วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
อะกีดะฮ กุตัยบะฮ บิน สะอีด ฮ.ศ 150-240
ชื่อเติม และฉายา
هُوَ شَيْخُ الْإِسْلَامِ ، الْمُحَدِّثُ الْإِمَامُ الثِّقَةُ الْجَوَّالُ ، رَاوِيَةُ الْإِسْلَامِ ، أَبُو رَجَاءٍ ، قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدِ بْنِ جَمِيلِ بْنِ طَرِيفٍ الثَّقَفِيُّ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ได้รายงานว่า
وَرَوَى غَيْرُ وَاحِدٍ عَنْ أَبِي الْعَبَّاسِ السَّرَّاجِ قَالَ : سَمِعْتُ قُتَيْبَةَ بْنَ سَعِيدٍ يَقُولُ : هَذَا قَوْلُ الْأَئِمَّةِ فِي الْإِسْلَامِ ، وَأَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ : نَعْرِفُ رَبَّنَا - عَزَّ وَجَلَّ - فِي السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عرشِهِ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى .
หลายคน ได้รายงานจาก อบิลอับบาส อัสสัรรอจญฺ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน กุตัยบะฮ บิน สะอีด กล่าวว่า "นี้คือ ทัศนะของบรรดาอิหม่ามในอิสลามและอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ว่า "เรารู้จักพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยื่ง อยู่บนฟ้าชั้นที่เจ็ด เหนืออะรัชของพระองค์ ดังที่พระองค์ผู้ทรงสูงส่งตรัสว่า " พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงสถิตเหนือบัลลังค์ - ดู สิยะรุเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 11/20
والله أعلم بالصواب
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
อะรัชของอัลลอฮอยู่ใหน
ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
فَإذَا سَأَلْتُمُ اللهَ فَسْأَلُوْهُ الْفِرْدَوْسَ فَإنَّهُ أوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأعْلَى الْجَنَّةِ أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَانِ وَمِنْهُ تَفَجَّرَ أنْهَارُ الْجَنَّةِ
“เมื่อพวกท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ก็จงขอสวรรค์ อัลฟิรเดาซ์ เพราะมันอยู่ครงกลางและสูงสุดของสวรรค์ บัลลังค์ของอัลลอฮ์ถูกมองเห็นจากด้านบนของมัน และบรรดาแม่น้ำในสวรรค์พวยพุ่งออกจากมัน” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2581
อิบนุคุซัมะฮ (ร.ฮ) อธิบายหะดิษข้างต้นว่า
قَالَ أَبُو بَكْرٍ : فَالْخَبَرُ يُصَرِّحُ أَنَّ عَرْشَ رَبِّنَا جَلَّ وَعَلا فَوْقَ جَنَّتِهِ ، وَقَدْ أَعْلَمَنَا جَلَّ وَعَلا أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشِهِ ، فخَالِقُنَا عَالٍ فَوْقَ عَرْشِهِ الَّذِي هُوَ فَوْقَ جَنَّتِهِ
อบูบักร์ กล่าวว่า “และหะดิษ ได้อธิบายชัดเจนว่า แท้จริง อะรัชของพระเจ้าของเรา (ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง ) อยู่เหนือสวรรค์ ของพระองค์ และ พระองค์(ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง) ได้บอกให้เรารู้ว่า “แท้จริง พระองค์ทรงสถิต(ทรงอยู่) บนอะรัชของพระองค์ และ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่สูงเหนือ อะรัช ของพระองค์ ซึ่ง มันอยู่เหนือสวรรค์ของพระองค์ –
กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 1 หน้า 241
@@@@@@@
มีรายงานจากคำพูดของปราชญ์ยุคสะลัฟผู้ทรงธรรมอีกมากมาย ทียืนยันว่า “อัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช”
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ผู้ที่พูดเกี่ยวกับความหมายอายะฮและหะดิษสิฟาต คือ พวกบิดอะฮในยุคสะลัฟ จริงหรือ
ผู้เขียนหนังสือ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่างจากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ ได้ระบุคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ ในหน้า 53 ว่า
مَذْهَبُ مُعْظَمِ السَّلَفِ أَوْ كُلِّهِمْ أَنَّهُ لَا يُتَكَلَّمُ فِي مَعْنَاهَا ، بَلْ يَقُولُونَ : يَجِبُ عَلَيْنَا أَنْ نُؤْمِنَ بِهَا وَنَعْتَقِدَ لَهَا مَعْنًى يَلِيقُ بِجَلَالِ اللَّهِ تَعَالَى وَعَظَمَتِهِ مَعَ اعْتِقَادِنَا الْجَازِمِ أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَأَنَّهُ مُنَزَّهٌ عَنِ التَّجَسُّمِ وَالِانْتِقَالِ وَالتَّحَيُّزِ فِي جِهَةٍ وَعَنْ سَائِرِ صِفَاتِ الْمَخْلُوقِ ،
ผู้เขียนหนังสือข้างต้นแปลว่า
แนวทางสะลัฟส่วนใหญ่(ยกเว้นพวกบิดอะฮในยุคสะลัฟ)หรือสะลัฟ(อะฮลุสสุนนะฮทั้งหมดนั้น) กล่าวคือ จะไม่พูดในความหมายอายะฮและหะดิษที่กล่าวถึงสิฟาตของอัลลอฮ แต่พวกเขากล่าวว่า จำเป็นบนเราต้องศรัทธาต่อตัวบท และเชื่อมันว่ามีความหมายหนึ่งที่เหมาะสม กับความมีเกียรติและความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์ พร้อมกับเราเชื่ออย่างมั่นใจเด็ดขาดว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ตะอาลา "ไม่มีสิ่งใดคล้ายเหมือนพระองค์" และพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการเป็นรูปร่าง บริสุทธิ์จากการเคลื่อนย้าย ต้องการที่อยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง และบริสุทธิ์จากบรรดาคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง.
>>>>>>>>>>>>>>
ผู้อ่านโปรดสังเกตจากคำแปลของผู้เขียนคือ
ผู้เขียน ใส่วงเล็บและเพิ่มข้อความว่า (“ยกเว้นพวกบิดอะฮในยุคสะลัฟ”) ทั้งๆที่ในตัวบทคำพูดไม่ได้ระบุการยกเว้นเอาไว้เลย แล้วทำไม่จึงเพิ่มข้อความเข้ามา ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ผู้อ่านเชื่อว่าคนยุคสะลัฟที่ให้ความหมายสิฟาตคือ พวกบิดอะฮในยุคนั้น
ขอเรียนว่า ความจริง ไม่มีสะลัฟท่านใด อ้างว่าห้ามพูดเกี่ยวกับความหมายเลย
เช็คมุหัมหมัดรอชีด ริฎอ กล่าวว่า
لَمْ يَقُلْ أَحْمَدُ وَلَا غَيْرُهُ مِنَ السَّلَفِ : إِنَّ فِي الْقُرْآنِ آيَاتٍ لَا يَعْرِفُ الرَّسُولُ وَلَا غَيْرُهُ مَعْنَاهَا بَلْ يَتْلُونَ لَفْظًا لَا يَعْرِفُونَ مَعْنَاهُ .
อะหมัด และ คนอื่นจากเขา จากสะลัฟ ไม่ได้กล่าวว่า แท้จริงในอัลกุรอ่าน มีบรรดาอายะฮ ที่รอซูลและอื่นจากท่านไม่รู้ความหมายของมัน แต่ทว่า พวกเขาอ่านถ้อยคำ โดยพวกเขาไม่รู้ความหมายของมัน – ดูตัฟสีรอัลมะนาร 3/145
>>>>>>
หมายความว่า อิหม่ามอะหมัดและสะลัฟคนอื่น ไม่เคยพูดว่า ในอัลกุรอ่านมีอายะฮที่รอซูลและคนอื่นไม่รู้ความหมาย แต่อ่านถ้อยคำอย่างเดียว ไม่รู้ความหมาย
คำอธิบายของอิหม่ามนะวาวีย์ข้างต้น ที่อ้างว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
..............
