วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

ให้ยึดความถูกต้องแม้จะมีคนจำนวนน้อยยึดถือก็ตาม


ให้ยึดความถูกต้องแม้จะมีคนจำนวนน้อยยึดถือก็ตาม
ยุคนี้ คนที่เคยยืนหยัดว่าให้ยึดสุนนะฮด้วยฟันกราม เริ่มพูดถึงให้ตามคนส่วนมากกันแล้ว เพื่อเอกภาพ ทำให้คนอาวาม มึนงงสับสนไปตามกัน
มาดูคำพูดของอิบนุกอ็ยยิมอัลเญาซียะฮ กล่าวไว้น่าคิดมากคือ
وما أحسن ما قال أبو محمد عبد الرحمن بن إسماعيل المعروف بأبى شامة فى كتاب الحوادث والبدع: "حيث جاء به الأمر بلزوم الجماعة فالمراد به لزوم الحق واتباعه، وإن كان المتمسك به قليلا والمخالف له كثيرا" لأن الحق هو الذى كانت عليه الجماعة الأولى من عهد النبى صلى الله تعالى عليه وسلم وأصحابه، ولا نظر إلى كثرة أهل الباطل بعدهم.
ช่างสวยงามเสียจริง สิ่งที่ อบูมุหัมหมัด อับดุรเราะหมาน บิน อิสลมอีล ที่เป็นที่รู้จัก ในนามของอบู ชามะฮ ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ กิตาบุ้ลหะวาดิษวัลบิดอะฮ ว่า 
โดย ที่มีคำสั่งให้ยึดมั่นในหมู่คณะ(ญะมาอะฮ)นั้น หมายถึง ให้ยึดมั่นในความถูกต้อง และให้ปฏิบัติตามนั้น และแม้จำนวนผู้ที่ยึดถื่อจะมีน้อย และ ผู้ที่ขัดแย้งจะมีจำนวนมากก็ตาม เพราะว่า ความถูกต้องนั้น คือ ที่หมู่คณะ(ญะมาอะฮ)ยุคแรก ได้ยืน 
หยัดอยู่ บนมัน จากสมัยของ นบี ศอลฯ และบรรดาสาวกของท่าน และไม่ใช่ไปพิจารณาส่วนมากของอะฮลุลบาฏิล(ผู้ที่อยู่บนความเท็จ) ในยุคหลังจากพวกเขา- ดูหนังสือ อิฆอษะตุลละฮฟาน ของอิบนิกอ็ยยิม หน้า 82-83 
................
สรุปคือ
1.ให้ยึดความถูกต้องและปฏิบัติตามนั้น แม้จำนวนคนที่เห็นขัดแย้งมากกว่าก็ตาม
2.ความถูกต้องคือ แนวทางที่ ที่หมู่คณะ(ญะมาอะฮ)ยุคแรก ได้ยืนหยัดอยู่ บนมัน จากสมัยของ นบี ศอลฯ และบรรดาสาวกของท่าน 
3. ไม่พิจารณาส่วนมากของอะฮลุลบาฏิล(ผู้ที่อยู่บนความเท็จ)มาเป็นมาตรฐานวัดความถูกต้อง
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/9/61

สำเนาเอกสารอ้างอิง

 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ

อย่าเป็นสีแก้วพลอยรุ่ง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

อย่าเป็นสีแก้วพลอยรุ่ง
คำว่า "สีแก้วพล่อยรุ่ง เป็นสำนวนภาษาใต้ สำนวนคำว่า " สีแก้วพลอยรุ้ง" เป็นสำหนวน หมายถึง คนที่คล้อยตามผู้อื่นอย่างขาดเหตุผล หรือไม่เป็นตัวของตัวเอง
ในภาษาอาหรับตรงกับสำนวนคำว่า "อัลอิมอะฮ( لإمعة )
ท่านอัลมุบาเราะกาฟูรีย์(ร.ฮ)อธิบายว่า
، وَقَالَ صَاحِبُ الْفَائِقِ : هُوَ الَّذِي يُتَابِعُ كُلَّ نَاعِقٍ وَيَقُولُ لِكُلِّ أَحَدٍ أَنَا مَعَكَ لِأَنَّهُ لَا رَأْيَ لَهُ يَرْجِعُ إِلَيْهِ ، وَمَعْنَاهُ : الْمُقَلِّدُ الَّذِي يَجْعَلُ دِينَهُ تَابِعًا لِدِينِ غَيْرِهِ بِلَا رُؤْيَةٍ وَلَا تَحْصِيلِ بُرْهَانٍ ا
เจ้าของหนังสืออัลฟาอิก ได้กล่าวว่า อัลอิมอะอ คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามทุกคนที่เชิญชวน โดยเขากล่าวแก่ทุกคนว่า “ ฉันอยู่พร้อมกับท่านเสมอ เนื่องจากเขาไม่มีความคิดเห็นที่จะกลับไปหามัน (คือ คนไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพึ่งตนเองด้านความคิด) และ ความหมายคือ ผู้ที่ตักลิดนั้น เขาจะถือศาสนาของเขาโดยตามศาสนาผู้อื่น โดยไม่พิจารณาและไม่ได้รับหลักฐาน – ดู หนังสือ ตุหฟะตุ้ลอะะวาซีย์ เล่ม 6 หน้า 145
...................
คำว่า الإمعة ในภาษาอังกฤษ แปลว่า yes-man หมายถึง คนที่ใครว่า อย่างไร เขาก็ว่าอย่างนั้น คือ หลับตาตามคนอื่นลูกเดียว
อิบนุมัสอูด (ร.ฮ) กล่าวว่า
لا يقلدن أحدكم دينه رجلا إن آمن آمن وإن كفر كفر، فإنه لا أسوة في الشر
“ คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน อย่าตักลิดตามคนหนึ่ง ในเรื่องศาสนาของเขา ถ้าเขาศรัทธา เขา(ผู้ตักลิด)ก็ศรัทธาด้วย และถ้าเขา กุฟุร เขา(ผู้ตักลิด)ก็กุฟุรด้วย ดังนั้น แท้จริง ไม่มีการเอาเป็นแบบอย่างในสิ่งที่เลว - ดูหนังสือ เอียะลามุ้ลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 176
..........
การตามในเรื่องศาสนา ต้องมีสติ ต้องรอบคอบ ไม่ใช่อาจารย์ว่าอย่างไร ครูฉันว่าอย่างไร ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถามบ้างว่ามีหลักฐานจากอัลกุรอ่านไหม จากอัสสุนนะฮ เป็นต้น อย่าเป็นแค่ "สีแก้วพลอยรุ่ง"
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/9/61

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การซิกริลละฮและเศาะลาวาตระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ

การซิกริลละฮและเศาะลาวาตระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ นั้นเป็นบิดอะฮ
อิบนุลหาจญ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 737)กล่าวว่า
فصل في الذِّكر بعد التسليمتين من صلاة التراويح :
وينبغي له أن يتجنب ما أحدثوه من الذكر بعد كل تسليمتين من صلاة التراويح ، ومن رفع أصواتهم بذلك ، والمشي على صوت واحد ؛ فإن ذلك كله من البدع ، وكذلك ينهى عن قول المؤذن بعد ذكرهم بعد التسلميتين من صلاة التراويح " الصلاة يرحمكم الله " ؛ فإنه محدث أيضاً ، والحدث في الدين ممنوع ، وخير الهدي هدي محمد صلى الله عليه وسلم ، ثم الخلفاء بعده ثم الصحابة رضوان الله عليهم أجمعين ولم يذكر عن أحد من السلف فعل ذلك فيسعنا ما وسعهم
บท เกี่ยวกับเรื่องการซิกรฺ หลังจากสองสะล่าม จากละหมาดตะรอเวียะ
และสมควรแก่เขา(อิหม่ามมัสยิด) จะต้อง ห่างใกล สิ่งที่พวกเขาประดิษบ์มันขึ้นมาใหม่ จากการซิกรฺ หลังจากสองสล่ามจากละหมาดตะรอเวียะ และการกล่าวเสียงดังด้วยดังกล่าว และการดำเนินบนเสียงเดียวกัน(กล่าวพร้อมๆกัน) เพราะแท้จริง ดังกล่าวนั้นทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของบิดอะฮ
และในทำนองเดียวกันนั้น ห้ามไม่ให้ผู้ทำหน้าที่อาซาน กล่าวหลังจากการซิกิร ของพวกเขา หลังจากสองสะล่ามละหมาดตะรอเวียะ ว่า " อัศเศาะลาตุ ยัรหะมุกุมุลลอฮ" เพราะแท้จริง มันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่นกัน และการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ถูกห้าม และทางนำที่ดีคือ ทางนำของมุหัมหมัด ศ็อลฯ หลังจากนั้น บรรดาเคาะลิฟะฮหลังจากท่านนบีมุหัมหมัด หลังจากนั้น บรรดาเศาะหาบะฮ (ร.ฎ) และ การกระทำดังกล่าวนั้น ไม่ได้ถูกระบุจากสะลัฟคนใด ดังนั้น เราเปิดกว้างในสิ่งที่พวกเขา(สะลัฟ)เปิดกว้าง - อัลมัดค็อล 2/293-294
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์(ฮ.ศ 974)กล่าวว่า
وَسُئِلَ) فَسَّحَ اللَّهُ فِي مُدَّتِهِ هَلْ تُسَنُّ الصَّلَاةُ عَلَيْهِ – صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ – بَيْنَ تَسْلِيمَاتِ التَّرَاوِيحِ أَوْ هِيَ بِدْعَةٌ يُنْهَى عَنْهَا؟
(فَأَجَابَ) بِقَوْلِهِ الصَّلَاةُ فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ. لَمْ نَرَ شَيْئًا فِي السُّنَّةِ وَلَا فِي كَلَامِ أَصْحَابِنَا فَهِيَ بِدْعَةٌ يُنْهَى عَنْهَا مَنْ يَأْتِي بِهَا بِقَصْدِ كَوْنِهَا سُنَّةً فِي هَذَا الْمَحَلِّ بِخُصُوصِهِ دُونَ مَنْ يَأْتِي بِهَا لَا بِهَذَا الْقَصْدِ كَأَنْ يَقْصِدَ أَنَّهَا فِي كُلِّ وَقْتٍ سُنَّةٌ مِنْ حَيْثُ الْعُمُومُ بَلْ جَاءَ فِي أَحَادِيثَ مَا يُؤَيِّدُ الْخُصُوصَ إلَّا أَنَّهُ غَيْرُ كَافٍ فِي الدَّلَالَةِ لِذَلِكَ
เขา(ฟัสสะฮัลลอฮุฟีมุดดะติฮิ) ถูกถาม ว่า สุนัตให้กล่าวเศาะลาวาตนบี ศ็อลฯ ระหว่างสองสะล่ามของละหมาดตะรอเวียะ หรือไม่ หรือว่าเป็นบิดอะฮ ที่ถูกห้ามจากมัน? 
(เขาอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ ตอบ) ด้วยการกล่าวของเขาว่า " การเศาะละวาต ในที่นี้ ด้วยการเจาะจงมัน เราไม่เห็นสิ่งใด ในอัสสุนนะฮ และ เราไม่เห็นในคำพูดของ บรรดาสหายของเรา(ปราชญมัซฮับชาฟิอี) เพราะมันคือ บิดอะฮ ที่ถูกห้ามจากมัน แก่ผู้ใดก็ตาม ปฏิบัติ มัน โดยเจตนา ให้มันเป็นสุนัต ในที่นี้ ด้วยการเจาะจงมัน อื่นจาก(ไม่ได้ห้าม)ผู้ที่ปฏิบัติมัน ไม่ใช่ด้วยเจตนานี้ เช่น เจตนาว่ามันคือ สุนัต ที่ถูกระบุไว้กว้างๆ ให้ทำได้ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ได้มีมาในบรรดาหะดิษ สิ่งที่สนับสนุนการเจาะจงนั้น แต่ ไม่พอเพียงในการอ้างเป็นหลักฐานสำหรับดังกล่าว - อัล-ฟะตาวาอัลฟิกฮียะฮ อัลกุบรอ 1/186
............
อิบนุหะญัร ระบุว่า ถ้า ทำการเศาะลาตวาต ระหว่างสองสะล่ามละหมาดตอรอเวียะ โดยเจตนาว่าเป็นสุนัตเป็นการเฉพาะในสถานที่นี้ ถือเป็นบิดอะฮ มีหะดิษแต่ไม่มีน้ำหนักพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

การนาศิหัตระหว่างละหมาดตะรอเวียะ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป


การนาศิหัตระหว่างละหมาดตะรอเวียะ
เราจะพบว่ามีมัสยิดหลายแห่งที่อ้างว่า เป็นมัสยิดชาวสุนนะฮ ที่จัดกิจกรรมอบรมระหว่างสองสะล่าม ละหมาดตารอเวียะ คือ เมื่อจบ 4 รอ็กอัต ก็มีการนะศีหัต ทำกันเป็นประจำคล้ายๆกับว่า เป็นสุนนะฮ ในขณะที่ พอคนอื่นอ่านเศาะลาวาตนบี เมื่อจบ 4 ร็อกอัต ก็ว่าเป็นบิดบิดอะฮ เข้าทำนองว่าแต่เขา แต่อิเหนาเป็นเอง
ชัยค์อัลบานีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
قيام رمضان شُرع فقط لزيادة التقرب إلى الله عز وجل بصلاة القيام , ولذلك فلا نرى نحن أن نجعل صلاة التراويح يخالطها شيء من العلم والتعليم ونحو ذلك , وإنما ينبغي أن تكون صلاة القيام محض العبادة , أما العلم فله زمن , لا يحدد بزمن , وإنما يراعي فيه مصلحة المتعلمين , وهذا هو الأصل وأريد من هذا أن من إتخذ عادة أن يعلم الناس ما بين كل أربع ركعات مثلا في صلاة القيام , إتخذ ذلك عادة , فتلك محدثة مخالفة للسنة
กิยามเราะมะฏอน ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อเพิ่มความใกล้ชิด ต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง ด้วยการละหมาดกิยามเราะมะฎอนเท่านั้น และเพราะเหตุดังกล่าวนั้น เราเองไม่เห็นด้วยที่เราจะนำสิ่งใดๆจากวิชาความรู้ ,การสอนและในทำนองนั้น มาปะปนกับละหมาดตะรอเวียะ และความจริง ควรจะให้การละหมาดกิยามเราะมะฏอนนั้น เป็นอิบาดะฮเพียวๆ(ไม่ปะปนกับสิ่งอื่น) และสำหรับวิชาความรู้นั้น มีเวลาสำหรับมัน มันจะไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาหนึ่งเวลาใด และความจริง ผลประโยชน์ของผู้เรียนจะถูกรักษา ในมัน และนี้คือ หลักเดิม และจากกรณีนี้ ข้าพเจ้าหมายถึง การยึดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ การสอนผู้คนในระหว่าง ทุกๆสี่ร็อกอัต ในละหมาดกิยาม(เราะมะฎอน)เป็นต้น การยึดถือดังกล่าวนั้น เป็นธรรมปฏิบัติ ดังกล่าวนั้นคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ – ดู สิลสิละฮอัลฮุดา วัลนูร หน้า 693
มีคนถามเช็คอุษัยมีน (ร.ฮ)เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า
ما حكم الموعظة بين صلاة التراويح أو في وسطها ويكون هذا دائماً؟
การอบรม ระหว่างละหมาดตะรอเวียะ หรือ ในช่วงกลางของมัน และ มีอย่างนี้ เป็นประจำ มีหุกุมว่าอย่างรไร?
ท่านอิบนุอุษัยมีนตอบว่า
أما الموعظة فلا، لأن هذا ليس من هدي السلف , لكن يعظهم إذا دعت الحاجة أو شاء بعد التراويح، وإذا قصد بهذا التعبد فهو بدعة, وعلامة قصد التعبد أن يداوم عليها كل ليلة
สำหรับการอบรม นั้น ไม่ได้ เพราะนี้ ไม่ได้มาจากทางนำของชาวสะลัฟ แต่ให้อบรมพวกเขา เมื่อมีความจำเป็นหรือมีความประสงค์ หลังจากที่ละหมาดตะรอเวียะเสร็จแล้ว และเมื่อ เจตนา ให้เป็นอิบาดะฮ ด้วยการกระทำนี้ มันคือ บิดอะฮ และ เครื่องหมายที่แสดงว่า เจตนา ให้เป็นอิบาดะฮ คือ การทำเป็นประจำทุกคืน –ลิกออุลบาบอัลมัฟตัวะห์ หน้า 118 
............
สรุปคือ การนะศีหัตระหว่าง ละหมาดตะรอเวียะ ไม่มีแบบอย่างจากสะลัฟ หากเจตนาให้เป็นอิบาดะฮ มันคือบิดอะฮ ทางที่ดี หากจะนะศีหัตบ้างเป็นครั้งคราว ควรจะทำหลังจากละหมาดตารอเวียะ เสร็จแล้ว ไม่ควรจะทำเป็นประจำ จนกลายเป็นอาดะฮ ที่ทำให้คนอาวามเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของอิบาดะฮที่พึงกระทำ 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

แปรงฟันหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยเป็นมักรูฮจริงหรือ




แปรงฟันหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยเป็นมักรูฮจริงหรือ
ส่วนหนึ่งจากความคิดเห็นของอุลามาอฺ ที่คนอาวามเอามาเป็นหุกุม(ข้อชี้ขาด)ในศาสนาคือ อ้างว่า
มักโระฮ์ถูฟันแปรงฟันสำหรับผู้ถือศีลอดหลังจากดวงอาทิตย์คล้อยแล้ว เพราะมันจะทำให้หายไปซึ่งกลิ่นปาก(ของผู้ถือศีลอด)ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นความคุณงามความดีของผู้ถือศีลอด โดยอ้างหะดิษที่ว่า
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
فَوَالَّذِي نَفْسُ مُحَمَّدٍ بِيَدِهِ لَخِلْفَةُ فَمِ الصَّائِمِ أَطْيَبُ عِنْدَ اللَّهِ مِنْ رِيحِ الْمِسْكِ
"ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ ซึ่งกลิ่นปากของผู้ถือศีลอดนั้นย่อมหอมยิ่ง ณ ที่อัลเลาะฮ์ มากกว่ากลิ่นของชมดเฉียงเสียอีก" รายงานโดยมุสลิม
.........
ความจริงหะดิษข้างต้น ไม่ใช่ให้รักษากลิ่นเหม็นของปาก เพราะเข้าใจว่าเป็นกลิ่นที่อัลลอฮทรงโปรด นี่คือความเข้าใจผิด หะดิษข้างต้น ได้บอกถึงคุณค่าของผู้ที่ถือศีลอด ว่า กลิ่นปากของผู้ที่ถือศีลอดแม้มนุษย์จะรังเกียจแต่อัลลอฮตาอาลาทรงพอพระทัย ไม่ใช่ห้ามแปรงฟัน เพื่อรักษากลิ่มเหม็นเอาไว้
อนึ่ง กลิ่นปากนั้น มาจากกลิ่นของอาหารที่อยู่ในกระเพาะ ไม่ใช่มาจากฟันที่อยู่ในปาก จะแปรงอย่างไรมันก็ไม่หมด กลิ่นมันก็ออกมาอีก
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
« لَوْلاَ أَنْ أَشُقَّ عَلَى أُمَّتِي أَوْ عَلَى النَّاسِ لَأَمَرْتُهُمْ بِالسِّوَاكِ مَعَ كُلِّ صَلاَةٍ » [متفق عليه]
“หากไม่เป็นเพราะฉันจะก่อลำบากกับประชาชาติของฉัน แน่นอนฉันจะใช้ให้พวกเขาแปรงฟันทุกๆ(เวลา)ละหมาด” [บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺและมุสลิม]
.............
หะดิษข้างต้น ส่งเสริมให้แปรงฟันทุกเวลาละหมาด ไม่ได้มีข้อยกเว้น
สัยยิด สาบิก (ร.ฮ) กล่าวว่า
ويستحب للصائم أن يتسوك أثناء الصيام، ولا فرق بين أول النهار وآخره. قال الترمذي: " ولم ير الشافعي بالسواك، أول النهار وآخره بأسا ". وكان النبي صلى الله عليه وسلم يتسوك، وهو صائم
และชอบให้ผู้ถือศีลอด แปรงฟัน ในขณะถือศีลอด และไม่ได้แบ่งแยก ระหว่างช่วงต้นของกลางวัน และช่วงท้ายของมัน อัตติรมิซีย์กล่าวว่า อัชชาฟิอี เห็นว่าไม่เป็นไร การแปรงฟันช่วงต้นของกลางวันและช่วงปลายของมัน และปรากฏว่า นบี ศ็อลฯ นั้นแปรงฟัน โดยที่ท่านกำลังถือศีลอด - ดู- ฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 459
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَبِجَمِيعِ الْأَحَادِيثِ الَّتِي رُوِيَتْ فِي مَعْنَاهُ وَفِي فَضْلِ السِّوَاكِ فَإِنَّهَا بِإِطْلَاقِهَا تَقْتَضِي إِبَاحَةَ السِّوَاكِ فِي كُلِّ وَقْتٍ وَعَلَى كُلِّ حَالٍ وَهُوَ الْأَصَحُّ وَالْأَقْوَى
และทั้งหมดของบรรดาหะดิษ ที่ถูกรายงาน ในความหมายของมันและในคุณค่าของการแปรงฟัน แท้จริงมัน(การแปรงฟัน) ด้วยการกล่าวมันไว้กว้างๆ(ไม่ได้เจาะจง) หมายถึง อนุญาตให้แปรงฟันทุกเวลา และบนทุกสภาพการณ์ และมันคือ ทัศนะที่ถูกต้องและแข็งแรงที่สุด - ตุหฟะตุลอะฮวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 418 (ดูสำเนาที่แนบมา)
..................
เพราะฉะนั้น ตามทัศนะที่ถูกต้องและแข็งแรงที่สุดคือ ผู้ถือศีลอุด อนุญาตให้ แปรงฟันช่วงใหนก็ได้ในตอนกลางวัน ไม่ได้เป็นมักรูฮแต่อย่างใด ไม่ใช่ปล่อยไว้ให้ปากเหม็นไม่ยอมแปรงฟันโดยอ้างว่าอัลลอฮชอบ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/5/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อย่าเป็นโต๊ะครูอาหารตามสั่ง





อย่าเป็นโต๊ะครูอาหารตามสั่ง
การเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา และสอนศาสนา แล้วถ้าสอนตามใจลูกศิษย์หรือตามใจคนอาวาม คนอาวามชอบแบบใหนก็ปรุงให้ได้ตามใจคนสั่ง แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนขายอาหารตามสั่ง แบบนี้แล้วศาสนาจะเหลืออะไร
และต้องไม่ลืมว่า เราไม่สามารถทำอะไรให้คนทุกคนพอใจได้หรอก ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว คือ สิ่งที่อัลลอฮตาอาลาและรอซูลของพระองค์ได้บัญญัติไว้
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ مُحَمَّدٍ الْعُثْمَانِيُّ ، قَالَ : سَمِعْتُ أَبَا بَكْرٍ النَّيْسَابُورِيَّ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : قَالَ الشَّافِعِيُّ : " يَا رَبِيعُ ، رِضَى النَّاسِ غَايَةٌ لا تُدْرَكُ ، فَعَلَيْكَ بِمَا يُصْلِحُكَ فَالْزَمْهُ ، فَإِنَّهُ لا سَبِيلَ إِلَى رِضَاهُمْ
คำแปลตัวบท
อัชชาฟิอีย์ได้กล่าวว่า โอ้รอเบียะ ความพอใจของมนุษย์นั้น คือเป้าหมายที่ยั่งไม่ถึง ดังนั้น ท่านจงยึด ด้วยสิ่งที่เกิดผลดีแก่ท่าน แล้วจงยึดมัน เพราะแท้จริง ไม่มีหนทางใด ที่จะไปถึงความพอใจของพวกเขาได้ - หิลยะฮอัลเอาลียาอ ของ อบีนุอัยมฺ หะดิษหมายเลข 13745
..........
ความหมายคือ การที่จะทำให้มนุษย์ถูกใจหรือพอใจทั้งหมดนั้นยาก เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เห็นว่ามีประโยชน์ มีผลดี ก็จงยึดสิ่งนั้น เพราะไม่มีทางที่จะให้มนุษย์ทุกคนพอใจ ได้
อัลลอฮตาอาลาได้สอนท่านนบี ศอ็ลฯ ว่า
ثُمَّ جَعَلْنَاكَ عَلَىٰ شَرِيعَةٍ مِّنَ الْأَمْرِ فَاتَّبِعْهَا وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَ الَّذِينَ لَا يَعْلَمُونَ
แล้วเราได้ตั้งเจ้าให้อยู่บนแนวทางหนึ่ง ในเรื่องของศาสนาที่แท้จริง ดังนั้นจงปฏิบัติตามแนวทางนั้น และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้ไม่รู้- อัลญาษียะฮ/18
.............
อัลลอฮตาอาลาสั่งให้ยืดหยัดตามคำสอน อย่าตามอารมณ์ของบรรดาผู้ที่ไม่รู้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/5/61

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วาทกรรมบิดเบือนอะกีดะฮและกล่าวหาวะฮบีย์เป็นมุชับบิฮะฮ


