วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อะกีดะฮอิบนุญะรีร เกี่ยวกับการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮภาค 1








อะกีดะฮอิบนุญะรีร เกี่ยวกับการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮภาค 1
หลายปีมานี้พยายามชี้แจงเกี่ยวกับอะกีดะฮสะลัฟ ที่ถูกบิดเบือนเพื่อให้กินกับปัญญาของคนบางกลุ่ม ที่มีแนวคิดมุอตะซิละฮและญะฮมียะฮที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ และท่านอิบนุญะรีร อัฏเฎาะบีรีย์ ปราชญยุคสะลัฟนักตัฟสีรผู้หญิงใหญ่ ท่านมีอะกีดะฮที่ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ในหลายที่ในตัฟสีรของท่านผู้นี้ แต่กลับมีคนบางคนบางกลุ่มนำคำอธิบายของท่านอิบนุญะรีร มาบิดเบือน มาชง ให้กลายเป็นว่าท่านอิบนุญะรีร ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชตามที่ตนเองเชื่อ ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตราย ที่ผู้รู้ที่ยึดอะกีดะฮสะลัฟและปกป้องอะกีดะฮสะลัฟควรชี้แจง อย่างจริงจัง แต่เสียดาย ที่ส่วนใหญ่อ้างยึดสะลัฟแค่ปลายลิ้น และกัดกันไม่ต่างอะไรกับสุนัข
ต่อไปนี้ คือคำอธิบายของอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ที่แสดงว่าท่านยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลออเหนืออะรัชจริงๆ ไม่ใช่หมายถึงความสูงส่งทางด้านอำนาจหรือฐานันดร อย่างที่คนบางกลุ่มพยายามบิดเบือน
อัลลอฮตาอาลาตรัสไว้ในอัลกุรอ่านว่า
أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّهَ يَعْلَمُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ ۖ مَا يَكُونُ مِن نَّجْوَىٰ ثَلَاثَةٍ إِلَّا هُوَ رَابِعُهُمْ وَلَا خَمْسَةٍ إِلَّا هُوَ سَادِسُهُمْ وَلَا أَدْنَىٰ مِن ذَٰلِكَ وَلَا أَكْثَرَ إِلَّا هُوَ مَعَهُمْ أَيْنَ مَا كَانُوا ۖ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا عَمِلُوا يَوْمَ الْقِيَامَةِ ۚ إِنَّ اللَّهَ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ
เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาและมันจะไม่เกิดขึ้นในห้าคน เว้นแต่พระองค์ทรงเป็นที่หกของพวกเขา และมันจะไม่เกิดขึ้นน้อยกว่านั้น และจะไม่เกิดขึ้นมากกว่านั้นเว้นแต่พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในแห่งหนใด แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งพวกเขาให้ทราบในวันกิยามะฮฺถึงสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ (ในโลกดุนยา) แท้จริงอัลลอฮเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง -ดูอัลมุญาดะฮละฮ/7
มาดูคำอธิบายของท่านอิบนุญะรีรอัฏเฏาะรีย์ดังนี้
وَعُنِيَ بِقَوْلِهِ : ( هُوَ رَابِعُهُمْ ) بِمَعْنَى : أَنَّهُ مُشَاهِدُهُمْ بِعِلْمِهِ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ . كَمَا حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَبِي زِيَادٍ قَالَ : ثَنِي نَصْرُ بْنُ مَيْمُونٍ الْمَضْرُوبُ قَالَ : ثَنَا بُكَيْرُ بْنُ مَعْرُوفٍ ، عَنْ مُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ ، عَنِ الضَّحَّاكِ فِي قَوْلِهِ : ( مَا يَكُونُ مِنْ نَجْوَى ثَلَاثَةٍ ) . . . إِلَى قَوْلِهِ : ( هُوَ مَعَهُمْ ) قَالَ : هُوَ فَوْقَ الْعَرْشِ وَعِلْمُهُ مَعَهُمْ
และ ด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา) ได้ถูกให้ความหมายด้วยความหมายว่า "แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงเห็นพวกเขาด้วยความรู้ของพระองค์ โดยพระองค์ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ของพระองค์ ดังเช่น อับดุลลอฮ บิน อบีซิยาด ได้เล่าข้าพเจ้า เขาได้กล่าวว่า "นัศรุน บิน มัยมูน อัลมัฎรูบ ได้กล่าวว่า บุกัยรฺ บิน มะอรูฟได้เล่าเราว่า รายงานจาก มุกติล บิน หัยยาน จากเฎาะหาก ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น )......จนถึงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา) เขา(อัฎเฎาะหาก) กล่าวว่า พระองค์อยู่เหนือ บัลลังก์(อะรัช) และความรอบรู้ของพระองค์ อยู่พร้อมกับพวกเขา - ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ 12/14
................
สรุป
1.อิบนุญะรีรยืนยันชัดเจนว่า ความหมายคำว่า (ทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาคือ แท้จริงอัลลอฮนั้นคือผู้ทรงเห็นพวกเขาด้วยความรู้ โดยที่พระองค์อยู่เหนือบัลลังก์
2.อิบนุญะรีรได้อ้างถึงรายงานจากอัฎเฎาะหาก ว่า คำว่า (พร้อมกับพวกเขา ) หมายถึง อัลลอฮทรงอยู่เหนือบัลลังค์ และความรอบรู้ของพระองค์อยู่พร้อมกับพวกเขา
3. สำหรับผู้รายงาน ที่ชื่อ มุกอติล บิน หัยยาน (مُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ)
ท่านอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قَالَ يَحْيَى بْنُ مَعِينٍ : ثِقَةٌ . وَقَالَ أَبُو دَاوُدَ : لَيْسَ بِهِ بَأْسٌ . وَوَثَّقَهُ أَبُو دَاوُدَ أَيْضًا ، وَقَالَ الدَّارَقُطْنِيُّ : صَالِحُ الْحَدِيثِ .
ยะหยา บิน มุอีน ได้กล่าวว่า "เชื่อถือได้ ,อบูดาวูด ได้กล่าวว่า "ด้วยเขาผู้นี้ไม่เป็นไร " และอบูดาวูดได้ให้ความเชื่อถือเขา อีกเช่นกัน ,อัดดารุลกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า "ศอลิหุลหะดิษ(หมายถึงหะดิษที่เขารายงานอยู่ในระดับดี-ผู้แปล)-ดู สิยารอะลามอันนุบะลาอฺ หัวข้อ มุกอติล บิน หัยยาน 
....
จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอิบนุญะรีร ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เหนือบัลลังก์ แต่มีคนพยายามบิดเบือนว่า เป็นความหมายที่ไม่ต้องการ -นะอูซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/8/62

