วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

การกวนบูโบอาชูรอเป็นอิบาดะฮจริงหรือ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


การกวนบูโบอาชูรอเป็นอิบาดะฮจริงหรือ
ปู่ หิน
8 ชม.
การกวนบูโบ(อาซูรอ)ในมุมมองของฉันนั้นเป็นอิบาดะห์แน่นอน
เป็นอิบาดะห์ที่ไม่ได้จำกัดรูปแบบเวลาและสถานที่เอาไว้จึงทำได้ทุกเมื่อที่ไม่ขัดกับกรุอ่านและหะดิษ
และที่ว่าเป็นอิบาดะห์นั้นเอามาจาก
انماالاعمال بالنيات
เพราะทุกคนที่ทำนั้นเนียตซอดาเกาะห์ด้วยกันทุกคน
ถ้าใครคิดว่าผิดหรือทำไม่ได้ขอเชิญแสดงความคิดได้เลยครับ
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นท่านปู่หิน ยืนยันว่า การกวนขนมอาชูรอ เป็นอิบาดะฮ จริงตามปู่ฟัตวาหรือไม่ มาดูกัน
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่า อิบาดะฮ คือ การแสดงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์สั่งใช้และ ละทิ้งในสิ่งที่ทรงสั่งห้าม
ในฟัตวาอัลลุจญนะฮ แห่งสะอุดดีย์ กล่าวว่า
قال علماء اللجنة الدائمة للإفتاء :
"العبادات مبنية على التوقيف ، فلا يجوز أن يقال إن هذه العبادة مشروعة من جهة أصلها أو عددها أو هيئاتها أو مكانها إلا بدليل شرعي يدل على ذلك" انتهى .
บรรดาอิบาดะฮนั้น ถูกวางอยู่บน การหยุดอยู่ที่คำสั่ง ไม่อนุญาต ให้ถูกกล่าวว่า แท้จริงนี้คืออิบาดะฮที่ถูกบัญญัติ ไม่ว่าจะมาจาก รากฐานของอิบาดะฮ หรือจำนวน ของมัน ,หรือวิธีการของมัน หรือสถานที่ของมัน นอกจาก ด้วยหลักฐานทางศาสนบัญญัติ แสดงบอก บนดังกล่าวนั้น - ฟะตะวาอัลลุจญนะฮ อัดดาอิมะฮ 3/73
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 26
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
إَنَّ الْأَصْلَ فِي الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيفُ ، فَلَا يُشْرَعُ مِنْهَا إلَّا مَا شَرَعَهُ اللَّهُ تَعَالَى وَإِلَّا دَخَلْنَا فِي مَعْنَى قَوْلِهِ : ( أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنْ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ
แท้จริงรากฐาน(หลักเดิม)ในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง ดังนั้นมันจะไม่ถูกบัญญัติ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮตะอาลาได้บัญญัติมัน และถ้าไม่เช่นนั้นเราก็จะเข้าอยู่ในความหมายของคำตรัสพระองค์ที่ว่า “หรือพวกเขามีบรรดาภาคี บัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้ทรงอนุญาตด้วยมัน – มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 29 หน้า 165
ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
من عمل عملاً ليس عليه أمرنا فهو رد
ผู้ใดประกอบการงานใดที่ไม่มีกิจการ(ศาสนา)ของเราบนมัน นั้นมันถูกปฏิเสธ – รายงานโดยมุสลิม
อิบนุเราะญับกล่าวว่า
فهذا الحديث يدل بمنطوقه على أن كل عمل ليس عليه أمر الشارع فهو مردود، ويدل بمفهومه على أن كل عمل عليه أمره فهو غير مردود
ดังนั้นหะดิษนี้ คำพูดของมันแสดงให้เห็นว่า แท้จริงทุกการงาน ที่ไม่มีกิจการศาสนบัญญัติ บนมัน นั้น ถูกตีกลับ(ไม่ถูกรับ) และความหมายของมันก็แสดงให้รู้ว่า ทุกการงานที่มีกิจการของศาสนาบนมัน นั้น จะไม่ถูกตีกลับ- ดู ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม 1/177
................
เพราะฉะนั้น การทำบูโบ(ขนมอาชูรอ) ที่อ้างว่าเป็นการทำอิบาดะฮ ที่เจาะจงในวัน อาชูรอ ท่านปู่เอาหลักการและหลักฐานจากอะไรมาอ้างว่าเป็นอิบาดะฮ เพราะไม่มีแบบอย่างมาจากท่านนบี ไม่มีแบบอย่างมาจากเศาะหาบะฮ และอิหม่ามทั้งสี่
ในหนังสือฟิกฮมัซฮับชาฟิอี คือ อิอานะฮอัฏฏอลีบีน ระบุว่า
قَالَ الْعَلاَّمَةُ اْلأَجْهُوْرِيْ: وَلَقَدْ سَأَلْتُ بَعْضَ أَئِمَّةِ الْحَدِيْثِ وَالْفِقْهِ عَنِ الْكُحْلِ، وَطَبْخِ الْحُبُوْبِ، وَلُبْسِ الْجَدِيْدِ، وَإِظْهَارِ السُّرُوْرِ، فَقَالَ: لَمْ يَرِدْ فِيْهِ حَدِيْثٌ صَحِيْحٌ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَلاَ عَنْ أَحَدٍ مِنَ الصَّحَابَةِ وَلاَ اسْتَحَبَّهُ أَحَدٌ مِنْ أَئِمَّةِ الْمُسْلِمِيْنَ
อัลลามะฮ อัลอัจญฮูรีย์ กล่าวว่า "และแท้จริง ข้าพเจ้าได้ถามบางส่วนของบรรดาอิหม่ามหะดิษและฟิกฮ เกี่ยวกับการเขียนตา ,การหุงต้มเมล็ดพืช(เช่นการกวนขนมอาชูรอ –ผู้แปล) การสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ และการแสดงออกซึ่งความสนุกสนาน (หมายถึงในวันอะชูรอ) แล้วเขากล่าวว่า “ไม่ปรากฏหะดิษเศาะเฮียะ จากท่านนบี ศอ็ลฯ ในมัน ,ไม่ปรากฏ จากคนหนึ่งคนใดจากเหล่าเศาะหาบะฮ และ ไม่มีคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอิหม่ามแห่งมุสลิม ส่งเสริมมัน – อิอานะฮอัฏฏอลิบีน 2/266
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/9/60

