วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อร่อยจริงหนอ....เมาลิดนบีชงด้วยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อร่อยจริงหนอ....เมาลิดนบีชงด้วยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
อับดุลการีม มิลมาล อัลอัชอะรีย์อั้ลอุรดูนีย์
12 ธันวาคม 2016 ·
#ทำไมต้องยืนขึ้นเวลาซอลาวาต
เรื่องของการยืนขึ้นขณะที่มีการเริ่มการกล่าวซอลาวาต หรือ กล่าวมัรฮาบัน ในตำรา"บัรซันยี"ปกเล่มสีแดง ที่บ้านเราส่วนใหญ่ใช้กันประเด็นนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งกลุ่มวะห์บีย์คณะใหม่เข้าใจผิดและนำมาซึ่งการฮุ่ก่มว่า "บิดอะห์ด่อลาละห์" เพราะนบีและซอฮาบัตไม่เคยทำ
ขอชี้แจงว่า การยืนขึ้นในขณะดังกล่าว เป็นเรื่องที่บรรดาผู้รู้ได้ส่งเสริมเพื่อเป็นการให้เกียรติ กับสถานะเกียรติอันสูงส่งของท่านศาสดา ซ๊อลลั้ลอฮู้อะลัยฮี่ว่าอาลี่ฮี่ว้าซั้ลลัม ไม่ใช่เรื่องวายิบแต่ประการใด อันเนื่องมาจาก สถานที่ใดที่มีการซอลาวาต มีการซิกรุ้ลเลาะห์ สถานที่ดังกล่าวจะถูกห้อมล้อมจากบรรดาม่าลาอีกะห์ และการเคลื่อนไหวของผู้คนที่แสดงออกในอิริยาบทต่างๆไม่ว่าจะเป็นการยืน การนั่ง ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธา ตามที่อั้ลกุรอานได้กล่าวไว้ในซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 103
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ فَاذْكُرُوا اللَّهَ قِيَامًا وَقُعُودًا وَعَلَىٰ جُنُوبِكُمْ ۚ
"ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว ก็จงซิกรุ้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอนเอกเขนกของพวกท่าน"
จากหลักฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของหลักการอิสลาม แน่นอนว่า ต้องเป็นอั้ลกุรอาน และนี่คือ หลักฐานที่ได้จากอั้ลกุรอาน ทีบ่งชี้ถึงสภาพการของผู้ที่รำลึกนึกถึงอั้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอน และแน่นอนว่า การทำเมาลิดนบี มีการอ่านอั้ลกุรอาน มีการซิกรุ้ลเลาะห์ มีการซอลาวาตและกล่าวชีวประวัติของท่านศาสดา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การกระทำดังกล่าวนี้ ด้วยกัยการยืน ซอลาวาตก็คือที่มาจากคำสั่งใช้ของอั้ลเลาะห์(ซ.บ.)นั่นเอง เพราะซอลาวาต ก็คือ การรำลึกนึกถึงอั้ลเลาะห์
@@@@
ชี้แจง
แปลกนะ.... คนเราสุนนะฮนบีไม่รู้จักพอกับสุนนะฮนบี พยายามที่จะผลิตสิ่งใหม่ขึ้นมาในเรื่องอิบาดะฮในศาสนาโดยการเอาหะดิษและอัลกุรอ่านมาชงเอง กินเองและให้คนอาวามกิน
แปลกหนอ.. คนเราบางคน เป็นนกรู้ไปเสียทุกอย่าง รู้ว่าอายะฮใหน หะดิษบทใหนเป็นหลักฐานทำเมาลิดนบี โดยที่ปราชญ์ในยุคสะลัฟสามร้อยปีแรกยังไม่รู้เลย ..เก่งจริงหนอ
1. การยืนให้เกียรติ เป็นสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯไม่ชอบ ดังหะดิษที่ว่า ท่านนาบี (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า
من أحب أن يتمثل له الناس قياماً فليتبوأ مقعده من النار
ความว่า "ใครก็ตามที่ชอบให้ผู้คนยืนขึ้น เพื่อให้เกียรติแก่ตัวเขาเอง พึงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺได้เตรียมที่นั่งแก่เขาที่ทำมาจาก ไฟนรก" (บันทึกโดยอีหม่ามอะหมัด อาบูดาวุดและติรมีซีย์ รายงานจากท่านมูอาวียะฮฺ (ร.ฏ.) เป็นสายสืบที่ศอฮีหฺ)
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عَبْدِ الرَّحْمَنِ أَخْبَرَنَا عَفَّانُ أَخْبَرَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ حُمَيْدٍ عَنْ أَنَسٍ قَالَ لَمْ يَكُنْ شَخْصٌ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ وَكَانُوا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُومُوا لِمَا يَعْلَمُونَ مِنْ كَرَاهِيَتِهِ لِذَلِكَ
คำแปลตัวบท
รายงานจากอะนัส กล่าวว่า "ไม่มีบุคคลใดที่เป็นที่รักยิ่งแก่พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮ) ยิ่งไปกว่ารซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และปรากฏว่าเมื่อพวกเขาเห็นท่านรซูล พวกเขาก็ไม่เคยยืนแก่ท่านรอซูล เพราะพวกเขารู้ดีว่า ท่านรังเกียจพฤติกรรมดังกล่าวนั้น " - รายงานโดย อัตติมิซีย์
رواه الترمذي (2754) وصححه الألباني في صحيح الترمذي
มีอีกหะดิษที่คนทำเมาลิดชอบเอามาอ้าง การยืนให้เกียรติ นบี เมื่อกล่าวเศาะละวาตในพิธีเมาลิดคือ
มีรายงานจากอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่า :
أَنَّ أَهْلَ قُرَيْظَةَ نَزَلُوا عَلَى حُكْمِ سَعْدٍ بنِ مُعَاذٍ، فَأَرْسَلَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم إِلَيْهِ، فَجَاءَ فَقَالَ: «قُومُوا إِلَى سَيِّدِكُمْ أَوْ قَالَ خَيْرِكُمْ».
ความว่า ชาวเผ่ากุร็อยเซาะฮฺได้ตกลงจะยอมรับการติดสินคดีของสะอัด บิน มุอาซ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงส่งคนไปเชิญให้สะอัดมาพบ เมื่อสะอัดมาถึงท่านนบีก็กล่าวว่า “พวกท่านจงลุกขึ้นไปหาหัวหน้าของพวกท่าน – หรือท่านได้กล่าวว่า - คนที่ดีที่สุดของพวกท่าน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 6262 สำนวนเป็นของท่าน, มุสลิม : 1768)
..........
หะดิษไม่ใช่การสั่งให้ยืนให้เกียรติ แต่สังให้ไปพยุงสะอัด บิน มุอาซ ลงมาจากพาหนะ เพราะเขาบาดเจ็บ โดยมีสำนวนหนึ่งระบุว่า
وَفِي لَفْظٍ : «قُوْمُوا إِلَى سَيِّدِكُمْ فَأَنْزِلُوهُ».
และในสำนวนอื่นรายงานว่า “พวกท่านจงลุกขึ้นไปยังหัวหน้าของพวกท่านแล้วพยุงเขาลงมา” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอะห์มัด : 25610 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 67)
...............
ไม่มีแบบอย่างในยุคสะลัฟ ที่นัดชุมนุมกันยืนเศาะละวาตนบี พร้อมๆกัน อย่างที่มีการทำพิธีเมาลิด ในปัจจุบัน
.................
2. นาย อับดุลการีม มิลมาล อัลอัชอะรีย์อั้ลอุรดูนีย์ อ้างในซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 103 ในการยืนเศาะวาตนบีในพิธีเมาลิดนบีคือ
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ فَاذْكُرُوا اللَّهَ قِيَامًا وَقُعُودًا وَعَلَىٰ جُنُوبِكُمْ ۚ
"ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว ก็จงซิกรุ้ลเลาะห์ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอนเอกเขนกของพวกท่าน"
................
อายะฮนี้ ไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมการยืนเศาะละวาตในพิธีเมาลิดนบี อย่างที่นาย อับดุลการีมชงเอง
มาดู อิหม่ามอัลบัฆวีย์ (ร.ฮ) อธิบาย ดังนี้
فَإِذَا قَضَيْتُمُ الصَّلَاةَ ) يَعْنِي : صَلَاةَ الْخَوْفِ ، أَيْ : فَرَغْتُمْ مِنْهَا ، ( فَاذْكُرُوا اللَّهَ ) أَيْ صَلُّوا لِلَّهِ ( قِيَامًا ) فِي حَالِ الصِّحَّةِ ، ( وَقُعُودًا ) فِي حَالِ الْمَرَضِ ، ( وَعَلَى جُنُوبِكُمْ ) عِنْدَ الْحَرَجِ وَالزَّمَانَةِ ، وَقِيلَ : اذْكُرُوا اللَّهَ بِالتَّسْبِيحِ وَالتَّحْمِيدِ وَالتَّهْلِيلِ وَالتَّمْجِيدِ ، عَلَى كُلِّ حَالٍ .
(ดังนั้นเมื่อพวกท่านทั้งหลายเสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว) หมายถึง ละหมาดในยามหวาดกลัว (เศาะลาตุลเคาฟฺ) คือ พวกเจ้าเสร็จจากมัน(จากเศาะลาตุลเคาฟฺ) (พวกเจ้าจงระลึกถึงอัลลอฮ ) หมายถึง พวกเจ้าจงละหมาดเพื่ออัลลอฮ (โดยการยืน) ในยามที่สุขภาพดี (และโดยการนั่ง) ในยาม เจ็บป่วย (นั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า) ขณะที่ มีอุปสรรค์และอ่อนแอ (เช่นเป็นอัมพาต) และถูกกล่าวว่า (มีผู้กล่าวว่า) หมายถึง พวกเจ้าจง ซิกรุลลอฮ ด้วยการตัสเบียะ ,ตะหมีด ,ตะฮลี้ล และตัมญีด บนทุกสภาพ - ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ เล่ม 2 หน้า 282
.............
ไม่มีหนทางใดที่จะเอาอายะฮนี้ ไปโยงกับ การทำพิธีเมาลิดนบีเลย แปลก...เอาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ มาชง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมบิดอะฮ ไม่รู้จักละอายอัลลอฮบ้างหรือไร สุนนะฮนบี ที่มีอยู่ไม่พออีกหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/12/60

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การซิกริลละฮเป็นหมู่คณะพร้อมกันด้วยเสียงดัง