ข้อความข้างต้นเป็นความเห็นของท่านอิหม่ามนะวาวีย์เองไม่ใช่ทัศนะของปราชญ์ชาวสะลัฟ เพราะไม่มีสะลัฟคนใด กล่าวถึง คำว่าอัลลอฮ “เป็นมวลสารหรือรูปร่าง ในเชิงรับรอง(อิษบาตร)และ ในเชิงปฏิเสธ และคำว่า “ทิศ” ก็เช่นเดียวกัน สะลัฟไม่ได้กล่าวถึงคำนี้
ดังอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ตัฟสีรที่มีแนวคิดเอนเอียงไปทางอะชาอิเราะฮ ได้ยืนยันไว้คือ
وَقَدْ كَانَ السَّلَف الْأَوَّل رَضِيَ اللَّه عَنْهُمْ لَا يَقُولُونَ بِنَفْيِ الْجِهَة وَلَا يَنْطِقُونَ بِذَلِكَ , بَلْ نَطَقُوا هُمْ وَالْكَافَّة بِإِثْبَاتِهَا لِلَّهِ تَعَالَى كَمَا نَطَقَ كِتَابه وَأَخْبَرَتْ رُسُله
บรรดาสลัฟยุคแรก (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ คำว่า"ทิศ" และพวกเขาไม่ได้พูดมัน ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเองทั้งหมด ต่างก็กล่าวรับรอง มัน(อิสติวาอ) แก่อัลลอฮ (ซ.บ) ดังที่ คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารซูลของพระองค์ได้บอกเอาไว้ - - อัลญามิอุนอะหกามอัลกุรอ่าน 7/219
ส่วนการปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ
คำว่า “รูปร่าง”หรือเป็นรูปร่าง ก็เช่นเดียวกัน ชาวสะลัฟไม่ได้พูดถึง แต่เป็นคำที่อุตริขึ้นมา อธิบายเกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ ของคนยุคหลังเท่านั้น ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
ليس في كتاب الله ولا سنة رسول الله صلى الله عليه وسلم ولا قول أحد من سلف الأمة وأئمتها أنه ليس بجسم وأن صفاته ليست أجساما وأعراضا فنفي المعاني الثابتة بالشرع بنفي ألفاظ لم ينف معناها شرع ولا عقل جهل وضلال
ไม่ปรากฏในคัมภีร์อัลลอฮ และสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และไม่ปรากฏคำพูดคนหนึ่งคนใดจากอุมมะฮยุคสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ว่า แท้จริงพระองค์ ไม่ใช่รูปร่าง/มวลสาร และ(ไม่มีผู้ใดที่กล่าวมา กล่าวว่า)แท้จริงบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่ใช่บรรดามวลสาร/รูปร่างและบรรดาสิ่งของ ดังนั้น การปฏิเสธ บรรดาความหมายที่ยืนยันด้วยบทบัญญัต ด้วย การปฏิเสธ บรรดาถ้อยคำ ที่ บทบัญญัติ(หมายถึงอัลลอฮและรอซูล)และสติปัญญาไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมัน นั้น คือ ความงี่เง้าและหลุ่มหลง – ดู บะยานตัลบิสอัลญะมียะฮ เล่ม 1 หน้า 101
...........
กล่าวคือ ไม่มีสะลัฟคนใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นมวลสาร หรือไม่เป็นมวลสาร(รูปร่าง) และการปฏิเสธความหมายของบรรดาถ้อยคำที่อัลลอฮและรอซูลได้ยืนยันไว้ และไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมันนั้น ถือเป็นความโง่เขลาและหลุ่มหลง
والله أعلم بالصواب
....................
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การเอาหะดิษการเมียะรอจญ์นบีมาเป็นหลักฐานว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้านั้นเป็นบิดอะฮวะฮบีย์จริงหรือ
ผู้โจมตีคนที่ถูกอุปโลกน์ ให้เป็นวะฮบีย์ กล่าวว่า
วะฮ์ฮาบี(คณะใหม่)กล่าวว่า อัลลอฮฺนั่งอยู่บนฟ้าสูงสุดพ้นต้นพุทราแห่งการสิ้นสุดไป ซึ่งเป็นทิศเดียวกับบัยตุลลอฮฺที่นครมักกะฮ์เนื่องด้วยตรงขึ้นไปเหนือฟ้าชั้นที่ 7 นั้นมีบัยตุลมะอฺมูรซึ่งเป็นสถานที่ทำการต่อวาฟของเหล่าบรรดามะลาอิกะฮ์ โดยวะฮ์ฮาบีใช้ตรรกะที่ว่า ท่านนะบีย์ศ็อลฯทรงขึ้นไปรับฟัรฎูละหมาดในคืนมิอฺรอจญฺพบอัลลอฮฺ ณ ที่นั้น
มหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮฺเจ้า จากความเชื่อที่หลงผิด(บิดอะฮ์)ของกลุ่มวะฮ์ฮาบี
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ผมขอชี้แจงดังนี้
การอ้างหลักฐานจากหะดิษอิสรออฺและเมียะรอจญ์ เพื่อยืนยันการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ ตาอาลานั้น เป็นการยืนยันจากปราชญ์ยุคสะลัฟและเคาะลัฟ เช่น
อิหม่ามอิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311)
وَفِي الأَخْبَارِ دَلالَةٌ وَاضِحَةٌ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عُرِجَ بِهِ مِنَ الدُّنْيَا إِلَى السَّمَاءِ السَّابِعَةِ ، وَأَنَّ اللَّهَ تَعَالَى فَرَضَ عَلَيْهِ الصَّلَوَاتِ عَلَى مَا جَاءَ فِي الأَخْبَارِ ، فَتِلْكَ الأَخْبَارُ كُلُّهَا دَالَّةٌ عَلَى أَنَّ الْخَالِقَ الْبَارِئَ فَوْقَ سَبْعِ سَمَاوَاتِهِ
ในบรรดาการบอกเล่า(หมายถึงหะดิษอัลเมียะรอจญ) คือหลักฐาน แสดงว่า แท้จริงนบี ศอ็ลฯ ถูกนำขึ้น จากดุนยา สู่ชั้นฟ้าที่เจ็ด และอัลลอฮ ตาอาลา ได้กำหนดละหมาดห้าเวลา ให้เป็นข้อบังคับ บนสิ่งที่มีมาในบรรดาคำบอกเล่า(หมายถึงหะดิษเมียะรอจญ์) และ บรรดาคำบอกเล่า(หะดิษ) ทั้งหมด แสดงบอกว่า พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ ผู้ทรงให้บังเกิด อยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ - กิตาบุตเตาฮีด หน้า 119
อิบนุคุซัยมะฮ ปราชญยุคสะลัฟ ยืนยันว่า หะดิษเมียะรอจญเป็นหลักฐานว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า
อิบนุอะบิลอิซ อัดดะมัชกีย์ กล่าวว่า
وَفِي حَدِيثِ الْمِعْرَاجِ دَلِيلٌ عَلَى ثُبُوتِ صِفَةِ الْعُلُوِّ لِلَّهِ تَعَالَى
ในหะดิษเมียะรอจญ คือ หลักฐาน แสดงการยืนยัน คุณลักษณะ การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮตาอาลา – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะฮาวียะฮ 1/277
จึงสรุปว่า การอ้างหะดิษเมียะรอจญ เป็นหลักฐานการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ นั้น ไม่ใช่อะกีดะฮบิดอะฮ อย่างที่มีการโกหกบิดเบือนใส่ร้ายคนที่ถูกฉายาว่า "วะฮบีย์"
والله أعلم بالصواب
........................
อะสันน หมัดอะดั้ม
อัลกุรอ่านบอกว่าญิบรีลขึ้นไปยังอัลลอฮ แต่มีคนบางจำพวกบอกว่าไม่รู้อัลลอฮอยู่ไหน
แปลกไหม...อัลกุรอ่านบอกว่าญิบรีลขึ้นไปยังอัลลอฮ แต่มีคนบางจำพวกบอกว่าไม่รู้อัลลอฮอยู่ไหน
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
تَعْرُجُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ
[70.4] มลาอิกะฮ์และอัรรูหฺ (ญิบรีล) จะขึ้นไปหาพระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี (ของโลกดุนยานี้)
อิหม่ามอัลบัฆวีย์ อธิบายว่า
وَالرُّوحُ) يعني جبريل عليه السلام ( إِلَيْهِ) أي إلى الله عز وجل
และอัรรูห์ หมายถึง ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ( ไปยังพระองค์) หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง - ดู ตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮ อัลมะอาริจญ อายะฮที่ 70
อิบนุญะรีร (ขออัลอฮเมตตาต่อท่าน)อธิบายว่า
تَصْعَد الْمَلَائِكَة وَالرُّوح , وَهُوَ جِبْرِيل عَلَيْهِ السَّلَام إِلَيْهِ , يَعْنِي إِلَى اللَّه جَلَّ وَعَزَّ ; وَالْهَاء فِي قَوْله { إِلَيْهِ } عَائِدَة عَلَى اسْم اللَّه
มลาอิกะฮและอัรรูหฺ ขึ้นไป และเขาคือ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ยังพระองค์ หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง และ อักษรฮา ในคำตรัสที่ว่า(อิลัยฮิ) กลับไปยังพระนามของอัลลอฮ (หมายถึงเป็นสรรพนามแทนชื่ออัลลอฮ) – ดู – ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4
............
ข้างต้น อัลกุรอ่น ยืนยันชัดเจนว่า บรรดามลาอิกะฮและ ญิบรีล ขึ้นไปยังอัลลอฮ แสดงว่า พวกเขารู้ว่า อัลลอฮ อยู่ใหน เพราะพวกเขาขึ้นไปยังพระองค์
والله أعلم بالصواب
.......................