เขาถามว่า ทำบิดอะฮเมาลิดจัดอยู่ในหุกุมใหน


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เขาถามว่า ทำบิดอะฮเมาลิดจัดอยู่ในหุกุมใหน
อิบนู ฮาซัน
ขอถามอาจารณ์หน่อยครับ..ถ้าผมอ่านกุรอ่าน..สอลาวาตนบี.ในวันเมาลิด.อาจารณ์ว่าผมทำบิดอะห์.ขอถามว่าทำบิดอะห์แบบนี้.ฮูกมทางตัคลีฟี5ข้อ.เข้าในข้อไหนครับ..ฮารอม.มัครูห์.ฮารุส.วายิบ.สุนัต.ครับ.อาจารณ์.แล้วไหนหลักฐานว่าเป็นเช่นนั้นครับอาจารณ์
@@@@
ชี้แจง
ผมเคยถาม อิบนู ฮาซัน ว่า คุณถามเพื่อที่จะละทิ้งบิดอะฮหรือจะปกป้องบิดอะฮ ให้ตอบด้วยนามของอัลลอฮ สิ่งที่ได้คือ ไม่กล้าตอบ เพราะผมรู้ดีว่า บางคนถามเพื่อที่จะต้อนให้ผู้ตอบจนมุม หรือ เพื่อที่จะหาความชอบธรรมในการทำบิดอะฮ หากผมตอบไม่ได้
ขอเรียนว่า
การอ้างว่า ในพิธีเมาลิด พวกเขาทำสิ่งที่ดี เช่น อ่านอัลกุรอ่าน ,เศาะละวาตนบี หรือทำการเศาะดะเกาะฮเป็นต้น
ขอตอบว่า
1. อิบาดะฮใดๆที่ศาสนา ได้มีบัญญัติเอาไว้กว้างๆ ไม่เจาะจงเวลา และสถานที่ หากมาจำกัดเวลาหรือสถานที่ โดยมีความเชื่อว่ามีความประเสริฐ กว่า เวลาอื่นหรือสถานที่อื่น สิ่งนั้นคือ บิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงตัวอย่างของบิดอะฮว่า
ومنها التزام الكيفيات والهيئات المعينة كالذكر بهيئة الاجتماع على صوت واحد، واتخاذ يوم ولادة النبي صلى الله عليه وسلم عيدا وما أشبه ذلك.
และส่วนหนึ่งจากมันคือ การยึดติดกับบรรดาวิธีการและรูปแบบ ที่ถูกเจาะจง เช่น การซิกริลละฮ ด้วยรูปแบบการชุมนุม (เป็นหมู่คณะ)ด้วยกล่าวพร้อมๆเป็นเสียงเดียว และ การถือเอาวันเกิดนบี ศอ็ลฯ เป็น วันอีด (วันเฉลิมฉลอง) และสิ่งที่คล้ายๆกันกับดังกล่าวนั้น
ومنها التزام العبادات المعينة، في أوقات معينة ، لم يوجد لها ذلك التعيين في الشريعة ، كالتزام صيام يوم النصف من شعبان ، وقيام ليلته
ส่วนหนึ่งจากมัน(บิดอะฮ)คือ การยึดติดกับการปฏิบัติบรรดาอิบาดะฮที่เฉพาะ ในบรรดาเวลาที่เฉพาะ ,การเจาะจงดังกล่าว สำหรับมัน ไม่ถูกพบ ในศาสนบัญญัติ เช่น การยึดติดกับการถือศีลอด นิสฟูชะอบาน และการละหมาดในคำคืนนั้น - อัลเอียะติศอม 1/45
อิหม่าม อิบนุดะกีกีลอีด ปราชญมัซฮับชาฟิอี กล่าว ถึงหลักการเจาะจง (التخصيص )ว่า
إنَّ هَذِهِ الْخُصُوصِيَّاتِ بِالْوَقْتِ أَوْ بِالْحَالِ وَالْهَيْئَةِ ، وَالْفِعْلُ الْمَخْصُوصُ : يَحْتَاجُ إلَى دَلِيلٍ خَاصٍّ يَقْتَضِي اسْتِحْبَابَهُ بِخُصُوصِهِ
แท้จริงบรรดาการเจาะจงเหล่านี้ ด้วยเวลา หรือ โอกาส และ วิธีการ และการกระทำที่ถูกเจาะจง ต้องอาศัยหลักฐานที่เฉพาะ ตัดสิน การส่งเสริมให้ปฏิบัติมัน ด้วยการเจาะจงมัน – อุมดะอ อัลอะหกามของ อิบนุดะกีก ๑/๑๑๙
ข้างต้นคือหลักการเกี่ยวกับฟิกฮ ของปราชญมัซอับชาฟิอี ว่า การเจาะจง ต้องมีหลักฐาน
2. การอ้างว่าทำความดี ความจริง การงานที่ดีนั้น คือ การปฏิบัติสิ่งที่ตรงกับแบบอย่างนบี
อัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า
الَّذِي خَلَقَ الْمَوْتَ وَالْحَيَاةَ لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلًا ۚ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْغَفُورُ
พระผู้ทรงให้มีความตายและให้มีความเป็น เพื่อจะทดสอบพวกเจ้าว่า ผู้ใดบ้างในหมู่พวกเจ้าที่มีผลงานดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงให้อภัยเสมอ – อัลมุลกุ/2
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ)กล่าวว่า
قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : هُوَ أَخْلُصُ الْعَمَلِ وَأَصْوَبُهُ ، فَسُئِلَ عَنْ مَعْنَى ذَلِكَ ، فَقَالَ : إنَّ الْعَمَلَ إذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا فَالْخَالِصُ أَنْ يَكُونَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ أَنْ يَكُونَ عَلَى السُّنَّةِ ، ثُمَّ قَرَأَ قَوْلَهُ : { فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا
อัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ กล่าวว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจของการงานนั้นและความถุฏต้องของมัน แล้วเขาถูกถามเกี่ยวกับความหมายดังกล่าว แล้วเขากล่าวว่า “แท้จริงการงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมันเป็นความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) และ มันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อมันถูกต้อง โดยที่มันไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่า มัน เป็นความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง แล้วความบริสุทธิ์ใจคือ มันเป็นความบริสทธิ์ใจแก่อัลลอฮ และความถูกต้องคือ มันเป็นไปตามสุนนะฮ หลังจากนั้นเขาอ่าน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า
فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً
"ดังนั้น ผู้ใดที่หวังจะได้พบองค์ผู้อภิบาลของเขา เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110 – เอียะลามอัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 125
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า
فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا ) ، مَا كَانَ مُوَافِقًا لِشَرْعِ اللَّهِ ) وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا ) وَهُوَ الَّذِي يُرَادُ بِهِ وَجْهُ اللَّهِ وَحْدَهُ لَا شَرِيكَ لَهُ ، وَهَذَانَ رُكْنَا الْعَمَلِ الْمُتَقَبَّلِ . لَا بُدَّ أَنْ يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ ، صَوَابًا عَلَى شَرِيعَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
(เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม ) หมายถึง สิ่งที่สอดคล้องกับ บทบัญญัติของอัลลอฮ (และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา) และ มันคือ ที่ถูกประสงค์ด้วยมัน เพื่อพระพักต์แห่งอัลลอฮ เพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆแก่พระองค์ และนี้คือหลักสำคัญสองประการของอะมัล(การงาน)ที่ถูกรับรอง ,จำเป็นจะต้องมีความบริสุทธิ์ใจแก่อัลลอฮ ,ถูกต้องตามชะรีอะฮ (บทบัญญัติ)ของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ – ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 5 หน้า 206
3. บิดอะฮฺทุกประเภทในศาสนาล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม และหลงผิดทั้งสิ้น ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«وإياكم ومحدثات الأمور، فإن كل محدثة بدعة، وكل بدعة ضلالة»
ความว่า : “และพวกเจ้าจงระวังสิ่งใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆ บิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด” (รายงานโดย อะบู ดาวูด : 4607 และอัต-ติรมิซีย์ : 2676)
ส่วนบิดอะฮที่ ถูกแบ่งตามหุกุมตักลีฟีย์ เช่น วาญิบ ,สุนัต ,มักรูฮ หะรอม ญาอิซ มันเป็นบิดอะฮในทางภาษา หรือบิดอะฮในทางดุนยา ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ
อัลญีซานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

الخلاف واقع قديماً بين أهل العلم في تقسيم البدعة إلى حسنة وقبيحة,وإلى أحكام التكليف الخمسة , وهذا الخلاف يمكن أن يكون لفظياً , وذلك لاتفاق الجميع على أن هذا التقسيم إنما هو للبدعة اللغوية دون البدعة الشرعية ,وأن البدعة التي توصف بأنها حسنة إنما هي البدعة اللغوية.