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การซิกริลละฮเป็นหมู่คณะพร้อมกันด้วยเสียงดัง
การจัดพิธีซิกริลละฮหมู่   การกระทำแบบนี้มีแบบอย่างจากอัสสุนนะฮหรือไม่ โปรดอ่านรายละเอียดต่อไปนี้
1.อิบาดะฮใดๆที่ศาสนา ได้มีบัญญัติเอาไว้กว้างๆ ไม่เจาะจงเวลา และสถานที่ หากมาจำกัดเวลาหรือสถานที่ โดยมีความเชื่อว่ามีความประเสริฐ กว่า เวลาอื่นหรือสถานที่อื่น สิ่งนั้นคือ บิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงตัวอย่างของบิดอะฮว่า
ومنها التزام الكيفيات والهيئات المعينة كالذكر بهيئة الاجتماع على صوت واحد، واتخاذ يوم ولادة النبي صلى الله عليه وسلم عيدا وما أشبه ذلك.
และส่วนหนึ่งจากมัน(จากบิดอะฮอัลอิฎอฟียะฮ)คือ การยึดติดกับบรรดาวิธีการและรูปแบบ ที่ถูกเจาะจง เช่น การซิกริลละฮ ด้วยรูปแบบการชุมนุม (เป็นหมู่คณะ)ด้วยกล่าวพร้อมๆเป็นเสียงเดียว และ การถือเอาวันเกิดนบี ศอ็ลฯ เป็น วันอีด (วันเฉลิมฉลอง) และสิ่งที่คล้ายๆกันกับดังกล่าวนั้น - อัลเอียะติศอม 1/45
2. การซิกริลละฮพร้อมๆกันเป็นหมู่คณะ ด้วยเสียงดัง ไม่มีแบบอย่างจากสุนนะฮและการกระทำของชาวสะลัฟผู้ทรงธรรม
عَنْ أَبِي مُوسَى الْأَشْعَرِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : كُنَّا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَكُنَّا إِذَا أَشْرَفْنَا عَلَى وَادٍ هَلَّلْنَا وَكَبَّرْنَا ، ارْتَفَعَتْ أَصْوَاتُنَا ؛ فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( يَا أَيُّهَا النَّاسُ ، ارْبَعُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ ؛ فَإِنَّكُمْ لَا تَدْعُونَ أَصَمَّ وَلَا غَائِبًا ؛ إِنَّهُ مَعَكُمْ إِنَّهُ سَمِيعٌ قَرِيبٌ ، تَبَارَكَ اسْمُهُ وَتَعَالَى جَدُّهُ )
รายงานจากอบีมูซา อัลอัชอะรีย์ (ร.ฎ) กล่าวว่า พวกเราเคยอยู่พร้อมกับท่านนบี ศอ็ลฯ เมื่อพวกเรามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง พวกเราก็กล่าวตะฮลีล (กล่าวคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลละฮ) และกล่าวตักบีร( กล่าวว่า อัลลอฮุอักบัร) ด้วยเสียงอันดัง แล้วท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า (ประชาชนทั้งหลายจงสุภาพอ่อนโยนต่อตัวของพวกท่าน(ด้วยการลดเสียงให้ต่ำขณะขอดุอาอฺ) เพราะแท้จริงพวกท่านไม่ได้ร้องขอต่อผู้ที่หูหนวกและไม่ได้ร้องขอต่อผู้ที่ไม่อยู่(ต่อหน้าพวกเจ้า เพราะ) แท้จริงพระองค์ทรงอยู่กับพวกเจ้า แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินและอยู่เคียงพวกเจ้าเสมอ" (อัลบุคอรีย์ เลขที่ 4202, มุสลิม เลขที่ 2704)
3. ส่วนมีการอ้างการซิกริลละฮด้วยเสียงดังหลังจากละหมาดฟัรดูเสร็จนั้น โดยการอ้างรายงานอิบนุอับบาสนั้น มีคำตอบดังนี้
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ ابْنُ بَطَّالٍ : وَفِي " الْعُتْبِيَّةِ " عَنْ مَالِكٍ أَنَّ ذَلِكَ مُحْدَثٌ . قَالَ : وَفِي السِّيَاقِ إِشْعَارٌ بِأَنَّ الصَّحَابَةَ لَمْ يَكُونُوا يَرْفَعُونَ أَصْوَاتَهُمْ بِالذِّكْرِ فِي الْوَقْتِ الَّذِي قَالَ فِيهِ ابْنُ عَبَّاسٍ مَا قَالَ . قُلْتُ : فِي التَّقْيِيدِ بِالصَّحَابَةِ نَظَرٌ ، بَلْ لَمْ يَكُنْ حِينَئِذٍ مِنَ الصَّحَابَةِ إِلَّا الْقَلِيلُ ، وَقَالَ النَّوَوِيُّ : حَمَلَ الشَّافِعِيُّ هَذَا الْحَدِيثَ عَلَى أَنَّهُمْ جَهَرُوا بِهِ وَقْتًا يَسِيرًا لِأَجْلِ تَعْلِيمِ صِفَةِ الذِّكْرِ ، لَا أَنَّهُمْ دَاوَمُوا عَلَى الْجَهْرِ بِهِ ، وَالْمُخْتَارُ أَنَّ الْإِمَامَ وَالْمَأْمُومَ يُخْفِيَانِ الذِّكْرَ إِلَّا إِنِ احْتِيجَ إِلَى التَّعْلِيمِ .
อิบนุบัฏฏอ็ล ได้กล่าวว่า และในหนังสืออัลอุตบียะฮ (ฟิกฮมัซฮับมาลิกี) รายงานจากมาลิก ว่า การกระทำดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ เขากล่าวว่า ใน ความหมาย(ของหะดิษ)นั้น คือ บอกให้รู้วา แท้จริง บรรดาเศาะหาบะฮ พวกเขาไม่ได้กล่าวเสียงดัง ด้วยการซิกริลละฮ ในเวลาที่อิบนุอับบาสพูด สิ่งที่เขากล่าว เกี่ยวกับมัน "ข้าพเจ้า(อิบนุบัฏฏอ็ล)กล่าวว่า" ในการเจาะจง บรรดาเศาะหาบะฮ นั้น ต้องพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีเศาะหาบะฮในเวลานั้น นอกจากจำนวนน้อย และอันนะวาวีย์ กล่าวว่า "อัชชาฟิอี ได้ให้ความหมายหะดิษนี้ว่า พวกเขาซิกริลละฮเสียงดัง ในเวลาสั้นๆ เพราะต้องการสอนลักษณะ/รูปแบบการซิริลละฮ ไม่ใช่พวกเขาซิกริลละฮด้วยเสียงดังตลอดไป (คือไม่ได้กล่าวเสียงดังเป็นประจำ-ผู้แปล) และ สิ่งที่เป็นทางเลือก คือ แท้จริง ผู้ที่เป็นอิหม่าม และมะอฺมูม ให้เขาทั้งสองซิกริลละฮเบาๆ ยกเว้น เมื่อต้องการที่จะสอน (การซิกริลละฮ) - ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 326
สรุปคือ
1.การกล่าวซิกริลละฮเสียงดัง เป็นบิดอะฮในทัศนะอิหม่ามมาลิก
2.ในขณะที่อิบนุอับบาสพูดนั้น บรรดาเศาะหาบะฮไม่ได้กล่าวซิกริลละฮด้วยเสียงดังแล้ว
3. ในการเจาะจงว่าบรรดาเศาะหาบะฮกล่าวซิกริลละฮด้วยเสียงดังนั้น เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะในเวลานั้น บรรดาเศาะหาบะฮมีจำนวนน้อย
3.ความเข้าใจของอิหม่ามชาฟิอี เกี่ยวกับหะดิษนี้คือ เหล่าเศาะหาบะฮซิกริลละฮเสียงดัง ในเวลาสั้นๆเท่านั้นเพื่อสอนวิธิซิกริลละฮ
4. ตามทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น ให้อิหม่ามและมะอมูมซิกริลละฮเบาๆ ยกเว้นในกรณีที่ต้องการจะสอนวิธีซิกริลละฮ
ชัยค์ท่านมุหัมหมัด เราชีดริฏอ กล่าวว่า
إنه ليس من السنة أن يجلس الناس بعد الصلاة بقراءة شيء من الأذكار ، والأدعية المأثورة ، ولا غير المأثورة برفع الصوت وهيئة الاجتماع
ไม่มีจากอัสสุนนะฮ การที่ผู้คนนั่งหลังละหมาด ด้วยการอ่านสิ่งใดจากบรรดาซิกีร และบรรดาดุอามะฮษูเราะฮ และ อื่นจากดูอามะอฺษูเราะฮ ด้วยเสียงดังพร้อมๆกัน และในลักษณะที่เป็นหมู่คณะ - ฟะตาวา เช็คมุหัมหมัดรอชีด เล่ม 4 หน้า 359
อิบนุอัลหาจญ กล่าวว่า
ينبغي أن ينهى الذاكرون جماعة في المسجد قبل الصلاة، أو بعدها، أو في غيرهما من الأوقات . لأنه مما يشوش بها
สมควรบรรดาผู้ซิกิร เป็นหมู่คณะ จะถูกห้าม ในมัสยิด ก่อนละหมาด หรือหลังจากละหมาด หรือในบรรดาเวลาอื่นจากทั้งสองนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่สร้างความรบกวนด้วยมัน -อิศลาหุลมัสญิด ของอัลกอซิมีย์ หน้า 111
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/12/60

วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หะดิษสอนให้เป็นแบบอย่างที่ดีถูกบิดเบือนมาสนับสนุนบิดอะฮ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