อะสัน หมัดอะดั้ม
อัลลอฮตาอาลาทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งมวล
อัลลอฮตาอาลาทรงบอกว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย
وَلِلّهِ يَسْجُدُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الأَرْضِ مِن دَآبَّةٍ وَالْمَلآئِكَةُ وَهُمْ لاَ يَسْتَكْبِرُونَ
และสิงที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ที่เป็นสัตว์โลกทั้งหลายและมะลาอิกะฮ์จะสุญูดต่ออัลลอฮ์ โดยที่พวกมันจะไม่หยิ่งผยอง
يَخَافُونَ رَبَّهُم مِّن فَوْقِهِمْ وَيَفْعَلُونَ مَا يُؤْمَرُونَ
พวกเขาจะกลัวพระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงอำนาจเหนือพวกเจ้า ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาถูกบัญชา - อัลนะหลุ 49-50
อิบนุคุซัยมะฮ (223-311) กล่าวว่า
فأعْلمَنا الجليلُ جلَّ وعلا في هذهِ الآيةِ أنَّ ربَّنا فوقَ ملائكتهِ، وفوقَ ما في السَّماواتِ وما في الأرضِ مِنْ دَابَّةٍ، وأَعْلَمَنا أنَّ ملائكتَهُ يخافونَ ربَّهم الذي فوقهم
พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทรงเกรียงไกรและสูงส่ง ได้บอกให้เรารู้ในอายะฮนี้ ว่า "แท้จริงพระผู้อภิบาลของเรา อยู่เหนือมลาอิกะฮของพระองค์ ,อยู่เหนือสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสัตว์โลกทั้งหลายในแผ่นดิน และทรงบอกให้เรารู้ว่า แท้จริงบรรดามลาอิกะฮของพระองค์ พวกเขากลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขา ซึ่งอยู่เหนือพวกเขา -อัตเตาฮีด ของอิบนุคุซัยมะฮ หน้า 111
มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮเหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์สร้าง แปลกใจยิ่งนัก คนที่มีอะกีดะฮเช่นนี้ กลับถูกอะชาอิเราะฮซูฟีเฏาะรี
กัต บางกลุ่ม ฉายามุสลิมที่เชื่อการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ว่า "พวกวะฮบียลัทธิใหม่นอกอิสลาม วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
.......................
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ อยู่บนฟ้า เขาผู้นั้นเป็นผู้ศรัทธา
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَأَنَّهُ لَوْ قَالَ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ الْمَلِكُ الَّذِي فِي السَّمَاءِ ، أَوْ إِلَّا مَلِكُ السَّمَاءِ ، كَانَ مُؤْمِنًا ، قَالَ اللَّهُ تَعَالَى : أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ
.
และแท้จริง ถ้าเขา (ทมายถึงกาเฟร) กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ ราชา ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า หรือ(เขากล่าวว่า)นอกจากราชาแห่งฟากฟ้า เขาก็เป็นผู้ศรัทธา ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
“เจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้า..
وَلَوْ قَالَ : لَا إِلَهَ إِلَّا سَاكِنُ السَّمَاءِ ، لَمْ يَكُنْ مُؤْمِنًا ، وَكَذَا لَوْ قَالَ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ سَاكِنُ السَّمَاءِ ; لِأَنَّ السُّكُونَ مُحَالٌ عَلَى اللَّهِ تَعَالَى
และถ้าเขากล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้า นอกจากผู้อาศัยแห่งฟากฟ้า เขาก็ไม่เป็นผู้ศรัทธา และ เช่นเดียวกัน ถ้าเขากล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ ผู้อาศัยแห่งฟากฟ้า เพราะแท้จริง การอาศัยอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แก่อัลลอฮตาอาลา- ดูเราเฎาะตุตตอลิบีน เล่ม 10 หน้า 85 มักตับอัลอิสลามีย์
คำว่าอัลลอฮ อยู่บนฟ้า ไม่ได้หมายถึง การอาศัยอยู่ในฟ้า ที่เป็นมัคลูค อาชาอิเราะฮ บางกลุ่ม เอาคำว่า “สถานที่ของอัลลอฮ”มาโจมตี วะฮบีย์
เพราะเข้าใจว่า อัลลอฮ อาศัยมัคลูค เป็นสถานที่ นี่คือ ความไม่เข้าใจ แล้วพาลเข้าใจว่าคนอื่นเชื่อตามความเข้าใจของตน
มาดู ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)อธิบาย
وَالسَّلَفُ وَالْأَئِمَّةُ وَسَائِرُ عُلَمَاءِ السُّنَّةِ إذَا قَالُوا " إنَّهُ فَوْقَ الْعَرْشِ وَإِنَّهُ فِي السَّمَاءِ فَوْقَ كُلِّ شَيْءٍ " لَا يَقُولُونَ إنَّ هُنَاكَ شَيْئًا يَحْوِيهِ أَوْ يَحْصُرُهُ أَوْ يَكُونُ مَحَلًّا لَهُ أَوْ ظَرْفًا وَوِعَاءً سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى عَنْ ذَلِكَ بَلْ هُوَ فَوْقَ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ مُسْتَغْنٍ عَنْ كُلِّ شَيْءٍ وَكُلُّ شَيْءٍ مُفْتَقِرٌ إلَيْهِ . وَهُوَ عَالٍ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ .
และชาวสะลัฟ ,บรรดาอิหม่าม และ บรรดาปราชญสุนนะฮอื่นๆ เมื่อพวกเขากล่าวว่า แท้จริง พระองค์ อยู่เหนืออะรัช และแท้จริง พระองค์ อยู่บนฟ้า เหนือทุกสิ่ง พวกเขาจะไม่กล่าวว่า แท้จริงสิ่งใดๆ ณ ที่นี้ บรรจุ พระองค์ เอาไว้หรือ จำกัดขอบเขตพระองค์ หรือเป็นสถานที่ของพระองค์ หรือ เป็นสถานที หรือเป็นภาชนะบรรจุ (พระองค์) พระองค์ทรงบริสุทธิ์ และสูงส่งจาก ดังกล่าว แต่ทว่า ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง โดยที่พระองค์ ไม่พึ่งพา อาศัยทุกๆสิ่ง และทุกสิ่งพึงพาอาศัยต่อพระองค์ และพระองค์ทรงสูง เหนือทุกสิ่ง.... มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 11 หน้า 101
والله أعلم بالصواب
........................
อะสัน หมัดอะดั้ม
อิหม่ามอะหมัด การยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
قال يوسف بن موسى القطان : قيل لأبي عبد الله أحمد بن حنبل: الله عز و جل فوق السماء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه في كل مكان؟
قال: « نعم على العرش وعلمه لا يخلو منه مكان
ยูซูฟ บิน มูซา อัลกอ็ฏฏอน กล่าวว่า "ได้ถูกกล่าวแก่ อบีอับดุลลอฮ ,อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช ของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ,พลังอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ใช่ไหมครับ ? เขา(อะหมัด) กล่าวตอบว่า "ครับ อยู่บน อะรัช และ ความรอบรู้ของพระองค์นั้น ไ่มีสถานที่ใด ซ่อนเร้นจากพระองค์
شرح اعتقاد أهل السنة للالكائي (3 / 402)؛ ورواه الخلال في كتابه "السنة" عن شيخه يوسف بن موسى القطان عن الإمام أحمد، كما في كتابي الحافظ الذهبي "العرش" (ج2 ص247) و"العلو للعلي الغفار" (ص176)، قال: رواه الخلال عن يوسف. فسنده صحيح
والله أعلم بالصواب
เมื่ออิบนุอับบาสเชื่อว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า
อิหม่ามบุคอรีได้รายงานว่า
أن ابن عباس قال: « لما كلم الله موسى كان النداء في السماء وكان الله في السماء
แท้จริงอิบนุอับบาสกล่าวว่า "เมื่ออัลลอฮทรงพูดกับมูซา ปรากฏว่าเสียงเรียกนั้น อยู่บนฟ้า และอัลลอฮนั้นทรงอยู่บนฟ้า -บุคอรี คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด หน้า 40
والله أعلم بالصواب
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เมื่อทัศนะผู้รู้ขัดแย้งกับสุนนะฮนบี เราจะเลือกทางใด
ผู้รู้ไม่ว่าจะระดับใด ย่อมมีถูก มีผิด และมีการผิดพลาดในการวินิจฉัย แล้วถ้าเขามีทัศนะไม่ตรงกับสุนนะฮ เราจะตามใคร และเลือกทางใด
و عن سالم بن عبد الله بن عمر قال: إني لجالس مع ابن عمر رضي الله عنه في المسجد، إذ جاءه رجلٌ من أهل الشام فسأله عن التمتع بالعمرة إلى الحج؟ فقال ابن عمر: حسن جميل، فقال: فإن أباك كان ينهى عن ذلك؟ فقال: ويلك، فإنْ كان أبي قد نَهَى عن ذلك، و قد فعله رسول الله صلى الله عليه وسلم و أمر به، فبقول أبي تأخذ، أم بأمرِ رسول الله صلى الله عليه وسلم؟! قال: بأمر رسول الله صلى الله عليه وسلم، فقال: فقُمْ عني (6
รายงานจาก สาลิม บุตร อับดุลลอฮ บุตร อุมัร เขากล่าวว่า " แท้จริงข้าพเจ้าได้นั่งอยู่กับ ท่านอิบนิอุมัร ในมัสยิด ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่ง จากชาวเมืองชาม มาหาเขา แล้วถามเกียวกับการทำหัจญตะมัตตัวะ ท่านอิบนุอมัรกล่าวตอบว่า " ดีและสวยงาม" แล้วเขา(ชายผู้นั้น)กล่าวว่า " ความจริงพ่อของท่าน(หมายถึงอุมัร)ได้ห้ามเรื่องดังกล่าวไว้นะ ? ท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า"เสียหายแล้วละท่าน ! แล้วถ้าหากพ่อของฉันได้ห้ามเรื่องนั้น แต่ความจริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯได้ปฏิบัติและได้สั่งเอาไว้ แล้วท่านจะเอาคำพูดขอพ่อฉันหรือ คำสั่งของท่านรซูลุลลอฮ(สอลฯ มายึดถือล่ะ ? เขา(ชายผู้นั้น)ตอบว่า" (ข้าพเจ้า)เอาคำสั่งของรซูลุลลอฮ ศอลฯ มายึดถือ แล้วเขา(อิบนิอุมัร)กล่าวว่า "ดังนั้นจงลุกขึ้นไปเสียจากฉัน
- 6-إسناده صحيح ، رواه الطحاوي في شرح معانى الآثار (1/272) وأبو يعلى في مسنده ، انظر مقدمة صفة الصلاة للعلامة الألباني (ص32) .