การเห็นขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในอดีต ระหว่างนักวิชาการ ในการแบ่งบิดอะฮ เป็น บิดอะฮที่ดี และบิดอะฮที่เลว และไปสู่แบ่งเป็น บรรดาหุกุมตักลีฟ ทั้งห้าประการ และ การเห็นขัดแย้งนี้ เป็นไปได้ว่า มันเป็น การขัดแย้ง ที่เกี่ยวคำถ้อยคำ และดังกล่าวนั้น เพราะทั้งหมดเห็นฟ้องกัน ว่า การแบ่งนี้ (การแบ่งตามหุกุมตักลิฟ) ความจริง มันคือบิดอะฮในทางภาษา ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ และแท้จริง บิดอะฮ ที่ถูกอธิบายคุณลักษณะ ว่ามันคือ บิดอะฮที่ดี (บิดอะฮหะสะนะฮ) ความจริงมันคือบิดอะฮในด้านภาษา – ดู เมียะยารุลบิดอะฮ หน้า 71
.............
สรุปคือ บิดอะฮที่แบ่งเป็นบิดอะฮที่ดีนั้น ไม่เกี่ยวกับบิดอะฮในทางศาสนา แต่เป็นบิดอะฮในทางภาษา ข้อย้ำด้วย ทัศนะของอัลหาฟิซอิบนุหะญัรที่ว่า

فالبدعة في عرف الشرع مذمومة بخلاف اللغة فإن كل شيء أحدث على غير مثال يسمى بدعة سواء كان محموداً أو مذموماً
บิดอะฮ ในนิยามทางศาสนา นั้น ถูกตำหนิ ซึ่งต่างกับบิดอะฮในทางภาษา ดังนั้นทุกสิ่งที่ถูกอิตริขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนนั้น เรียกว่า บิดอะฮ จะเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญหรือ ได้รับการตำหนิก็ตาม - ดูฟัตหุ้ลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 353
...............
เพราะฉะนั้น การกระทำบิดอะฮในทางศาสนา เป็นการฝ่าฝืน คำสอนท่านนบี ศอ็ลฯและการฝ่าฝืนคำสั่งนบีนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้าม และไม่มีหนทางใดที่จะทำบิดอะฮ ในทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดีได้ แม้จะเอาเหตุหลายร้อยเล่มเกวียนมาอ้างก็ตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/9/60

เอกสารอ้างอิง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

ตรรกทางปัญญาพาหายนะในด้านอะกีดะฮ(ตอนสมองเพียวๆ)