หะดิษสอนให้เป็นแบบอย่างที่ดีถูกบิดเบือนมาสนับสนุนบิดอะฮ
อะหมัดรอชีดี อุษมาน อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ อยู่กับ บังคลาดิ๊ช บินมะหมุด และอีก 3 คน
เมื่อวานนี้ เวลา 20:05 น.
มีการกระทำอยู่อย่างหนึ่งที่ท่านนะบีย์ไม่เคยกระทำแบบอย่างเอาไว้ แต่บรรดาปราชญ์ในยุคหลังทั่วโลก พวกเขารักที่จะกระทำ นั้นก็คือการเฉลิมฉลอง “เมาลิดนะบีย์”
การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺตะอาลา ผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ผู้ทรงยินดีแก่บ่าวของพระองค์ด้วยการให้อิสลามมาอยู่ในหัวใจของเขา อัลลอฮฺผู้ทรงยกเกียรติให้แก่ผู้ศรัทธาด้วยกับผู้ที่ดีเลิศจากบรรดามนุษย์ชาติทั้งหลาย ผู้เป็นนายของเรา คือท่านนะบีย์มุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า “แท้จริงจากซุนนะฮ์ของท่านนะบีย์ที่ดีงามที่ท่านทรงรักนั้น คำกล่าวของท่านนะบีย์ที่กล่าวว่า
مَنْ سَنَّ فِى الإِسْلاَمِ سُنَّةً حَسَنَةً فَلَهُ أَجْرُهَا وَأَجْرُ مَنْ عَمِلَ بِهَا بَعْدَهُ مِنْ غَيْرِ أَنْ يَنْقُصَ مِنْ أُجُورِهِمْ شَىْءٌ ...
“ผู้ใดดำริขึ้นมาในอิสลามกับหนทางที่ดี(ที่สอดคล้องกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์) แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา ...”
รายงานโดยมุสลิม, หะดีษเลขที่ 1017.
@@@@
ชี้แจง
หะดิษข้างต้น หลายต่อหลายครั้ง หรือเกือบทุกครั้ง ทีมีการส่งเสริมให้ทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮโดยอ้างว่า เป็นบิดอะฮที่ดี ก็จะยกหะดิษข้างต้นมาอ้างบิดเบือน ว่านบี ศอ็ลฯ สอนให้อุตริบิดอะฮที่ดี โดยที่คนอาวามไม่รู้ที่มาของหะดิษก็เข้าใจว่าเป็นหะดิษที่สอนให้อุตริบิดอะฮได้ -นะอูซุบิลละฮ
หะดิษนี้ไม่ได้หมายถึง การอุตริบิดอะฮฺที่ดีในอิสลาม แต่หมายถึง การฟื้นฟูสุนนะฮฺและการเป็นแบบอย่าง ในการทำดี ที่ศาสนามีบัญญัติไว้ เพราะ
ที่มาของคำพูดของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ข้างต้นเนื่องจากมีเศาะหาบะฮท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอันศอร ได้ทำการเศาะดะฮเกาะฮฺ
ในยามวิกฤต แล้วคนอื่นๆก็เอาเยี่ยงอย่าง
และที่จริงความหมายของคำว่า “من سن “ ในหะดิษคือ من أحيا ซึ่งแปลว่า “ ฟื้นฟูขึ้นใหม่” คือ เรื่องเดิมมีอยู่แล้วแต่ไม่มีใครทำ ไม่มีใครปฏิบัติ
เมื่อมีผู้มาฟื้นฟูขึ้น แล้วมีผู้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาได้บัญญัติไว้แล้ว โปรดดูต้นเหตุ(สะบับ)ของหะดิษนี้ ซึ่งปรากฏในหนังสืออธิบายหะดิษมุสลิม
ของอันนะวาวีย์ ดังนี้
มีคนยากจนจำนวนหนึ่งมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยเครื่งแต่งกายขาดกะรุ่งกะริ่ง เมื่อท่านร่อซูลุ้ลลอฮ
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นดังนั้น ใบหน้าของท่านซีดเผือด ท่านจึงเข้าไปในบ้านและออกมาสั่งให้ท่านบิลาลอะซาน แล้วท่านจึงทำการละหมาด
เสร็จแล้วท่านจึงขึ้นอ่านคุฏบะฮ โดยอ่านอายะฮดังต่อไปนี้
{ يَا أَيُّهَا النَّاسُ اتَّقُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ مِنْ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ} إلى آخر الآية {إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلَيْكُمْ رَقِيباً
"สูเจ้าทั้งหลายจงสำรวมตนต่ออัลลอฮ พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ผู้ทรงสร้างพวกเจ้าจากชีวิตหนึ่ง....จนถึงท้ายของอายะฮที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ
ทรงเฝ้าดูแลพวกเจ้า” และท่านรซูลได้อ่านโองการต่อไปนี้
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ وَلْتَنظُرْ نَفْسٌ مَّا قَدَّمَتْ لِغَدٍ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ خَبِيرٌ بِمَا تَعْمَلُونَ
[59.18] "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และทุกชีวิตจงพิจารณาดูว่า อะไรบ้างที่ตนได้เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ (วันกิยามะฮ์)
และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ"
ทันใดนั้นก็มี เศาะหาบะฮบางคนก็บริจาคเหรียญทอง - เหรียญเงิน บางคนบริจาคเสื้อผ้า – ข้าสาลี-อินทผาลัม ต่อมามีชาวอันศอรฺคนหนึ่ง นำห่อ
สิ่งของมาให้ มือของเขาเกือบถือไม่หมด คนอื่นๆต่างก็หลั่งไหลกันมาบริจาค (ผู้รายงานหะดิษบอกว่า) จนกระทั้งฉันเห็นอาหารและเสื้อผ้า กองใหญ่
สองกอง และฉันเห็นสีหน้าของท่านร่อซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยิ้มแย้ม แจ่มใสด้วยความดีใจ ท่านจึงกล่าวว่า
من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ، ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء .
"ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาจะได้รับการตอบแทนของเขา และการตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดหย่อน
ไปจากการตอบแทนของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ผู้ใดทำแบบอย่างที่ชั่วในอิสลาม เขาจะแบกภาระความผิดของเขา และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น
หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดย่อนไปจากความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย
- รายงานโดยมุสลิม จากญะรีร บุตร อับดุลลอฮ
เช็คอุษัยมีน (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบายหะดิษนี้ว่า
أن معنى قوله صلى الله عليه وسلم (( مَنْ سَنَّ في الإسلامِ سُنَّةً حَسَنَـةً )) أي : من ابتدأ العمل بالسنة ، ويدل لهذا أن النبي - صلى الله عليه وسلم - ذكره بعد أن حث على الصدقة للقوم الذين وفدوا إلى المدينة ورغب فيها ، فجاء الصحابة كلٌّ بما تيسر له ، وجاء رجل من الأنصار بصرّة قد أثقـلت يده فوضعها في حجر النبي - صلى الله عليه وسلم - فقال - صلى الله عليه وسلم - : (( مَنْ سَنَّ في الإسلامِ سُنَّةً حَسَنَـةً فَـلَهُ أجْرُها وأجرُ مَن عَمِلَ بها إلى يوم القيامة )) أي : ابتدأ العمل بسنة ثابتة ، وليس أنه يأتي هو بسنة جديدة ،
ความหมายคำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯที่ว่า(ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม) หมายถึง ผู้ใดริเริ่มปฏิบัติ ตาม สุนนะฮ และหลักฐานที่แสดงบอกสำหรับเรื่องนี้ คือ การที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ระบุมัน(ถ้อยคำนี้) หลังจากที่ท่านได้เร่งเร้าให้บริจาคทานแก่คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้มายังนครมะดีนะฮ และท่านได้ส่งเสริมมัน แล้วเศาะหาบะฮท่านหนึ่งได้นำทุกสิ่งที่สะดวกสำหรับเขามา และชายคนหนึ่ง ได้นำห่อใบหนึ่งซึ่งมันทำให้หนักแก่มือของเขา แล้ววางมันที่ตักของท่านนบี ศอ็ลฯแล้วท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า " ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาก็จะได้รับผลตอบแทนของมัน และผลตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติดามมัน จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ) หมายถึง ริเริ่มปฏิบัติตามสุนนะฮ ที่ปรากฏแน่นอน
และไม่ใช่นำแบบอย่างใดแบบอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งใหม่มา -ชัรหุมะตันอัลอัรบะอีนอัลนะวาวียะฮ ของ เช็คอิบนุอุษัยมีน หน้า 310
........................
ความหมายหะดิษข้างต้น ไม่ใช่หมายถึงทำบิดอะฮที่ดี แต่หมายถึง การปฏิบัติตามสุนนะฮ แล้วคนอื่นเอาอย่างปฏิบัติตาม
..........................................................
นี้คือ เป้าหมายของหะดิษนี้ และอีกประการหนึ่งคือ คำว่า في الاسلام (ในอิสลาม) นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า สิ่งนั้นมีอยู่ในคำสอนอิสลามไม่ใช่นอก อิสลามไม่ใช่บิดอะฮ เพราะบิดอะฮ คือ สิ่งที่คิดขึ้นใหม่ ผมใช้คำว่า ”บิดอะฮ” โดยไม่แยกว่า “ บิดอะฮฺหะสะนะ และบิดอะเฎาะลาละฮ “ ก็เนื่องจาก
ทุกบิดอะฮในเรื่องของศาสนา นั้น เฎาะลาละฮ(หลงผิด)
การนำหะดิษนบี ศอ็ลฯ ที่สอนให้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามอัสสุนนะฮมาอ้างสนับสนุนสิ่งที่ไม่ใช่สุนนะฮและเป็นบิดอะฮนั้น จงระวัง ดังที่ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
( من كذب عليّ متعمدا فليتبوأ مقعده من النار
ผู้ใดกล่าวคำเท็จให้แก่ฉัน โดยเจตนา ดังนั้น เขาจงเตรียมที่อยู่ จากนรก – รายงานโดยบุคอรี และอบูดาวูด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/11/60

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตรรกถามของคนโง่เขลาเบาปัญญา



ในภาพอาจจะมี 3 คน


ตรรกถามของคนโง่เขลาเบาปัญญา
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
เมื่อวานนี้ เวลา 15:52 น.
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ
“และพระองค์ คือ อัลลอฮ์ทรงอยู่ในฟากฟ้าและอยู่ในแผ่นดิน” (อัลอันอาม : 3)
วาฮาบีเชื่ออายะฮ์ส่วนหน้า "อัลลอฮ์ทรงอยู่ในฟากฟ้า" แบบคำตรงและส่วนหลังล่ะ "และอยู่ในแผ่นดิน" จะเชื่อแบบคำตรงหรือตีความ(ตะวีล)ครับ?
@@@@
ชี้แจง
ไม่น่าเชื่อว่าข้างต้นเป็นตรรกที่ใช้ถามของบาบอมูสัง ศิษย์เก่าอัลอัซฮัร ถามโดยไม่อ่านตำรา ไม่อ่านตัฟสีรยุคสะลัฟว่าเขาอธิบายอย่างไร เขาเรียกว่าปิดตาถาม ถามแบบโง่ๆ
มาดูความหมายอายะฮข้างต้นดังนี้
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ وَيَعْلَمُ مَا تَكْسِبُونَ
และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่
อิบนุกะษีร ได้กล่าวว่า
وَالْقَوْل الثَّالِث أَنَّ قَوْله " وَهُوَ اللَّه فِي السَّمَوَات " وَقْف تَامّ ثُمَّ اِسْتَأْنَفَ الْخَبَر فَقَالَ " وَفِي الْأَرْض يَعْلَم سِرّكُمْ وَجَهْركُمْ " وَهَذَا اِخْتِيَار اِبْن جَرِير
และทัศนะที่สามคือ แท้จริงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า "และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ในบรรดาชั้นฟ้า" เป็นการจบประโยคโดยสมบูรณ์(วะกัฟตาม) หลังจากนั้น ได้เริ่มต้นเคาะบัร(ประโยคที่เป็นภาคแสดงในนามานุประโยค)ใหม่ โดย ตรัสว่า "และในแผ่นดินทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า" และทัศนะนี้ คือ ทางเลือกของอิบนุญะรีร - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร อรรถาธิบายซูเราะฮอันอันอาม อายะฮที่ 3
..........
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงทัศนะอิบนุญะรีรว่า
وَقَالَ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ : وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَيَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ فِي الْأَرْضِ
และมุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า " และพระองค์คืออัลลอฮ อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และทรงรู้ ความลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า ในแผ่นดิน - ดูตัฟสีรอัลญาเมียะลิอะหกามิลกุรอ่าน เล่ม 6 หน้า 302
มาดูคำอธิบายของปราชญ์นักตัฟสีรยุคสะลัฟ ,อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ กล่าวว่า
هُوَ اللَّهُ الَّذِي هُوَ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ ، فَلَا يَخْفَى عَلَيْهِ شَيْءٌ
พระองค์คืออัลลอฮ ผู้ซึ่ง พระองค์อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และในในแผ่นดิน ทรงรู้ความลับของพวกเจ้า และ สิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า ไม่มีสิ่งใดๆ ซ่อนเร้นพระองค์ - ตัฟสีรอัฏเฎาะบะรีย์ เล่ม 11 หน้า 261
อิหม่ามอัลบัฏวีย์(ร.ฮ) ได้อ้างถึงคำอธิบายของอิบนุญะรีรว่า
، وَقَالَ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ : مَعْنَاهُ هُوَ فِي السَّمَوَاتِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ فِي الْأَرْضِ
และมุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า "ความหมายของมัน คือ พระองค์ ทรงอยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และทรงรู้ ความลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า ในแผ่นดิน -ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ เล่ม 3 หน้า 127
.............
จะเห็นได้ว่าอายะฮข้างต้น ปราชญสะลัฟยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ และทรงรู้สิ่งที่มนุษย์ปิดบังเป็นความลับและสิ่งที่มนุษย์เปิดเผย บนหน้าแผ่นดิน แต่อาชาอิเราะฮสายตรรก นาย ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน กลับเอาอายะฮนี้มาอ้างปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ โดยไม่ศึกษาตัฟสีร ของนักปราชญ์ กล่าวหาว่าวะฮบีย์ไม่เอาอุลามาอฺ ผู้อ่านเห็นแล้วว่า คนกลุ่มนี้ว่าแต่เขาแต่อิเหนาเป็นเอง ไม่น่าเชื่ออดีตศิษย์เก่าอัลอัซฮัร ทำไมจึงถามแบบโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/11/60

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กล่าวหาว่าการเรียกร้องให้ยึดอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮคือ วาทกรรมล่อคนอาวามให้ตามวะฮบีย์