อินชาอัลลอฮ จะมีต่อภาค 2 โปรดติดตามอ่าน





 à¹„ม่มีคำอธิบายรูปภาพ



วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ตรรกเพื่อหาความชอบธรรมในการตีความอายาตสิฟาต ภาค 2




ตรรกเพื่อหาความชอบธรรมในการตีความอายาตสิฟาต ภาค 2
มีผู้หนึ่ง(ขอสงวนนาม)อ้าว่า
#โปรดอ่าน ถ้าต้องศรัทธายึดมั่นตามตัวบทซอเฮรที่ปรากฎ​ภายนอกของมัน ห้ามตีความ แล้วอายะฮฺนี้ว่าอย่างไร
#และห้ามตีความเป็นอย่างอื่นน่ะ เพราะนะบีย์ไม่ได้บอกอธิบายเป็นอย่างอื่น ถ้าจะยึดอย่างนั้น
وَهُوَ ٱللَّهُ فِی ٱلسَّمَـٰوَ ٰ⁠تِ وَفِی ٱلۡأَرۡضِ
และพระองค์คืออัลลอฮฺที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน 
(ตกลงพระองค์อยู่ในฟ้าหรือแผ่นดินกันแน่ ?)
@@@@@@@@
ข้างต้นคือความโง่เขลาเบาปัญญา อ้างเพื่อที่จะหาความชอบธรรมตีความอายาตสิฟาต โดยไม่ศึกษาทีปราชญ์ยุคสะลัฟ หรือนักวิชาการตัฟสีรเขาอธิบายอย่างไร
ครูคนนี้อ้างว่า
وَهُوَ ٱللَّهُ فِی ٱلسَّمَـٰوَ ٰ⁠تِ وَفِی ٱلۡأَرۡضِ
และพระองค์คืออัลลอฮฺที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน 
(ตกลงพระองค์อยู่ในฟ้าหรือแผ่นดินกันแน่ ?)
ชี้แจง
ไม่เข้าใจแล้ว มโนว่า อัลลอฮอยู่หลายที่ -นะอูซุบิลละฮ
มาดู ปราชญ์เขาอธิบายครับ
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
قوله عز وجل : ( وهو الله في السموات وفي الأرض ) يعني : وهو إله السموات والأرض ، كقوله : ( وهو الذي في السماء إله وفي الأرض إله ) ، وقيل : هو المعبود في السموات والأرض ، وقال محمد بن جرير : معناه هو في السموات يعلم سركم وجهركم في الأرض ،
คำตรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ที่ว่า(และพระองค์คืออัลลอฮฺที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ) หมายความว่า พระองค์คือพระเจ้า แห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน เช่นคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าแห่งชั้นฟ้า และพระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน) และถูกกล่าวว่า พระองค์คือผู้ถูกเคารพภักดี ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และ มุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า " ความหมายของมันคือ พระองค์ อยู่ ใน /บน บรรดาชั้นฟ้า ทรงรู้ความลับของพวกเจ้าและการเปิดเผยของพวกเจ้า ใน แผ่นดิน - ดู ตัฟสีร อัลบะเฆาะวีย์ 3/127
.....
ข้างต้น ไม่มีนักปราชญ์คนใหนเข้าใจว่า อัลลอฮอยู่ทุกที่ และข้างต้นไม่ใช่การตีความ(ตะวีล) แต่เป็นการอรรถาธิบายความหมาย และท่านอิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ได้กล่าวถึงทัศนะของอิบนุญะรีรอีกด้วยคือ
وقال محمد بن جرير : معناه هو في السموات يعلم سركم وجهركم في الأرض
และ มุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า " ความหมายของมันคือ พระองค์ อยู่ ใน /บน บรรดาชั้นฟ้า ทรงรู้ความลับของพวกเจ้าและการเปิดเผยของพวกเจ้า ใน แผ่นดิน 
.........
อนึ่ง คำว่า في เมื่อนำหน้า السموات จะมีความหมายว่า "على (บน) ซึ่งเป็นปกติในภาษาอาหรับ
อิหม่ามอิบนุกะษีร(ร.ฮ)ก็ได้ยืนยันทัศนะอิบนุญะรีร ตามที่อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ระบุเช่นกันคือ
وَالْقَوْلُ الثَّالِثُ أَنَّ قَوْلَهُ وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَقْفٌ تَامٌّ، ثُمَّ اسْتَأْنَفَ الْخَبَرَ فَقَالَ: وَفِي الأرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ وَيَعْلَمُ مَا تَكْسِبُونَ وَهَذَا (3) اخْتِيَارُ ابْنِ جَرِيرٍ.
และทัศนะที่สาม แท้จริงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า ( และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้า) คือการหยุดที่สมบูรณ์(วะกีฟตาม) หลังจากนั้น ทรงเริ่มประโยคบอกเล่าใหม่ แล้วกล่าวว่า (และในแผ่นดิน ทรงรู้สึกเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่) และนี้คือ ทัศนะที่อิบนุญะรีรเลือก - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงทัศนะอิบนุญะรีรว่า
وَقَالَ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ : وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَيَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ فِي الْأَرْضِ
และมุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า " และพระองค์คืออัลลอฮ อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และทรงรู้ ความลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า ในแผ่นดิน - ดูตัฟสีรอัลญาเมียะลิอะหกามิลกุรอ่าน เล่ม 6 หน้า 302
.......
สรุปคือ
ประโยตจบที่ وهو الله في السماوات แล้วขึ้นต้นประโยคใหม่ว่า وفي الأرض يعلم سركم وجهركم จนจบ นี้คือ ทัศนะของอิบนุญะรีร
อนึ่งท่านอิบนุกะษีร ได้กล่าวถึง 3 ทัศนะ ไม่มีทัศนะใหนที่เข้าใจว่าอัลลอฮอยู่ทุกที่ อย่างที่ท่านครูมโน เข้าใจไปเองแล้วโดยใช้ตรรกอ้างเพื่อจะหาข้ออ้างตีเพื่อ ความอายาตสิฟาต -วัลอิยาซุบิลละฮ
ความจริงไม่อยากจะยุ่ง เพราะเคยชี้แจงไม่รู้สักกีรอบแล้ว แต่ก็จะมีตัวตายตัวแทนมาบิดเบือนอะกีดะฮอีก