.................................................
หะดิษข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตามหากมีทัศนะไม่ตรงกับสุนนะฮของท่านรอซูล เขาก็ต้องเอาสุนนะฮรอซูล ศอลฯ มาปฏิบัติ ไม่ใช่ตักลิดตามผู้อื่น
อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أجمع المسلمون على أنَّ مَن استبان له سُنَّةٌ عن رسول الله صلى الله عليه وسلم لم يحل له أنْ يَدَعها لقول أحد
บรรดามุสลิมต่างก็มีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ใดที่สุนนะฮจากรซูลุลลอฮ ศอลฯ ได้ปรากฏชัดเจนแก่เขาแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เขาละทิ้งมัน(สุนนะฮ) เพื่อไปเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใด
الفلاني ص 68
อิมามชาฟิอีย์เคยพูดไว้ว่า
إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ
ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด
- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙
ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ระบุในอัลมัจญมัวะว่า
وَكَانَ جَمَاعَةٌ مِنْ مُتَقَدِّمِي أَصْحَابِنَا إذَا رَأَوْا مَسْأَلَةً فِيهَا حَدِيثٌ ، وَمَذْهَبُ الشَّافِعِيِّ خِلَافُهُ عَمِلُوا بِالْحَدِيثِ
และ มีคณะหนึ่งจากสหายของเรายุคก่อน เมื่อพวกเขาเห็นในประเด็นใดมีหะดิษ และมัซฮับชาฟิอีย์ ขัดแย้งกับหะดิษ พวกเขาก็ปฏิบัติตามหะดิษ – ดูอัลมัจญมัวะ เล่ม 1 หน้า 105
والله أعلم بالصو
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การเชื่อ เรื่องทิศเกี่ยวกับอัลลอฮ ที่ถูกต้องและที่ลุ่มหลง
การเชื่อ เรื่องทิศเกี่ยวกับอัลลอฮ ที่ถูกต้องและที่ลุ่มหลง
سُئِلَ شَيْخُ
الْإِسْلَامِ : - عَمَّنْ يَعْتَقِدُ " الْجِهَةَ " هَلْ هُوَ
مُبْتَدِعٌ أَوْ كَافِرٌ أَوْ لَا ؟
ชัยคุลอิสลาม (อิบนุตัยมียะฮ) ถูกถามเกี่ยวกับผู้ที่เชื่อมัน เรื่อง
ทิศ(เกี่ยวกับอัลลฮฮ) ว่า เขาคือ ผู้อุตริบิดอะฮ หรือ กาเฟร หรือไม่
فَأَجَابَ : أَمَّا مَنْ اعْتَقَدَ
الْجِهَةَ ; فَإِنْ كَانَ يَعْتَقِدُ أَنَّ اللَّهَ فِي دَاخِلِ الْمَخْلُوقَاتِ
تَحْوِيهِ الْمَصْنُوعَاتُ وَتَحْصُرُهُ السَّمَوَاتُ وَيَكُونُ بَعْضُ
الْمَخْلُوقَاتِ فَوْقَهُ وَبَعْضُهَا تَحْتَهُ فَهَذَا مُبْتَدِعٌ ضَالٌّเขาตอบว่า “สำหรับผู้ที่เชื่อเรื่อง “ทิศ”(เกี่ยวกับอัลลอฮ) นั้น
หากเขา เชื่อว่า อัลลอฮอาศัยอยู่ในบรรดามัคลูค บรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา บรรจุพระองค์
,บรรดาฟากฟ้าจำกัดขอบเขตพระองค์ ,บางส่วนชองมัคลูค อยู่เหนือพระองค์
และบางส่วนของมัน อยู่ใต้พระองค์
เขาคือผู้อุตริบิดอะฮที่ลุ่มหลง
. وَكَذَلِكَ إنْ كَانَ يَعْتَقِدُ أَنَّ
اللَّهَ يَفْتَقِرُ إلَى شَيْءٍ يَحْمِلُهُ - إلَى الْعَرْشِ أَوْ غَيْرِهِ - فَهُوَ أَيْضًا مُبْتَدِعٌ ضَالٌّ .
وَكَذَلِكَ إنْ جَعَلَ صِفَاتِ اللَّهِ مِثْلَ صِفَاتِ الْمَخْلُوقِينَ فَيَقُولُ
: اسْتِوَاءُ اللَّهِ كَاسْتِوَاءِ الْمَخْلُوقِ أَوْ نُزُولُهُ كَنُزُولِ
الْمَخْلُوقِ وَنَحْوُ ذَلِكَ فَهَذَا مُبْتَدِعٌ ضَالٌّ
และในทำนองเดียวกันนั้น หากเขาเชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ พึ่งพาอาศัย
สิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้มันบรรทุกพระองค์ -
จะอาศัยอะรัช หรือ อื่นจากมัน เขาก็ คือผู้อุตริบิดอะฮที่ลุ่มหลงอีกเช่นกัน
และ ในทำนองเดียวกัน หากเขา กำหนดให้บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ
เหมือนกับบรรดาลักษณะของมัคลูค(บรรดาสิ่งถูกสร้าง) โดยเขากล่าวว่า “การอิสติวาอฺ(การสถิตอยู่)ของอัลลอฮ
เหมือนกับการอิสติวาอฺของมัคลูค หรือ การเสด็จลงมาของพระองค์
เหมือนการเสด็จลงมาของมัคลูค เป็นต้น เขาก็คือ ผู้อุตริบิดอะฮที่ลุ่มหลง
; فَإِنَّ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ مَعَ
الْعَقْلِ دَلَّتْ عَلَى أَنَّ اللَّهَ لَا تُمَاثِلُهُ الْمَخْلُوقَاتُ فِي
شَيْءٍ مِنْ الْأَشْيَاءِ وَدَلَّتْ عَلَى أَنَّ اللَّهَ غَنِيٌّ عَنْ كُلِّ
شَيْءٍ وَدَلَّتْ عَلَى أَنَّ اللَّهَ مُبَايِنٌ الْمَخْلُوقَاتِ عَالٍ عَلَيْهَا
.