ตรรกทางปัญญาพาหายนะในด้านอะกีดะฮ(ตอนสมองเพียวๆ)
Sukiman Tuanno
มาหลักการที่สองคือ หลักการตัจสีม คือที่อัลลอฮฺบอกว่า อัลลอฮฺอยู่เหนือบัลลังค์ หลักการนี้จะทำให้เข้าใจได้ว่าอัลลอฮฺอยู่สูงเหนืออารัช อยู่เหนือแแบสถานที่ที่อัลลอฮฺอยู่นั่นเอง ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเรา มีขอบเขตสำหรับอัลลอฮฺ ขอบเขตอย่างที่บอก อยู่เหนืออารัชใต้อารัชไม่รู้มีอัลลอฮฺหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆจนมาถึงเราซาตอัลลอฮฺไม่มีแล้ว ต้องมีขอบเขตสำหรับอัลลอฮฺที่ใดที่หนึ่ง เหล่านี้.. คือการเข้าใจแบบตัจสีมจากหลักฐานที่ยกมาทั้งสิ้น และการเข้าใจแบบนี้คือการเข้าใจอัลลอฮฺเหมือนมัคโลคนั่นเอง หวังว่าอับดุลลอฮฺไม่ไช่เข้าใจแบบแนวทางที่สองนี้นะ
@@@@
ชี้แจง
ได้เข้าไปอ่าน ที่นาย Sukiman Tuanno เอาสมอง มานั่งใช้ตรรกอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ ตาอาลา ตามความเห็น คิดเองเออเอง โดยไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮและปราชญผู้ทรงธรรมในยุคสะลัฟแม้แต่อักษรเดียว การแสดงวาทกรรมและตรรก โกหกมดเท็จว่า "ถ้าเชื่อว่าอัลลอฮอยูเหนือบัลลังค์ (อะรัช) เป็นการตัจญซีม หรือการให้รูปร่างแก่อัลลอฮ ซึ่งไม่มีสะลัฟท่านใดเข้าใจแบบนี้ แต่เป็นมโนจริต และบิดอะฮ ของ พวกปัญญานิยมที่รับเอาแนวคิดอะฮลุลกาลาม
อิบนุกะษีร(ร.ฮ)กล่าวว่า
فإن الله لا يشبهه شيء من خلقه، و { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌوَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ } بل الأمر كما قال الأئمة -منهم نُعَيْم بن حماد الخزاعي شيخ البخاري -: “من شبه الله بخلقه فقدكفر، ومن جحد ما وصف الله به نفسه فقد كفر”. وليس فيما وصف الله به نفسه ولا رسوله تشبيه، فمن أثبت للهتعالى ما وردت به الآيات الصريحة والأخبار الصحيحة، على الوجه الذي يليق بجلال الله تعالى، ونفى عن الله تعالىالنقائص، فقد سلك سبيل الهدى.
..โดยแท้จริงนั้น อัลลอฮ จะไม่ถูกนำมา เปรียบกับสิ่งใด จาก สิ่งถูกสร้างของพระองค์ และ(ไม่มีสิ่งใด เสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้น คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นเสมอ) แต่ทว่า เรื่องนี้คือ ตามที่ อิหม่าม ของประชาชาตินี้ได้กล่าวเอาไว้ หนึ่งในพวกเขาก็คือ ท่าน นุอัยมฺ บิน ฮัมมาด อัลคุซาอีย์ อาจารย์ ของบุคคอรี ท่านกล่าวว่า ผู้ใดก็ตาม ที่เปรียบเทียบอัลลอฮ กับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เขาคือ กาเฟร และผู้ใดก็ตาม ที่ปฎิเสธ สิ่งที่ อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะ แก่พระองค์เอง แท้จริงเขาคือ กาเฟร และ สิ่งใดที่พระองค์ได้อธิบายคุณลักษณะของพระองค์เอาไว้ หรือ รอซูลของพระองค์(อธิบายคุณลักษณะพระองค์เอาไว้) ไม่ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบ(ตัชบีฮ) ดังนั้น ผู้ใดที่ยืนยันต่ออัลลอฮ ในสิ่งที่ บรรดาอายาต ที่ชัดเจน และหะดิษที่เศาะเฮียะ ได้ปรากฏมาด้วยมัน ตามความเหมาะสม กับความสูงส่งของอัลลอฮ และเขาปฎิเสธ บรรดาความบกพร่องต่างๆจากอัลลอฮ แท้จริงเขาผู้นั้นกำลังดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง)" ดูตัฟซีรอิบนุกะษีร ซูเราะฮ์อัลอะร๊อฟอายะฮ์ที่54
............
สรุปคือ
1.ผู้ใด ที่เปรียบเทียบอัลลอฮ กับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เขาคือ กาเฟร
2.และที่ปฎิเสธ สิ่งที่ อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะ แก่พระองค์เองเอาไว้ แท้จริงเขาคือ กาเฟร
3. และ สิ่งใดที่พระองค์ได้อธิบายคุณลักษณะของพระองค์เอาไว้ หรือ รอซูลของพระองค์(อธิบายคุณลักษณะพระองค์เอาไว้) ไม่ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบ(ตัชบีฮ)
4. ผู้ใดที่ยืนยัน(อิษบาต)คุณลักษณะอัลลอฮ ตามที่อัลลอฮและรอซูล อธิบายไว้ โดยปฏิเสธสิ่งต่างๆที่บกพร่อง ไม่สมบูรณ์(หมายถึงการให้ความบริสุทธิ์แก่อัลลอฮจากบรรดาความบกพร่องต่างๆ) ถือว่าเขาได้ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
...........
การยืนยันความหมายตามตัวในทางภาษาโดยไม่จินตนาการว่า เหมือนบรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง นั้น ไม่ใช่การตัชบีฮ
