วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการใช้ตรรกอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ตัวอย่างการใช้ตรรกอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ เกินจากสิ่งที่อัลลอฮและนบีได้อธิบายไว้
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ 
Cr:Matty Ibnufatim Hamady
.
ท่านอีหม่าม อัลบัยฮะกีย์ รอฮิมาฮุลลอฮ์ ได้ให้คุณลักษณะของอัลลอฮ์ ดังนี้
1 .พระองค์ไม่มีรูปร่าง
2. พระองค์ไม่ใช่ เญาฮัร
3. พระองค์ไม่ใช่ อะรอฎ
4. พระองค์ไม่นั่งบนอารัช เหมือนกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 
5. พระองค์ไม่ต้องการสถานที่
6. พระองค์ไม่เคลื่อนไหว เเละนิ่ง
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือความคิดเห็นที่อธิบายเกินเลยจากสิ่งที่อัลลอฮและนบี ศอ็ลฯได้อธิบายไว้ เพราะหลักการของชาวสะลัฟคือ การยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามตัวบทที่มีมา พวกเขาจะไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร การปฏิเสธเกี่ยวกับอัลลอฮ ว่า
1 .พระองค์ไม่มีรูปร่าง
2. พระองค์ไม่ใช่ เญาฮัร
3. พระองค์ไม่ใช่ อะรอฎ
4. พระองค์ไม่นั่งบนอารัช เหมือนกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 
5. พระองค์ไม่ต้องการสถานที่
6. พระองค์ไม่เคลื่อนไหว เเละนิ่ง
ไม่ปรากฏในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ว่าในรูปของการยืนยัน(อิษบาต)หรือกาปฏิเสธ(นัฟยุน)ก็ไม่มี
อัลลอฮตรัสว่า "ทรงอยู่สูง(อิสติวาอ) บนบัลลังก์" เราก็เชื่อตามนั้น โดยไม่ไปเปรียบกับมัคลูค เพราะทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องมโน และใช้ตรรกสร้างวาทกรรมเพิ่มเติม
อิบนุคุซัยมะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
فنحن وجميع علمائنا ، من أهل الحجاز ، وتهامة ، واليمن ، والعراق ، والشام ، ومصر ، مذهبنا : أنَّا نثبت لله ما أثبته الله لنفسه ، نقرُّ بذلك بألسنتنا ، ونصدِّق ذلك بقلوبنا ، من غير أن نشبِّه وَجْه خالقنا بوَجْه أحدٍ من المخلوقين ، عزَّ ربُّنا أن يشبه المخلوقين ، وجلَّ ربُّنا عن مقالة المعطلين 
.
ดังนั้น เราและบรรดานักวิชาการของพวกเราจากชาวฮิญาซ ,ตะฮามะฮ,เยเมน,อิรัก,ชามและอิยิปต์ มัซฮับของพวกเรา(มัซฮับชาฟิอีย)คือ เรารับรองสิ่งที่อัลลอฮทรงรับรองให้แก่ตัวของพระองค์เอง ,เรายืนยันดังกล่าวด้วยวาจาของพวกเรา และเราเชื่อดังกล่าวด้วยหัวใจของพวกเรา โดยไม่เปรียบเทียบพระพักต์ของพระผู้สร้างของเรา ว่าคล้ายคลึงกับใบหน้าคนหนึ่งคนใด จากบรรดามัคลูค พระผู้อภิบาลของเราทรงบริสุทธิ์จากการคล้ายคลึงกับบรรดามัคลูค ,พระเจ้าของเรา ทรงมีเกียรติกว่าการที่ทรงคล้ายคลึงกับบรรดามัคลูค(บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง และทรงบริสุทธิ์จากคำพูดของบรรดาผู้ปฏิเสธคุณลักษณะ(ของอัลลอฮ)
- ดู กิตาบุตเตาฮีด ของอิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 38
การยืนยันสิฟาตตามตัวบทที่มีมาไม่ใช่การตัชบีฮ
อิบนุอับดุลบิร อัลมาลิกีย์ (ฮ.ศ 463) กล่าวว่า
ومُحالٌ أن يكون مَن قال عن اللهِ ما هو في كتابه منصوصٌ مُشبهًا إذا لم يُكيّف شيئا، وأقرّ أنه ليس كمثله شيء
เป็นไปไม่ได้ว่า ผู้ที่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ ต่อสิ่งที่ถูกล่าวเป็นตัวบทในคัมภีร์ของพระองค์นั้น เป็นมุชับบะฮะฮ(เป็นผู้ที่เชื่อว่าสิฟัตอัลลอฮคล้ายคลึงกับสิฟัตมัคลูค) เมื่อพระองค์ไม่ถูกพรรณารูปแบบว่าเป็นอย่างไรแม้แต่น้อย และเขาก็ยอมรับ ว่าแท้จริง พระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ - อัลอิสติซกัร ของ อับดุลบิร เล่ม 8 หน้า 150
...........
คนที่กล่าวเกี่ยวสิฟัตอัลลอฮ ตามตัวบทในอัลกุรอ่าน โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการและเขาเชื่อว่าอัลลอฮนั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ไม่ถือว่า เขาเป็น พวกมุชับบิฮะฮ(ผู้เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค) ตามที่พวกตรรกนิยมที่เดินตามแนวคิดนักวิภาษวิทยากล่าวอ้าง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/2/61
 