วาทกรรมบิดเบือนอะกีดะฮและกล่าวหาวะฮบีย์เป็นมุชับบิฮะฮ
Matty Ibnufatim Hamady
9 พฤษภาคม เวลา 14:10 น. •
...
พวกมุชับบีฮะห์ วาฮาบียะห์ ยึดโองการ ข้างล่างนี้ ว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่อยู่ด้านบน...
تعرج الملائكة والروح إليه في يوم كان مقداره خمسين ألف سنة
คนเหล่านี้ อ้างคำอธิบายของท่าน อิบนุ ญะรีรเเล้ว ไปเข้าใจเอง โดยอ้างว่า
يقول تعالى ذكره : تصعد الملائكة والروح - وهو جبريل عليه السلام - إليه يعني إلى الله جل وعز ، والهاء في قوله : ( إليه ) عائدة على اسم الله
ความว่า คำว่า اليه คือ ไปยังอัลลอฮ์ คือ บรรดามลาอีกัต เเละญิบรีล ขึ้นไปหาอัลลอฮ์
เเต่วาฮาบีย์ อ้างไม่หมดคำกล่าวของท่าน อิบนุ ญะรีร ว่า คำว่า الى الله หมายถึงอะไร..?
ท่านอธิบายต่อว่า...
يقول : كان مقدار صعودهم ذلك في يوم لغيرهم من الخلق خمسين ألف سنة ، وذلك أنها تصعد من منتهى أمره من أسفل الأرض السابعة إلى منتهى أمره ، من فوق السماوات السبع
คำว่า الى الله คือ الى منتهى امر الله หมายถึง ไปยังที่สิ้นสุดของคำสั่งหรือการงานของอัลลอฮ์ จากบนฟากฟ้าทั้งเจ็ด ..
@@@@@
ชี้แจง
สันดานของทาสแนวคิดญะฮมียะฮ หนีไม่พ้นการกล่าวหาคนที่พวกมันอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ ว่า เป็น พวกมุชับบิฮะฮ เพียงเพราะไม่ใช้ตรรกเน่าๆเหมือนมันตีความอายาตสิฟาต เพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
การยืนยันความหมายตามตัวบทในทางภาษา โดยไม่เปรียบกับมัคลูก ปราชญสะลัฟยืนยันว่า ไม่ใช่การตัชบีฮ (การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค และเครื่องหมายของญะฮมียะฮคือ การกล่าวหาผู้ที่ยึดตามตัวบทว่า “เป็นมุชับบิฮะฮ” –วัลอิยาซุบิลละฮ
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ (ร.ฮ)ปราชญยุคเคาะลัฟ กล่าวว่า
وَكَذَلِكَ قَالَ خَلْقٌ كَثِيرٌ مِنْ أَئِمَّةِ السَّلَفِ : عَلَامَةُ الْجَهْمِيَّةِ تَسْمِيَتُهُمْ أَهْلَ السُّنَّةِ مُشَبِّهَةً ، فَإِنَّهُ مَا مِنْ أَحَدٍ مِنْ نُفَاةِ شَيْءٍ مِنَ الْأَسْمَاءِ وَالصِّفَاتِ إِلَّا يُسَمِّي الْمُثْبِتَ لَهَا مُشَبِّهًا ، ..
และในทำนองดังกล่าวนั้น มนุษย์จำนวนมากจากบรรดาผู้นำยุคสะลัฟ ได้กล่าวว่า "เครื่องหมายของญะฮมียะฮ นั้น พวกเขาจะเรียกชื่อชาวสุนนะฮว่า "มุชับบิฮะฮ(ผู้ที่เปรียบพระเจ้ากับมัคลูค) เพราะแท้จริง ไม่มีคนใด จากผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดๆจากบรรดาพระนามและคุณลักษณะ นอกจาก ผู้ที่ให้การรับรองมันจะถูกเรียกว่า "มุชับบะฮะฮ" - ดู ชัรหอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 86
............
กล่าวคือ เครื่องหมายของพวกญะฮมียะฮ นั้นจะฉายาหรือเรียกอะฮลุสสุนนะฮ ที่ยืนยันหรือรับรองบรรดาพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ โดยไม่ตีความ ว่า พวกมุชับบิฮะฮ
นาย Matty Ibnufatim Hamady ยังโกหกบิดเบื่อน อะกีดะฮอิบนุญะรีรต่อว่า
เเต่วาฮาบีย์ อ้างไม่หมดคำกล่าวของท่าน อิบนุ ญะรีร ว่า คำว่า الى الله หมายถึงอะไร..?
ท่านอธิบายต่อว่า...
يقول : كان مقدار صعودهم ذلك في يوم لغيرهم من الخلق خمسين ألف سنة ، وذلك أنها تصعد من منتهى أمره من أسفل الأرض السابعة إلى منتهى أمره ، من فوق السماوات السبع
คำว่า الى الله คือ الى منتهى امر الله หมายถึง ไปยังที่สิ้นสุดของคำสั่งหรือการงานของอัลลอฮ์ จากบนฟากฟ้าทั้งเจ็ด ..
.........
ขอตอบว่า
1.อิหม่ามอิบนุญะรีร ยืนยันว่า มลาอิกะฮขึ้นไปยังอัลลอฮ ชัดเจนคือ
تَصْعَد الْمَلَائِكَة وَالرُّوح , وَهُوَ جِبْرِيل عَلَيْهِ السَّلَام إِلَيْهِ , يَعْنِي إِلَى اللَّه جَلَّ وَعَزَّ ; وَالْهَاء فِي قَوْله { إِلَيْهِ } عَائِدَة عَلَى اسْم اللَّه
มลาอิกะฮและอัรรูหฺ ขึ้นไป และเขาคือ ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ยังพระองค์ หมายถึง ไปยังอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง และ อักษรฮา ในคำตรัสที่ว่า(อิลัยฮิ) กลับไปยังพระนามของอัลลอฮ (หมายถึงเป็นสรรพนามแทนชื่ออัลลอฮ) – ดู – ตัฟสีรอัฏเฎาะบะรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4
2. คำอธิบายต่อมาที่ว่า
( فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ ) يَقُولُ : كَانَ مِقْدَارُ صُعُودِهِمْ ذَلِكَ فِي يَوْمٍ لِغَيْرِهِمْ مِنَ الْخَلْقِ خَمْسِينَ أَلْفَ سَنَةٍ ، وَذَلِكَ أَنَّهَا تَصْعَدُ مِنْ مُنْتَهَى أَمْرِهِ مِنْ أَسْفَلِ الْأَرْضِ السَّابِعَةِ إِلَى مُنْتَهَى أَمْرِهِ ، مِنْ فَوْقِ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ .
(ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี ) กล่าวคือ ระยะของการขึ้นของพวกเขา ดังกล่าวนั้น ในวันหนึ่ง สำหรับผู้อื่นจากพวกเขาจากมัคลูค เท่ากับ ห้าหมื่นปี และดังกล่าวนั้น แท้จริงพวกเขา(มลาอิกะฮและญิบรีล)ขึ้นจากปลายสุดของกิจการงานของพระองค์ จากที่ต่ำสุดของ แผ่นดินชั้นที่เจ็ด จนถึงปลายสุดของกิจการงานของพระองค์ จากเบื้องบนบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด
.........
จุดหมายปลายทางแห่งกิจการของอัลลอฮ อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด เป็นสิ่งที่แสดงชัดเจนว่าอัลลอฮอยู่เบื้องสูง แล้วมลาอิกะฮขึ้นไปหาพระองค์ มาดูหลักฐานสนับสนุนยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ที่มลาอิกะฮ ,การงานที่ดีและกิจการต่างๆ ขึ้นไปยังพระองค์ เช่น
ท่านอิหม่ามบุคอรีได้กล่าวว่า
عن سعيد بن يسار عن أبي هريرة عن النبي صلى الله عليه وسلم ولا يصعد إلى الله إلا الطيب
รายงานจากสะอีด บิน ยะสาร จากอบีฮุรัยเราะฮ จากนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมว่า “ จะไม่ถูกนำขึ้นไปยังอัลลอฮ นอกจาก สิ่งที่ดีเท่านั้น – ดูเศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 4 หะดิษหมายเลข 7430
وَقَالَ مُجَاهِدٌ الْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُ الْكَلِمَ الطَّيِّبَ يُقَالُ ذِي الْمَعَارِجِ الْمَلَائِكَةُ تَعْرُجُ إِلَى اللَّهِ
และมุญาฮิด ได้กล่าวว่า การงานที่ดี ยกบรรดาคำพูดที่ดี พระองค์ถูกเรียกว่า ซิลมะอาริจญ(ผู้เป็นเจ้าของแห่งทางขึ้นสู่เบื้องสูง) คือ มลาอิกะฮขึ้นไปยังอัลลอฮ - ดู
เศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 4 หน้า 389
และอายะฮอีกอายะฮหนึ่งจากหลายๆอายะฮ ที่แสดงถึงการอยู่เบื้องของอัลลอฮคือ
يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُهُ أَلْفَ سَنَةٍ مِّمَّا تَعُدُّونَ
พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตามที่พวกเจ้านับ –อัสสัจญดะฮ /5
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) ได้กล่าวทัศนะต่างๆ ที่อธิบายอายะฮข้างต้น แล้วท่านได้สรุปว่า
وَأَوْلَى الْأَقْوَالِ فِي ذَلِكَ عِنْدِي بِالصَّوَابِ قَوْلُ مَنْ قَالَ : مَعْنَاهُ : يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ فِي يَوْمٍ كَانَ مِقْدَارُ ذَلِكَ الْيَوْمِ فِي عُرُوجِ ذَلِكَ الْأَمْرِ إِلَيْهِ
และทัศนะที่ถูกต้องที่สุดของบรรดาทัศนะ ต่างๆในทัศนะข้าพเจ้า ในเรื่องดังกล่าวคือ ทัศนะของผู้ที่ กล่าวว่า “ความหมายของมัน คือ พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้น มันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของวันดังกล่าวนั้น ในการขึ้นของกิจการดังกล่าวนั้น ไปยังพระองค์ – ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ อธิบายอายะฮ ที่ 5 ซูเราะฮอัสสัจญดะฮ
...........
อิหม่ามอิบนุญะรีร (ร.ฮ)ไม่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านได้อธิบายยืนยันว่า มลาอิกะฮและญิบรีล ขึ้นไปยังอัลลอฮ ในการอรรถาธิบาย ซูเราะฮอัลมะอาริจญ์ อายะฮที่ 4 และในอายะฮ ที่ 5 ซูเราะฮอัสสัจญดะฮ ท่านอิบนุญะรีร ยืนยันว่า กิจการนั้น ขึ้นไปยังอัลลอฮ คำว่า ขึ้นไป แสดงถึง เป้าหมายอยู่เบื้องสูง คนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นไม่เข้าใจ
หยุดโกหกบิดเบือนใส่ร้ายคนที่ถูกฉายาให้เป็นวะฮบีย์ได้แล้วครับ คุณ Matty Ibnufatim Hamady
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/5/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการใช้ตรรกอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ตัวอย่างการใช้ตรรกอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ เกินจากสิ่งที่อัลลอฮและนบีได้อธิบายไว้
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ 
Cr:Matty Ibnufatim Hamady
.
ท่านอีหม่าม อัลบัยฮะกีย์ รอฮิมาฮุลลอฮ์ ได้ให้คุณลักษณะของอัลลอฮ์ ดังนี้
1 .พระองค์ไม่มีรูปร่าง
2. พระองค์ไม่ใช่ เญาฮัร
3. พระองค์ไม่ใช่ อะรอฎ
4. พระองค์ไม่นั่งบนอารัช เหมือนกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 
5. พระองค์ไม่ต้องการสถานที่
6. พระองค์ไม่เคลื่อนไหว เเละนิ่ง
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือความคิดเห็นที่อธิบายเกินเลยจากสิ่งที่อัลลอฮและนบี ศอ็ลฯได้อธิบายไว้ เพราะหลักการของชาวสะลัฟคือ การยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามตัวบทที่มีมา พวกเขาจะไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร การปฏิเสธเกี่ยวกับอัลลอฮ ว่า
1 .พระองค์ไม่มีรูปร่าง
2. พระองค์ไม่ใช่ เญาฮัร
3. พระองค์ไม่ใช่ อะรอฎ
4. พระองค์ไม่นั่งบนอารัช เหมือนกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 
5. พระองค์ไม่ต้องการสถานที่
6. พระองค์ไม่เคลื่อนไหว เเละนิ่ง
ไม่ปรากฏในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ว่าในรูปของการยืนยัน(อิษบาต)หรือกาปฏิเสธ(นัฟยุน)ก็ไม่มี
อัลลอฮตรัสว่า "ทรงอยู่สูง(อิสติวาอ) บนบัลลังก์" เราก็เชื่อตามนั้น โดยไม่ไปเปรียบกับมัคลูค เพราะทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องมโน และใช้ตรรกสร้างวาทกรรมเพิ่มเติม
อิบนุคุซัยมะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
فنحن وجميع علمائنا ، من أهل الحجاز ، وتهامة ، واليمن ، والعراق ، والشام ، ومصر ، مذهبنا : أنَّا نثبت لله ما أثبته الله لنفسه ، نقرُّ بذلك بألسنتنا ، ونصدِّق ذلك بقلوبنا ، من غير أن نشبِّه وَجْه خالقنا بوَجْه أحدٍ من المخلوقين ، عزَّ ربُّنا أن يشبه المخلوقين ، وجلَّ ربُّنا عن مقالة المعطلين 
.
ดังนั้น เราและบรรดานักวิชาการของพวกเราจากชาวฮิญาซ ,ตะฮามะฮ,เยเมน,อิรัก,ชามและอิยิปต์ มัซฮับของพวกเรา(มัซฮับชาฟิอีย)คือ เรารับรองสิ่งที่อัลลอฮทรงรับรองให้แก่ตัวของพระองค์เอง ,เรายืนยันดังกล่าวด้วยวาจาของพวกเรา และเราเชื่อดังกล่าวด้วยหัวใจของพวกเรา โดยไม่เปรียบเทียบพระพักต์ของพระผู้สร้างของเรา ว่าคล้ายคลึงกับใบหน้าคนหนึ่งคนใด จากบรรดามัคลูค พระผู้อภิบาลของเราทรงบริสุทธิ์จากการคล้ายคลึงกับบรรดามัคลูค ,พระเจ้าของเรา ทรงมีเกียรติกว่าการที่ทรงคล้ายคลึงกับบรรดามัคลูค(บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง และทรงบริสุทธิ์จากคำพูดของบรรดาผู้ปฏิเสธคุณลักษณะ(ของอัลลอฮ)
- ดู กิตาบุตเตาฮีด ของอิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 38
การยืนยันสิฟาตตามตัวบทที่มีมาไม่ใช่การตัชบีฮ
อิบนุอับดุลบิร อัลมาลิกีย์ (ฮ.ศ 463) กล่าวว่า
ومُحالٌ أن يكون مَن قال عن اللهِ ما هو في كتابه منصوصٌ مُشبهًا إذا لم يُكيّف شيئا، وأقرّ أنه ليس كمثله شيء
เป็นไปไม่ได้ว่า ผู้ที่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ ต่อสิ่งที่ถูกล่าวเป็นตัวบทในคัมภีร์ของพระองค์นั้น เป็นมุชับบะฮะฮ(เป็นผู้ที่เชื่อว่าสิฟัตอัลลอฮคล้ายคลึงกับสิฟัตมัคลูค) เมื่อพระองค์ไม่ถูกพรรณารูปแบบว่าเป็นอย่างไรแม้แต่น้อย และเขาก็ยอมรับ ว่าแท้จริง พระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ - อัลอิสติซกัร ของ อับดุลบิร เล่ม 8 หน้า 150
...........
คนที่กล่าวเกี่ยวสิฟัตอัลลอฮ ตามตัวบทในอัลกุรอ่าน โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการและเขาเชื่อว่าอัลลอฮนั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ไม่ถือว่า เขาเป็น พวกมุชับบิฮะฮ(ผู้เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค) ตามที่พวกตรรกนิยมที่เดินตามแนวคิดนักวิภาษวิทยากล่าวอ้าง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/2/61
 