อะสัน หมัดอะดั้ม
30/7/62





เอกสารอ้างอิง





 à¹„ม่มีคำอธิบายรูปภาพ



ตรรกเพื่อหาความชอบธรรมในการตีความอายาตสิฟาต ภาค 1

ตรรกเพื่อหาความชอบธรรมในการตีความอายาตสิฟาต ภาค 1
มีผู้หนึ่ง(ขอสวงนนามอ้าว่า
#โปรดอ่าน ถ้าต้องศรัทธายึดมั่นตามตัวบทซอเฮรที่ปรากฎ​ภายนอกของมัน ห้ามตีความ แล้วอายะฮฺนี้ว่าอย่างไร
#และห้ามตีความเป็นอย่างอื่นน่ะ เพราะนะบีย์ไม่ได้บอกอธิบายเป็นอย่างอื่น ถ้าจะยึดอย่างนั้น
وَهُوَ مَعَكُمۡ أَیۡنَ مَا كُنتُمۡ
และพระองค์อยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด
(ตกลงพระองค์อยู่ทุกที่หรือ ?)
وَهُوَ ٱللَّهُ فِی ٱلسَّمَـٰوَ ٰ⁠تِ وَفِی ٱلۡأَرۡضِ
และพระองค์คืออัลลอฮฺที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
(ตกลงพระองค์อยู่ในฟ้าหรือแผ่นดินกันแน่ ?)
@@@@
ชี้แจง
ข้างบนเป็นข้ออ้างทางตรรก เพื่อหาความชอบธรรมในการตีความ(ตะวีล)ตามแนวคิดอะฮลุลกาลาม
จึงถามว่า ท่านนบี ศ็อลฯ,เหล่าเศาะหาบะฮและปราชญ์ยุคสะลัฟ เขาตีความอายะฮที่คุณอ้างไม่ มีหลักฐานไหมว่า ท่านนบี ศ็อลฯสอนให้เหล่าเศาะหาบะฮตีความอายะฮข้างต้น พวกเขาโง่กว่าคุณหรือ?
มาดู อายะฮ ที่ 1
ท่านครูอ้างว่า
وَهُوَ مَعَكُمۡ أَیۡنَ مَا كُنتُمۡ
และพระองค์อยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด
(ตกลงพระองค์อยู่ทุกที่หรือ ?)
ชี้แจง
ท่านครูเข้าใจว่า ถ้าไม่ตีความ จะทำให้เข้าใจว่า อัลลอฮอยู่ทุกที่ -นะอูซุบิลละฮ มโนคิดไปเอง ทำไมไม่ดูคำอธิบายของปราชญ์ยุคสะลัฟเล่า?
คำว่า "مع ًในอายะฮข้างต้น ไม่ได้หมายถึง การอยู่พร้อมกันในสถานที่ แต่หมายถึงความรอบรู้ของอัลลอฮ ห้อมล้อม(الاحاطة )มัคลูคทั้งหลาย
ชัยค์อัสสะอดีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
معية الله التي ذكرها في كتابه نوعان:
معية العلم والاحاطة وهي المعية العامة، فإنه مع عباده أينما كانوا.
 ومعية خاصة، وهي معيته مع خواص خلقه، بالنصرة والعطف والتأييد