หลักฐานอ้างอิง
 
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 
 
 
 

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

โต้แย้งหลักฐานของละแบรับจ้างเฝ้ากุโบร์


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ


โต้แย้งหลักฐานของละแบรับจ้างเฝ้ากุโบร์
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
จากหลักฐานของท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวอธิบายว่า "บรรดาอุลามาอ์ถือว่าเป็นสุนัต กับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรขณะที่เฝ้ากุโบร์เนื่องสาเหตุของหะดิษนี้ เพราะว่าเมื่อการบรรเทาโทษยังมีหวังจากการตัสบีหฺของกิ่งอินทผาลัมแล้ว แน่นอนว่า การอ่านอัลกุรอานย่อมมีความหวังมากกว่า" ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 204
อิบนุ อบี ชัยบะฮ์ ได้กล่าวรายงานไว้ว่า
حدثنا حفص بن غياث، عن المجالد، عن الشعبى قال : كانت الأنصار يقرأون عند الميت بسورة البقرة
"ได้เล่ากับเรา โดยหัฟซฺ บิน ฆอยยาษ จาก อัลมุญาลิด จากท่านอัชชะอฺบีย์ ท่านกล่าวว่า "บรรดาชาวอันซอร ได้ทำการอ่านอัลกุรอาน ที่มัยยิด ด้วยกับซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ " ดู อัลมุซันนัฟ เล่ม 4 หน้า 236
และท่านค๊อลลาลได้รายงานจากสายรายงานเดียวกัน ด้วยคำว่า
كانت الأنصار إذا مات لهم ميت اختلفوا غلى قبره يقرأون عنده القرأن
"บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น" ดู หนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126
ในสายรายงานดังกล่าว มีท่าน "มุญาลิด บิน สะอีด" ซึ่งเขาผู้นี้ หะดิษดี โดยมีบรรดาสายรายงานและหะดิษมาใช้ในการสนับสนุนและมีน้ำหนัก ท่านมุสลิมได้นำเขามาเป็นผู้รายงานหะดิษไว้ในซอฮิหฺของท่านมุสลิมด้วย โดยรายงานพร้อมกับคนอื่น ไว้ใน เรื่อง ฏอล๊าก บท ผู้หญิงที่ถูกหย่าขาด ที่ไม่มีค่าเลี้ยงดูให้แก่นาง
@@@@
ชี้แจง
การอ้างนั้นอ้างนี้ แล้วเอามาชงเป็นหลักฐานอ่านอัลกุรอ่านให้คนตายและเฝ้ากุโบร์ ขอถามว่า คุณเข้าใจคำว่าหลักฐานทางศาสนาหรือไม่
อิบาดะฮเป็นเรื่องที่ต้องหยุดอยู่ที่คำสั่งใช้(التوقيفية) ที่มาจากอัลลอฮตาอาลา ผู้เป็นเจ้าของศาสนาและศาสนทูตของพระองค์ ที่ถูกส่งมาอรรถาธิบายคำสอนอัลลอฮและเป็นแบบอย่างแก่ประชาชาติ(อุมมะฮ)ของเขา "แล้วเฝ้ากุโบร์เพื่ออ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตาย เป็นแบบอย่างของใคร?