มีคนบางกลุ่ม พยายามบิดเบือนคำพูดอิบนุกะษีรที่ว่า
والظاهر المتبادر إلى أذهان المشبهين منفي عن الله
และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท(ในทางภาษา) ที่นำไปสู่การจินตนาการในหัวใจของบรรดามุชับบีฮีน(พวกที่เข้าใจว่าคุณลักษณะของอัลลออคล้ายคลึงคุณลักษณะมัคลูค)นั้น ถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ
...
โดยพวกเขา อ้างว่า ความหมายผิวเผิน ทีปรากฏตามตัวบท ถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ และไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ โดยเขาใจว่า ถ้าแปลความหมายตามตัวบท คือ การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น
ชัยค์ ดร.อับดุลอาคอ็ร อัลเฆาะนีมีย์ อธิบายว่า
فليس كل ظاهر منفياً بل الظاهر الذي يتوهمه المشبهون هو فقط المنفي عن الله سبحانه
ไม่ใช่ทุกๆความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ถูกปฏิเสธ(จากอัลลอฮ) แต่ทว่า (ที่ปฏิเสธคือ) ความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่บรรดาพวกมุชับบะฮะฮ มโนภาพ(จินตนาการ) มันขึ้นมา เท่านั้น ที่ถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ - ดู อะกีดะฮอัลหาฟิซ อิบนุกะษีร บัยนัตตัฎวีฎวัตตะวีล หน้า 69
......
บรรดาปราชญชาวสะลัฟ ได้ยืนยันว่าอัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช ซึ่งเป็นการยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮเช่น
أَخْبَرَنَا الإِمَامُ أَبُو الْحَسَنِ عَلِيُّ بْنُ عَسَاكِرِ بْنِ الْمُرَحِّبِ الْبَطَائِحِيُّ الْمُقْرِئ ، قَالَ : أَنْبَأَ الأَمِينُ أَبُو طَالِبٍ عَبْدُ الْقَادِرِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْقَادِرِ الْيُوسُفِيُّ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبُو إِسْحَاقَ إِبْرَاهِيمُ بْنُ عُمَرَ الْبَرْمَكِيُّ ، أَنَبَأَ أَبُو بَكْرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ بَخِيتٍ ، قَالَ : أَنْبَأَ أَبِو حَفْصٍ عُمَرُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عِيسَى الْجَوْهَرِيُّ ، قَالَ : ثَنَا أَبُو بَكْرٍ أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ هَانِئٍ الطَّائِيُّ الأَثْرَمُ ، قَالَ : حَدَّثَنِي عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ ، قَالَ : قُلْتُ : لِابْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ نَعْرِفُ رَبَّنَا ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عَرْشِهِ ، وَلَا نَقُولُ كَمَا تَقُولُ الْجَهْمِيَّةُ : إِنَّهُ هَاهُنَا وَهَاهُنَا
อิหม่าม อบุลหะซัน อะลี บิน อะสากีร บิน อัลมุเราะหิบ อัลบะฏออิฮีย์ อัลมุกรีย์ กล่าวว่า อัลอะมีน อบูฏอลิบ อับดุลกอดีร บิน มุหัมหมัด บิน อับดิลกอเดร์ อัลยูซุฟีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน อุมัร อัลบัรมะกีย์ ได้บอก ,อบูบักร์ มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ บิน บะคีต ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบูหัฟศิน อุมัร บิน มุหัมหมัด บิน อีซา อัลเญาฮะรีย์ ได้บอก โดยเขากล่าวว่า อบุบักร์ อะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน ฮานิ อัฏฏีอีย์ อัลอัษรอม กล่าวว่า อาลี บิน หะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า “ “ข้าพเจ้าได้กล่าวกับอับดุลลอฮ บิน อัล-มุบาร็อก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเราได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”) – อิษบาตรสิฟัตอัลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮอัลมุกอ็ดดิสีย์ หะดิษหมายเลข 83 เรือง أَقْوَالُ الأَئِمَّةِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ
>>>>>>>>>
แหล่งอ้างอิงและคำวิจารณ์ เพิ่มเติม
"السنة" لعبد الله بن أحمد (ج1 ص111) قال: حدثني أحمد بن ابراهيم الدورقي ثنا علي بن الحسن بن شقيق قال سألت عبدالله بن المبارك، وذكره. رواته ثقات والسند صحيح.
(11)الرد على الجهمية للدارمي (ص40) قال: حدثنا الحسن بن الصباح البزار حدثنا علي بن الحسن ابن شقيق عن ابن المبارك. سنده حسن.
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) รายงานว่า