มะอียะฮ (การอยู่พร้อม)ของอัลลอฮที่มันถูกระบุในคัมภีร์ของพระองค์นั้น มี 2 ชนิด
1. มะอียะตุลอิลมิวัลอิหาเฎาะฮ (การอยู่พร้อมในด้านการรู้และการห้อมล้อม) คือ มะอียะฮค็อส(มะอียะฮกับบรรดามัคลูคทั่วไปทั่วไป) เพราะแท้จริงพระองค์อยู่พร้อมกับบรรดาบ่าวของพระองค์ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใหนก็ตาม (หมายถึงทรงรู้ และความรู้ของพระองค์ได้ห้อมล้อมพวกเขาไม่ใช่อยู่ในสถานที่เดียวกันอย่างที่พวกโง่เขลาเข้าใจ-ผู้แปล)
2.มะอียะฮคอ็ศเศาะฮ(การอยู่พร้อมเป็นการเฉพาะกับบรรดาผู้ศรัทธา) คือการอยู่พร้อมของพระองค์ พร้อมกับการมีคุณสมบัติพิเศษของมัคลูคของพระองค์ ด้วยการช่วยเหลือ,,ความเมตตาและการสนับสนุน(ไม่ใช่อยู่ร่วมกันอย่างที่คนโง่เขลาเข้าใจ-ผู้แปล) -ตัยสีรอัลกะรีมอัรเราะหมาน หน้า 944
.........
สรุป
คำว่า "مع " พร้อม" ในอายะฮข้างต้น คือ มะอียะฮอามมะ มีความหมายว่า รู้(العلم ) ไม่ได้หมายถึง อยุู่ทุกที่ตามที่คนโง่เขลาเข้าใจกัน
มาดูคำอธิบายของปราชญสะลัฟ
أخرج ابن أبي حاتم عن ابن عباس في قوله {وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ} قال: "عالم بكم أينما كنتم

อิบนุอบีหะตีม รายงานจากอิบนุอับบาส ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า (และพระองค์อยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด) เขา(อิบนุอับบาส)กล่าวว่า "ทรงเป็นผู้ทรงรอบรู้ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใหนก็ตาม -อัดดุรรุลมันษูร ของอิหม่ามสะยูฏีย์ 6/171
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ) กล่าวว่า
مثل قوله تعالى : {وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ} وقوله : {مَا يَكُونُ مِنْ نَجْوَى ثَلاثَةٍ إِلَّا هُوَ رَابِعُهُم}، فقال من قال من علماء السلف حينئذ : إنما أراد أنه معهم بعلمه
เช่น คำตรัส ของพระองค์ที่ว่า (และพระองค์อยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด)และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา) แล้วผู้ที่กล่าวจากปราชญ์ยุคสะลัฟ ได้กล่าว ตอนนั้นว่า "ความจริงพระองค์ทรงหมายถึง แท้จริงพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกเขาด้วยความรอบรู้ของพระองค์ - ดูฟัตหุลบารีย์ ของอิบนุเราะญับ 3/113
ในขณะที่อิบนุญะรีร(ร.ฮ) ปราชญ์สะลัฟก็ได้อธิบายว่า

وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى 
عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ
(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)พฤติกรรมพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏเฏาะบะรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4
.........
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) ได้อธิบายความหมายคำว่า معكم ว่า ความรู้ และท่านยังคงยืนยัน การอยูเบื้องสูง เหนื่อเจ็ดชั้นฟ้าของอัลลอฮ แต่มีคนพยายามบิดเบือน

สรุป คือ ไม่เข้าใจ แล้วมาใช้ตรรกบิดเบือนเพื่อหาข้ออ้างในการตีความอายาตสิฟาต
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/7/62