أَخْبَرَنِي أَبُو يَحْيَى النَّاقِدُ ، قَالَ : حَدَّثَنَا سُفْيَانُ بْنُ وَكِيعٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا حَفْصٌ ، عَنْ مُجَالِدٍ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ ، قَالَ : " كَانَتِ الأَنْصَارُ إِذَا مَاتَ لَهُمُ الْمَيِّتُ اخْتَلَفُوا إِلَى قَبْرِهِ يَقْرَءُونَ عِنْدَهُ الْقُرْآنَ "
คำแปลตัวบท
บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น
........
หะดิษข้างต้น เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้เพราะ
1. หะดิษของต้นเป็นหะดิษมักฏัวะ(مقطوع )หะดิษที่เป็นคำพูดของตาบิอีน เรียกในทางวิชาหะดิษว่า เป็นหะดิษ มักฏูอฺ(حديث مقطوع )
หุกุมเกี่ยวกับหะดิษมักฏูอฺคือ
المقطوع لا يحتج به في شيئ من الأحكام الشرعية أي ولو صحت نسبته لقائله لأنه كلام أوفعل أحد المسلمين
หะดิษมักฎูอฺ จะเอามาเป็นหลักฐานอ้างอิงในด้านบทบัญญัติศาสนาไม่ได้ ถึงแม้ว่า จะอ้างอิงหะดิษอย่างถูกต้อง แก่ผู้ที่กล่าวก็ตาม เพราะความจริงมันเป็นเพียงคำพูด หรือ การกระทำ ของคนหนึ่งจากบรรดามุสลิมทั้งหลายเท่านั้น – ดู ตัยสีรมุศเฏาะละหิลหะดิษ ของ ดร.มะหมูด อัฏเฏาะหาน หน้า 133
2.ผู้รายงานหะดิษนี้คนหนึ่งชื่อ มุญาลิด(مجالد) หรือ มุญาลิด บิน สะอีด อัลกุฟีย์ อัลฮัมดาอีย์ ผู้นี้ มีนักหะดิษวิจารณ์ดังนี้
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
قَالَ الْبُخَارِيُّ : كَانَ يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ يُضَعِّفُهُ . وَكَانَ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ لَا يَرْوِي لَهُ شَيْئًا . وَكَانَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ لَا يَرَاهُ شَيْئًا . يَقُولُ : لَيْسَ بِشَيْءٍ
อัลบุคอรีย์ ได้กล่าวว่า " ปรากฏว่า ยะหยา บิน สะอีด เห็นว่าเขาเฎาะอีฟ (อ่อนหลักฐาน) และ อับดุรเราะหมาน บิน มะฮดีย์ จะไม่รายงานสิ่งใดๆของเขา และ อะหมัด บิน หัมบัล จะไม่เห็นว่าเขามีสิ่งใดๆ ,เขากล่าวว่า เขาไม่มีสิ่งใดเลย (หมายถึง บ่งบอกว่าเฎาะอีฟมาก)
وَقَالَ أَبُو حَاتِمٍ : لَا يُحْتَجُّ بِهِ
และอบูหาติม ได้กล่าวว่า จะไม่ถูกนำมาอ้างเป็นหลักฐานด้วยเขาผู้นี้
وَقَالَ النَّسَائِيُّ : ثِقَةٌ . وَقَالَ مَرَّةً : لَيْسَ بِالْقَوِيِّ
และอันนะสาอีย์ ได้กล่าวว่า เชื่อถือได้ และ เขาได้กล่าวครั้งหนึ่งว่า "ไม่แข็งแรง"
وَقَالَ الدَّارَقُطْنِيُّ : ضَعِيفٌ
และอัดดารุลกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า "เฎาะอีฟ
-ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ใน สิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 6/285-287
