนาหนังสือ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วาทกรรมถามว่า "นบีห้ามไหม?

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมถามว่า "นบีห้ามไหม?
มีท่านครู บางท่านอัดนักวิชาการที่ถูกเรียกว่า "วะฮบีย์เมื่องไทย" แบบเผ็ดร้อน ถูกใจคนเกลียดวะฮบีย์
เสียงดังฟังชัด "อีซีกุโบร์ นบีห้ามไหม ? การทำเมาลิดนบีห้ามไหม? ......
ถ้าใช้หลักคิดในเรื่องศาสนา ว่า "นบีไม่ห้ามแล้วทำได้ " ศาสนาที่มาจากวะหยูของอัลลอฮ ผ่านสุนนะฮนบีเอาไปไว้ที่ใหนหรือ
ต่อไปใครจะคิดอะไรก็ได้ ที่เห็นว่าดี แล้วสนับสนุนให้คนอาวามทำ โดยใช้หลักคิด นบีไม่ได้ห้าม แน่นอน อุตริกรรมในศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะเข้ามาทับถมและฝังกลบสุนนะฮนบี จนคนรุ่นหลังคิดว่า สิ่งเป็นบิดอะฮคือคำสอนศาสนา เข้ามาแทนที่ ที่นี้ การปฏิญานตนประโยคที่สองจะมีความหมายอะไร..น่าเศร้าจริงๆ
1.คำสอนของท่านนบี ศอ็ลฯ เป็นวะหยูจากอัลลอฮ
พระองค์อัลลอฮได้ตรัสไว้ว่า
وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى
“และเขามิได้พูดตามอารมณ์ อัล-กุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา”-อัลนัจญม /3-4
2.แบบอย่างของท่านนบี ศอ็ลฯคือ แบบอย่างที่ดีที่สุด
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا
“โดยแน่นอน ในเราะสูลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมาก”-อัฃอะหซาบ /21
3. ถ้ารักอัลลอฮ ต้องการให้พระองค์รัก และอภัยความผิดให้ ก็ทรงสั่งให้ตามนบี
พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللّهُ غَفُورٌ رَّحِيمٌ
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”- อาลิมอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
อิหม่าม อัรชัรกะชีย์กล่าวว่า
الْمُتَابَعَةَ كما تَكُونُ في الْأَفْعَالِ تَكُونُ في التُّرُوكِ
การเจริญรอยตาม ในเรื่อง การทิ้ง(ของนบี)นั้น ก็เหมือนการเจริญรอยตาม ในการกระทำ(ของนบี) - ดู บะหรุลมุฮีฏ เล่ม 4 หน้า 191
..............................
หมายความว่า
เมื่อนบี ศอ็ลฯ ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ เป็นการตามสุนนะฮนบี เมื่อนบีไม่ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือการทำตามสุนนะฮนบี
......
เมื่อผู้รู้ให้ท้ายคนอาวามให้อุตริสิงที่เป็นบิดอะฮ แทนที่จะเตื่อนให้หยุดอยู่ที่สุนนะฮ เพียงเพื่อต้องการที่ยืนในดุนยา สังคมก็จะจมปลักอยู่กับคำสอนที่เป็นขยะทางศาสนาอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่มีวันจบ มีแต่คนส่งเสริมให้คนถม และไม่มีคนที่เตือนให้กำจัด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/10/60

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อหมดปัญญาทางวิชาการก็ท้าให้เอาอุลามาอมาโชว์


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เมื่อหมดปัญญาทางวิชาการก็ท้าให้เอาอุลามาอมาโชว์
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน ได้แชร์โพสต์ของ แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์
30 กันยายน เวลา 10:04 น.