سَمِعْتُ عَلِيَّ بْنَ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ يَقُولُ : قُلْتُ لِعَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ يُعْرَفُ رَبُّنَا -عَزَّ وَجَلَّ ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ عَلَى الْعَرْشِ . قُلْتُ لَهُ : إِنَّ الْجَهْمِيَّةَ تَقُولُ هَذَا . قَالَ : لَا نَقُولُ كَمَا قَالَتِ الْجَهْمِيَّةُ : هُوَ مَعَنَا هَاهُنَا .

ข้าพเจ้าได้ยิน อาลี บิน อัลหะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่ อับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็ก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงสูงส่ง และ ทรงเลิศยิ่ง ได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนฟ้า เหนืออะรัช ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า “แท้จริง พวกญะฮมียะฮ กล่าวแบบนี้หรือ ? เขา(อิบนุอัลมุบารอ็ก)กล่าวว่า “เปล่า เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”)
قُلْتُ : الْجَهْمِيَّةُ يَقُولُونَ : إِنَّ الْبَارِيَ تَعَالَى فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَالسَّلَفُ يَقُولُونَ : إِنَّ عِلْمَ الْبَارِي فِي كُلِّ مَكَانٍ ، وَيَحْتَجُّونَ بِقَوْلِهِ تَعَالَى وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ يَعْنِي : بِالْعِلْمِ ، وَيَقُولُونَ : إِنَّهُ عَلَى عَرْشِهِ اسْتَوَى ، كَمَا نَطَقَ بِهِ الْقُرْآنُ وَالسُّنَّةُ
ข้าพเจ้า(หมายถึง อิหม่ามอัซซะฮะบีย) กล่าวว่า ญะฮมียะฮ พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง อยู่ในทุกสถานที่ ทั้งๆที่ ชาวสะลัฟ พวกเขากล่าวว่า ความรู้ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่ในทุกๆสถานที่ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) ได้อ้างหลักฐาน ด้วยคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า (และพระองค์ อยู่พร้อมกับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใหนก็ตาม) หมายถึง อยู่พร้อมด้วยความรู้ และพวกเขา(ปราชญ์ชาวสะลัฟ) กล่าวว่า แท้จริง พระองค์ทรงสถิต บน อะรัช ของพระองค์ ดังเช่น ที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้กล่าวเอาไว้ – ดูสิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 8/402 เรือง อิบนุอัลมุบารอ็ก
...............
นาย Sukiman Tuanno ใช้วิธีการอธิบายอะกีดะฮโดยการคิดเองชงเองโดยปราศจากหลักฐาน และถือเป็นตรรกทางปัญญานำพาสูหายนะในทางอะกีดะฮ และออกนอกลู่นอกทางอะกีดะฮตามแนวทางสะลัฟ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/9/60