3. ถ้าหลักฐานที่ละแบราชสีห์อ้างคือ บทบัญญัติของศาสนา แน่นอนบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ และบรรดาปราชญ์ทั้งหลายคงไม่มีใครคัดค้านแน่นอน แต่เพราะหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่หลักฐานทางศาสนบัญญัติ ที่จะนำมาเป็นหุกุมว่าเป็นสุนัตในศาสนาได้ จึงมีนักวิชาการมากมากมายไม่นำมาเป็นหลักฐาน และคัดค้านการอ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพและเฝ้ากุโบร์ เพื่ออุทิศบุญแก่ผู้ตาย
อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
ولم يكن من هديه صلى الله عليه وسلم أن يجلس يقرأ عند القبر، ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم، وأما الحديث الذي رواه الطبراني في معجمه من حديث أبي أمامة فهذا حديث لا يصح رفعه.. ولم يكن من هديه أن يجتمع للغداء، ويقرأ له القرآن، لا عند قبره ولا غيره، وكل هذا بدعة حادثة مكروهة
ไม่ปรากฏจากคำแนะนำของท่านนบี ศ็อลฯ ว่า ให้นั่งอ่านอัลกุรอ่านบนหลุมศพและอ่านตัลกีนให้แก่มัยยิต ดังที่บรรดาผู้คนทำกันในปัจจุบัน และสำหรับหะดิษที่รายงานโดย อัฏฏอบรอนีย์ ใน มุอฺญัม ของเขา จากหะดิษอบีอุมามะฮนั้น หะดิษนี้ ไม่เศาะเฮียะ ในการสืบไปถึงนบี และไม่ปรากฏจากการแนะนำของท่านนบี ศอ็ลฯการที่ชุมนุมกันรับประทานอาหาร และอ่านอัลกุรอ่านอุทิศให้ผู้ตาย ไม่มี ณ ที่หลุมศพของมัยยิตและไม่มี ณ ที่อื่นจากมัน และทั้งหมดนี้ เป็นบิดอะฮ ที่เป็นสิ่งใหม่ ที่น่ารังเกียจ(มักรูฮ) - ซาดุลมะอาด เล่ม 1 หน้า 503-504โดยสรุป
4. ประเด็นขัดแย้ง มีกติกาจากอัลลอฮ ให้นำไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเป็นตัวตัดสิน ทัศนะใดตรงกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ นั้นคือทัศนะที่ถูกต้อง(แต่ละแบไม่กล้า และไม่ยอมรับ)
وقوله: { فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ } قال مجاهد وغير واحد من السلف: أي: إلى كتاب الله وسنة رسوله.
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำมันกลับไปยังอัลลอฮและรอซูล) มุญาฮิดและหลายคน จากชาวสะลัฟ ได้กล่าวว่า “หมายถึงกลับไปยังคัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ –ตัฟสีรอิบนุกะษีร 2/345
..............
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ขอให้พี่น้องมุสลิมทุกท่าน ได้พิจารณา เพราะเรื่องอิบาดะฮในศาสนาไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใดที่จะกำหนดขึ้นเองได้ แต่ทุกคนต้องหยุดอยู่คำสั่งของอัลลอฮและรอซูล
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122
..........
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/2/61