 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮที่เป็นโมฆะเกี่ยวกับการตาย




ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮที่เป็นโมฆะเกี่ยวกับการตาย
อิหม่ามมุหัมหมัดอัลบิรกิวีย์ (ฮ.ศ 929-981 )ปราชญ์ยุคอานาจักรออตโตมัน ชาวตุรกีย์ กล่าวว่า
الفصل الثالث في أمور مبتدعة باطلة، أكبَّ الناس عليها، على ظن أنها قربٌ مقصودة، وهذه كثيرة فلنذكر أعظمها: وقف الأوقاف، سيما النقود لتلاوة القرآن العظيم، أو لأن يصلي النوافل، أو لأن يسبح، أو لأن يهلل، أو يصلي على النبي ، ويعطي ثوابها لروح الواقف من أراده
บทที่สาม ใน บรรดาเรื่องบิดอะฮ ที่เป็นโมฆะ ที่บรรดาผู้คนมีความมุ่งมั่นบนมัน โดยเข้าใจว่ามันคือ อิบาดะฮที่มีจุดมุ่งหมาย และเหล่านี้มีมากมากมาย เราจะกล่าวถึง ที่ใหญ่ๆของมันคือ
การวะกัฟ บรรดาการวะกัฟต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงิน เพื่อการอ่านอัลกุรอ่าน หรือ เพื่อให้มีการละหมาดสุนัต หรือ การกล่าวตัสเบียะ หรือการกล่าวตะฮลีล หรือให้เศาะลาวาตนบี และมอบ(อุทิศ)ผลบุญของมันแก่วิญญานของผู้ทำการวะกัฟ จากความต้องการของเขา
ومنها الوصية باتخاذ الطعام، والضيافة يوم موته، أو بعده بإعطاء دراهم معدودة، لمن يتلو القرآن لروحه، أو يسبح له، أو بأن يبيت عند قبره رجال أربعين ليلة، أو أكثر أو أقل، أو بأن يبنى على قبره بناء؛ فكل هذه بدع منكرات، والوقف والوصية باطلان، والمأخوذ منها حرام للآخذ، وهو عاصٍ بالتلاوة، والذكر لأجل الدنيا
และส่วนหนึ่งจากมัน (จากบิดอะฮที่เป็นโมฆะ)คือ สั่งเสียให้เตรียมอาหารเลี้ยงแขก ในวันที่เขาตาย หรือ หลังจากนั้น และ ให้มอบเงินจำนวนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ให้แก่ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่าน ตัสเบียะและตะฮลีล อุทิศให้แก่ดวงวิญญานผู้ตาย หรือ(สังเสีย)ให้บรรดาผู้ชาย พักแรมคืน ณ ที่กุโบร์(หลุมศพ)ผู้ตาย 40 คืน หรือ มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้น หรือ (สังเสีย)ให้ก่อสร้างบนหลุมศพผู้ตาย ทั้งหมดนี้คือ บิดอะฮมุงกะเราะฮ(บิดอะฮที่เลว) และการวะกัฟและการสั่งเสีย เป็นโมฆะทั้งสอง และสิ่งที่ถูกเอาจากมัน หะรอมแก่ผู้เอา และเขาคือ ผู้ที่ทำการฝ่าฝืน ด้วยการอ่านอัลกุรอ่านและการทำการซิกริลละฮ เพื่อ ผลประโยขน์ทางดุนยา - ดู บะรีเกาะฮอัลมะหมูดะฮ ฟี ชัรห เฎาะรีเกาะฮมุหัมมะดียะฮ 5/ 348 และ อัฏเฎาะรีเกาะฮอัลมุหัมมะดีดะฮ (มะตัน) หน้า 564 ตรวจทานโดย หาฟิซ มุหัมหมัดนาซิม อันนัดวีย์
.........
ส่วนจากบิดอะฮที่เป็นโมฆะ คือ
1. การวากัฟต่างๆ เช่นเงิน เพื่อการอ่านอัลกุรอ่าน หรือ เพื่อให้มีการละหมาดสุนัต หรือ การกล่าวตัสเบียะ หรือการกล่าวตะฮลีล หรือให้เศาะลาวาตนบี และมอบ(อุทิศ)ผลบุญของมันแก่วิญญานของผู้ทำการวะกัฟ ตามความต้องการของผู้วากัฟ
2. การสั่งเสียให้เตรียมอาหารเลี้ยงแขก ในวันที่เขาตาย หรือ หลังจากนั้น และ ให้มอบเงินจำนวนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ให้แก่ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่าน ตัสเบียะและตะฮลีล อุทิศให้แก่ดวงวิญญานผู้ตาย หรือ(สังเสีย)ให้บรรดาผู้ชาย พักแรมคืน ณ ที่กุโบร์ผู้ตาย(หมายถึงประเพณีเฝ้ากุโบร์) 40 คืน หรือ มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้น
3.หะรอมเอาสิ่งที่วะกัฟ และสิ่งที่สังเสีย ให้ทำบิดอะฮที่ได้กล่าวข้างต้น
...........
ข้างต้นเป็นข้อมูลทางวิชาการให้ผู้อ่านพิจารณา ไม่ได้บังคับให้ใครตามและเชื่อ เพราะเรื่องศาสนามันขี้นอยู่กับอีหม่าน ,จิตสำนึกของคน และการยำเกรงต่ออัลลอฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/7/62