หลักฐานอ้างอิง
 
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 
 
 
 

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

โต้แย้งหลักฐานของละแบรับจ้างเฝ้ากุโบร์


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ


โต้แย้งหลักฐานของละแบรับจ้างเฝ้ากุโบร์
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
จากหลักฐานของท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวอธิบายว่า "บรรดาอุลามาอ์ถือว่าเป็นสุนัต กับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรขณะที่เฝ้ากุโบร์เนื่องสาเหตุของหะดิษนี้ เพราะว่าเมื่อการบรรเทาโทษยังมีหวังจากการตัสบีหฺของกิ่งอินทผาลัมแล้ว แน่นอนว่า การอ่านอัลกุรอานย่อมมีความหวังมากกว่า" ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 204
อิบนุ อบี ชัยบะฮ์ ได้กล่าวรายงานไว้ว่า
حدثنا حفص بن غياث، عن المجالد، عن الشعبى قال : كانت الأنصار يقرأون عند الميت بسورة البقرة
"ได้เล่ากับเรา โดยหัฟซฺ บิน ฆอยยาษ จาก อัลมุญาลิด จากท่านอัชชะอฺบีย์ ท่านกล่าวว่า "บรรดาชาวอันซอร ได้ทำการอ่านอัลกุรอาน ที่มัยยิด ด้วยกับซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ " ดู อัลมุซันนัฟ เล่ม 4 หน้า 236
และท่านค๊อลลาลได้รายงานจากสายรายงานเดียวกัน ด้วยคำว่า
كانت الأنصار إذا مات لهم ميت اختلفوا غلى قبره يقرأون عنده القرأن
"บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น" ดู หนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126
ในสายรายงานดังกล่าว มีท่าน "มุญาลิด บิน สะอีด" ซึ่งเขาผู้นี้ หะดิษดี โดยมีบรรดาสายรายงานและหะดิษมาใช้ในการสนับสนุนและมีน้ำหนัก ท่านมุสลิมได้นำเขามาเป็นผู้รายงานหะดิษไว้ในซอฮิหฺของท่านมุสลิมด้วย โดยรายงานพร้อมกับคนอื่น ไว้ใน เรื่อง ฏอล๊าก บท ผู้หญิงที่ถูกหย่าขาด ที่ไม่มีค่าเลี้ยงดูให้แก่นาง
@@@@
ชี้แจง
การอ้างนั้นอ้างนี้ แล้วเอามาชงเป็นหลักฐานอ่านอัลกุรอ่านให้คนตายและเฝ้ากุโบร์ ขอถามว่า คุณเข้าใจคำว่าหลักฐานทางศาสนาหรือไม่
อิบาดะฮเป็นเรื่องที่ต้องหยุดอยู่ที่คำสั่งใช้(التوقيفية) ที่มาจากอัลลอฮตาอาลา ผู้เป็นเจ้าของศาสนาและศาสนทูตของพระองค์ ที่ถูกส่งมาอรรถาธิบายคำสอนอัลลอฮและเป็นแบบอย่างแก่ประชาชาติ(อุมมะฮ)ของเขา "แล้วเฝ้ากุโบร์เพื่ออ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตาย เป็นแบบอย่างของใคร?
أَخْبَرَنِي أَبُو يَحْيَى النَّاقِدُ ، قَالَ : حَدَّثَنَا سُفْيَانُ بْنُ وَكِيعٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا حَفْصٌ ، عَنْ مُجَالِدٍ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ ، قَالَ : " كَانَتِ الأَنْصَارُ إِذَا مَاتَ لَهُمُ الْمَيِّتُ اخْتَلَفُوا إِلَى قَبْرِهِ يَقْرَءُونَ عِنْدَهُ الْقُرْآنَ "
คำแปลตัวบท
บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น
........
หะดิษข้างต้น เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้เพราะ
1. หะดิษของต้นเป็นหะดิษมักฏัวะ(مقطوع )หะดิษที่เป็นคำพูดของตาบิอีน เรียกในทางวิชาหะดิษว่า เป็นหะดิษ มักฏูอฺ(حديث مقطوع )
หุกุมเกี่ยวกับหะดิษมักฏูอฺคือ
المقطوع لا يحتج به في شيئ من الأحكام الشرعية أي ولو صحت نسبته لقائله لأنه كلام أوفعل أحد المسلمين
หะดิษมักฎูอฺ จะเอามาเป็นหลักฐานอ้างอิงในด้านบทบัญญัติศาสนาไม่ได้ ถึงแม้ว่า จะอ้างอิงหะดิษอย่างถูกต้อง แก่ผู้ที่กล่าวก็ตาม เพราะความจริงมันเป็นเพียงคำพูด หรือ การกระทำ ของคนหนึ่งจากบรรดามุสลิมทั้งหลายเท่านั้น – ดู ตัยสีรมุศเฏาะละหิลหะดิษ ของ ดร.มะหมูด อัฏเฏาะหาน หน้า 133
2.ผู้รายงานหะดิษนี้คนหนึ่งชื่อ มุญาลิด(مجالد) หรือ มุญาลิด บิน สะอีด อัลกุฟีย์ อัลฮัมดาอีย์ ผู้นี้ มีนักหะดิษวิจารณ์ดังนี้
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
قَالَ الْبُخَارِيُّ : كَانَ يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ يُضَعِّفُهُ . وَكَانَ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ لَا يَرْوِي لَهُ شَيْئًا . وَكَانَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ لَا يَرَاهُ شَيْئًا . يَقُولُ : لَيْسَ بِشَيْءٍ
อัลบุคอรีย์ ได้กล่าวว่า " ปรากฏว่า ยะหยา บิน สะอีด เห็นว่าเขาเฎาะอีฟ (อ่อนหลักฐาน) และ อับดุรเราะหมาน บิน มะฮดีย์ จะไม่รายงานสิ่งใดๆของเขา และ อะหมัด บิน หัมบัล จะไม่เห็นว่าเขามีสิ่งใดๆ ,เขากล่าวว่า เขาไม่มีสิ่งใดเลย (หมายถึง บ่งบอกว่าเฎาะอีฟมาก)
وَقَالَ أَبُو حَاتِمٍ : لَا يُحْتَجُّ بِهِ
และอบูหาติม ได้กล่าวว่า จะไม่ถูกนำมาอ้างเป็นหลักฐานด้วยเขาผู้นี้
وَقَالَ النَّسَائِيُّ : ثِقَةٌ . وَقَالَ مَرَّةً : لَيْسَ بِالْقَوِيِّ
และอันนะสาอีย์ ได้กล่าวว่า เชื่อถือได้ และ เขาได้กล่าวครั้งหนึ่งว่า "ไม่แข็งแรง"
وَقَالَ الدَّارَقُطْنِيُّ : ضَعِيفٌ
และอัดดารุลกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า "เฎาะอีฟ
-ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ใน สิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 6/285-287
3. ถ้าหลักฐานที่ละแบราชสีห์อ้างคือ บทบัญญัติของศาสนา แน่นอนบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ และบรรดาปราชญ์ทั้งหลายคงไม่มีใครคัดค้านแน่นอน แต่เพราะหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่หลักฐานทางศาสนบัญญัติ ที่จะนำมาเป็นหุกุมว่าเป็นสุนัตในศาสนาได้ จึงมีนักวิชาการมากมากมายไม่นำมาเป็นหลักฐาน และคัดค้านการอ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพและเฝ้ากุโบร์ เพื่ออุทิศบุญแก่ผู้ตาย
อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
ولم يكن من هديه صلى الله عليه وسلم أن يجلس يقرأ عند القبر، ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم، وأما الحديث الذي رواه الطبراني في معجمه من حديث أبي أمامة فهذا حديث لا يصح رفعه.. ولم يكن من هديه أن يجتمع للغداء، ويقرأ له القرآن، لا عند قبره ولا غيره، وكل هذا بدعة حادثة مكروهة
ไม่ปรากฏจากคำแนะนำของท่านนบี ศ็อลฯ ว่า ให้นั่งอ่านอัลกุรอ่านบนหลุมศพและอ่านตัลกีนให้แก่มัยยิต ดังที่บรรดาผู้คนทำกันในปัจจุบัน และสำหรับหะดิษที่รายงานโดย อัฏฏอบรอนีย์ ใน มุอฺญัม ของเขา จากหะดิษอบีอุมามะฮนั้น หะดิษนี้ ไม่เศาะเฮียะ ในการสืบไปถึงนบี และไม่ปรากฏจากการแนะนำของท่านนบี ศอ็ลฯการที่ชุมนุมกันรับประทานอาหาร และอ่านอัลกุรอ่านอุทิศให้ผู้ตาย ไม่มี ณ ที่หลุมศพของมัยยิตและไม่มี ณ ที่อื่นจากมัน และทั้งหมดนี้ เป็นบิดอะฮ ที่เป็นสิ่งใหม่ ที่น่ารังเกียจ(มักรูฮ) - ซาดุลมะอาด เล่ม 1 หน้า 503-504โดยสรุป
4. ประเด็นขัดแย้ง มีกติกาจากอัลลอฮ ให้นำไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเป็นตัวตัดสิน ทัศนะใดตรงกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ นั้นคือทัศนะที่ถูกต้อง(แต่ละแบไม่กล้า และไม่ยอมรับ)
وقوله: { فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ } قال مجاهد وغير واحد من السلف: أي: إلى كتاب الله وسنة رسوله.
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำมันกลับไปยังอัลลอฮและรอซูล) มุญาฮิดและหลายคน จากชาวสะลัฟ ได้กล่าวว่า “หมายถึงกลับไปยังคัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ –ตัฟสีรอิบนุกะษีร 2/345
..............
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ขอให้พี่น้องมุสลิมทุกท่าน ได้พิจารณา เพราะเรื่องอิบาดะฮในศาสนาไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใดที่จะกำหนดขึ้นเองได้ แต่ทุกคนต้องหยุดอยู่คำสั่งของอัลลอฮและรอซูล
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122
..........
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/2/61

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ใครบอกว่าเป็นหลักฐานฉลองวันเกิดนบี




ใครบอกว่าเป็นหลักฐานฉลองวันเกิดนบี
มีการนำอะษัรต่อไปนี้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการเทิดเกียรตินบี ด้วยการเฉลิมฉลองวันเกิด(ทำเมาลิด) คือ
.ในหนังสือรวมพลคนรักปอเนาะอ้างว่า อิบนุกะษีร กล่าวใน อัลบิดายะฮ วัลนิฮายะฮ หน้า 266-267 (ไม่ระบุเล่มที่) ว่า
أن إبليس رن أربع رنات: حين لُعن، وحين أُهبط، و حين ولد رسول الله صلى الله عليه وسلم، وحين نزلت الفاتحة
แท้จริง อิบลิส ร้องครวญคราง 4 ครั้ง เมื่อมันโดนสาปแช่ง,เมื่อมันโดนขับไล่ ,เมื่อรซูลุลละฮ ศอ็ลฯถูกกำเนิด และเมื่อซูเราะฮอัลฟาติหะฮ ถูกประทานลงมา .
........
ข้างต้น ในอัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮ ฉบับตรวจทานของ ดร.อับดุลมุหฺซิน อัตตุรกีย์ อยู่ใน เล่ม 3 หน้า 291
.
และปรากฏใน หิลยะฮอัลเอาลิยาอฺ เล่ม 3 หน้า 291 ว่า
حدثنا محمد بن معمر ثنا يوسف القاضي ثنا أبو الربيع ثنا جرير بن عبدالحميد عن منصور عن مجاهد قال رن إبليس أربعا حين لعن وحين أهبط وحين بعث النبي صلى الله عليه و سلم وقد بعث على فترة من الرسل وحين أنزلت الحمد لله رب العالمين
. 
คำแปลตัวบท
จากมุญาฮิด เขากล่าวว่า "แท้จริง อิบลิส (ขออัลลอฮทรงสาปแช่งแก่เขา) มัน ร้องครวญคราง 4 ครั้ง เ เมื่อมันโดนสาปแช่ง,เมื่อมันโดนขับไล่ออกจากสวรรค์ ,เมื่อท่านนบี
ศอ็ลฯถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี และแท้จริงท่านนบีถูกแต่งตั้ง(ให้เป็นนบี) บน ช่วงเวลาที่ว่างเว้น จากบรรดารอซูล และเมื่อ"อัลหัมดุลิลลาฮิรับบิลอาละมีน ถูกประทานลงมา .
.............
1.อะษัร ข้างต้น ไม่ใช่หลักฐานที่นำมาอ้างการเทิดเกียรตินบีด้วยการเฉลิมฉลองวันเกิด เพราะไม่มีสะลัฟคนใดเอาอะษัร จากท่านมุญาฮิดเลย
2. รายงานจากอัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮ ระบุข้อความ
و حين ولد رسول الله صلى الله عليه وسلم
และเมื่อรซูลุลลอฮ ศ็อลฯถูกกำเนิด
แต่ใน รายงานของอบูนุอัยมฺ ในหิลยะฮอัลเอาลิยาอฺ มีข้อความว่า
وحين بعث النبي صلى الله عليه و سلم
เมื่อท่านนบี ศอ็ลฯถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี (และระบุไว้ในตำราอีกหลายเล่ม รวมถึง อัลญาเมียะ ลิอะหกามอัลกุรอ่านของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ในตัฟสีรซูเราะฮอัลฟาติหะฮด้วย)
จึงถามคุณ อับดุลกอเดร มัสแหละว่า "ตกลงจะฉลองวันเกิดหรือฉลองวันที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีครับ ?
3.ข้างต้นเป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่หะดิษนบี ศ็อ็ลฯ ไม่ใช่หลักฐานทางศาสนบัญญัติ บางคนบอกว่า เป็นเรื่องจากชาวยิว
มีผู้วิจารณ์ว่า
وإسناده صحيح ـ وجرير ثقة صحيح الكتاب ، لكن قيل : كان فى آخر عمره يهم من حفظه ـ والأثر من الإسرائليات ، والله أعلم.
และสายรายงานของมันถูกต้อง และญะรีร เชื่อถือได้ เศาะเฮียะอัลกิตาบ แต่ ได้ถูกกล่าวว่า ในบั้นปลายชีวิตของเขา ถูกตำหนิ เกี่ยวกับความจำของเขา และอัลอะษัรนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอัลอิสรออีลิยาต(เป็นเรื่องเล่าของชาวยิว) วัลลอฮุอะลัม
การเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พ้นญานวิสัยของมนุษย์(الغيب )มันต้องชัดเจน ต้องอ้างรายงานเศาะเฮียะจาก นบี ศอ็ลฯเพราะท่านเป็นผู้รับวะหยูจากอัลลอฮ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ได้นอกจากผู้ที่ได้รับวะหยูจากอัลลอฮ แล้วมีหะดิษบทใดมาสนับสนุนหรือ และสะลัฟท่านใดเอามาเป็นหลักฐานเทิดเกียรตินบีโดยการฉลองวันเกิดนบีหรือ? 
 