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ใครบอกว่าเป็นหลักฐานฉลองวันเกิดนบี




ใครบอกว่าเป็นหลักฐานฉลองวันเกิดนบี
มีการนำอะษัรต่อไปนี้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการเทิดเกียรตินบี ด้วยการเฉลิมฉลองวันเกิด(ทำเมาลิด) คือ
.ในหนังสือรวมพลคนรักปอเนาะอ้างว่า อิบนุกะษีร กล่าวใน อัลบิดายะฮ วัลนิฮายะฮ หน้า 266-267 (ไม่ระบุเล่มที่) ว่า
أن إبليس رن أربع رنات: حين لُعن، وحين أُهبط، و حين ولد رسول الله صلى الله عليه وسلم، وحين نزلت الفاتحة
แท้จริง อิบลิส ร้องครวญคราง 4 ครั้ง เมื่อมันโดนสาปแช่ง,เมื่อมันโดนขับไล่ ,เมื่อรซูลุลละฮ ศอ็ลฯถูกกำเนิด และเมื่อซูเราะฮอัลฟาติหะฮ ถูกประทานลงมา .
........
ข้างต้น ในอัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮ ฉบับตรวจทานของ ดร.อับดุลมุหฺซิน อัตตุรกีย์ อยู่ใน เล่ม 3 หน้า 291
.
และปรากฏใน หิลยะฮอัลเอาลิยาอฺ เล่ม 3 หน้า 291 ว่า
حدثنا محمد بن معمر ثنا يوسف القاضي ثنا أبو الربيع ثنا جرير بن عبدالحميد عن منصور عن مجاهد قال رن إبليس أربعا حين لعن وحين أهبط وحين بعث النبي صلى الله عليه و سلم وقد بعث على فترة من الرسل وحين أنزلت الحمد لله رب العالمين
. 
คำแปลตัวบท
จากมุญาฮิด เขากล่าวว่า "แท้จริง อิบลิส (ขออัลลอฮทรงสาปแช่งแก่เขา) มัน ร้องครวญคราง 4 ครั้ง เ เมื่อมันโดนสาปแช่ง,เมื่อมันโดนขับไล่ออกจากสวรรค์ ,เมื่อท่านนบี
ศอ็ลฯถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี และแท้จริงท่านนบีถูกแต่งตั้ง(ให้เป็นนบี) บน ช่วงเวลาที่ว่างเว้น จากบรรดารอซูล และเมื่อ"อัลหัมดุลิลลาฮิรับบิลอาละมีน ถูกประทานลงมา .
.............
1.อะษัร ข้างต้น ไม่ใช่หลักฐานที่นำมาอ้างการเทิดเกียรตินบีด้วยการเฉลิมฉลองวันเกิด เพราะไม่มีสะลัฟคนใดเอาอะษัร จากท่านมุญาฮิดเลย
2. รายงานจากอัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮ ระบุข้อความ
و حين ولد رسول الله صلى الله عليه وسلم
และเมื่อรซูลุลลอฮ ศ็อลฯถูกกำเนิด
แต่ใน รายงานของอบูนุอัยมฺ ในหิลยะฮอัลเอาลิยาอฺ มีข้อความว่า
وحين بعث النبي صلى الله عليه و سلم
เมื่อท่านนบี ศอ็ลฯถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี (และระบุไว้ในตำราอีกหลายเล่ม รวมถึง อัลญาเมียะ ลิอะหกามอัลกุรอ่านของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ในตัฟสีรซูเราะฮอัลฟาติหะฮด้วย)
จึงถามคุณ อับดุลกอเดร มัสแหละว่า "ตกลงจะฉลองวันเกิดหรือฉลองวันที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีครับ ?
3.ข้างต้นเป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่หะดิษนบี ศ็อ็ลฯ ไม่ใช่หลักฐานทางศาสนบัญญัติ บางคนบอกว่า เป็นเรื่องจากชาวยิว
มีผู้วิจารณ์ว่า
وإسناده صحيح ـ وجرير ثقة صحيح الكتاب ، لكن قيل : كان فى آخر عمره يهم من حفظه ـ والأثر من الإسرائليات ، والله أعلم.
และสายรายงานของมันถูกต้อง และญะรีร เชื่อถือได้ เศาะเฮียะอัลกิตาบ แต่ ได้ถูกกล่าวว่า ในบั้นปลายชีวิตของเขา ถูกตำหนิ เกี่ยวกับความจำของเขา และอัลอะษัรนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอัลอิสรออีลิยาต(เป็นเรื่องเล่าของชาวยิว) วัลลอฮุอะลัม
การเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พ้นญานวิสัยของมนุษย์(الغيب )มันต้องชัดเจน ต้องอ้างรายงานเศาะเฮียะจาก นบี ศอ็ลฯเพราะท่านเป็นผู้รับวะหยูจากอัลลอฮ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ได้นอกจากผู้ที่ได้รับวะหยูจากอัลลอฮ แล้วมีหะดิษบทใดมาสนับสนุนหรือ และสะลัฟท่านใดเอามาเป็นหลักฐานเทิดเกียรตินบีโดยการฉลองวันเกิดนบีหรือ? 
 