เอกสารอ้างอิง
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ




วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

การตามอุลามาอฺ ของคนยุคหลังที่แตกต่างจากคนยุคสะลัฟ






การตามอุลามาอฺ ของคนยุคหลังที่แตกต่างจากคนยุคสะลัฟ
การตามบรรดาผู้รู้หรืออุลามาอฺ เป็นเรื่องปกติของคนไม่รู้แล้วตามผู้รู้ แต่การตามบรรดาผู้รู้ของคนยุคหลัง (المتأخرون) แตกต่างจากยุคสะลัฟ อย่างสิ้งเชิง ดังข้อเท็จจริงต่อไปนี้
อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَمَّا نَوْعُ التَّقْلِيدِ الَّذِي خَالَفَ فِيهِ الْمُتَأَخِّرُونَ الصَّحَابَةَ وَغَيْرَهُمْ مِنَ الْقُرُونِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ، فَهُوَ تَقْلِيدُ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ ، مِنْ جَمِيعِ الْعُلَمَاءِ ، فَإِنَّ هَذَا النَّوْعَ مِنَ التَّقْلِيدِ لَمْ يَرِدْ بِهِ نَصٌّ مِنْ كِتَابٍ وَلَا سُنَّةٍ ، وَلَمْ يَقُلْ بِهِ أَحَدٌ مِنْ أَصْحَابِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، وَلَا أَحَدٌ مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْمَشْهُودِ لَهُمْ بِالْخَيْرِ.
และสำหรับประเภทของการตักลิด(การตาม)ที่บรรดาคนยุคหลัง ( الْمُتَأَخِّرُونَ)แตกต่างกับบรรดาเศาะหาบะฮและคนอื่นจากพวกเขา จากศตวรรษ ที่ถูกเป็นพยานยืนยันให้พวกเขาด้วยความดีงาม คือ การตักลิด(การตาม)คนๆเดียว(เป็นการเฉพาะ) โดยไม่ตามคนอื่นจากเขา จากบรรดาทั้งหมดของอุลามาอฺ(นักปราชญ์) เพราะแท้จริงนี้คือ ประเภทของการตักลิด(การตาม) ที่ไม่ปรากฏตัวบทจากอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ,และไม่มีคนใดจากบรรดาเศาะหาบะฮรซูลุลลอฮ(ศอลฯ) และไม่มีคนใดจากคนที่อยู่ในศตวรรษที่สามที่ถูกเป็นพยานให้แก่พวกเขาด้วยความดีงาม ได้กล่าวด้วยมัน
........
สรุป
1. สิ่งที่บรรดาคนยุคหลังแตกต่างกับบรรดาคนยุคสะลัฟคือ คนยุคหลังตักลิดตามคนๆเดียวเป็นการเฉพาะ โดยไม่ตามบรรดาอุลามาอฺคนอื่นๆที่นอกเหนือจากคนที่พวกเขาตาม (ซึ่งหมายถึงการผูกขาดกสังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ-ผู้แปล)
2.การผูกขาดการตามคนหนึ่งคนใดโดยไม่ตามปราชญคนอื่นๆไม่ปรากฏหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสุนนะฮ 
3. ไม่มีเศาะหาบะฮของท่านรอซูล คนใดและคนในยุคศตวรรษที่สามที่ได้รับการรับรองว่าเป็นยุคที่ดี กล่าวว่าให้ตามมัซฮับคนหนึ่งคนใด(เป็นการเฉพาะ) โดยไม่ตามบรรดาปราชญ์คนอื่นจากเขา
وَهُوَ مُخَالِفٌ لِأَقْوَالِ الْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ رَحِمَهُمُ اللَّهُ ، فَلَمْ يُقِلْ أَحَدٌ مِنْهُمْ بِالْجُمُودِ عَلَى قَوْلِ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ دُونَ غَيْرِهِ، مِنْ جَمِيعِ عُلَمَاءِ الْمُسْلِمِينَ.
และมัน(การผูกขาดการตามคนๆเดียวนั้น)คือสิ่งที่ขัดแย้ง/แตกต่างกับบรรดาคำพูดของอิหม่ามทั้งสี่ (ร.ฮ) คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา ไม่เคยกล่าว ด้วยการให้ยึดมั่น บนคำพูด(ทัศนะ)คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ โดยไม่ยึดมั่นกับคนอื่นจากเขาจากบรรดาอุลามาอฺมุสลิมีน
สรุป
1.การตามคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะโดยไม่ตามบรรดาปราชญ์คนอื่นนั้น ขัดแย้งกับบรรดาคำพูดของอิหม่ามทั้งสี่
2. ไม่มีบรรดาอิหม่ามทั้งสี่คนใดสอนให้ยึดหรือตามปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะโดยไม่ให้ตามปราชญ์มุสลิมคนอื่นๆ
فَتَقْلِيدُ الْعَالِمِ الْمُعَيَّنِ مِنْ بِدَعِ الْقَرْنِ الرَّابِعِ ، وَمَنْ يَدَّعِي خِلَافَ ذَلِكَ ، فَلْيُعَيِّنْ لَنَا رَجُلًا وَاحِدًا مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ الْأُوَلِ ، الْتَزَمَ مَذْهَبَ رَجُلٍ وَاحِدٍ مُعَيَّنٍ ، وَلَنْ يَسْتَطِيعَ ذَلِكَ أَبَدًا ; لِأَنَّهُ لَمْ يَقَعِ الْبَتَّةَ " انتهى .
การตักลิดตาม ผู้รู้ที่เป็นเฉพาะ นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่สี่ และผู้ใดอ้างแตกต่างจากดังกล่าว ก็จงช่วยนำคนหนึ่งคนใดจากศตวรรษที่สามยุคแรกมาให้เราสักคนซิ ว่าให้ยึดมัซฮับคนๆเดียวเป็นการเฉพาะ และ เขาไม่สามารถที่จะทำดังกล่าวนั้นตลอดไป เพราะแท้จริงมันไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด- ตัฟสีรอัฎวาอุลบะยาน ฟี ตัฟสีรอัลกุรอ่าน บิลกุรอ่าน 1/307
..........
สรุป
1. การให้ตักลิดตาม ปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ เป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่สี่
2. อิหม่ามอัชชันกิฏีย์ (ร.ฏ)ท้าว่า ถ้าใคอ้างแตกต่างจากที่ท่านกล่าวมา ก็ให้นำคำพูดคนยุคสามร้อยปีแรก มาซักคนซิ ว่าใครบอกว่า "จำเป็นจะต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ" แน่นอนย่อมหามาไม่ได้หรอก เพราะไม่มีอย่างเด็ดขาด
..........
สรุปทั้งหมด
1. การตามอุลามาอฺ ของคนยุคหลังต่างกับคนยุคสะลัฟคือ คนยุคหลังสอนให้ตามอุลามาอฺแบบผูกขาดกับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ โดยไม่ตามคนอื่นจากเขา
2.ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ,ไม่มีเศาะหาบะฮคนใด และคนในยุคสามร้อยปีแรกคนใด สอนให้ตักลิดตามปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะโดยไม่ตามปราชญ์มุสลิมีนคนอื่นๆ
3. ไม่มีคนในยุคสามร้อยปีแรกคนใด บอกว่า จำเป็นต้องสักกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ
4. ไม่มีอิหม่ามทั้งสี่ ท่านใด กล่าวให้ตามปราชญ์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ โดยไม่ให้ตามคนอื่นๆจากคนที่เขาสังกัด
5. การสอนให้ตักลิดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ นั้น เป็นบิดอะฮเกิดขึ้นในศตวรรษที่สี่
............................
จากที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้พี่น้องเปิดใจศึกษา จะได้ไม่ถามกันว่า คุณสังกัดมัซฮับใหน และโจมตีคนที่ไม่ผูกขาดมัซฮับ หรือใช้อำนาจบาดใหญ่บีบบังคับคนให้ตามมัซฮับที่ตนสังกัด
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/7/62