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

กล่าวหาว่าการเรียกร้องให้ยึดอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮคือ วาทกรรมล่อคนอาวามให้ตามวะฮบีย์
แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์
15 กุมภาพันธ์
พวกคณาจารวะฮาบีหลายคนบอกว่า
ที่อุมมัตแตกแยก ก็เพราะไม่ตามกุรอ่านหะดิส
ไม่เอากุรอ่านหะดิสมาใช้
ถ้ากลับไปสู่กุรอ่านหะดิสทุกๆคน มันก้ไม่แตกแยก
วาทกรรมนี้ เปนหนึ่งในวาทกรรมล่อคนเอาวาม
ที่จริงมันแค่ให้เราตามมันเท่านั้น อย่าได้ติดกับดักนี้เลย
มันแค่ล่อให้เราสนใจมัน เรียนกับมัน ฟังพวกมัน สุดท้ายตามพวกมันในที่สุด
ที่จริงสี่มัสหับนั้น เป็นที่รู้ที่ทราบกันดี ว่าตามกุรอ่านหะดิสทั้งหมด
และก้อได้สอนเพื่อให้คนทำอามั้ล แต่ทั้งหมดจะไม่พูดแบบนั้น
เพราะว่ามันทำให้มัสหับอื่นลดความน่าเชื่อถือ
( นี่คืออาดาบและความตาวัดเดาะของปวงปราชน์ , มาชาอัลลอฮ)
@@@@
ข้างต้นคือวาทกรรมที่อุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ อย่าให้คนอาวาม พบกับแสงสว่าง เพราะคนกลุ่มนี้ ต้องการให้คนอาวามตกอยู่ในความมืดเพื่อพวกเขาจะได้หลอกกินบุญ ต่อไป
ไม่รู้ว่า เจ้าของเชื่อเพจ "แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์" ละอายแก่ใจบ้างหรือไม่ ที่ตั้งชื่อเพจตัวเองว่า "แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ " แต่พฤติกรรมสนับสนุนบิดอะฮ ต่อต้านการเรียกร็องสู่กิตาบุลลอฮและสุนนะฮนบี เจ้าของเพจนี้กล่าวว่า
" ถ้ากลับไปสู่กุรอ่านหะดิสทุกๆคน มันก้ไม่แตกแยก
วาทกรรมนี้ เปนหนึ่งในวาทกรรมล่อคนเอาวาม"
....
คำพูดข้างต้น อ้างว่า คนที่พูดว่า "ถ้ากลับไปสู่อัลกุรอ่านและหะดิษ ทุกคนจะไม่แตกแยก " คือ วาทกรรมลอคนอาวามให้มาติดกับวะฮบีย์" ..นะอูซุบิลละฮ คนกลุ่มนี้เรียนศาสนาอะไรมา ทั้งที่อัลลอฮตาอาลา สอนว่า
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعاً وَلا تَفَرَّقُوا
ความว่า “และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺในทุกๆส่วนทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน-อาลิอิมรอน/103
อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) และนักวิชาการส่วนหนึ่ง กล่าวว่า "สายเชือกแห่งอัลลอฮ หมายถึงอัลกุรอ่าน - ดู อัตตัสฮีล ลิตะวีลิตตันซีล -ซูเราะฮอาลิอิมรอน หน้า 241 และตัฟสีรบะหรุลมุหีฏ 3/20
ในขณะเดียวกัน ท่านนบี ศอ็ลฯ สอนไว้ว่า ในสภาพสังคมที่ขัดแย้งกันมากมายนั้น ให้ยึดอัสสุนนะฮของท่านและบรรดาเคาะลิฟะฮ
عَنِ الْعِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : وَعَظَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَوْعِظَةً ، وَجَلَتْ مِنْهَا الْقُلُوبُ ، وَذَرَفَتْ مِنْهَا الْعُيُونُ ، فَقُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، كَأَنَّهَا مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ ، فَأَوْصِنَا ، قَالَ : أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللَّهِ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ ، وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ بَعْدِي فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ رَوَاهُ أَبُو دَاوُدَ وَالتِّرْمِذِيُّ ، وَقَالَ حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ
: “จากอัลอิรบาฏ บินสารียะฮฺ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ให้ข้อตักเตือนแก่พวกเรา ด้วยข้อเตือนที่กินใจที่ทำให้หัวใจสะท้าน และทำให้น้ำตาคลอ พวกเราได้กล่าวว่าโอ้รซูลุลลอฮ "มันเปรียบเสมือนข้อตักเตือนอำลา ฉะนั้นได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด ท่านกล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พร้อมทั้งรับฟังและเชื่อฟัง แม้ว่าผู้สั่งใช้พวกท่านจะเป็นบ่าว(ทาส)ก็ตาม เพราะผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในสุนนะฮฺของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาคอลีฟะฮฺที่ปราดเปรื่องและได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดมันด้วยฟันกราม และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา )เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”( รายงานโดย อบูดาวุด และ อัต-ติรมีซีย์) เขากล่าวว่า หะดิษหะซัน เศาะเฮียะ
...........
ปิดตากล่าวหา โฆษณาชวนเชื่อ ใสร้ายป้ายสีและทำลายคนที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ งานนี้คนกลุ่มนี้ เขาถนัดนัก และพี่น้องจะพบการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบนี้จะคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่มีคนกลุ่มหนึ่ง อนุรักษ์ ความเชื่อ พิธีกรรมที่ได้มาซึ่งผลประโยชน์จากคนอาวามที่ไม่มีความรู้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/11/60

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แนวคิดญะมียะฮปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


แนวคิดญะมียะฮปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
Chaya Ilmudhulu
11 ตุลาคม ·
بسم الله الرحمن الرحيم، الحمدالله الذي نزه عن صفة المخلوقات
อัลลอหไม่มีสีปัตทีเหมือนมัคลุก อัลลอหไม่มีข้างบนเหนือสิ่งอืน ไม่มีล่างเหนือสิ่งอืน ไม่มีข้างหน้ากว่าสิ่งอืน ไม่มีข้างหลังกว่าสิ่งอืน และก้ไม่ซ้าย ไม่ขวา แล้วทีอัลลอหกล่าว
(الرحمن على العرش استوى) แล้ว ( أأمنتم من فى السماء )
โอ้คนมีสติปัญญา ไม่มีสักอายัต ทีบ่งบอก ว่าอัลลอห อยุบนฟ้า แต่ถ้าบนอารัส มีอายัต ( على العرش) แล้วคนทีอ้างว่าอัลลอฮบนฟ้า ยกอายัต
( أأمنتم من فى السماء)
แน่นอนคนนันโง่ภาษา ท่านรอซุลได้กล่าว
من تعلم لغة قوم أمن مكرهم
@@@@@@
ชี้แจง
การที่นาย Chaya Ilmudhulu หรือ อุสตาซหัสบุลลอฮ อับดุลรอชิด อ้างว่า
อัลลอหไม่มีข้างบนเหนือสิ่งอืน ไม่มีล่างเหนือสิ่งอืน ไม่มีข้างหน้ากว่าสิ่งอืน ไม่มีข้างหลังกว่าสิ่งอืน และก้ไม่ซ้าย ไม่ขวา
.....
วิจารณ์
ข้างต้น การใช้ตรรกอ้างว่า "พระเจ้าไม่อยู่บน ไม่อยู่ล่าง ไม่อยู่ข้างหน้า ไม่อยู่ข้างหลัง ไม่อยู่ข้างซ้าย ไม่อยู่ข้างขวา ก็เท่ากับการปฏิเสธการมีอยู่ของอัลลอฮ นั้นเอง
การปฏิเสธการอยู่เบื้องสูง ของอัลลอฮ คือ แนวคิดญะฮมียะฮ ส่วนอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮนั้น ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เช่น
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِيَ الله عَنْهُ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: "يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الْآخِرُ فَيَقُولُ مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ)ว่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ "พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่งยิ่ง จะลงมายังฟากฟ้าของดุนยาในทุกๆ คืนในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน และจะมีดำรัสว่า ผู้ใดที่วิงวอนข้า ข้าจะตอบรับเขา ผู้ใดที่ขอข้า ข้าจะให้เขา ผู้ใดที่ขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะอภัยให้เขา" – รายงานโดย บุคอรี ,มุสลิม และคนอื่นๆ
อิบนุอับดิลบัร (ฮ.ศ 368-463) ปราชญยุคเคาะลัฟต้นๆเกือบจะทันยุคสะลัฟ กล่าวถึงหะดิษข้างต้นว่า
وَفِيهِ دَلِيلٌ عَلَى أَنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ فِي السَّمَاءِ عَلَى الْعَرْشِ مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَاوَاتٍ كَمَا قَالَتِ الْجَمَاعَةُ وَهُوَ مِنْ حُجَّتِهِمْ عَلَى الْمُعْتَزِلَةِ وَالْجَهْمِيَّةِ فِي قَوْلِهِمْ إِنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ فِي كُلِّ مَكَانٍ وَلَيْسَ عَلَى الْعَرْشِ
ในหะดิษ เป็นหลักฐาน แสดงบอกว่า แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่บนฟ้า บนอะรัช เหนือ บรรดาเจ็ดชั้นฟ้า ดังที่อัลญะมาอะฮได้เกล่าวเอาไว้ และมัน(หะดิษนี้) เป็นส่วนหนึ่งจากหลักฐานของพวกเขา(หมายถึงอัลญะมาอะฮ) ตอบโต้ พวกมุอตะซิละฮและญะฮมีญะฮ ในคำพูดของพวกเขาที่ว่า อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่ทุกสถานที่ ไม่ใช่อยู่บนอะรัช –ดู อัตตัมฮีด ๗/๑๒๙
ยะหยา อัลอัมรอนีย์ อัชชาฟิอีย์ (ฮ.ศ 558) กล่าวว่า
قد ذكرنا في أول الكتاب أن عند أصحاب الحديث والسنة أن الله سبحانه بذاته بائن عن خلقه، على العرش استوى فوق السموات، غير مماس له، وعلمه محيط بالأشياء كله.
แท้จริงเราได้ระบุในช่วงแรกของหนังสือว่าแท้จริง ทัศนะบรรดานักหะดิษและอัสสุนนะฮ คือ แท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) ด้วยซาตของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงสถิตบนบัลลังค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้า โดยไม่มีการสัมผัสมัน และความรู้ของพระองค์ ครอบคลุม สิ่งต่างๆทั้งหมด - อัลอินติศอ็ร ฟี รอ็ด อะลัลมุอตะซิละฮ อัลเกาะดะรียะฮ อัลอัชรอร ของ อัลอัมรอนีย์ เล่ม 2 หน้า 607
.....................ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
สรุป
อะกีดะฮของยะหยา อัลอัมรอนีย์ ปราชญมัซฮับชาฟิอีท่านนี้คือ อัลลอฮ อยู่บนอะรัช เหนือบรรดาชั้นฟ้า ด้วยซาตของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ โดยไม่มีการสัมผัสมัน และความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกๆสิ่ง
ส่วนผู้ที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เชื่อว่า อัลลอฮ อยู่โดยปราศจากสถานที่ ไม่อยู่บน ไม่อยู่ล่าง ไม่มีทิศ คือ อะกีดะฮญะฮมียะฮ ,มุอตะซิละฮ และอัลอัชอะรียะฮ(อาชาอิเราะฮ) - ดูเชิงอรรถ หมายเลข 1 ของ ผู้ตรวจทาน (ตะหกีก) อัลอินติศอ็ร ฟี รอ็ด อะลัลมุอตะซิละฮ อัลเกาะดะรียะฮ อัลอัชรอร ของ อัลอัมรอนีย์ เล่ม 2 หน้า 607

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
14/11/60

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตรรกของแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 1




ตรรกของแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 1
Chaya Ilmudhulu • มีเพื่อนร่วมกัน 19 คน
,,,,,ไม่ต้องไปเอาคำพูดของอีหมามอาบูหะซันหรอกนะ เขาพูดถูก ไม่ได้บอกว่า ฟี ใช้ที่กับ เฟากอ เหมือนทีวะหบี ใช้ฟี กับที่ เฟากอ 
لأنه مستو على العرش الذي فوق السماوات
كران الله سبحانه وتعالى استواء داتس عرش عرش يغ ادا له اي عرش داتس سگل لاغيت
ไม่ได้ บอกสักคำ من في السماء คือ
من فوق السماء
นีเหละทีแตกต่างกับ อีหมามอาบูหะซัน กับ Asan Binabdullah และแนวรวม
@@@@@@
ชี้แจง
แบบนี้แหละที่เป็นเหตุให้ผมให้คนกลุ่มนี้ สาบานมุบาฮะละฮ เพราะมันโกหก บิดเบือน ขอเรียนให้ผู้อ่านทราบว่า คำว่า في السماء คำ فى นำหน้า السماء หมายถึงการอยู่เบื้องบน อิหม่ามอัลอัชอะรีย์ ยืนยันว่า " อัลลอฮอยู่เหนือ บรรดาชั้นฟ้า ในถ้อยคำที่ว่า
لأنه مستو على العرش الذي فوق السماوات
เพราะแท้จริง พระองค์คือผู้อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้า
....
ชัดเจนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่ญะฮมียะฮ ไคโร Chaya Ilmudhulu ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ไม่กล้าแปลภาษาไทย
ผมได้อธิบายก่อนหน้านี้แล้ว ที่อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์อธิบายคือ
(وقال {أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ} وأراد من فوق السماء
และ พระองค์กล่าวว่า (หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงอยู่ในฟากฟ้า) และพระองค์หมายถึง ผู้อยู่เหนือฟากฟ้า-อัลเอียะติกอด วัลฮิดายะอ อิลาสะบีลิรรอชาดฯ 2/116
...........
คำว่า في หมายถึง فوق ขัดเจน ผมเพิ่งรู้ว่ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร สอนแนวคิดญะฮมียะฮที่ให้ผู้เรียนปฏิเสธกาอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮด้วย
การใช้คำว่า “فوق นำหน้า السماء และ السموات เพื่อยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เป็นอะกีดะฮของสะลัฟ ซึ่งผู้มีแนวคิด ญะฮมียะฮ Chaya Ilmudhulu หรืออุสตาซ หัสบุลลอฮอับดุรเราชีด ไม่ได้ศึกษา อะกีดะฮสะลัฟ แต่ศึกษา แนวคิดญะฮมีญะฮ
อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า
وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ
(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)พฤติกรรมของพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4
.....................
การใช้คำว่า فوق นำหน้า กับคำว่า السماء หรือ السموات เพื่อยืนยันการอยู่เบื้องสูงเหนือทุกสิ่งของอัลลอฮ สะลัฟเขาใช้กัน
ผมไม่ทราบว่ามหาลัยอัลอัซฮัรสอนอะกีดะฮสะลัฟบ้างหรือเปล่า หรือว่า Chaya Ilmudhulu หรืออุสตาซ หัสบุลลอฮอับดุรเราชีด เลือกเรียนคณะวิภาษศาสตร์ที่สอนให้ใช้ตรรกทางปัญญา ยืนยันสิฟาตอัลลอฮ ให้สอดคล้องกับปัญญา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/11/60

เอกสารเพิ่มเติม
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ตรรกแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 2




ตรรกแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 2
Chaya Ilmudhulu
ไม่ต้องไปเอาคำพูดของอีหมามอาบูหะซันหรอกนะ เขาพูดถูก ไม่ได้บอกว่า ฟี ใช้ที่กับ เฟากอ เหมือนทีวะหบี ใช้ฟี กับที่ เฟากอ
لأنه مستو على العرش الذي فوق السماوات 
كران الله سبحانه وتعالى استواء داتس عرش عرش يغ ادا له اي عرش داتس سگل لاغيت
@@@@
ชี้แจง
ผู้อ่านดูนายคนนี้แถและบิดเบือน ไม่กล้าแปลไทย แต่แก่ ใช้ภาษาญาวีย์แปล เลยแก่แปลคำว่า على กับ فوق ว่า داتس เพราะถ้าแปลเป็นไทย 2 คำนี้จะแตกต่างกัน คือ อยู่บน กับอยู่เหนือขึ้นไป ซึ่ง คำว่า อยู่บน ปราชญสะลัฟก็ได้อธิบายว่า อัลลอฮอยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลายแยกจากมัคลูค เช่น
قال يوسف بن موسى القطان : قيل لأبي عبد الله أحمد بن حنبل: الله عز و جل فوق السماء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه في كل مكان؟
قال: « نعم على العرش وعلمه لا يخلو منه مكان
ยูซูฟ บิน มูซา อัลกอ็ฏฏอน กล่าวว่า "ได้ถูกกล่าวแก่ อบีอับดุลลอฮ ,อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช ของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ,พลังอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ใช่ไหมครับ ? เขา(อะหมัด) กล่าวตอบว่า "ครับ อยู่บน อะรัช และ ความรอบรู้ของพระองค์นั้น ไ่ม่มีสถานที่ใด ซ่อนเร้นจากพระองค์
شرح اعتقاد أهل السنة للالكائي (3 / 402)؛ ورواه الخلال في كتابه "السنة" عن شيخه يوسف بن موسى القطان عن الإمام أحمد، كما في كتابي الحافظ الذهبي "العرش" (ج2 ص247) و"العلو للعلي الغفار" (ص176)، قال: رواه الخلال عن يوسف. فسنده صحيح
นาย Chaya Ilmudhulu ใช้คำผิด เพราะไม่ใช่อักษร ฆัยนฺ แก่ใช้คำว่า داتس سگل لاغيت ความจริงที่ถูกต้องคือ دأتس لاڠيت ใช้อักษร งา ڠ ดูซิภาษาญาวีก็พิมพ์ไม่ถูก แล้วดันทุรังใช้ภาษาญาวี
ขอเรียนผู้อ่านว่า
การที่เขาเชื่อเพราะเขาเรียนมาแบบนั้น ผมไม่โทษเลยสักนิด เพราะคนเราเรียนมาอย่างนั้น แต่คนที่แสวงหาสัจธรรมย่อมที่จะเปิดรับความจริง แต่ในทางกลับกัน พวกเขากลับสร้างกลุ่มใส่ร้าย ทำลาย คนที่เห็นต่างและพยายามพลักใสไม่เขามีที่ยืนในคำว่าอะฮลุสสุนนะฮ แถมกล่าวหาว่าเขาเป็นลัทธิใหม่ นี่คือที่ต้องชี้แจง ใครจะว่า ผมมีความก้าวร้าวสอนศาสนาไม่เอาใหนก็ตาม แต่ผมทำ เพื่ออัลลอฮ โดยคืนความเป็นธรรม ให้กับพี่น้องส่วนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาอย่างอธรรม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/11/60

เอกสารเพิ่มเติม

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ตรรกแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 3