วาฮาบีหากแน่จริงเอาอูลามาตัวเองมาโชว์หน่อยหาก ของจริงกล้าๆหน่อย ทุกคนจะได็รู้จักด้วย
@@@
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นพฤติกรรมของคนที่หมดหนทางนำเสนอหลักฐานทางวิชาการมาโต้แย้งหลักฐาน ของ พี่น้องมุสลิม ที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ผู้หลงผิด โดยงัดเอาพ่ายใบสุดท้ายคือ เอาเชื่อโต๊ะครูมาประกวด ..อนาถจริงๆ สังคมมุสลิม ไม่มีอะไรพัฒนาเอาเสียเลยในทางวิชาการ ปิดหูปิดตา ปิดปาก จนวิชาการไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้
ขอเรียนว่า ผู้รู้นั้น มีมากมาย ไม่ตต้องเอามาประกวด หรอก ถ้าประกวดแบบของเก่าโบราน ปราชญยุคสะลัฟผู้ทรงธรรมเก่ากว่าเยอะ แต่ถ้าบรรดาผู้รู้ยุคหลัง ทุกคนล้วนมีเกียรติ์ หากผู้เขาเป็น อุลามาอฺ ที่ทำหน้าในฐานะทายาทของท่านนบี คือ ถ่ายทอดสุนนะฮนบี มาสู่คนอาวามให้เข้าใจและปฏิบัติ
ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
فَضْلُ الْعَالِمِ عَلَى الْعَابِدِ كَفَضْلِ الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ عَلَى سَائِرِ الْكَوَاكِبِ، وَإِنَّ الْعُلَمَاءَ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ، وَإِنَّ الأَنْبِيَاءَ لَمْ يُوَرِّثُوْا دِيْنَارًا وَلاَ دِرْهَمًا، وَلَكِنْ وَرَّثُوْا الْعِلْمَ، فَمَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ
“ความประเสริฐของผู้รู้ที่โดดเด่นเหนือผู้ปฏิบัติอิบาดะฮฺเปรียบเสมือนความประเสริฐของดวงจันทร์ในคืนจันทร์เพ็ญที่โดดเด่นเหนือดาวดวงอื่นๆ และแท้จริงบรรดาอุละมาอ์คือทายาทผู้รับมรดกจากบรรดานบี และแท้จริงบรรดานบีไม่ได้ทิ้งมรดกแม้แต่หนึ่งดีนารหรือหนึ่งดิรฮัม แต่ทว่าพวกเขาได้ทิ้งมรดกแห่งความรู้ ดังนั้นผู้ใดรับมรดกแห่งความรู้ (จากพวกเขา) แท้จริงเขาได้รับเอาส่วนแบ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์” (เศาะหีห, บันทึกโดยอะหมัด, เล่ม 5 หน้า 196, ดดาริมีย์, เล่ม 1 หน้า 83, อบูดาวูด, เล่ม 3 หน้า 318, อัตติรมิซีย์, เล่ม 4 หน้า 153, อิบนุมาญะฮฺ, เล่ม 1 หน้า 81)
คำว่า "บรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี" หมายถึงการสืบทอดความรู้และสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วถ้าอุตริบิดอะฮขึ้นมา จะเรียกว่า สืบทอดมรดกนบีได้อย่างไร?
قَالَ أَبُو حَاتِمٍ رَضِيَ الِلَّهِ عَنْهُ : فِي هَذَا الْحَدِيثِ بَيَانٌ وَاضِحٌ أَنَّ الْعُلَمَاءَ الَّذِينَ لَهُمُ الْفَضْلُ الَّذِي ذَكَرْنَا ، هُمُ الَّذِينَ يُعَلِّمُونَ عِلْمَ النَّبِيِّ صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، دُونَ غَيْرِهِ مِنْ سَائِرِ الْعُلُومِ ، أَلا تَرَاهُ يَقُولُ : " الْعُلَمَاءُ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ " وَالأَنْبِيَاءُ لَمْ يُوَرِّثُوا إِلا الْعِلْمَ ، وَعِلْمُ نَبِيِّنَا صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سُنَّتُهُ ، فَمَنْ تَعَرَّى عَنْ مَعْرِفَتِهَا لَمْ يَكُنْ مِنْ وَرَثَةِ الأَنْبِيَاءِ .