 والله أعلم بالصواب
17/2/61
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิชากาลาม(วิภาษวิทยา) กับอะฮลุลบิดอะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วิชากาลาม(วิภาษวิทยา) กับอะฮลุลบิดอะฮ
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์(ร.ฮ)รายงานว่า
وَقَالَ مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ : إِيَّاكُمْ وَالْبِدَعَ ، قِيلَ : يَا أَبَا عَبْدِ اللَّهِ ، وَمَا الْبِدَعُ ؟ قَالَ : أَهْلُ الْبِدَعِ الَّذِينَ يَتَكَلَّمُونَ فِي أَسْمَاءِ اللَّهِ وَصِفَاتِهِ وَكَلامِهِ وَعِلْمِهِ وَقُدْرَتِهِ ، وَلا يَسْكُتُونَ عَمَّا سَكَتَ عَنْهُ الصَّحَابَةُ وَالتَّابِعُونَ لَهُمْ بِإِحْسَانٍ.
และมาลิก บิน อะนัส กล่าวว่า "พวกท่านจงระวัง บรรดาบิดอะฮ ,ได้ถูกกล่าว(แก่อิหม่ามมาลิก)ว่า โอ้อบูอับดุลลอฮ และอะไรคือ บรรดาบิดอะฮ? เขากล่าวว่า "อะฮลุลบิดอะฮ คือบรรดาผู้ที่วิภาษ ในเรื่องเกี่ยวกับ บรรดาพระนามของอัลลอฮ ,บรรดาสิฟาตของพระองค์,คำพูดของพระองค์ ,ความรู้ของพระองค์ และ พลานุภาพของพระองค์ และพวกเขาไม่นิ่งเงียบ(หยุด) จากสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน(บรรดผู้ที่เจริญรอยตาม)พวกเขาด้วยความดี 
.............
อะฮลุลบิดอะฮ จะใช้ตรรกวิภาษคุณลักษณะของอัลลอฮ เพื่อให้สอดรับกับปัญญา พวกเขาจะไม่หยุดหรือนิ่งเงียบ อยู่ที่สิ่งซึ่ง 
บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน ได้นิ่งเงียบ หมายถึง แนวทางของสะลัฟที่หยุดที่คำพูดอัลลอฮและรอซูล พวกเขาจะไม่บิดเบือนเปลี่ยนแปลงด้วยการตีความเกินเลยจากสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลได้อธิบายไว้
رَوَى عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ ، عَنْ مَالِكٍ : لَوْ كَانَ الْكَلامُ عِلْمًا ، لَتَكَلَّمَ فِيهِ الصَّحَابَةُ وَالتَّابِعُونَ ، كَمَا تَكَلَّمُوا فِي الأَحْكَامِ وَالشَّرَائِعِ ، وَلَكِنَّهُ بَاطِلٌ يَدُلُّ عَلَى بَاطِلٍ.
อับดุรเราะหมาน บิน มะฮดีย์ ได้รายงานจากมาลิก ว่า "ถ้า อัลกาลาม เป็นวิชาความรู้ แน่นอน บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน ก็จะพูดกัน ในมัน ดังสิ่งที่พวกเขาพูดกัน ในเรื่องเกี่ยวกับบรรดาหุกุมต่างๆและบรรดาบทบัญญัติต่างๆ แต่มันคือ สิ่งที่เป็นโมฆะ ที่บ่งบอกถึงสิ่งที่เป็นโมฆะ - ชัรหอัสสุนนะฮของอัลบะเฆาะวีย์ 1/217
.........
คำว่า "พูดกัน" ในที่นี้หมายถึงนำมาพูดถกปัญหากันหรือนำมาวิภาษ
อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)กล่าวว่า
كُلُّ الْعُلُوْمِ سِوَى الْقُرْآنِ مَشْغَلَةٌ إِلاَّ الْحَدِيْثَ وَإِلاَّ الْفِقْهَ فِي الدِّيْنِ الْعِلْمُ مَا كَانَ فِيْهِ قَالَ حَدَّثَنَا وَمَا سِوَى ذَاكَ وَسْوَاسُ الشَّيَاطِيْنِ
ทุกๆวิชาความรู้ อื่นจากอัลกุรอ่านนั้น เป็นเรื่องยุ่ง ยกเว้น อัลหะดิษ และยกเว้น ฟิกฮ ( ในการทำความเข้าใจ)ในเรื่องศาสนา ,ความรู้นั้น คือ สิ่งที่ ปรากฏในมัน คือ เขากล่าวว่า ได้รายงานจากเรา... (หมายถึงหะดิษที่มีสายรายงานเล่าต่อกันมาถึงผู้รายงานคนสุดท้าย) และสิ่งที่นอกเหนือจากดังกล่าวนั้น คือ การกระซิบกระซาบของบรรดาชัยฏอน - เฎาะบะกอตอัชชะฟีอียะฮอัลกุบรอ หะดิษหมายเลข 156
..............
การนำเอาแนวคิดวิชากาลามมาตีความอายาตและหะดิษสิฟาต เพื่อให้กินกับปัญญา เข้าใจว่า สิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกไว้ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ นี่คือ แนวทางอะฮลุลบิดอะฮ ไม่ใช่แนวทางอะฮลุสสุนนะฮที่อาชาอิเราะฮบางกลุ่มแอบอ้างกัน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/2/61