 والله أعلم بالصواب
17/2/61
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิชากาลาม(วิภาษวิทยา) กับอะฮลุลบิดอะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วิชากาลาม(วิภาษวิทยา) กับอะฮลุลบิดอะฮ
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์(ร.ฮ)รายงานว่า
وَقَالَ مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ : إِيَّاكُمْ وَالْبِدَعَ ، قِيلَ : يَا أَبَا عَبْدِ اللَّهِ ، وَمَا الْبِدَعُ ؟ قَالَ : أَهْلُ الْبِدَعِ الَّذِينَ يَتَكَلَّمُونَ فِي أَسْمَاءِ اللَّهِ وَصِفَاتِهِ وَكَلامِهِ وَعِلْمِهِ وَقُدْرَتِهِ ، وَلا يَسْكُتُونَ عَمَّا سَكَتَ عَنْهُ الصَّحَابَةُ وَالتَّابِعُونَ لَهُمْ بِإِحْسَانٍ.
และมาลิก บิน อะนัส กล่าวว่า "พวกท่านจงระวัง บรรดาบิดอะฮ ,ได้ถูกกล่าว(แก่อิหม่ามมาลิก)ว่า โอ้อบูอับดุลลอฮ และอะไรคือ บรรดาบิดอะฮ? เขากล่าวว่า "อะฮลุลบิดอะฮ คือบรรดาผู้ที่วิภาษ ในเรื่องเกี่ยวกับ บรรดาพระนามของอัลลอฮ ,บรรดาสิฟาตของพระองค์,คำพูดของพระองค์ ,ความรู้ของพระองค์ และ พลานุภาพของพระองค์ และพวกเขาไม่นิ่งเงียบ(หยุด) จากสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน(บรรดผู้ที่เจริญรอยตาม)พวกเขาด้วยความดี 
.............
อะฮลุลบิดอะฮ จะใช้ตรรกวิภาษคุณลักษณะของอัลลอฮ เพื่อให้สอดรับกับปัญญา พวกเขาจะไม่หยุดหรือนิ่งเงียบ อยู่ที่สิ่งซึ่ง 
บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน ได้นิ่งเงียบ หมายถึง แนวทางของสะลัฟที่หยุดที่คำพูดอัลลอฮและรอซูล พวกเขาจะไม่บิดเบือนเปลี่ยนแปลงด้วยการตีความเกินเลยจากสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลได้อธิบายไว้
رَوَى عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مَهْدِيٍّ ، عَنْ مَالِكٍ : لَوْ كَانَ الْكَلامُ عِلْمًا ، لَتَكَلَّمَ فِيهِ الصَّحَابَةُ وَالتَّابِعُونَ ، كَمَا تَكَلَّمُوا فِي الأَحْكَامِ وَالشَّرَائِعِ ، وَلَكِنَّهُ بَاطِلٌ يَدُلُّ عَلَى بَاطِلٍ.
อับดุรเราะหมาน บิน มะฮดีย์ ได้รายงานจากมาลิก ว่า "ถ้า อัลกาลาม เป็นวิชาความรู้ แน่นอน บรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน ก็จะพูดกัน ในมัน ดังสิ่งที่พวกเขาพูดกัน ในเรื่องเกี่ยวกับบรรดาหุกุมต่างๆและบรรดาบทบัญญัติต่างๆ แต่มันคือ สิ่งที่เป็นโมฆะ ที่บ่งบอกถึงสิ่งที่เป็นโมฆะ - ชัรหอัสสุนนะฮของอัลบะเฆาะวีย์ 1/217
.........
คำว่า "พูดกัน" ในที่นี้หมายถึงนำมาพูดถกปัญหากันหรือนำมาวิภาษ
อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)กล่าวว่า
كُلُّ الْعُلُوْمِ سِوَى الْقُرْآنِ مَشْغَلَةٌ إِلاَّ الْحَدِيْثَ وَإِلاَّ الْفِقْهَ فِي الدِّيْنِ الْعِلْمُ مَا كَانَ فِيْهِ قَالَ حَدَّثَنَا وَمَا سِوَى ذَاكَ وَسْوَاسُ الشَّيَاطِيْنِ
ทุกๆวิชาความรู้ อื่นจากอัลกุรอ่านนั้น เป็นเรื่องยุ่ง ยกเว้น อัลหะดิษ และยกเว้น ฟิกฮ ( ในการทำความเข้าใจ)ในเรื่องศาสนา ,ความรู้นั้น คือ สิ่งที่ ปรากฏในมัน คือ เขากล่าวว่า ได้รายงานจากเรา... (หมายถึงหะดิษที่มีสายรายงานเล่าต่อกันมาถึงผู้รายงานคนสุดท้าย) และสิ่งที่นอกเหนือจากดังกล่าวนั้น คือ การกระซิบกระซาบของบรรดาชัยฏอน - เฎาะบะกอตอัชชะฟีอียะฮอัลกุบรอ หะดิษหมายเลข 156
..............
การนำเอาแนวคิดวิชากาลามมาตีความอายาตและหะดิษสิฟาต เพื่อให้กินกับปัญญา เข้าใจว่า สิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกไว้ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ นี่คือ แนวทางอะฮลุลบิดอะฮ ไม่ใช่แนวทางอะฮลุสสุนนะฮที่อาชาอิเราะฮบางกลุ่มแอบอ้างกัน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/2/61

ตรรกอาชาอิเราะฮอ้างการตีความภาษาไทยเพื่อตีความคุณลักษณะอัลลอฮ





ตรรกอาชาอิเราะฮอ้างการตีความภาษาไทยเพื่อตีความคุณลักษณะอัลลอฮที่เป็นภาษาอาหรับ(ตอน กินซากศพ)
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้แชร์โพสต์ของ Bashir Chalermthai
ผู้ดูแล · 12 ชม.
Bashir Chalermthai
12 ชม.
เมื่อภาษาไทยมีการตะอฺวีล แล้วทำไมภาษาอาหรับจะไม่ตะอฺวีล???
กลับหน้ามือเป็นหลังมือ=====เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างตรงกันข้าม
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ===== ทำตัวให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่คนในสังคมนั้นเขาทำกัน
จับเสือมือเปล่า ======= หาผลประโยชน์โดยตัวเองไม่ลงทุน
ชุบมือเปิบ ======= ฉวยเอาผลประโยชน์ของผู้อื่น โดยตัวเองไมได้ลงทุนลงแรง
ตาบอดคลำช้าง ======= คนที่รู้อะไรด้านเดียว แล้วเข้าใจแต่อย่างนั้น สิ่งนั้น
มือถือสาก ปากถือศีล ===== ชอบแสดงตัวตนว่าเป็นคนมีศีล มีธรรม แต่ทำความเลวเป็นนิจ
เอามือซุกหีบ====== หาเรื่องเดือดร้อนหรือความลำบากใส่ตัวโดยใช่ที่
เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ======= แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจ
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ====== เมื่อทำความเดือดร้อนให้แก่คนใกล้ชิด ก็จะมีผลกระทบถึงตัวผู้ทำหรือพวกพ้อง
มีอีกเป็นกระบุงครับ
@@@@@
ชี้แจง
กลุ่มอาชาอิเราะฮ เมืองไทยสายพันธ์ใหม่ หมดแล้วซึ่งข้ออ้างที่จะเป็นหลักฐานตีความอายาตและหะดิษเกี่ยวกับคุณลักษณะอัลลอฮ หันมาเอาสุภาษิตไทยมาเป็นข้ออ้างในการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮ
ถ้าไม่เสียสติ ก็คือความโง่เขลาเบาปัญญา เพราะสุภาษาษิตไทย กับ อายาตและหะดิษสิฟาต มันคนละบริบทกัน จะเอามาเปรียเทียบเพื่อเป็นข้ออ้างในการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮตามตรรกของอะฮลุลกาลามซึ่งเป็นวิชาอันตรายได้อย่างไร
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ الشَّيْخُ : وَاتَّفَقَ عُلَمَاءُ السَّلَفِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ عَلَى النَّهْيِ عَنِ الْجِدَالِ وَالْخُصُومَاتِ فِي الصِّفَاتِ ، وَعَلَى الزَّجْرِ عَنِ الْخَوْضِ فِي عِلْمِ الْكَلامِ وَتَعَلُّمِهِ.
อัชชัยค์ ได้กล่าวว่า "บรรดาปราชญ์สะลัฟ จากอะฮลิสสุนนะฮ เห็นฟ้องกัน บนการห้ามการโต้เถียงและทะเลาะวิวาทกัน ในเรื่องเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ และ(เห็นฟ้องกัน)บนการเตือนให้ระวัง เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิชากาลามและการเรียนมัน -ชัรหอัสสุนนะฮ 1/216
วิชากาลามคือ วิชาที่ใช้หลักฐานทางตรรกปัญญาอธิบายอะกีดะฮ
وَقَالَ الشَّعْبِيُّ : إِنَّمَا الرَّأْيُ بِمَنْزِلَةِ الْمَيْتَةِ إِذَا احْتَجْتَ إِلَيْهَا أَكَلْتَهَا
และอัชชะอบีย์ ได้กล่าวว่า ความจริงความคิดเห็นนั้น อยู่ในฐานะเดียวกับซากศพ เมื่อท่านอ้างมันเป็นหลักฐาน ก็เท่ากับว่าท่านได้กินมัน - ชัรหอัสสุนนะฮ 1/216
..........
นายอานัส ชูชื่น ได้เอาซากศพ จากความคิดเห็นนาย บะชีร เฉลิมไทยมาอ้างเป็นหลักฐาน หาความชอบธรรมในการตีความ ก็เท่ากับกินซากศพ นั้นเอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/2/61