อบูหาติม บิน หิบบาน (ร.ฎ)กล่าวว่า ในหะดิษนี้ คือการอธิบายอย่างชัดเจนว่า บรรดาอุลามาอฺ ที่พวกเขาได้รับเกียรติ ที่เราได้กล่าวถึงพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่สอนความรู้ของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ใช่บรรดาความรู้อื่นจากความรู้ท่านนบี ,ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่า "ท่านนบีกล่าวว่า (แท้จริงบรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี) และบบรรดานบีนั้น พวกเขาจะไม่มอบมรดก(แก่ผู้ใด) นอกจากความรู้ และความรู้ของนบีของเรานั้น คือ สุนนะฮของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใดห่างใกลจากการรู้จักมัน(หมายถึงรู้จักสุนนะฮนบี) เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจาก ทายาทบรรดานบี - เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน ๑/๘๙ กิตาบุลอิลมิในภาพอาจจะมี ข้อความ
จากคำอธิบายของอิบนุหิบบานข้างต้นสรุปว่า
๑.บรรดาอุลามาอฺหรือผู้รู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นทายาทบรรดานบีคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความรู้ของท่านนบี
๒. ความรู้ของท่านนบี คือ สุนนะฮของท่านนบี
๓. บรรดาผู้รู้ที่ไม่รู้จักสุนนะฮนบี พวกเขาไม่ใช่ทายาทบรรดานบี
เพราะฉะนั้น อุลามาอฺที่ถ่ายทอดสิ่งที่เป็นบิดอะฮ เขาไม่ใช่ทายาททางวิชาการของท่านนบี ไม่ว่าจะรุ่นใหน ยุคใหนก็ตาม ต่อให้มนุษย์บูชามากมากมายขนาดใหนก็ตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
2/10/60

ญิซิม คือ วาทกรรมทีถูกอุปโลกน์ขึ้นมาตีกรอบให้แก่คุณลักษณะอัลลอฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ญิซิม คือ วาทกรรมทีถูกอุปโลกน์ขึ้นมาตีกรอบให้แก่คุณลักษณะอัลลอฮ
Sukiman Tuanno
ผู้ดูแล · เมื่อวานนี้ เวลา 22:48 น.
ว่าด้วยเรื่องญีซิม ..
คุณลักษณะของสิ่งมีที่เป็นญีซิมมันเป็นการบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งถูกสร้างครับ เพราะฉะนั้นลักษณะของมันจะสามารถเปรียบเทียบญีซิมด้วยกันกับมันได้ เช่น เมื่อฉันอยู่บนดิน แน่นอนดินต้องอยู่ใต้ฉัน มีการดำเนินต่อกัน
งจากอิหม่ามอบุลฟัดล อัตตามีมี ที่อิหม่ามอัหมัดตอบโต้กลุ่มมุญัสสิมะ
وأنكر على من يقول بالجسم وقال إن الأسماء مأخوذة بالشريعة واللغة وأهل اللغة وضعوا هذا الاسم على كل ذي طول وعرض وسمك وتركيب وصورة وتأليف والله تعالى خارج عن ذلك كله فلم يجز أن يسمى جسما لخروجه عن معنى الجسمية ولم يجىء في الشريعة ذلك فبطل
อิหม่ามอัหมัดปฏิเสธการมีลักษณะญีริม ณ อัลลอฮฺโดยกล่าวว่า ลักษณะการเป็นญีซิมนั้นกินความหมายถึงทุกสิ่งที่มีความยาว กว้าง ประกอบกัน [Manaqib Imam Ahmad oleh Imam Al-Baihaqi dan rujuk juga I’tiqad Al-Imam Al-Mubajjal Ibn Hanbal 294-295,
และจากอิหม่ามอัหมัด إذا كانت بأسانيد صحاح ولا يوصف الله بأكثر مما وصف به نفسه بلا حد ولا غاية อ้างอิง [Syi’ab Al-Iman 1/105] สังเกตอิสบาตโดยที่ไม่ไปเข้าใจสิ่งทีอิสบาตนั้นเป้นแบบมีขอบเขต เพราะมันจะเข้าสู่ลักษณะ ญีซิม แน่นอน อิหม่ามอัหมัดปฏิเสธคำว่า ญีซิม นี้มาก ณ อัลลอฮฺ
@@@@@
ชี้แจง
ได้ตัดเอาบางส่วน ซึ่งล้วนเป็นขยะทางอากีดะฮใช้ตรรกคิดเอง
เพราะไม่มีตัวบทอัลกุรอ่านแม้แต่อักษรเดียว กล่าวถึง คำว่า ญิซิม( รูปร่าง) ในเชิงยืนยัน (อิษบาต)ก็ไม่มี และในเชิงปฏิเสธ(النفي ‌)ก็ไม่มี แต่พวกสมองมโนตรรก อุปโลกน์ขึ้นมา ตีกรอบให้อัลลอฮ
อัลลอฮทรงมีอยู่ จะเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้ เพราะทรงไม่มีสิ่งใดเหมือน แต่พวกสมองแนวคิดตรรกนิยมทางปัญญา กลับปฏิเสธ ในสิ่งที่ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮไม่ระบุไว้ แบบนี้ คือคนเสียสติ
อ้างว่า ว่าอิหม่ามอะหมัดปฏิเสธ การมีรูปร่าง (ญิสิม) ใหนหรือคำพูดท่านอิหม่ามโดยตรง
นาย Sukiman Tuanno อ้างคำพูดที่พันลิ้นตัวเองว่า
ولا يوصف الله بأكثر مما وصف به نفسه
และอัลลอฮจะไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ มากกว่าสิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะ แก่ตัวของพระองค์เอง ....