ตรรกอาชาอิเราะฮอ้างการตีความภาษาไทยเพื่อตีความคุณลักษณะอัลลอฮ





ตรรกอาชาอิเราะฮอ้างการตีความภาษาไทยเพื่อตีความคุณลักษณะอัลลอฮที่เป็นภาษาอาหรับ(ตอน กินซากศพ)
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้แชร์โพสต์ของ Bashir Chalermthai
ผู้ดูแล · 12 ชม.
Bashir Chalermthai
12 ชม.
เมื่อภาษาไทยมีการตะอฺวีล แล้วทำไมภาษาอาหรับจะไม่ตะอฺวีล???
กลับหน้ามือเป็นหลังมือ=====เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างตรงกันข้าม
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ===== ทำตัวให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่คนในสังคมนั้นเขาทำกัน
จับเสือมือเปล่า ======= หาผลประโยชน์โดยตัวเองไม่ลงทุน
ชุบมือเปิบ ======= ฉวยเอาผลประโยชน์ของผู้อื่น โดยตัวเองไมได้ลงทุนลงแรง
ตาบอดคลำช้าง ======= คนที่รู้อะไรด้านเดียว แล้วเข้าใจแต่อย่างนั้น สิ่งนั้น
มือถือสาก ปากถือศีล ===== ชอบแสดงตัวตนว่าเป็นคนมีศีล มีธรรม แต่ทำความเลวเป็นนิจ
เอามือซุกหีบ====== หาเรื่องเดือดร้อนหรือความลำบากใส่ตัวโดยใช่ที่
เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ======= แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจ
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ====== เมื่อทำความเดือดร้อนให้แก่คนใกล้ชิด ก็จะมีผลกระทบถึงตัวผู้ทำหรือพวกพ้อง
มีอีกเป็นกระบุงครับ
@@@@@
ชี้แจง
กลุ่มอาชาอิเราะฮ เมืองไทยสายพันธ์ใหม่ หมดแล้วซึ่งข้ออ้างที่จะเป็นหลักฐานตีความอายาตและหะดิษเกี่ยวกับคุณลักษณะอัลลอฮ หันมาเอาสุภาษิตไทยมาเป็นข้ออ้างในการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮ
ถ้าไม่เสียสติ ก็คือความโง่เขลาเบาปัญญา เพราะสุภาษาษิตไทย กับ อายาตและหะดิษสิฟาต มันคนละบริบทกัน จะเอามาเปรียเทียบเพื่อเป็นข้ออ้างในการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮตามตรรกของอะฮลุลกาลามซึ่งเป็นวิชาอันตรายได้อย่างไร
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ الشَّيْخُ : وَاتَّفَقَ عُلَمَاءُ السَّلَفِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ عَلَى النَّهْيِ عَنِ الْجِدَالِ وَالْخُصُومَاتِ فِي الصِّفَاتِ ، وَعَلَى الزَّجْرِ عَنِ الْخَوْضِ فِي عِلْمِ الْكَلامِ وَتَعَلُّمِهِ.
อัชชัยค์ ได้กล่าวว่า "บรรดาปราชญ์สะลัฟ จากอะฮลิสสุนนะฮ เห็นฟ้องกัน บนการห้ามการโต้เถียงและทะเลาะวิวาทกัน ในเรื่องเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ และ(เห็นฟ้องกัน)บนการเตือนให้ระวัง เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิชากาลามและการเรียนมัน -ชัรหอัสสุนนะฮ 1/216
วิชากาลามคือ วิชาที่ใช้หลักฐานทางตรรกปัญญาอธิบายอะกีดะฮ
وَقَالَ الشَّعْبِيُّ : إِنَّمَا الرَّأْيُ بِمَنْزِلَةِ الْمَيْتَةِ إِذَا احْتَجْتَ إِلَيْهَا أَكَلْتَهَا
และอัชชะอบีย์ ได้กล่าวว่า ความจริงความคิดเห็นนั้น อยู่ในฐานะเดียวกับซากศพ เมื่อท่านอ้างมันเป็นหลักฐาน ก็เท่ากับว่าท่านได้กินมัน - ชัรหอัสสุนนะฮ 1/216
..........
นายอานัส ชูชื่น ได้เอาซากศพ จากความคิดเห็นนาย บะชีร เฉลิมไทยมาอ้างเป็นหลักฐาน หาความชอบธรรมในการตีความ ก็เท่ากับกินซากศพ นั้นเอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/2/61