หลักฐานอ้างอิง

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การโอนบุญไม่ใช่ประเพณีของชาวสะลัฟ


ในภาพอาจจะมี ธรรมชาติ และ ข้อความ

การโอนบุญไม่ใช่ประเพณีของชาวสะลัฟ
 
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
ولم يكن من عادة السلف إذا صلوا تطوعاً أو صاموا تطوعاً أو حجوا تطوعاً أو قرؤوا القرآن ؛ يهدون ثواب ذلك إلى أموات المسلمين ، فلا ينبغي العدول عن طريق السلف فإنه أفضل وأكمل
และไม่ได้เป็นประเพณี(อาดัต)ของชาวสะลัฟ เมื่อพวกเขาละหมาดอาสา(สุนัต),ถือศีลอด ,ประกอบพิธีหัจญ์ หรือ อ่านอัลกุรอ่าน แล้วอุทิศผลบุญดังกล่าวแก่บรรดาผู้ตายที่เป็นมุสลิม ดังนั้น จึงไม่สมควรหันเหออกจากแนวทางของสะลัฟ(บรรพชนผู้ทรงธรรมยุคก่อน) เพราะแท้จริง มันประเสริฐกว่าและสมบูรณ์กว่า – ดู อัลอิคติยารอตอัลอิลมียะฮ หน้า 54
อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
ولم يكن من هديه أن يجتمع للغداء، ويقرأ له القرآن، لا عند قبره ولا غيره، وكل هذا بدعة حادثة مكروهة
และไม่ได้เป็นทางนำของท่านรซูล โดยการ ชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหาร และอ่านอัลกุรอ่านให้แก่เขา(อทิศบุญให้มัยยิต) ไม่ว่าจะกระทำที่กุบูรของเขาหรืออื่นจากนั้นก็ตาม และทั้งหมดนี้ เป็นบิดอะฮ ที่เกิดขึ้นใหม่ ที่น่ารังเกียจ – ดูหนังสือ ซาดุ้ลมะอาด เล่ม 1 หน้า 523
.............
เรื่อง การโอนบุญ หรืออุทิศบุญ ให้ผู้อื่น เป็นประเด็นอิจญติฮาด ของนักปราชญ์ที่มีความเห็นขัดแย้งกัน ซึ่งไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/2/61
 

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561

น้ำมุชัมมัส สามารถนำมาใช้อาบน้ำละหมาดได้หรือไม่


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


น้ำมุชัมมัส สามารถนำมาใช้อาบน้ำละหมาดได้หรือไม่
น้ำมุชัมมัส(اَلْمَاءُ الْمُشَمَّس) คือ คือน้ำในภาชนะที่ถูกแสงแดดเผาจนร้อน
นักวิชาการ มีความเห็นขัดแย้งกัน เกี่ยวกับการนำน้ำมุชัมมัสมาใช้ทำความสะอาด คือ
1.น้ำมุชัมมัส นั้นสะอาด ไม่มักรูฮ คือ มัซฮับอัลหะนาบะละฮ (1) ส่วนหนึ่งของปราชญ์มัซฮับมาลิกียะฮ ได้เลือกทัศนะนี้(2)และ อันนะวาวีย์ ส่วนหนึ่งจากปราชญมัซฮับชาฟิอียะฮ ได้ให้น้ำหนักทัศนะนี้
...............
[1] دليل الطالب (1/3)، شرح العمدة (1/81)، الإنصاف (1/24)، منار السبيل (1/17)، كشاف القناع (1/26)، الكافي (1/3)، المبدع (1/37).
[2] مواهب الجليل (1/78).
2.น้ำมุชัมมัส นั้นเป็นมักรูฮ คือ มัซฮับอัลหะนะฟียะฮ(3) ,มัซฮับชาฟิอียะฮ(4) และ มัซฮับอัลมาลิกียะฮ (5)นอกจากว่า พวกเขาได้กำหนดเงื่อนต่างๆเอาไว้ (6)
.......................
[3] البحر الرائق (1/30)، شرح فتح القدير (1/36).
[4] قال الشافعي في الأم (1/16): ولا أكره الماء المشمس إلا من جهة الطب. اهـ وانظر المجموع (1/133)، أسنى المطالب (1/8)، شرح البهجة (1/27)، كفاية الأخيار (1/18).
[5] منح الجليل (1/40)، الخرشي (1/78)، التاج والإكليل (1/78).
[6] اشترط المالكية والشافعية شروطًا للكراهة، منها
หลักฐานของผู้ที่อ้างว่า มักรูฮ ดังต่อไปนี้คือ
หลักฐานที่หนึ่ง รายงานจากอาอีฉะฮ(ร.ฎ)ว่านางกล่าวว่า
دَخَلَ عَلَيَّ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَقَدْ سَخَّنْتُ مَاءً فِي الشَّمْسِ , فَقَالَ: لَا تَفْعَلِي يَا حُمَيْرَا فَإِنَّهُ يُورِثُ الْبَرَصَ
เราะซูลุลลอฮ ศอ็ลฯได้เข้ามาหาฉัน โดยที่ดิฉันได้ทำให้น้ำร้อนด้วยการตากแดด แล้วท่านรซูลุลลอฮ ได้กล่าวว่า " เธออย่าทำ โอ้ หุมัยรอฮฺ เพราะ มันจะทำให้เกิดโรคเรื้อน - ดูสุนันอัดดารุลกุฏนีย์ หะดิษหมายเลข 86
หะดิษนี้ อัดดารุลกุฏนีย์ กล่าวว่า เป็นหะดิษที่แปลกมาก และ ผู้รายงานคนหนึ่ง ชื่อ คอลิด บิน อิสมาอีล มัตรูก(เป็นที่หะดิษของเขาถูกละทิ้ง )
หะดิษมัตรูกคือ หะดิษที่ผู้รายงานคนหนึ่งถูกตำหนิว่าเป็นคนโกหก
หะดิษนี้อิหม่ามนะวาวีย์ระบุว่า บรรดานักหะดิษเห็นฟ้องกันว่าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ และส่วนหนึ่งระบุว่า เป็นหะดิษปลอม - ดู อัลมัจญมัวะ เล่ม 1 หน้า 133 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
หลักฐานที่สองคือ
รายงานจากจากอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
لَا تَغْتَسِلُوا بِالْمَاءِ الْمُشَمَّسِ، فَإِنْهُ يُورِثُ الْبَرَصَ
พวกท่านอย่าอาบน้ำ ด้วยน้ำมุชัมมัส เพราะแท้จริงมันจะทำให้เกิดโรคเรื้อน - ดู สุนันอัลกุบรอ หะดิษหมายเลข 13
......
หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษเมากูฟ ผู้รายงานคนหนึ่งชื่อ อิบรอฮีม บิน อบี ยะหยา นักหะดิษส่วนมาก ระบุว่า เป็นหะดิษเฎาะอีฟ และอัลนะสาอีย์ กล่าวว่า "เขาปลอมหะดิษ - ดู เมาสูอะฮ อัลหะฟิซอิบนุหะญัร อัลหะดีษียะฮ หน้า 150 กิตาบุฏเฏาะฮาเราะฮ
...........
จึงสรุปว่า
การใช้น้ำ มุชัมมัส (น้ำที่ถูกแสงแดดเผา) ไม่เป็นมักรูฮ เพราะไม่มีหลักฐานเศาะเฮียะยืนยัน
อัลอุกอ็ยลีย์กล่าวว่า
ليس في الماء المشمس شئ يصح مسندا"
ไม่มีสิ่งใดที่สายรายงานเศาะเฮียะ เกี่ยวกับน้ำมุชัมมัส - ดู อัฎฎุอะฟาอฺ เล่ม 2 หน้า 176
ในฟะตาวา อัลลุจญนะฮระบุว่า
لا نعلم دليلا صحيحا يمنع من استعمال الماء المشمس
เราไม่พบหลักฐานที่เศาะเฮียะ ห้ามใช้น้ำมุชัมมัส - ฟะตาวาอัลลุจญนะฮอัดดาอิมะฮ เล่ม 5 หน้า 74
สำหรับอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)ท่านกล่าวว่า
ولا أكره الماء المشمس إلا من جهة الطب
และข้าพเจ้า ไม่ถือว่า น้ำมุชัมมัสเป็นมักรูฮ นอกจาก เกี่ยวกับด้านสุขภาพ -ดูอัลอุม 1/16
........
ในกรณีอ้างเรื่องมีผลต่อสุขภาพนั้น เป็นหะดิษเฎาะอีฟดังที่กล่าวไว้แล้ว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/1/61

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