ตรรกแนวคิดญะฮมียะฮ 2017 ภาค 3
Chaya Ilmudhulu •
ผมตืนมาแล้วครับ อยาลืมประเด่นสิครับ ผมถ้าม ว่า หาดีษชารียะห มีสาลัฟคนไหนทีบอก ว่า ฟี ใช่ที เฟากอ?
และใส่ร้าย มหาลัย อัล-อัซฮัร อีกด้วย คลายๆกับ ร้าน เซเวน คือ มีอากีะฮที่หลากหลาย เช่น อะกีดะหอิลมุลกาลาม ถ้าทานไม่ได้ใส่ร้าย กล่าว والله
และ บอกมานอกจาก อิลมุลกาลาม อะไร? Asan Binabdullah ทานจะเอาชนะด้วยใส่ร้าย ผมขอโทษผู้อ่าน ทีใช้ภาษาทองแดง
…………………….
@@@@@
ผมนี่สงสารคนที่ส่งให้นาย Chaya Ilmudhulu ไปเรียนไคโร จริงๆ ชือหะดิษก็เรียกไม่ถูก หะดิษญารียะฮ ครับไม่ใช่หะดิษชารีฟะฮ ของคุณ
หะดิษนี้ ท่านนบี ศอ็ลฯถามทาสหญิงว่า อัลลอฮอยู่ใหน นางตอบว่า
فى السماء
อยู่บนฟ้า
คำนี้ไม่ประเทศใหนในโลก แปลว่า ในฟ้า หรืออาศัยในฟ้า อย่างที่นายเด็กไคโรเข้าใจ แต่เขาจะแปลว่า บนฟ้า เพราะความหมายของมันคือ อยู่เบื้องสูงเหนือมัคลูค
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) ได้ชี้แจงเกี่ยวกับความหมายของหะดิษญารียะฮที่นาง ตอบว่า "อัลลอฮอยู่บนฟ้า ดังนี้
وَقَالَ فِي سِيَاقِ حَدِيثِ الْجَارِيَةِ الْمَعْرُوفِ : { أَيْنَ اللَّهُ ؟ قَالَتْ : فِي السَّمَاءِ } لَكِنْ لَيْسَ مَعْنَى ذَلِكَ أَنَّ اللَّهَ فِي جَوْفِ السَّمَاءِ وَأَنَّ السَّمَوَاتِ تَحْصُرُهُ وَتَحْوِيهِ فَإِنَّ هَذَا لَمْ يَقُلْهُ أَحَدٌ مِنْ سَلَفِ الْأُمَّةِ وَأَئِمَّتِهَا ; بَلْ هُمْ مُتَّفِقُونَ عَلَى أَنَّ اللَّهَ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ عَلَى عَرْشِهِ بَائِنٌ مِنْ خَلْقِهِ ; لَيْسَ فِي مَخْلُوقَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ ذَاتِهِ وَلَا فِي ذَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ
และเขา(หมายถึงอิบนตัยมียะฮเอง)ได้กล่าวความหมายของหะดิษญารียะฮ ที่เป็นที่รู้จักกันว่า (อัลลอฮอยู่ใหน) นางตอบว่า “อยู่บนฟ้า ,แต่ว่า ดังกล่าวนั้น ไม่ได้หมายถึงอัลลอฮ อยู่ในโพรงของฟ้า และ บรรดาฟากฟ้า ได้กำหนดขอบเขต พระองค์และบรรจุพระองค์ไว้ เพราะแท้จริง ลักษณะแบบนี้ ไม่มีสะลัฟแห่งอุมมะฮและบรรดาอิหม่ามของพวกเขาคนใด กล่าวแบบนั้น แต่ทว่า พวกเขา เห็นฟ้อง ว่า แท้จริง อัลลอฮ อยู่เหนื่อ บรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัชของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่ในบรรดามัคลูคของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ - ดูมัจญมัวะอัลฟะตาว่า เล่ม 5 หน้า 258 เรื่อง كتاب مفصل اعتقاد السلف
.............
เพราะฉะนั้น คำว่า อยู่บนฟ้าคือ อยู่สูงเหนือบรรดามัคลูคทั้งหลาย ไม่ใช่ อาศัยอยู่ในห้องของฟากฟ้า
คำนี้ หมายถึง คำว่า في السماء เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงอยู่เบื้อง ยกตัวอย่างเช่น
อิหม่ามอบูบักร์ บิน อบีอาศิม อัชชัยบานีย์(ฮ.ศ 287)ปราชญ์สะลัฟ ได้ตั้งหัวข้อในตำราของเขาว่า
باب ما ذكر أنّ اللّه تعالى في سمائه دون أرضه
บทว่าด้วยการกล่าวว่าแท้จริง อัลลอฮ ตาอาลา อยู่ บนบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ ไม่ใช่(อยู่บน)แผ่นดินของพระองค์ ....แล้วเขาก็ได้ยกหลักฐานหะดิษญารียะฮ – ดู อัสสุนนะฮ ของ อิบนุอบีอาศิม หะดิษหมายเลข 489
……..
การยืนยัน ด้วยการเน้นว่า
“دون أرضه
(ไม่ใช่แผ่นดินของพระองค์)
มันชัดเจนว่า สะลัฟผู้นี้ยืนยันการอยู่เบื้อง และท่านผู้นี้ได้ยกหะดิษญารียะฮเป็นหลักฐาน
มาดูปราชญ์สะลัฟอีกท่านหนึ่งคือ
อัลหารีษอัลมุหาสิบีย์(ฮ.ศ 243)ได้ยกตัวอย่างอายะฮต่างๆ ........แล้วท่านอัลหาริษอัลมุหาสิบีย์ สรุปว่า
فهذا يوجب أنه فوق العرش، فوق الأشياء، منزه عن الدخول في خلقه، لا يخفى عليه منهم خافية، لأنه أبان في هذه الآيات أن ذاته بنفسه فوق عباده لأنه قال: {أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ [الملك : 16]} يعني فوق العرش، والعرش على السماء
ดังนี้แน่นอนว่า พระองค์อยู่เหนืออะรัช ,เหนือบรรดาสิ่งต่างๆ บริสุทธิ์จากการเข้าอยู่ในมัคลูคของพระองค์ ไม่มีการซ่อนเร้นใดๆจากพวกเขาซ่อนเร้น พระองค์ เพราะแท้จริง พระองค์ทรงอธิบายในบรรดาอายะฮเหล่านี้ว่า แท้จริง ซาต(ตัวตน)ของพระองค์เอง อยู่เหนือ บรรดาบ่าวของพระองค์ เพราะว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า (พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงอยู่ บนฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า – อัลมุลก/16) หมายถึง ทรงอยู่เหนืออะรัช และอะรัช อยู่บนฟ้า..ดู ฟะฮมุลกุรอ่าน วะมาอานีฮา ของ อัลหาริษ อัลมุหาสิบีย์ หน้า 349-350 (ดูสำเนาหนังสือ)
.......
คำว่า من في السماء (ผู้อยู่บนฟ้า) สะลัฟผู้นี้อธิบายว่า
يعني فوق العرش، والعرش على السماء
หมายถึง ทรงอยู่เหนืออะรัช และอะรัช อยู่บนฟ้า..ดู ฟะฮมุลกุรอ่าน วะมาอานีฮา ของ อัลหาริษ อัลมุหาสิบีย์ หน้า 349-350 (ดูสำเนาหนังสือ)
เพราะฉะนั้น คำว่า في السماء จะอยู่ตรงใหน ในอายะฮหรือหะดิษบทใด ที่เกี่ยวกับอะกีดะฮ ที่พาดพิงถึง อัลลอฮ มันก็มีความหมายเหมือนกัน ขอบอก เด็กไคโรว่า คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะใช้ตรรกแถและถามว่า”ในหะดิษญารียะฮ มีไหมที่ผู้ให้ความหมายว่า “อยู่เหนือฟากฟ้า”? ผมยืนยันด้วยนามอัลลอฮว่านี่คือความหมายคำว่า في السماء
จะถามนาย Chaya Ilmudhulu ว่า คุณกล้าสาบานยืนยันไหมว่าหะดิษนี้ไม่ใช่บ่งบอกว่าอัลลอฮอยู่เบื้องสูง ถ้าใช่ ขอให้ตัวเองประสบความวิบัติ ขืนโต้แย้งแบบปิดตาหัวชนกำแพงแบบนี้ ศักดิ์ศรีคนเรียนไคโรไม่เหลือหรอก ไม่รู้อะไรสักอย่าง เอาแต่เดาสุ่ม
والله أعلم بااصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/11/60
เอกสารประกอบ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เขาบอกว่าอะกีดะฮของอะชาอิเราะฮเห็นอัลลอฮโดยไม่มีทิศ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เขาบอกว่าอะกีดะฮของอะชาอิเราะฮเห็นอัลลอฮโดยไม่มีทิศ
Sukiman Tuanno
ผมฟัง ดร.โรซัยมี รอมลี อัลบานีแห่งมาเลย์ ท่านรู้จักไหม ตามคลิปนั้นที่ผมฟัง ผมว่านี่แหละอากีดะสลัฟตามแนวของอิหม่ามอัหมัด คือเค้ากียาสการอยู่สูงเหนืออารัชของอัลลอฮฺว่าเค้าอิสบาตตามตัวบทแต่ไม่มีกัยฟัยะและไม่เหมือนมัคโลค มันก็เหมือนกับที่อาชาอีเราะบอกว่าได้เห็นอัลลอฮในอาคีรัตด้วยดวงตาของพวกเค้าโดยที่ไม่มีทิศของการเห็น ไม่มีระยะ ไม่มีขอบเขต เป็นการมองเห็นที่ซาตอัลลอฮจะไม่มีรูปแบบวิธีการเหมือนมัคโลค แบบนี้แหละสลัฟจริง(ถ้าตามคลิปนั้นอ่ะนะ) ถามว่าวัฮฮาบีเชื่ออัลลอฮอยู่บนฟ้ามีระยะไหม มีทิศไหม เห็นอัลลอฮในอาคีรัตมีทิศไหม มีระยะไหม ?
@@@@
โต๊ะครูใหญ่อุลามาอฺอาชาอิเราะฮประจำหน้าเพจตรงประเด็นในเฟสบุค ยืนยันอะกีดะฮอาชาอิเราะฮว่า
อาชาอีเราะบอกว่าได้เห็นอัลลอฮในอาคีรัตด้วยดวงตาของพวกเค้าโดยที่ไม่มีทิศของการเห็น ไม่มีระยะ ไม่มีขอบเขต เป็นการมองเห็นที่ซาตอัลลอฮจะไม่มีรูปแบบวิธีการเหมือนมัคโลค
....
ชีแจง
ความเชื่อข้างต้น ที่บอกว่าเห็นด้วยตาแต่ไม่มีทิศ ท่านอัลอิซ บิน อับดุสสลาม (ร.ฮ) บอกว่า คนเชื่อแบบนี้ให้ไปเช็คสมอง
โดยกล่าวว่า
وَمَنْ قَالَ: يُرَى لَا فِي جِهَةٍ, فَلْيُرَاجِعْ عَقْلَهُ!! فَإِمَّا أَنْ يَكُونَ مُكَابِرًا لِعَقْلِهِ وَفِي عَقْلِهِ شَيْءٌ،
ผู้ใดกล่าวว่า พระองค์ถูกเห็น โดยไม่ อยู่ในทิศ เขาจงตรวจเช็ค สติปัญญาของเขา บางที่มันเป็นปัญหายุ่งยากสำหรับสติปัญญาของเขา และมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสติปัญญาของเขา- ดู ชัรหะอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 219 ตรวจทานโดย ดร.อัตตุรกีย์
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
ท่านอิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
إِلَىٰ رَبِّهَا نَاظِرَةٌ } أي: تراه عياناً؛ كما رواه البخاري رحمه الله تعالى في صحيحه: " إنكم سترون ربكم عياناً "
คำตรัสที่ว่า (จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน) หมายถึง มันเห็นพระองค์ ด้วยต่าเปล่า ดังสิ่งที่อัลบุคอรี(ขออัลลอฮ ตะอาลาเมตตาต่อท่าน)ได้รายงานมันในเศาะเฮียะของท่านว่า ? แท้จริง พวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วยตาเปล่า? .. - ดู ตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบาย อายะฮที่ 22 ซูเราะฮอัลกิยามะฮ
............
ตาของมนุษย์อยู่ด้านหน้า ไม่ได้อยู่ด้านหลัง การ มองไปยังอัลลอฮ หมายถึงการมองไปยังเบื้องหน้า แต่อาชาอิเราะฮอ้างว่า เห็นโดยไม่มีทิศทาง แบบนี้ต้องเช็คสมอง อย่างที่อิบนุอะบีลอิซ (ร.ฮ) กล่าวไว้
عَامِرُ بْنُ سَعْدٍ الْبَجَلِيُّ
ปราชญ์สะลัฟ อามีร บิน สะอิด อัลบะญะลีย์(ฮ.ศ 83) ได้อธิบายอายะฮที่ว่า
لِلَّذِينَ أَحْسَنُوا الْحُسْنَى وَزِيَادَةٌ وَلَا يَرْهَقُ وُجُوهَهُمْ قَتَرٌ وَلَا ذِلَّةٌ أُولَئِكَ أَصْحَابُ الْجَنَّةِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ
"สำหรับบรรดาผู้ปฏิบัติความดี จะได้รับความดีสมนาคุณ และได้เพิ่มพิเศษอีก ความหมองเศร้าและ ความอดสูจะไม่ปรากฏที่ใบหน้าของพวกเขา พวกเขาคือชาวสวรรค์ พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์ นั้นชั่วนิรันดร"
ซูเราะฮ์ยูนุส อายะฮ์ที่ 26
«الحسنى الجنة، والزيادة نظرهم إلى ربهم عز و جل
อัสหุสนา คือ สวรรค์ และอัซซิยาดะฮคือ การมองของพวกเขาไปยัง พระเจ้าของพวกเขา ผู้สูงส่งและทรงเลิศยิ่ง
(وَلَا يَرْهَقُ وُجُوهَهُمْ قَتَرٌ وَلَا ذِلَّةٌ) بعد نظرهم الى ربهم عزوجل
(และความหมองเศร้าและ ความอดสู จะไม่ปรากฏที่ใบหน้าของพวกเขา) หลังจากที่พวกเขามองไปยังพระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง - อัสสุนนะฮ ของ อับดุลลอฮ บิน อะหมัด เล่ม 1 หน้า 244ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
الرد على الجهمية للدارمي (ص100) بسند صحيح؛ والسنة لعبد الله بن أحمد (ج1 ص244) بسند آخر صحيح
คำว่า "نظرهم إلى ربهم (การมองของพวกเขาไปยังพระเจ้าของพวกเขา) ย่อมแสดงถึงทิศทางในการมอง และการปฏิเสธทิศทาง(جهة )ในการมองนั้นเป็นแนวคิดพวกญะฮมียะฮ และอาชาอิเราะฮบางกลุ่มปฏิเสธทิศ(جهة )เช่นเดียวกับพวกญะฮมียะฮ -(ดูรายยละเอียดจากชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ หน้าที่อ้างอิงแล้ว)
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/11/60

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อะกีดะฮสะลัฟทีไม่เหมือนอะชาอิเราะฮกาลามียะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
อะกีดะฮสะลัฟทีไม่เหมือนอะชาอิเราะฮกาลามียะฮ