เพราะแท้จริง อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ พร้อมกับ การใช้เหตุผล
แสดงบอกว่า แท้จริงอัลลอฮ นั้น บรรดามัคลูคทั้งหลาย ไม่เสมอเหมือนพระองค์
ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากบรรดาสิ่งต่างๆ และ มันแสดงบอกว่า แท้จริง อัลลอฮ ทรงไม่พึ่งพา
ทุกๆสิ่ง และมันแสดงบอกว่า แท้จริงอัลลอฮ ทรงแตกต่างกันกับบรรดามัคลูค
ทรงอยู่สูงเหนือมัน
وَإِنْ كَانَ يَعْتَقِدُ أَنَّ الْخَالِقَ
تَعَالَى بَائِنٌ عَنْ الْمَخْلُوقَاتِ وَأَنَّهُ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ عَلَى
عَرْشِهِ بَائِنٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ لَيْسَ فِي مَخْلُوقَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ
ذَاتِهِ وَلَا فِي ذَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ ; وَأَنَّ اللَّهَ غَنِيٌّ
عَنْ الْعَرْشِ وَعَنْ كُلِّ مَا سِوَاهُ لَا يَفْتَقِرُ إلَى شَيْءٍ مِنْ الْمَخْلُوقَاتِ ; بَلْ هُوَ مَعَ اسْتِوَائِهِ
عَلَى عَرْشِهِ يَحْمِلُ الْعَرْشَ وَحَمَلَةَ الْعَرْشِ بِقُدْرَتِهِ وَلَا
يُمَثَّلُ اسْتِوَاءُ اللَّهِ بِاسْتِوَاءِ الْمَخْلُوقِينَ ; بَلْ يُثْبِتُ
اللَّهُ مَا أَثْبَتَهُ لِنَفْسِهِ مِنْ الْأَسْمَاءِ وَالصِّفَاتِ وَيُنْفَى
عَنْهُ مُمَاثَلَةُ الْمَخْلُوقَاتِ وَيُعْلَمُ أَنَّ اللَّهَ لَيْسَ كَمِثْلِهِ
شَيْءٌ : لَا فِي ذَاتِهِ وَلَا فِي صِفَاتِهِ وَلَا أَفْعَالِهِ . فَهَذَا
مُصِيبٌ فِي اعْتِقَادِهِ مُوَافِقٌ لِسَلَفِ الْأُمَّةِ وَأَئِمَّتِهَا
และถ้าเขาเชื่อว่า
พระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงสูงส่ง แยกจากบรรดามัคลูค และแท้จริง
พระองค์อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัชของพระองค์
แยกจากบรรดามัคลูคของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากจากซาต(ตัวตน)ของพระองค์
อยู่ในบรรดามัคลูคของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์
อยู่ในซาตของพระองค์
และแท้จริงอัลลอฮทรงไม่พึ่งพา อะรัช และไม่พึ่งพาทุกๆสิ่งอื่นจากพระองค์
ทรงไม่ต้องการพึงพาต่อสิ่งใดๆจากมัคลูคของพระองค์ แต่ในทางกลับกัน คือ พร้อมกับการอิสติวาอฺ(การสถิตอยู่)ของพระองค์
บน อะรัชของพระองค์นั้น พระองค์ทรงแบกอะรัช และบรรดาผู้แบกอะรัช ด้วย
พลานุภาพของพระองค์ ,การเสมอเหมือนกับบรรดามัคลูค ถูกปฏิเสธจากพระองค์ และเป็นที่ถูกรู้กันว่า
แท้จริง อัลลอฮ ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ ไม่ว่า จะเกี่ยวกับซาต(ตัวตน) ,สิฟาต(บรรดาคุณลักษณะ) และ อัฟอาล(บรรดาการกระทำ)ของพระองค์
ก็ตาม และนี้คือ ผู้ที่ถูกต้องใน อะกีดะฮของเขา
ที่สอดคล้องกับ สะลัฟแห่งอุมมะฮและบรรดาผู้นำของพวกเขา - ดู มัจญมัวะอัลฟาตาวา 5/263-263
>>>>>>>>
จากคำอธิบายของอิบนุตัยมียะฮข้างต้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่า
การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่ทิศเบื้องสูงนั้น ไม่ได้หมายถึง
การอาศัยอยู่ในมัคลูคลูค หรือ
นั่งสัมผัสอยู่บนอะรัช อย่างที่คนบางกลุ่มกล่าวหาว่า พวกที่เขาเรียกว่า “วะฮวะฮบีย์”
เชื่อว่าอัลลอฮนั่งบนอารัช แล้วถามเชิงเยาะเย้ย เย้ยหยันว่า “อัลลอฮมีก้นหรือเปล่า
“ นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อิหม่ามอัศศอบูนีย์กล่าวถึง อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี
อิหม่ามอัศศอบูนีย์กล่าวถึง อะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอี
อิหม่ามอัศศอบูนีย์ ฉายาและชื่อเต็มคือ
شيخ الإسلام أبو عثمان ، إسماعيل بن عبد الرحمن بن أحمد بن إسماعيل بن إبراهيم بن عابد بن عامر ، النيسابوري ، الصابوني .
ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง ฮ.ศ ๓๗๓ - ๔๔๙ ได้ได้กล่าวถึงอะกีดะฮของอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ว่า
وإنما احتج الشافعي رحمة الله عليه على المخالفين في قولهم بجواز إعتاق الرقبة الكافرة في الكفارة بهذا الخبر؛ لاعتقاده أن الله سبحانه فوق خلقه، وفوق سبع سماواته على عرشه، كما معتقد المسلمين من أهل السنة والجماعة، سلَفِهم وخلفِهم؛ إذ كان رحمه الله لا يرو خبرًا صحيحًا ثم لا يقول به.
และความจริง อัชชาฟิอี (ร.ฮ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยหะดิษนี้(หมายถึงหะดิษญารียะฮ ที่ตอบท่านนบีว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า-ผู้แปล )ตอบโต้บรรดาผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ในกรณีเกี่ยวกับทัศนะของพวกเขา(ที่อ้างว่า) อนุญาตให้ปล่อยท่านหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟร เพราะ อะกีดะฮของเขา(หมายถึงชาฟิอี)เชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ( ซ.บ) ทรงอยู่เหนื่อมัคลูคของพระองค์ และเหนือ บรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ บนบัลลังค์(อะรัช)ของพระองค์ ดังที่เป็นหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ยุคสะลัฟและยุคเคาะลัฟ เพราะ ปรากฏว่าเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) เขาจะไม่รายงานหะดิษที่เศาะเอียะใดๆ แล้วต่อมาเขาไม่นำมากล่าวด้วยมัน - อะกีดะฮสะลัฟ วะอัศหาบิลหะดิษ ของ อิหม่ามอัศศอบูนีย์ หน้า ๑๑๘,๑๘๙
>>>>>>>>>>
หมายถึง อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหะดิษญารียะฮ เป็นหลักฐานตอบโต้ บรรดาผู้ที่อ้างว่า อนุญาตให้ปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟรได้ สำหรับทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีนั้น อนุญาตปล่อยทาสหญิงที่เป็นกาเฟรได้ ก็ต่อเมื่อนางรับอิสลาม โดยที่อิหม่ามชาฟิอีได้อ้างหลักฐานจากหะดิษญารียะฮ คือ ท่านนบี ถามทาสหญิงคนนั้นว่า อัลลอฮอยู่ที่ใหน ?นางตอบว่า “อัลลอฮ อยู่บนฟ้า” แล้วนบีรับรองว่านางเป็นมุสลิม แล้วนบีบอกให้ปล่อยนางเป็นอิสระ และอัศศอบูนีย์ ยืนยันว่า "อิหม่ามชาฟิอีนั้น ไม่เคยปรากฏว่า เมื่อท่านรายงานหะดิษเศาะเฮียะ แล้วท่านไม่นำมันมาอ้างเป็นหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
การแบ่งเตาฮีดเป็นสามประการเป็นบิดอะฮจริงหรือ
มีบางกลุ่มพยายามจะใส่ไคล้การเรียนเตาฮีดของชาวซุนนะฮฺที่แบ่งเตาฮีดออกเป็นสามหมวดว่าเป็นเรื่องบิดอะฮฺ ทั้งที่มีแบบอย่างของการแบ่งจากปวงปราชญ์ชาวสะลัฟ
การแบ่งเตาฮีดเป็นสามประเภทมีมานานแล้ว การแบ่งประเภทของเตาฮีดออกเป็น 3 ประเภทนั้น มีปรากฏอยู่ในหนังสือของ ท่านอิบนุ บัฏเฏาะฮฺ อัล-อัคบะรีย์ (304-387) ตามประวัติแล้วท่านคือสานุศิษย์ของท่านอบุล กอซิม อัล-บะฆอวีย์ เคียงคู่กับศิษย์อีกท่านหนึ่งคือ อบู นุอัยมฺ อัล-อัสบะฮะนีย์
ท่านอิมาม อิบนุ บัฏเฏาะฮฺอัล-อัคบารีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า
الإبانة عن شريعة الفرقة الناجية
เล่ม ที่ 2 หน้า 172-173 ความว่า
وذلك أن أصل الإيمان بالله الذي يجب على الخلق اعتقاده في إثبات الإيمان به ثلاثة أشياء: أحدها: أن يعتقد العبد ربانيته؛ ليكون بذلك مبايناً لمذهب أهل التعطيل الذين لا يثبتون صانعاً. والثاني: أن يعتقد وحدانيته؛ ليكون بذلك مبايناً لأهل الشرك الذين أقروا بالصانع وأشركوا معه في العبادة غيره. والثالث: أن يعتقده موصوفاً بالصفات التي لا يجوز إلا أن يكون موصوفاً بها من العلم والقدرة والحكمة وسائر ما وصف به نفسه في كتابه.