จึงถามนาย Sukiman Tuanno ว่า แล้วคำว่า جسم (ญิสิม) อัลลอฮได้อธิบายไว้ในอายะฮใดหรือ ว่า พระองค์ไม่ใช่ ญิสิม ถ้าไม่มีแสดงว่าพวกมีแนวคิดตรรกทางปัญญา อุปโลกน์คำนี้เองเอง...
อับดุรเราะหมาน บิน อัลกอสิม (ฮ.ศ 191) ศิษย์อิหม่ามมาลิก กล่าวว่า
لا ينبغي لأحد أن يصف الله إلا بما وصف به نفسه في القرآن، ولا يشبه يديه بشيء، ولا وجهه بشيء، ولكن يقول : له يدان كما وصف نفسه في القرآن، وله وجه كما وصف نفسه، يقف عندما وصف به نفسه في الكتاب، فإنه تبارك وتعالى لا مثل له ولا شبيه، ولكن هو الله لا إله إلا هو كما وصف نفسه» (25)
ไม่สมควร แก่คนหนึ่งคนใด อธิบายคุณลักษณะแก่อัลลอฮ นอกจากด้วยสิ่งที่ พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะ ให้แก่พระองค์เองด้วยมัน และเขาจะไม่เปรียบ สองมือของพระองค์ ด้วยสิ่งใดๆ และจะไม่เปรียบใบหน้าของพระองค์ด้วยสิ่งใดๆ แต่ เขาจะกล่าวว่า " ทรงมีสองมือ ดังสิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะ แก่ตัวของพระองค์เองในอัลกุรอ่าน และแท้จริงทรงมี ใบหน้า ดังสิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะ แก่ตัวของพระองค์เอง และ เขาหยุด ณ สิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะ แก่ตัวของพระองค์เองในอัลกิตาบ เพราะแท้จริง พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง ไม่มี ตัวอย่างสำหรับพระองค์และไม่มีผู้คล้ายคลึงใดๆ (สำหับพระองค์) แต่ว่า พระองค์ คือ อัลลอฮ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ ดังสิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์เอง - อุศูลุสสุนนะฮ ของ อิบนุ อบีซะมะนีน หน้า 75
......................ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ข้างต้นจะเห็นได้ว่า การยืนยันคุณลักษณะอัลลอฮตามตัวบทที่มีมา โดยไม่เปรียบกับมัคลูคนั้น ไม่ใช่การเชื่อว่าอัลลอฮ มีรูปร่าง (ญิซิม) เพราะ คำนี้ ไม่ปรากฏในสิ่งที่พระองค์ได้อธิบายไว้ และจะเป็นอย่างไรนั้นเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ ต่างกับพวกตรรกนิยม ที่อุปโลกน์คำนี้ขึ้นมาตีกรอบให้แก่คุณลักษณะของอัลลอฮ ทั้งๆที่ไม่มีอธิบายไว้ในคำสอนศาสนา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/10/60