อับดุลลอฮ บิน อัซ-ซุบัยรฺ อัล-กุร็อยชีย์ อัล-อะสะดีย์ อัล-หุมัยดีย์) เสียชีวิต เสียชีวิตในปีฮิจเราะฮฺที่ 219 ผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองมักกะฮฺ ลูกศิษย์สุฟยาน บิน อุยัยนะฮฺ และเป็นครูของอิมามอัล-บุคอรีย์ กล่าวว่า
รากฐานอัสสุนนะฮ แล้วเขาก็กล่าวบางสิ่งบางอย่าง หลังจากนั้นเขากล่าวว่า
وَمَا نَطَقَ بِهِ الْقُرْآنُ وَالْحَدِيثُ؛ مِثْلُ: ﴿وَقَالَتِ الْيَهُودُ يَدُ اللَّهِ مَغْلُولَةٌ غُلَّتْ أَيْدِيهِمْ﴾ [المائدة: 64]، وَمِثْلُ: ﴿وَالسَّمَاوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ﴾ [الزمر: 67]، وَمَا أَشْبَهَ هَذَا مِنَ الْقُرْآنِ وَالْحَدِيثِ، لَا نَزِيدُ فِيهِ، وَلَا نُفَسِّرُهُ؛ نَقِفُ عَلَى مَا وَقَفَ عَلَيْهِ الْقُرْآنُ وَالسُنَّةُ.
وَنَقُولُ: ﴿الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى (5)﴾ [طه: 5]، وَمَنْ زَعَمَ غَيْرَ هَذَا فَهُوَ مُعَطِّلٌ جَهْمِيٌّ.
และสิ่ง ที่อัลกุรอ่านและหะดิษได้พูดเอาไว้ด้วยมัน เช่น
وَقَالَتِ الْيَهُودُ يَدُ اللَّهِ مَغْلُولَةٌ غُلَّتْ أَيْدِيهِمْ
“และชาวยิวนั้นได้กล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮ์นั้นถูกล่ามตรวน มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวน”- อัลมาอิดะฮ/64 หรือดำรัสของอัลลอฮที่ว่า
وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ
“และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์” -อัซซุมัร/67 และอายะฮฺและหะดีษที่คล้ายคลึงกันนี้ เราจะไม่เพิ่มเติมและจะไปอรรถาธิบาย(ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร?) เราจะหยุด ตามสิ่งที่อัล-กุรอาน และอัส-สุนนะฮฺได้หยุดบนมัน (โดยไม่กล่าวว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร?) และเราจะกล่าวว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
“ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์” -ฏอฮา/5] ผู้ใดกล่าวอ้าง อื่นจากนี้(หมายถึงไม่เชื่อตามนี้) เขาก็คือ พวกญะฮฺมียะฮฺที่มีแต่ความมดเท็จ -ดู อุศูลอัสสุนนะฮ ของ อับดุลลอฮ บิน อัซ-ซุบัยรฺ อัล-กุร็อยชีย์ อัล-อะสะดีย์ อัล-หุมัยดีย์ หน้า 24
..............
สะลัฟจะศรัทธาต่อสิ่งที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ระบุเอาไว้ โดยไม่มีการเพิ่มเติม และไม่มีการอธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร จะพอกับสิ่งที่อัลลอฮและท่านนบี ศอ็ลฯ บอกไว้ ใครก็ตามที่ไม่พอ ไม่หยุด และไม่เชื่อตามที่อัลลอฮและนบีบอกไว้ เขาคือ ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ
อิบนุมันดะฮ (ฮ.ศ 310 -395) กล่าวว่า อัลหุมัยดีย์ กล่าวว่า
إن الله خلق آدم يعنى بيديه " .
فقال: لا نقول غير هذا على التسليم والرضا بما جاء القرآن والحديث. لا نستوحش أن نقول كما القرآن والحديث.
แท้จริงอัลลอฮทรงสร้างอาดัม หมายถึง ด้วยสองมือของพระองค์
เขา(อัลหุมัยดีย์ กล่าวว่า " เราะจะไม่กล่าวอื่นจากนี้ บนการยอมรับ และพอใจ ด้วยสิ่งที่ อัลกุรอ่านและ อัลหะดิษ นำมา เราะจะไม่ รู้สึกหนักใจ ต่อการที่เราจะกล่าว ดังเช่น สิ่งที่อัลกุรอ่านและหะดิษ (ได้กล่าวไว้) - ดู อัตเตาฮีด ของ อิบนุมันดะฮ เล่ม 3 หน้า 309
........
สะสัฟยอมรับ คุณลักษณะที่มีมาตามตัวบท ที่อัลลอฮและรอซูล ได้บอกไว้ เขาจะไม่หนักใจที่จะกล่าวตามที่อัลลอฮและรอซูลบอก ต่างกับพวกแนวคิดญะฮมียะฮ ที่มโนว่าถ้ายืนยันตามที่มีมาในตัวบท จะทำให้เกิดจินตนาการว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูค เลยอุตริเปลี่ยนความหมายด้วยการตีความ ให้กินกับปัญญา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/10/60

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมที่อุปโลกน์ให้วะฮบีย์เป็นมุญัสสิมะฮ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



วาทกรรมที่อุปโลกน์ให้วะฮบีย์เป็นมุญัสสิมะฮ
วาทกรรม "มุชับบิฮะฮ และมุญัสสิมะฮ "ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา โดย ศัตรูของผู้เผยแพร่ เตาฮีด นำโดย ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ และปราชญ์ยุคก่อนชัยค์มุหัมหมัด เช่น ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ ,อิบนุกอ็ยยิม เป็นต้น ศัตรูเตาฮีดพวกนี้ ก็อุปโลกน์ คำว่า "มุชับบะฮะฮ และมุญัสสิมะฮ ปรำปรำและยัดเหยียดให้ ด้วย อคติและและอธรรม
คำว่า "มุชับบิฮะฮ หมายถึง ผู้ที่เปรียบอัลลอฮว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค
และคำว่า "มุญัสสิมะฮ" ในทัศนะของพวกเขาคือ ผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮเป็นรูปร่าง เหมือนมนุษย์ ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ
สองคำนี้ "อาชาอิเราะฮกาลามียะฮ ยัดเหยียด บิดเบือน ให้แก่ ทุกคนที่ ยืนยัน(อิษบาต)ความหมายคุณลักษณะของอัลลอฮ ที่มีมาตามตัวบท โดยไม่ตีความ
ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فنقول: الذي نعتقد، وندين الله به هو مذهب سلف الأمة، وأئمتها من الصحابة والتابعين لهم بإحسان من الأئمة الأربعة، وأصحابهم -رضي الله عنهم أجمعين- وهو: الإيمان بذلك، والإقرار به، وإمراره كما جاء من غير تشبيه، ولا تمثيل، ولا تعطيل، قال الله -تعالى -: {وَمَنْ يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِنْ بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَى وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّى وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءَتْ مَصِيراً} [النّساء: 115].
เรากล่าวว่า "ที่เราเชื่อมั่นและนับถือศาสนา ต่ออัลลอฮ ด้วยมันคือ มัซฮับสะลัฟ แห่งอุมมะฮ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา จากบรรดาเศาะหาบะฮ,ตาบิอีน และบรรดาผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดีงาม จาก บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ และบรรดาศานุศิษย์ของพวกเขา (ร.ฎ) และมันคือ การศรัทธา ด้วยบรรดาอายาตสิฟาต และบรรดาหะดิษของมัน(หมายถึงหะดิษสิฟาต) ,ยอมรับมันและปล่อยมัน ดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา โดยไม่มีการเปรียบเทียบ,ไม่มีการอุปมา และไม่มีการปฏิเสธคุณลักษณะ ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“และผู้ใดที่ฝ่าฝืนรอซูลหลังจากทางนำอันถูกต้องได้ปรากฏแก่เขาแล้ว และปฎิบัติตามแนวทางผู้ที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาหันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย” (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 115)- มัจญมูอะฮ อัรรอสาอีลวัลมะสาอีล อัลนัจญดียะฮ หน้า 48
..........
ไมมีส่วนใดเลย ที่คำสอนชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ แตกต่างไปจากอะกีดะฮสะลัฟ เพียงแต่ เหล่าคน ที่มีอคติ และความเกลียดชัง ทำให้สายตา ฝ้าฟาง พร่ามัว จนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
การยืนยันคุณลักษณะ(สิฟาต)ของอัลลอฮ โดยไปเปรียบกับมัคลูค ไม่ถื่อว่า เป็นผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค อย่างที่อาชาอิเราะฮจอมปลอมอ้าง
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
ومُحالٌ أن يكون مَن قال عن اللهِ ما هو في كتابه منصوصٌ مُشبهًا إذا لم يُكيّف شيئا، وأقرّ أنه ليس كمثله شيء
เป็นไปไม่ได้ว่า ผู้ที่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ ต่อสิ่งที่ถูกล่าวเป็นตัวบทในคัมภีร์ของพระองค์นั้น เป็นมุชับบะฮะฮ(เป็นผู้ที่เชื่อว่าสิฟัตอัลลอฮคล้ายคลึงกับสิฟัตมัคลูค) เมื่อพระองค์ไม่ถูกพรรณารูปแบบว่าเป็นอย่างไรแม้แต่น้อย และเขาก็ยอมรับ ว่าแท้จริง พระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ - อัลอิสติซกัร ของ อับดุลบิร เล่ม 8 หน้า 150
...........
คนที่กล่าวเกี่ยวสิฟัตอัลลอฮ ตามตัวบทในอัลกุรอ่าน โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการและเขาเชื่อว่าอัลลอฮนั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ไม่ถือว่า เขาเป็น พวกมุชับบะฮะฮ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...
ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การให้รูปร่าง) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ กล่าวต่อไปว่า
وأما إذا قيل: يد لا تشبه الأيدي، كما أنّ ذاته لا تشبه الذوات، وسمعه لا يشبه الأسماع، وبصره لا يشبه الأبصار ولا فرق بين الجمع، فإن ذلك تنزيه
และ สำหรับ เมื่อถูกกล่าวว่า " มือ (ของอัลลอฮ) ไม่ได้เหมือนบรรดามือ ดังเช่น ซาตของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาซาต(ของบรรดามัคลูค) ,การได้ ได้ยินของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาการได้ยิน และการเห็นของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดาการเห็น(ของบรรดามัคลูค) และไม่มีความแตกต่างระหวางการรวม เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น คือการตันซีฮ(การให้ความบริสุทธิ์แก่อัลลอฮ)- ที่มาได้อ้างแล้ว
.......ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
คือ เมื่อกล่าวว่า มือ, ตัวตน,การได้ยิน,การเห็น ของอัลลอฮ ไม่เหมือนกับบรรดามัคลูค นั้นแหละคือ การตันซีฮ (การให้ความบริสุทธิ์แก่อัลลอฮ)
เพราะฉะนั้น การยืนยันความหมายตามตัวบท โดยเชื่อว่าไม่เหมือนมัคลูค ไม่ใช่ การตัชบีฮ(การเปรียบเทียบ)และไม่ใช่การตัจญสีม(การให้รูปร่าง) อย่างที่อาชาอิเราะฮผู้รับแนวคิดญะฮมียะฮกล่าวหาและปรักปรำใส่ร่ายวะฮบีย์
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ กล่าวว่า
عَلامَةُ جَهْمٍ وَأَصْحَابِهِ دَعْوَاهُمْ عَلَى أَهْلِ الْجَمَاعَةِ، وَمَا أُولِعُوا بِهِ مِنَ الْكَذِبِ، إِنَّهُمْ مُشَبِّهَةٌ، بَلْ هُمُ الْمُعَطِّلَةُ
เครื่องหมาย ของญะฮมิน(หัวหน้าญะฮมียะฮ)และบรรดาศานุศิษย์ของเขา คือ การกล่าวหา อะฮลุสสุนนะฮ และสิ่งที่พวกเขาจุดไฟ จากการโกหกด้วยมัน ว่าแท้จริง(อะฮลุสสุนนะฮ)คือ มุชับบะฮะฮ แต่ในทางกลับกัน พวกเขา(ญะฮมียะฮ)นั้นแหละคือ พวกมุอัฏฏิละฮ (พวกปฏิเสธคุณลักษณะอัลลอฮ) - อัลลาลุกาอีย์ ใน ชัรหอุศูลเอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ หะดิษหมายเลข 937
............
กลุ่มอาชาอิเราะฮ บางกลุ่มยังคงใช้วิธีกล่าวหา วะฮบีย์ ว่า เป็นพวกมุชับบิฮะฮ พวกมุญัสสิมะฮ ต่อไปเพราะมันคือ พฤติกรรมของญะฮมุน(หัวหน้าแนวคิดญะฮมียะฮ) และสาวกของเขา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/10/60


วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตัวอย่างอะกีดะฮแนวอะฮลุลกาลามที่ถูกอ้างว่าเป็นอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ตัวอย่างอะกีดะฮแนวอะฮลุลกาลามที่ถูกอ้างว่าเป็นอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ
Sukiman Tuanno
จากอิหม่ามอัสสุบกีย์ กล่าวว่า หลักอากีดะของอัฮลิสสุนนะนั้น อัลลอฮทรงดั้งเดิม ไม่มีทิศสำหรับพระองค์ ไม่มีสถานที่ ไม่ผ่านขั้นตอนของเวลา ไม่ถูกกล่าวกับพระองค์ว่าอยู่ไหน พระองค์จะไม่ถูกเห็นด้วยกับการเผชิญหน้าและอยู่บนการเผชิญหน้า พระองค์ทรงมีมาแล้วโดยไม่มีสถานที่อยู่ พระองค์ทรงสร้างสถานที่และเวลา และปัจจุบันพระองค์ก็ยังอยู่เช่นนั้น(ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) จาก อัสสุบกีย์ ฏอบากอต อัชชาฟีอียะ อัลกุบรอ เล่ม 9 หน้า 41
............
ชัแจง
ข้้างต้น คนอ้างไม่กล้าเอาตัวบทอาหรับมา กลัวว่าคนจะรู้ว่าตนเองแปลไม่ถูก ขาดความมั่นใจ ขอวิจารณ์ ดังนี้คือ
1.ตาญุุดดีน อัสสุบกีย์ ชื่อเต็มว่า อบูนัศรุน ตาญุดดีน อับดุลวาฮาบ บิน อาลี บิน อับดุลกาฟีย์ อัสสุบกีย์ เป็นปราชญ์ ยุคเคาลัฟ มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ 727-771 มีแนวคิดแบบอาชาอิเราะฮ
2. มาดูข้อความ คำพูดอิหม่ามตายุดดีนอัสสุบกีย์และความหมาย
ดังนี้
عقيدتنا أن الله قديم أزليٌّ، لا يُشْبِهُ شيئا ولا يشبهه شىء، ليس له جهة ولا مكان، ولا يجري عليه وقتٌ ولا زمان، ولا يقال له أين ولا حيث، يُرَى لا عن مقابلة ولا على مقابلة، كان ولا مكان، كوَّن المكان، ودبَّرَ الزمان، وهو الآن على ما عليه كان، هذا مذهب أهل السنة
อะกีดะฮของเรา แท้จริง อัลลอฮทรงมีมาแต่เดิม ทรงนิจนิรันดร์ ทรงไม่คล้ายคลึงสิ่งใดๆและ ไม่มีสิ่งใดคล้ายคลึงพระองค์ ไม่มีทิศสำหรับพระองค์ ไม่มีสถานที่ ,เวลาและกาลเวลาไม่ ผ่านบนพระองค์ และ ไม่ถูกกล่าวกับพระองค์ว่าอยู่ไหน ,ไม่ถูกกล่าวว่าอยู่ที่ใด พระองค์จะไม่ถูกเห็นด้วยกับการเผชิญหน้าและอยู่บนการเผชิญหน้า พระองค์ทรงมีมาแล้วโดยไม่มีสถานที่อยู่ พระองค์ทรงสร้างสถานที่และทรงบริหาร เวลา และปัจจุบันพระองค์ก็ยังอยู่เช่นนั้น(ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) นี้คือ มัซฮับอะฮลุสสุนนะฮ ..-ฏอบากอต อัชชาฟีอียะ อัลกุบรอ เล่ม 9 หน้า 41
…………..
ขอเรียนว่า ข้างต้นไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ ผู้ทรงธรรม ด้วยหลักฐานต่อไปนี้
2.1 คำว่า “ไม่มีทิศ” ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ เพราะสะลัฟ ไม่ได้กล่าวปฏิเสธคำว่า “ทิศ” ดังที่ อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)กล่าวทัศนะสะลัฟว่า
وقد كان السلف الأول لا يقولون بنفي الجهة , ولا ينطقون بل نطقوا هم والكافة بإثباتها لله , كما نطق كتابه وأخبرت رسله , ولم ينكر أحد من السلف الصالح أنه استوى على عرشه حقيقة
และปรากฏว่าสะลัฟยุคแรก พวกเขาไม่ได้กล่าวด้วยการปฏิเสธ คำว่า "ทิศ" และพวกเขาจะไม่พูด แต่ทว่า พวกเขาเองทั้งหมด รับรองมัน(การอิสติวาอฺ)แก่อัลลอฮ ดังที่คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารอซูลของพระองค์ ได้บอกไว้ และไม่มีคนใดจากชาวสะลัพผู้ทรงธรรม ปฏิเสธ ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์จริงๆ(ไม่ใช่อุปมาอุปมัย) - ดู ตัฟสีรญามิอิลอะหกาม 7/219-220
2.2 คำว่า "ไม่มีสถานที่ " ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ เพราะ ไม่มีสะลัฟท่านใดปฏิเสธคำว่าสถานที่แก่อัลลอฮ ซึ่งหมายถึงสถานที่เบื้องสูง แยกจากมัคลูค
อิหม่ามหัรบฺุ บิน อิสมาอีล อัลกุรมานีย์ (ฮ.ศ 280)กล่าวว่า
أن الجهمية أعداء الله وهم الذين يزعمون أن القرآن مخلوق وأن الله لم يكلم موسى ولا يرى في الآخرة ولا يعرف لله مكان وليس على عرش ولا كرسي وهم كفار فأحذرهم
ญะฮมียะฮ คือ ศัตรูอัลลอฮ และพวกเขาอ้างว่า อัลกุรอ่าน คือ มัคลูค (สิ่งถูกสร้าง) แท้จริงอัลลอฮไม่ได้พูดกับมูซา ,พระองค์จะไม่ถูกเห็น ในวันอาคีเราะฮ , เขาไม่รู้สถานที่สำหรับอัลลอฮ (ว่าอยู่ที่ใหน) ,(เขาอ้างว่า) ไม่ได้อยู่บนอะรัช และไม่ได้อยู่บนกุรสีย์ และพวกเขาคือ กาเฟร ดังนั้นจงระวังพวกเขา --อัลอุลูว์ ลิอะลีิลฆอ็ฟฟาร หน้า 194,กิตาบอะรัช ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ 2/262
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 652 กล่าวว่า
ولا يقدر أحد ان ينقل عن أحد من سلف الامة وأئمتها في القرون الثلاثة حرفا واحدا يخالف ذلك لم يقولوا شيئا من عبارات النافية أن الله ليس في السماء والله ليس فوق العرش
และไม่มีคนหนึ่งคนใด สามารถรายงานจากคนใดจากชาวสะลัฟ แห่งอุมมะฮ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ในศตวรรษที่สาม แม้แต่อักษรเดียว ขัดแย้งกับดังกล่าวนั้น พวกเขา(สะลัฟ) ไม่เคยพูดสิ่งใดๆจากบรรดาข้อความที่ปฏิเสธ ว่าแท้จริง อัลลอฮไม่ได้อยู่บนฟ้า ,อัลลอฮไม่้ได้อยูเหนืออะรัช ....บะบายตัลบิส อัลญะฮมียะฮ 2/45
2.3 การอ้างว่า อัลลอฮจะไม่ถูกเห็นแบบเผชิญหน้า แบบนี้ไม่ใช่อะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ เพราะอะกีดะฮที่ขัดต่ออัสสุนนะฮ จะได้เห็นอัลลอฮด้วยตา ในวันกิยามะฮ โดยหะดิษระบุชัดเจนว่าเห็นอัลลอฮด้วยตาในวันกิยามะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้
อัลลอฮฺตรัสว่า
وُجُوهٞ يَوۡمَئِذٖ نَّاضِرَةٌ إِلَىٰ رَبِّهَا نَاظِرَةٞ
ความว่า “ในวันนั้น หลายๆใบหน้าจะเบิกบาน จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน” (อัล-กิยามะฮฺ: 22-23)
ท่านอิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
، إِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ ) أَيْ : تَرَاهُ عَيَانًا ، كَمَا رَوَاهُ الْبُخَارِيُّ ، رَحِمَهُ اللَّهُ ، فِي صَحِيحِهِ : " إِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبَّكُمْ عَيَانًا "
คำตรัสที่ว่า (จ้องมองไปยังพระเจ้าของมัน) หมายถึง มันเห็นพระองค์ ด้วยต่าเปล่า ดังสิ่งที่อัลบุคอรี(ขออัลลอฮ ตะอาลาเมตตาต่อท่าน)ได้รายงานมันในเศาะเฮียะของท่านว่า ? แท้จริง พวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วยตาเปล่า? - ดู ตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบาย อายะฮที่ 22 ซูเราะฮอัลกิยามะฮ
2.4 การอ้างว่า จะไม่ถูกถามเกี่ยวกับอัลลอฮว่าอยู่ที่ใหน ความเชื่อเช่นนี้ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ ไม่ใช่อะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮ เพราะมีหะดิษชัดเจนว่า ท่านนบี ศอ็ลฯ ถามทาสหญิงว่าอัลลอฮอยู่ใหน
อิหม่ามอัซซะฮบีย์ ได้กล่าวถึงหะดิษญารียะฮ ที่ท่านนบีถามทาสหญิงคนหนึ่งว่าอัลลอฮอยู่ใหนว่า ว่า
هذا حديث صحيح أخرجه مسلم وأبو داود والنسائي وغير واحد من الأئمة في تصانيفهم ، يمرونه كما جاء ولا يتعرضون له بتأويل ولا تحريف ، وهكذا رأينا كل من يسأل : أين الله ؟ ، يبادر بفطرته ويقول : في السماء ، ففي الخبر مسالتان :إحداهما : شرعية قول المسلم : أين الله .الثانية : قول المسؤول : في السماء . فمن أنكر هاتين المسألتين فإنما ينكر على المصطفى صلى الله عليه وسلم
นี้คือ หะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม,อบูดาวูด,อันนะสาอีย์ และหลายคนจากบรรดาอิหม่ามในงานเขียนของพวกเขา ,โดยพวกเขาปล่อยให้มันผ่านไปและพวกเขาไม่คัดค้านมันด้วยการตีความและเปลี่ยนความหมาย และในทำนองเดียวกันนี้ เราเห็นว่า ทุกๆคนที่ถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ด้วยธรรมชาติของเขา เขาจะตอบทันทีว่า “ อยู่บนฟากฟ้า” ดังนั้น ในหะดิษนี้ แบ่งออกเป็นสองประเด็นคือ
1. คำพูดของมุสลิมที่ว่า “อัลลอฮอยู่ใหน” ชอบด้วยหลักศาสนบัญญัติ
2. คำพูดของผู้ถูกถาม คือ อยู่บนฟากฟ้า
ดังนั้น ใครคัดค้าน สองประเด็นนี้ ความจริง เขาได้คัดค้านนบีมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม – มุคตะศอรอัลอะลูย์ หน้า 81 ,อัลอุลูว์ ลิลอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 26 และอิษบาตรสิฟะติลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮ หน้า 70
..............
จากที่กล่าวมา แค่หลักฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คำพูดของชัยค์ตายุดดีนอัสสุบกีย์ที่ นาย Sukiman Tuanno มาอ้างนั้น ไม่ใช่อะกีดะฮอะลุสสุนนะฮตามแนวทางสะลัฟ แต่เป็นอะกีดะฮตามแนวทางอาชาอิเราะฮที่เดินตามแนวทางอะฮลุลกาลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/10/60

เอกสารประกอบเพิ่มเติม