“และด้วยเหตุนี้นี่คือรากฐานของการศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น(วาญิบ)เหนือสรรพสิ่ง(ทั้งปวง)ในการยืนยันต่อการศรัทธาต่อพระองค์ด้วยกับสิ่งสามประการนี้
ประการแรก : คือการที่บรรดาบ่าวของพระองค์ศรัทธาใน “ร็อบบานียะฮฺ” ของพระองค์(หมายถึงศรัทธาในการเป็นพระเจ้าเหนือมัคลูกทั้งปวงของพระองค์) ดังนั้นด้วยกับสิ่งนี้พระองค์จึงบริสุทธิ์จากแนวทางของผู้ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระองค์ซึ่งพวกเขาไม่ได้ทำการยืนยันต่อ(การเป็น)ผู้สร้าง(ของพระองค์)
ประการที่สอง : คือการที่เขา(มนุษย์)ศรัทธาในความเป็น “วะฮฺดานียะฮฺ” (ความเป็นเอกะ)ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงบริสุทธิ์จากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีซึ่งทำการยืนยันต่อผู้สร้างแต่ทว่าได้ทำการตั้งภาคีด้วยการเคารพสักการะสิ่งอื่น
ประการที่สาม : คือการที่มนุษย์ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกกล่าวถึงพระองค์ด้วยคุณลักษณะ(ศิฟาต)ซึ่งไม่เป็นที่อนุมัติ(ที่จะพาดพิงพระองค์ถึงด้วยศิฟาตหนึ่งใด)เว้นแต่คุณลักษณะที่ได้ถูกแจกแจงไว้ ดังเช่น อิลมฺ(ความรู้), กุดเราะฮฺ(อำนาจ),ฮิกมะฮฺ(วิทยญาณ) และทั้งปวงจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงพระองค์เองในคัมภีร์อัลกุรอาน”
สรุปแล้วการแบ่งประเภทเตาอีดของท่านอิบนุ บัฏเฏาะฮฺ นั้นคือการแบ่งเตาฮีดที่ได้ถูกเล่าเรียนกันในวิชาเตาฮีดในยุคสมัยของเราซึ่งประกอบไปด้วยสามส่วนคือ
1) ร็อบบานียะฮฺ หมายถึงการศรัทาต่อการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์อัลลอฮฺซึ่งเป็นแก่นเนื้อหาเดียวกันกับ เตาฮีดรุบูบียะฮฺ
2) เตาฮีดวะฮฺดานียะฮฺ หมายถึงการไม่กระทำการตั้งภาคีต่อพระองค์ภาคส่วนนี้ผูกพันธ์อยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์อันเป็นเนื้อหาเดียวกันกับเตาฮีดอัลอิบาดะฮฺหรืออุลูฮียะฮฺ
3) คือการศรัทธาต่อคุณลักษณะของพระองค์ที่ได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอานอันไพโรจน์ของพระองค์อันเป็นเนื้อหาเดียวกันกับเตาฮีดอัล-อัสมาอ์วัศศิฟาต
_________________จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูง
ชัยคฺอับดุลกอดีร อัลญีลานีย์ เกิดในปี
ฮิจเราะห์ที่ ๔๗๐ – ๕๖๑ มีการอ้างว่าท่านเป็นผู้นำซูฟีย์สายฏอริเกาะฮอัลกอดิรียะฮอัศศูฟียะฮ มาดูอะกีดะฮของท่าน ดังนี้
وهو بجهة العلو مستو
على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل
الصالح يرفعه})
และพระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง
ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์
ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน(ฟาฏิร/10)
– ดู الغنية لطالبي
طريق الحق لعبد القادر الجيلاني (ج1 ص121 و123
และเขาได้กล่าวอีกว่า
وينبغي إطلاق صفة
الاستواء من غير تأويل ، وأنه استواء الذات على العرش لا على معنى القعود والمماسة
كما قالت المجسمة والكرامية ، ولا على معنى العلو والرفعة كما قالت الأشعرية ، ولا
معنى الاستيلاء والغلبة كما قالت المعتزلة ، لأن الشرع لم يرد بذلك ولا نقل عن أحد
من الصحابة والتابعين من السلف الصالح من أصحاب الحديث ذلك ، بل المنقول عنهم حمله
على الإطلاق
และสมควรกล่าวคุณลักษณะของการอิสติวาอฺ ไว้กว้าง โดยไม่ตีความ และแท้จริงมันคือ การอิสติวาอฺ
ของซาต(ตัวตนของอัลลออ เหนืออะรัช
ไม่ได้อยู่บนความหมายว่า นั่ง หรือ การสัมผัส
อย่างเช่นที่กลุ่มมุญัสสิมะฮและอัลกะรอมียะฮได้กล่าวไว้ และไม่ใช่ความหมาย ว่า
สู่งส่งและสูงศักดิ์ ดังที่กลุ่มอัชอะรียะฮกล่าวไว้ และไม่ใช่ ความหมายว่า การยึดครองและการพิชิต
ดังที่ กลุ่มมุอตะซิละอ ได้กล่าวไว้ เพราะว่า ตัวบททางศาสนาบัญญัติไม่ได้บอกกล่าวถึงความหมายดังกล่าวนั้นๆไว้
แล้วก็ไม่ปรากฏการรายงานจากบรรดาซอฮาบะฮฺหรือจากบรรดาตะบีอีนจากยุคสลัฟหรือจากบรรดานักวิชาการหะดีษถึงการตีความในแบบเหล่านี้เลย”
ในทางกลับกัน
สิ่งที่ถูกรายงานจากพวกเขา (ความหมายของอิสติวาอฺนั้น)คือ
การถือมันตามที่ถูกกล่าวไว้กว้าง(ในตัวบท) -ดูเชคอับดุลกอดีรญีลานี
หนังสือ ฆุนยะตุตตอลิบีน เล่ม 1 หน้า 73
และเช็คอับดุลกอเดร อัลญัยลานีย์ ได้กล่าวอีกว่า
وأنه تعالى ينزل في كل
ليلة إلى سماء الدنيا كيف شاء وكما شاء ، فيغفر لمن أذنب وأخطأ وأجرم وعصى لمن
يختار من عباده ويشاء تبارك العلي الأعلى ، لا إله إلا هو له الأسماء الحسنى ، لا
بمعنى نزول الرحمة وثوابه على ما ادعته المعتزلة والأشعرية
และแท้จริง อัลลอฮตาอาลา ทรงเสด็จลงมา ยังฟากฟ้าดุนยาในทุกๆคืน ตามรูปแบบที่ทรงประสงค์
ดังสิ่งที่ทรงประสงค์ แล้วทางอภัยแก่ผู้ที่ทำบาป ,ทำความผิด ,ก่ออาชญกรรมและทำการฝ่าฝืน
แก่ผู้ที่ทรงเลือก จากบรรดาบ่าวของพระองค์ และผู้ทรงบริสุทธิ์ ทรงสูงส่งยิ่ง
ทรงประสงค์ ,ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ ผู้ทรงมี บรรดาพระนามที่สวยงาม ,การเสด็จลงมา
(นูซูล) นั้น ไม่ใช่ ความหมายว่า ความเมตตาและผลบุญของพระองค์ ตามที่
กลุ่มมุอตะซิละฮและ อัชอะรียะฮ อ้าง
-จากหนังสือที่อ้างแล้ว
>>>>>>>>>>>>
ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า อะกีดะฮของ ชัยคฺอับดุลกอดีร
อัลญีลานีย์ คือ อะกีดะฮสะลัฟ
ที่เชื่อในการอยู่ทิศเบื้องสูงของอัลลอฮ และคำว่า อยู่บนอะรัช
ไม่ได้หมายถึงนั่งและสัมผัสกับอะรัช แต่หมายถึง อยู่เหนืออะรัช เหนือมัคลูคแยกจากมัคลูคทั้งหลาย และบรรดามุสลิมส่วนหนึ่งที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ ก็ไม่ได้เชื่อว่า
อัลลอฮอาศัยอะรัชเป็นที่อยู่อาศัย ดังที่พวกอคติได้ใส่ใคล้และปรักปรำ –วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
กิจกรรมเกี่ยวกับการตายระหว่างสุนนะฮและบิดอะฮ
มุหัมหมัด บิน มุหัมมหมัด บิน อับดุรเราะมาน อัลหะฏอบ ปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ กล่าวว่า
أَمَّا إصْلَاحُ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا وَجَمْعُ النَّاسِ عَلَيْهِ فَقَدْ كَرِهَهُ جَمَاعَةٌ وَعَدُّوهُ مِنْ الْبِدَعِ ; لِأَنَّهُ لَمْ يُنْقَلْ فِيهِ شَيْءٌ وَلَيْسَ ذَلِكَ مَوْضِعَ الْوَلَائِمِ
สำหรับการที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร และการชุมนุมของบรรดาผู้คนบนมัน แท้จริง นักวิชาการคณะหนึ่ง ได้มีทัศนะว่าเป็นมักรูฮ และพวกเขานับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ เพราะว่าแท้จริงไม่มีสิ่งใด(หมายถึงหะดิษ)ถูกรายงานเกียวกับมัน และดังกล่าวนั้น ไม่ใช่สถานที่ของการเลี้ยงแขก – ดู มะวาฮิบุลญะลีล เล่ม 2 หน้า 229
.............