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

การแอบอ้างว่าอิหม่ามชาฟิอีส่งเสริมให้ทำเมาลิดนบี

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การแอบอ้างว่าอิหม่ามชาฟิอีส่งเสริมให้ทำเมาลิดนบี
มีการอ้างว่า
و قال الامام الشافعي رحمه الله: من جمع لمولد النبي صلي الله عليه و سلم اخوانا و هيأ طعاما و اخلي مكانا و عمل احسانا و صار سببا لقرآءته بعثه الله يوم القيامة مع الصديقين و الشهداء و الصالحين و يكون في جنات النعيم.
และอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า ผู้ใดรวบรวม พีน้อง ,จัดเตรียมอาหารและจัดเตรียมสถานที่ให้ว่าง เพื่อเมลิดนบี ศ็อลฯ ,กระทำความดี และเขาเป็นสาเหตุให้มีการอ่านเมาลิดนบี อัลลอฮจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ ได้อยู่พร้อมกับ บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดีและเขาจะได้อยู่ในสวรรค์แห่งบรมสุข(ญันนะตุลนะอีม - ดู มะดาริจญอัสศุอูด ชัรหบัรซันญี ของชัยค์ มุหัมหมัด นะวาวีย์ อันบันตานีย์ หน้า 15
.........
วิจารณ์
ชัยค์ มุหัมหมัด นะวาวีย์ อันบันตานีย์ (ร.ฮ) เสียชีวิต ปี ฮศ 1316 ในขณที่ อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)เสียชีวิตปี ฮ.ศ 204 ห่างกัน 1,112 ปี และเป็นการอ้างคำพูดอิหม่ามชาฟิอี โดยไม่มีสายรายงานแม้แต่คนเดียว
อนึ่ง การเฉลิมฉลองเมาลิดนบี ศ็อลฯ เกิดขึ้นหลังยุคสะลาฟ คือ หลังยุคสามร้อยปี คือ งานเมาลิดนบีฯ อุบัติขึ้นครั้งแรกในสมัยสุลฎอน มุอัซลิดีนิลลาฮฺ สุลต่านหรือสุลฎอนของราชวงค์ฟาฎิมี ซึ่งปกครองอียิปต์เมื่อปี ฮ ศ 362 หลังจากอิหม่ามชาฟิอีเสียชีวิต 158 ปี แสดงให้เห็นว่าเป็นแอบอ้างอิหม่ามชาฟิอีอย่างชัดเจน
.......
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาดูมิ่นดูแคลนพี่น้องท่านใด แต่เพื่อให้ผู้อ่านทราบข้อเท็จจริงเท่านั้นว่า อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
ศึกษากันเถอะครับ และยอมรับความจริงกันบ้างเถอะครับ เพื่ออัลลอฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/7/62

ดุอายกมือทั้งสองหลังละหมาดฟัรดูมีสุนนะฮไหม ?




ดุอายกมือทั้งสองหลังละหมาดฟัรดูมีสุนนะฮไหม ?
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลทางวิชาการ ทำใจอ่านให้จบ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เพราะนำเสนอเพื่อให้เปิดใจศึกษา