เอกสารอ้างอิง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

อิบาดะฮคืออะไร



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อิบาดะฮคืออะไร
ชัยค์อับดุรเราะหมาน อัสสะอดีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
العبادة والعبودية لله اسم جامعٌ لكل ما يحبه الله ويرضاه من العقائد، وأعمال القلوب، وأعمال الجوارح، فكل ما يقرب إلى الله من الأفعال، والتروك فهو عبادة، ولهذا كان تارك المعصية لله متعبداً متقرباً إلى ربه بذلك
อิบาดะฮและอุบูดียะฮ แก่อัลลอฮนั้นคือ นามที่รวมทุกๆสิ่งที่อัลลอฮทรงรักและพอพระทัยมัน จากบรรดาอะกีดะฮ(หลักความเชื่อมัน) ,บรรดาการงานของหัวใจ และบรรดาการงานของอวัยวะ ,ทุกสิง ที่ถูกปฏิบัติเพื่อให้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮ จากบรรดาการปฏิบัติต่างๆ และบรรดาการละทิ้ง (ข้อห้าม)ต่างๆ มันคืออิบาดะฮ และเพราะเหตุนี้ ผู้ที่ละทิ้งสิ่งที่เป็นมะอศียะฮ(สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน)ต่ออัลลอฮ คือ ผู้แสดงการเคารพภักดี เป็นผู้ที่แสดงการใกล้ชิดต่อ พระเจ้าของเขาด้วยดังกล่าวนั้น - ชัยค์อับดุรเราะหมาน บิน สะอดีย์ วะญุฮูดุฮู ฟี เตาเฎียะอัลอะกีดะฮ หน้า 168
............ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
จากนิยามข้างต้น ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอาดะฮ หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธรรมเนียมปฏิบัติของมนุษย์ทางด้านดุนยา ที่ไม่ได้มีบทบัญญัติกำหนดข้อตัดสิน(หุกุม)เอาไว้
ชัยค์อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า
الفرق بين العادة والعبادة : أن العبادة ما أمر الله به ورسوله تقرباً إلى الله ، وابتغاءً لثوابه ، وأما العادة فهي ما اعتاده الناس فيما بينهم من المطاعم والمشارب والمساكن والملابس والمراكب والمعاملات وما أشبهها
ความแตกต่างระหว่าง อาดะฮ กับ อิบาดะฮ คือ แท้จริง อิบาดะฮ นั้น คือ สิ่งที่อัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ได้สั่งด้วยมัน เพื่อให้แสดงความใกล้ชิด(อิบาดะฮ)ต่ออัลลอฮ และเพื่อแสวงหาการตอบแทนของพระองค์ และสำหรับอาดะฮ นั้น คือ สิ่งที่มนุษย์ได้ ปฏิบัติมันเป็นธรรมเนียม /เป็นปกติวิสัย ในระหว่างพวกเขา เช่น อาหาร .เครื่องดื่ม,ที่อยู่อาศัย ,เครื่องนุ่งห่ม ,ยานพาหนะ ,การปฏิสัมพันธ์ เป็นต้น - ดู ลิกออุลบาบอัลมัฟตูหฺ 2/72
เพราะฉะนั้น ถ้าแยกเรื่องบิดอะฮที่เกี่ยวกับอิบาดะฮ กับบิดอะฮที่เกี่ยวกับทางโลก หรือเกี่ยวกับอาดะฮ(ธรรมเนียมปฏิบัติที่เกี่ยวกับทางดุนยา) ไม่ได้ ก็จะมีวาทกรรมที่ว่า วะฮบีย์ทำบิดอะฮ เพราะเล่นเฟส อะไรต่อมีอะไร ไม่รู้จักจบ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/9/60