การกระทำข้างต้น อุลามาอฺ เขาหุกุมว่า เป็นมักรูฮ และเป็นส่วนส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ
ส่วนที่เขาส่งเสริมคือ
وَيَجُوزُ حَمْلُ الطَّعَامِ لِأَهْلِ الْمَيِّتِ فِي يَوْمِهِمْ وَلَيْلَتِهِمْ وَاسْتَحَبَّهُ الشَّافِعِيُّ وَالْأَصْلُ فِيهِ مَا رَوَاهُ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ جَعْفَرٍ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ { اصْنَعُوا لِآلِ جَعْفَرٍ طَعَامًا فَإِنَّهُمْ فَاجَأَهُمْ أَمْرٌ شَغَلَهُمْ } خَرَّجَهُ أَبُو دَاوُد
และอนุญาตให้นำอาหารให้แก่ครอบครัวผู้ตาย ในตอนกลางวันและตอนกลางคืนของพวกเขา และ ชาฟิอี ได้ส่งเสริมมัน และรากฐานในมัน(ในเรื่องนี้)คือ สิ่งที่อับดุลลอฮ บิน ญะอฺฟัร ได้รายงานว่า แท้จริงนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวยะอฺฟัร เพราะว่าแท้จริง สิ่งที่ทำให้พวกเขายุ่งยาก(เนื่องจากการตาย)ได้ประสบกับพ่วกเขา –บันทึกโดย อบูดาวูด - ดู มะวาฮิบุลญะลีล เล่ม 2 หน้า 229
................
เรื่องนี้แปลกมาก เพราะทั้งๆที่นักวิชาการทั้งสี่มัซฮับได้ห้ามไว้ และส่งเสริมให้ทำตามหลักฐานคือ สงเคราะห์ครอบครัวผู้ตาย แต่คนบางส่วนปกป้องกิจกรรมทำบุญเนื่องจากการตายจนสุดชีวิต และต่อต้านทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับประเพณีนี้ โดย ให้ฉายาว่า “พวกวาฮาบีย” ซึ่งฉายานี้คนอาวามกลัวมากจึงไม่กล้าเลิก จึงเป็นเรื่องของการทดสอบการศรัทธาและการมีจุดยืนบนความถูกต้องของคน เมื่อตามสุนนะฮ สังคมไม่ยอมรับ ถ้าทำแบบบิดอะฮสังคมยอมรับ
>>>>>>>>>
จงพูดความจริง แม้ว่าจะขมขื่นก็ตาม
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
อิหม่ามชาฟิอีอ้างหะดิษญารียะฮเป็นหลักฐาน
ท่านอิหม่ามชาฟิอีรับรอง หะดิษที่ท่านหญิงคนหนึ่งตอบนบีว่า “อัลลอฮ อยู่บนฟ้า โดยท่านนำมาเป็นหลักฐานเงื่อนไขปล่อยทาสให้เป็นอิสระ
มาดูคำพูดอิหม่ามชาฟิอีย์ที่ท่านอ้างหลักฐานด้วยหะดิษนี้
وَأَحَبُّ إلَيَّ أَنْ لَا يُعْتِقَ إلَّا بَالِغَةً مُؤْمِنَةً فَإِنْ كَانَتْ أَعْجَمِيَّةً فَوَصَفَتْ الْإِسْلَامَ أَجْزَأَتْهُ ، أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ هِلَالِ بْنِ أُسَامَةَ عَنْ عَطَاءِ بْنِ يَسَارٍ عَنْ عُمَرَ بْنِ الْحَكَمِ أَنَّهُ قَالَ { أَتَيْت رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُلْت يَا رَسُولَ اللَّهِ إنَّ جَارِيَةً لِي كَانَتْ تَرْعَى غَنَمًا لِي فَجِئْتهَا وَفَقَدَتْ شَاةً مِنْ الْغَنَمِ فَسَأَلْتهَا عَنْهَا فَقَالَتْ أَكَلَهَا الذِّئْبُ فَأَسِفْت عَلَيْهَا وَكُنْت مِنْ بَنِي آدَمَ فَلَطَمْتُ وَجْهَهَا وَعَلَيَّ رَقَبَةٌ أَفَأَعْتِقُهَا ؟ فَقَالَ لَهَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَيْنَ اللَّهُ ؟ فَقَالَتْ فِي السَّمَاءِ فَقَالَ مَنْ أَنَا ؟ فَقَالَتْ أَنْتَ رَسُولُ اللَّهِ قَالَ فَأَعْتِقْهَا
และที่ข้าพเจ้าชอบคือ จะไม่มีการปล่อยทาสให้เป็นอิสระ นอกจาก เป็นหญิงผู้ศรัทธาที่บรรลุศาสนภาวะ แล้วถ้าปรากฏว่านางเป็นหญิงอะญัม(ไม่ใช่อาหรับ) แล้วนางมีคุณลักษณะอิสลาม ก็ใช้ได้,มาลิก ได้บอกแก่เรา จากฮิลาล บิน อุสามะฮ จาก อะฏออฺ บิน ยะสาร จากอุมัร บินหะกัม ว่า “เขากล่าวว่าฉันมีทาสคนหนึ่งที่เคยเลี้ยงแพะของฉันในพื้นที่ระหว่างอุฮุดและอัล-ญะวานิยยะฮฺ วันหนึ่งเขาได้กระทำความผิดบางอย่าง เขาได้ออกโดยเอาแพะไปตัวหนึ่ง ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่าต้องมีอารมณ์โกรธ ฉันจึงตบหน้านาง และ จำเป็นแก่ฉันจะต้องปล่อยทาสให้เป็นอิสระ, ฉันควรปล่อยทาสของฉันคนนี้เป็นอิสระไหม?’ แล้วรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้กล่าวแก่นางว่า “อัลลอฮอยู่ที่ไหน?”
นางตอบว่า “อยู่บนฟากฟ้า” แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ถามต่อไปอีกว่า “ฉันคือใคร?” ทาสของฉันตอบว่า “ท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮ” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริงนางคือผู้ศรัทธา
-ดู หนังสือ อัลอุม ของอิหม่าชาฟิอีย์ เล่ม 5 บทว่าด้วย باب عتق المؤمنة في الظهار
……………
อิหม่ามชาฟิอีย์รับรองหะดิษญารียะฮโดยการนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิง แต่ คนอ้างตามชาฟิอีย์บางกลุ่มไม่รับรองหะดิษนี้ ..และกล่าวหาว่าการเชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าเป็นอะกีดะฮที่หลุ่มหลง และเป็นอะกีดะฮยะฮูดีย์ -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อบูบักรฺเชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้า
อบูบักร์ อัศ-ศิดดีก (ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634) ได้ยืนยันว่า พระเจ้าอยู่บนฟ้า ดังรายงานต่อไปนี้
أَخْبَرَنَا عُمَرُ بْنُ عَبْدِ الْمُنْعِمِ الطَّائِيُّ ، نا عَبْدُ الصَّمَدِ بْنُ مُحَمَّدٍ الأَنْصَارِيُّ ، عَنْ أَبِي نَصْرٍ أَحْمَدَ بْنِ عُمَرَ الْحَافِظِ ، نا أَبُو سَعِيدٍ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ الأَحْنَفِ ، نا إِسْحَاقُ بْنُ أَبِي إِسْحَاقَ الْفُرَاتُ ، نا مُحَمَّدُ بْنُ الْفَضْلِ الْمُزَكِّي ، نا مُحَمَّدُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ الصَّرَّامُ ، نا عُثْمَانُ بْنُ سَعِيدٍ الدارمي ، نا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ فُضَيْلٍ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ نَافِعٍ ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ ، قَالَ : " لَمَّا قُبِضَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ أَبُو بَكْرٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : أَيُّهَا النَّاسُ ، إِنْ كَانَ مُحَمَّدٌ إِلَهَكُمُ الَّذِي تَعْبُدُونَ فَإِنَّهُ قَدْ مَاتَ ، وَإِنْ كَانَ إِلَهُكُمُ الَّذِي فِي السَّمَاءِ ، فَإِنَّ إِلَهَكُمْ لَمْ يَمُتْ ، ثُمَّ تَلا : وَمَا مُحَمَّدٌ إِلا رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِنْ قَبْلِهِ الرُّسُلُ سورة آل عمران آية 144 " الآيَةُ . هَذَا حَدِيثٌ صَحِيحٌ ، وَقَدْ أَخْرَجَهُ الْبُخَارِيُّ فِي تَارِيخِهِ تَعْلِيقًا لِفُضَيْلِ بْنِ غَزْوَانَ .
คำแปล ตัวบทคือ
รายงานจากอิบนุอุมัร เขากล่าวว่า "เมื่อรซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เสียชีวิต อบูบักรฺกล่าว(ประกาศว่า) โอ้ประชาชนทั้งหลาย ถ้าหากว่า มุหัมหมัด เป็นพระเจ้าของพวกท่าน ที่พวกท่านเคารพภักดี ดังนั้น แท้จริงเขาได้ตายไปแล้ว และหากว่า พระเจ้าของพวกท่านคือ ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า ดังนั้น พระเจ้าของพวกท่าน ไม่ตาย ต่อมาเขา(อบูบักได้อ่านอายะฮที่ว่า
وَمَا مُحَمَّدٌ إِلا رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِنْ قَبْلِهِ الرُّسُلُ
-“และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อื่นใดไม่นอกจากเป็นร่อซู้ลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดาร่อซู้ลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว - จนจบอายะฮ -ซูเราะฮอาลิอิมรอน/144 อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า "หะดิษนี้ เศาะเฮียะ และแท้จริง อัลบุคอรีย ได้บันทึกมัน ใน ตาริคของเขา โดยการอ้างถึง ผู้รายงานที่มีชื่อว่า ฟุฎัยลฺ บิน ฆอ็ซวาน -อัลอุลูวฺ 1/62
ดูคำวิจารณ์ เพิ่มเติม
(البخارى فى تاريخه ، وعثمان بن سعيد الدارمى فى الرد على الجهمية والأصبهانى فى الحجة قال ابن كثير : رجاله ثقات) [كنز العمال 18766]
أخرجه أيضًا : ابن أبى شيبة (7/427 ، رقم 37021) ، والبزار (1/182 ، رقم 103) ، قال الهيثمى
(9/38) : رجاله رجال الصحيح غير على بن المنذر وهو ثقة .