س4‏:‏ رفع اليدين بالدعاء بعد الصلوات الخمس هل ثبت رفعها من النبي -صلى الله عليه وسلم-أم لا وإذا لم يثبت هل يجوز رفعهما بعد الصلوات الخمس أم لا‏؟‏
ج4‏:‏ لم يثبت عن النبي -صلى الله عليه وسلم- فيما نعلم أنه رفع يديه بعدالسلام من الفريضة في الدعاء، ورفعهما بعد السلام من صلاة الفريضة مخالف للسنة‏.‏
وبالله التوفيق وصلى الله على نبينا محمد وآله وصحبه وسلم‏.‏
اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء
คำถาม :
การยกมือขอดุอาหลังละหมาดฟัรดูห้าเวลา ว่ามีรายงานยืนยันว่าท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมยกมือหรือไม่? และเมื่อไม่มีรายงานยืนยัน จะอนุญาตให้ยกมือทั้งสองหลังละหมาดฟัรดูห้าเวลาหรือไม่ ?
คำตอบ :
لم يثبت عن النبي صلى الله عليه وسلم فيما نعلم أنه رفع يديه بعد السلام من الفريضة في الدعاء ، ورفعهما بعد السلام من صلاة الفريضة مخالف للسنة
ไม่มีรายงานยืนยันจากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมในสิ่งที่เรารู้มา ว่า ท่านยกมือทั้งสองของท่านขอดุอา หลังจากกล่าวสลาม จากละหมาดฟัรดู และการยกมือทั้งสองหลังกล่าวสล่าม จากละหมาดฟัรดูนั้น ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ- 
وبالله التوفيق وصلى الله على نبينا محمد وآله وصحبه وسلم‏.‏
اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء
ฟะตะวาอัล-ลุจญนะฮ ยุซที่ 7 หน้า 104 
........
สรุป จากฟัตวาข้างต้นดังนี้
การดุอาหลังหมาดยกมือทั้งสอง ไม่ปรากฏรายงานยืนยันจากการกระทำของท่านนบี ศ็อลฯ และ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ (ดูสำเนาฟัตวาที่แนบมา) ส่วนใครไม่เห็นด้วยผู้เขียนไม่ได้บังคับ ให้เชื่อ เพราะเรื่องศาสนาเป็นของจิตสำนึกของแต่ละคนว่าจะปฏิบัติตามสุนนะฮหรือไม่ 
นำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษารอบด้าน และจะได้ไม่กล่าวหาคนที่ไม่ปฏิบัติว่า เป็นพวกนั้นพวกนี้ ในลักษณะดูหมิ่นดูแคลน โดยที่ตนเองไม่ได้ศึกษา
ส่วนหะดิษที่อ้างกัน ว่ายกมือดุอาหลังละหมาดฟัรดูได้ คือ
รายงานจากท่านมุฮัมมัด อบนุ ยะฮฺยา อัลอัสละมีย์ เล่าว่า
ما رواه الطبراني عن محمد بن أبي يحيى قال : رأيت عبدالله بن الزبير ورأى رجلا رافعا يديه يدعو فبل أن يفرغ من صلاته ، فلما فرغ منها قال له : إن رسول الله لم يكن يرفع يديه حتى يفرغ من صلاته ، قال الحافظ الهيثمي : رجاله ثقات : محمع الزوائد 1/169 وعزاه الطبراني
รายงานโดย อัฏฏ็อบรอนีย์ จากมุหัมหมัด บิน อบี ยะหยา ได้กล่าวว่า “ฉันเห็นท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุซซุบัยรฺ พร้อมกันนั้นท่านอับดุลลอฮฺก็ได้เห็นชายคนหนึ่งยกมือทั้งสองขอดุอาอ์ก่อนที่จะละหมาดเสร็จ และเมื่อชายคนนั้นละหมาดเสร็จแล้ว ท่านอับดุลลอฮฺจึงได้กล่าวแก่ชายคนนั้นว่า แท่จริงท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ไม่เคยยกมือทั้งสองของท่าน จนกว่าท่านจะละหมาดเสร็จเสียก่อน”
(บันทึกหะดิษโดยอิมามอัฏฏ็อบรอนี)
ชัยค์บะกัร อบูเซด (ร.ฮ)กล่าวว่า
وفي سنده إنقطاع بين محمد بن أبي يحيى الأسلمي وبين عبدالله بن الزبير،مع مافي ابن أبي يحيى من مقال بل هو متروك كما حكى الإجماع على ذلك ابن عبدالبر ،والراوي عنه :الفضيل بن سليمان النميري متكلم فيه من جهة حفظه
ในสายรายงานของมัน(ของหะดิษนี้) ขาดตอนระหว่าง มุหัมหมัด บิน อบียะหยา อัลอัสละมีย์ และระหว่าง อับดุลลอฮ บินซุบัยรฺ พร้อมกับ ในตัวของ อิบนุอบี ยะหยา นั้น มีส่วนหนึ่งที่ถูกวิจารณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือผู้ที่ถูกตัดทิ้ง ดังที่ อิบนุอับดิลบัร ได้รายงาน ว่าเป็นมติของปราชญ์บนดังกล่าวนั้น และผู้รายงานจากเขา คือ อัลฟุฎัยลฺ บิน สุลัยมาน อันนุมัยรีย์ คือผู้ที่ถูกวิจารณ์ในตัวเขา จากด้านความจำของเขา -ตัศเฮียะหอัดดุอา ของอบูบักร์ อบูเซด หน้า 440
.........
หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเฎาอีฟ สายรายงานขาดตอน และผู้รายงานคือ อิบนุอบียะหยา ถูกวิจารณ์ว่า มัตรูก หรือมัตรูกุลหะดิษ คือหะดิษที่ผู้รายงานถูกวิจารณ์ว่า โกหก
.....
ข้างต้นเป็นการนำเสนอทางวิชาการ เพื่อให้ศึกษา รับไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ ไม่ได้บังคับนะครับ เพราะผู้เขียนไม่ใช่เจ้าศาสนา เป็นเพียงผู้นับศาสนาอัลลอฮที่แสวงหาสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

อะสัน หมัดอะดั้ม
21/7/62





เอกสารอ้างอิง












ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


ไม่มีคำอธิบายรูปภาพในภาพอาจจะมี ข้อความ