หลักฐานอ้างอิง

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การโอนบุญไม่ใช่ประเพณีของชาวสะลัฟ


ในภาพอาจจะมี ธรรมชาติ และ ข้อความ

การโอนบุญไม่ใช่ประเพณีของชาวสะลัฟ
 
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
ولم يكن من عادة السلف إذا صلوا تطوعاً أو صاموا تطوعاً أو حجوا تطوعاً أو قرؤوا القرآن ؛ يهدون ثواب ذلك إلى أموات المسلمين ، فلا ينبغي العدول عن طريق السلف فإنه أفضل وأكمل
และไม่ได้เป็นประเพณี(อาดัต)ของชาวสะลัฟ เมื่อพวกเขาละหมาดอาสา(สุนัต),ถือศีลอด ,ประกอบพิธีหัจญ์ หรือ อ่านอัลกุรอ่าน แล้วอุทิศผลบุญดังกล่าวแก่บรรดาผู้ตายที่เป็นมุสลิม ดังนั้น จึงไม่สมควรหันเหออกจากแนวทางของสะลัฟ(บรรพชนผู้ทรงธรรมยุคก่อน) เพราะแท้จริง มันประเสริฐกว่าและสมบูรณ์กว่า – ดู อัลอิคติยารอตอัลอิลมียะฮ หน้า 54
อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
ولم يكن من هديه أن يجتمع للغداء، ويقرأ له القرآن، لا عند قبره ولا غيره، وكل هذا بدعة حادثة مكروهة
และไม่ได้เป็นทางนำของท่านรซูล โดยการ ชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหาร และอ่านอัลกุรอ่านให้แก่เขา(อทิศบุญให้มัยยิต) ไม่ว่าจะกระทำที่กุบูรของเขาหรืออื่นจากนั้นก็ตาม และทั้งหมดนี้ เป็นบิดอะฮ ที่เกิดขึ้นใหม่ ที่น่ารังเกียจ – ดูหนังสือ ซาดุ้ลมะอาด เล่ม 1 หน้า 523
.............
เรื่อง การโอนบุญ หรืออุทิศบุญ ให้ผู้อื่น เป็นประเด็นอิจญติฮาด ของนักปราชญ์ที่มีความเห็นขัดแย้งกัน ซึ่งไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/2/61