اسم الكتاب : جامع الأحاديث
المؤلف : جلال الدين السيوطي
รักนบี อัลลอฮสอนให้ทำอย่างไร
มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า
جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ: يَا رَسُولَ الله، إِنَّكَ لأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ نَفْسِي، وَإِنَّكَ لأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ أَهْلِي، وَأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ ولَدِي، وَإِنِّي لأَكُون فِي البَيْتِ فَأَذْكُرَكَ، فَمَا أَصْبِر حَتَّى آتِيكَ فَأَنْظُرُ إِلَيْكَ، وَإِذَا ذَكَرْتُ مَوْتِي وَمَوْتكَ عَرَفْتُ أَنَّكَ إِذَا دَخَلْتَ الجَنَّةَ رُفِعْتَ مَعَ النَّبِيِّينَ، وَإِنِّي إِذَا دَخَلْتُ الجَنَّةَ خَشِيتُ أَنْ لا أَرَاكَ ، فَلَمْ يَرُدّ عَلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَيْئًا حَتَّى نَزَلَ جِبْرِيلُ عَلَيْهِ السَّلام بِهَذِهِ الآيَةِ: ﴿ وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ وَٱلرَّسُولَ فَأُوْلَٰٓئِكَ مَعَ ٱلَّذِينَ أَنۡعَمَ ٱللَّهُ عَلَيۡهِم مِّنَ ٱلنَّبِيِّۧنَ وَٱلصِّدِّيقِينَ وَٱلشُّهَدَآءِ وَٱلصَّٰلِحِينَۚ وَحَسُنَ أُوْلَٰٓئِكَ رَفِيقٗا ٦٩ ﴾ [النساء: ٦٩]
ความว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า โอ้ ศาสนทูตของอัลลอฮฺ แท้จริง ท่านนั้นเป็นผู้ที่ฉันรักมากกว่าตัวของฉันเสียอีก ท่านคือผู้ที่ฉันรักมากกว่าครอบครัวและทรัพย์สินของฉันเสียอีก และท่านเป็นบุคคลที่ฉันรักมากกว่าบุตรของฉันเสียอีก และแท้จริง เมื่อฉันอยู่ที่บ้านของฉันจะคิดถึงท่านอยู่ตลอด จนฉันอดทนไม่ไหวอยากพบเจอกับท่านเหลือเกิน จนฉันได้มาเห็นหน้าท่าน แต่เมื่อฉันคิดถึงความตายของฉันและความตายของท่านแล้ว ฉันรู้ว่าเมื่อท่านเข้าสวรรค์ท่านก็จะถูกยกให้ไปพำนักอยู่กับบรรดาศาสนทูต และเมื่อฉันเข้าสวรรค์แล้วฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพบเจอกับท่านอีก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม (นิ่งสักครู่) ไม่ได้กล่าวตอบใดๆ กับชายคนดังกล่าว จนกระทั่งญิบรีลได้นำวะหฺยูมาประทาน อายะฮฺนี้คือ
﴿ وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ
وَٱلرَّسُولَ فَأُوْلَٰٓئِكَ مَعَ ٱلَّذِينَ أَنۡعَمَ ٱللَّهُ عَلَيۡهِم مِّنَ ٱلنَّبِيِّۧنَ
وَٱلصِّدِّيقِينَ وَٱلشُّهَدَآءِ وَٱلصَّٰلِحِينَۚ وَحَسُنَ أُوْلَٰٓئِكَ رَفِيقٗا
ความว่า “และผู้ใดที่ภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตแล้ว
ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานพวกเขา อันได้แก่บรรดานบี
บรรดาศิดดีกีน (ผู้ที่ศรัทธาโดยดุษฎี) บรรดาชุฮะดาอ์(ผู้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ)
และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นมิตรที่ดียิ่งแล้ว” (อัน-นิสาอ์ : 69)
>>>>
สรุปคือ รักนบี ต้องเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล การเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล ก็คือ การปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮนั้นเอง
...........
ดู อัล-มุอฺญัม อัศ-เศาะฆีรฺ ของ อัฏ-ฏ็อบบะรอนีย์ (1/26) อัล-ฮัยษะมีย์ได้กล่าวในหนังสือ มัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด (7/7) ว่า สายรายงานของหะดีษนี้ทั้งหมดเป็นสายรายงานที่เศาะฮีหฺ ยกเว้นอับดุลลอฮฺ บิน อิมรอน และมีหะดีษที่เป็นชาฮิด (มาสนับสนุน) จากอิบนุอับบาส ในหนังสือมัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด (7/7) แต่ในสายรายงานนี้มีผู้รายงานที่ชื่อ อะฏออ์ บิน อัส-สาอิบ เป็นบุคคลที่ความจำเลอะเลือน ท่านชัยคฺ มุกบิล อัล-วาดะอีย์ กล่าวในหนังสือ เศาะฮีหฺ อัล-มุสนัด มิน อัสบาบ อัน-นุซูล (70-71) ได้กล่าวว่า หะดีษนี้อบูนุอัยมฺได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัล-หิลยะฮฺ (4/240) , (8/125) และอัล-วาหิดีย์ได้บันทึกด้วยสายรางานนี้ในหนังสือ อัสบาบ อัน-นุซูล อิหม่ามอัช-เชากานีย์ กล่าวว่า อัล-มักดิสีย์ได้ระบุว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษหะสัน และมีชะวาฮิด (มาสนับสนุน) ดังปรากฏในหนังสือตัฟสีรฺ อิบนุ
อัล-มักดิสีย์ได้ระบุว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษหะสัน และมีชะวาฮิด (มาสนับสนุน) ดังปรากฏในหนังสือตัฟสีรฺ อิบนุ กะษีรฺ (1/523) จึงทำให้สายรายงานนี้มีน้ำหนักมากขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
รายอแน มีในศาสนาจริงหรือ
รายอแน หรืออีดออกบวชหกวันนั้นมีในศาสนาจริงหรือ
การถือศีลอดหกวันในเดือนเชาวาลเป็นสุนนะฮ เพราะหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
من صام رمضان ثم أتبعه ستاً من شوال كان كصيام الدهر
"ผู้ใดที่ถือศีลอดเราะมะฎอนแล้วถือศีลอดตามหลังจากนั้นหกวันในเดือนเชาวาล นั่นเสมือนว่าเขาได้ถือศีลอดถึงหนึ่งปี" (บันทึกโดยมุสลิม 1984)
เมื่อถือศีลอดครบหกวันแล้ว การที่มีมุสลิมส่วนหนึ่ง ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองวันออกบวชหกวัน โดยเรียกว่า "วันรายอแน" นั้น มีในอิสลามหรือไม่ มาพิจารณาจากคำตอบข้างล่างนี้
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وأما اتخاذ موسم غير المواسم الشرعية كبعض ليالي شهر ربيع الأول التي يقال : إنها ليلة المولد , أو بعض ليالي رجب , أو ثامن عشر ذي الحجة , أو أول جمعة من رجب , أو ثامن من شوال الذي يسميه الجهَّال عيد الأبرار : فإنها من البدع التي لم يستحبها السلف , ولم يفعلوها. والله سبحانه وتعالى أعلم
"สำหรับการยึดเอาเทศกาลหนึ่งเทศกาลใด(มาเฉลิมฉลอง)อื่นจากบรรดาเทศกาลทางศาสนบัญัติ เช่น บางคืนของเดือนเราะบิอุลเอาวัล ซึ่ง เรียกกันว่า "คืนเมาลิด" หรือ บางคืนของเดือนเราะญับ หรือ คืนที่แปดของเดือนซุลหิจญะฮ หรือ วันศุกร์แรกของเดือนเราะญับ หรือ วันที่แปดของเดือนเชาวาล ที่บรรดาพวกโง่เขลา เรียกว่า "อีดุลอับรอ็ร" นั้น แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ ที่บรรดาชาวสะลัฟไม่ส่งเสริมให้กระทำและพวกเขาไม่ได้กระทำมัน ,วัลลอฮุซุบหานะฮูวะตะอาลา อะอฺลัม. - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 25 หน้า 298
............
ในเมืองไทยมุสลิมบางส่วนจะเฉลิมฉลองรอยอหกหม้อ หรือรายอบวชหกวันในวันที่เจ็ด ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่มีที่มาในอิสลามเช่นเดียวกัน
.........
والله أعلم بالصواب
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)