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมอาชาอิเราะฮจอมปลอม บิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟและใส่ร้ายคนที่เห็นต่าง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วาทกรรมอาชาอิเราะฮจอมปลอม บิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟและใส่ร้ายคนที่เห็นต่าง
‎มานะศักดิ์ เวชกุล‎ ถึง ตรงประเด็นสี่มัสหับ เพื่ออุมมาตุลวาฮีดะห์
20 สิงหาคม ·
นายอะสัน หมัดอะดัม เที่ยวหลอกบรรดาลูกสมุนตัวเองว่า.อัลเลาะเป็นผู้บอกเองว่า..พระองค์อยู่บนฟ้า..โดยยกอายะฮ์นี้..มาอ้าง
จากคำดำรัสนี้ที่อัลเลาะได้ทรงเล่าเรื่องราวของฟิรอูนว่า
وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا
และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
@@@@
ชี้แจง
ผมได้ชี้แจงเรื่องนี้มาหลายรอบ เพราะผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ มักจะใช้ตรรกถามว่า "จุดใหนที่อัลลอฮบอกว่าพระองค์อยู่บนฟ้า
ขอเรียนว่า อายะฮข้างต้น ปราชญยุคสะลัฟ รวมถึง อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ ได้เอามาเป็นหลักฐานยืนยันว่าอัลลอฮ อยู่ บนฟ้าหรืออยู่เบื้องสูง แต่....ทาสแนวคิดญะฮมียะฮกลับไม่ใส่ใจ
1.อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏเฎาะบะรีย์ อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏเฏาะบะรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37
......
อิบนุญะรีร บอกว่า ฟาโรห์ กล่าวหาว่ามูซา (อ.)โกหก ที่เขาอ้างว่าเขามีพระเจ้าอยู่บนฟ้า
2.อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ฮ.ศ.280) กล่าวว่า
ففي هذه الآية بيان ، ودلالة ظاهرة ،أن موسى كان يدعو فرعون إلى معرفة الله بأنه فوق السماء ، فمن أجل ذلك أمر ببناء الصرح ،ورام الإطلاع إليه
ในอายะฮนี้ คือความชัดเจน และเป็นหลักฐานอันชัดเจน ว่า มูซา เรียกร้องฟิรเอาอฺ ให้ไปสู่การรู้จักอัลลอฮ ว่า แท้จริงพระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ด้วยเหตุดังกล่าวเขา(ฟาโรห์)จึงบัญชา ให้สร้างหอสูง และปรารถนาจะขึ้นไปยังพระองค์ – อัรรอ็ด อะลัลญะมียะฮ หน้า 37
...
อัดดาริมีย์ บอกว่า นบีมูซา (อ.)เรียกร้องฟ้าโรห์ ให้ไปสู่การรู้จักอัลลอฮ ว่าพระองค์อยู่เหนือฟากฟ้า
3. มุหัมหมัด บิน อิสหาก บิน คุซัยมะฮ หรือ เรียกว่า อิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311) กล่าวว่า
وفي قوله وإني لأظنه كاذبا دلالة على أن موسى قد كان أعلمه أن ربه جلا وعلا أعلى وفوق.
ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) คือหลักฐานแสดงบอก ว่า มูซา ได้บอกให้เขา(ฟาโรห์)รู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิง ทรงอยู่สูง และทรงอยู่เบื้องบน – ดู กิตาบุตเตาฮีด ของท่าน อิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 264
.....
อิบนุคุซัยมะฮ บอกว่า ว่า มูซา ได้บอกให้เขา(ฟาโรห์)รู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิง ทรงอยู่สูง และทรงอยู่เบื้องบน
4. อิบนุอับดิลบัร – ฮ.ศ 463 (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) ปราชญเคาะลัฟยุคต้นๆ กล่าวว่า
فَدَلَّ على أن موسى عليه السلام كان يقول: إلهي في السماء، وفرعون يظنه كاذبا
และและแสดงบอกว่า แท้จริงมูซา อะลัยฮิสสลาม เขากล่าวว่า พระเจ้าของฉัน อยู่บนฟากฟ้า และฟาโรห์ เข้าใจว่าเขา(มูซา) เป็นผู้โกหก – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 133
....
อิบนุอับดิลบัร บอก ว่ามูซาบอกฟาโรห์ว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้า
5. อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์(ฮ.ศ 449) ปราชญเคาะลัฟยุคต้นๆ อธิบายว่า
قوله {وإني لأظنه كاذبا} يعني في قوله: إن في السماء إلهًا، وعلماء الأمة وأعيان الأئمة من السلف رحمهم الله لم يختلفوا في أن الله تعالى على عرشه، وعرشه فوق سماواته
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ) หมายถึง ในคำพูดของเขา(มูซา)ที่ว่า แท้จริงมีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า) และบรรดาอุลามมาอฺแห่งอุมมะฮ และบรรดา ประชาชนแห่งอุมมะฮจากชาวสะลัฟ (ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขา) พวกเขาไม่ได้เห็นต่างกัน เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์- อะกิดะฮสะลัฟวะอัศหาบุลหะดิษ หน้า 176
....
คำพูดของอิหม่ามอัศศอบูนีย์ยืนยันชัดเจนว่า อายะฮข้างต้น ปราชญ์ยุคสะลัฟไม่มีความเห็นขัดแย้งกันเลย เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์
........
ยังมีปราชญ์อีกมากมายได้อ้างอายะฮนี้เป็นหลักฐานพระเจ้าอยู่เบื้องสูง หรืออยู่บนฟ้า และ อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ อิหม่ามอาชาอิเราะฮ ก็ได้อ้างอายะฮข้างต้นเป็นหลักฐานว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าเช่นกัน
โดยอบูหะซันอัลอัชอะรีย(ฮ.ศ 324)กล่าวว่า
، وقال تعالى حاكيا عن فرعون لعنه الله: (يا هامان ابن لي صرحا لعلي أبلغ الأسباب أسباب السماوات فأطلع إلى إله موسى وإني لأظنه كاذبا) من الآيتين (36 - 37 /40) ، كذب موسى عليه السلام في قوله: إن الله سبحانه فوق السماوات
และพระองค์ทรงตรัสเล่าเรื่องเกี่ยวกับฟิรเอาน์ (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งมัน -ว่า
“โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก” (ฆอฟิร/36-37)
เขา(ฟิรเอาน์)กล่าวหาว่ามูซาพูดโกหกในคำพูดของท่านที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงมหาบริสุทธิ์อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย”-ดู อัลอิบานะฮ อันอูสูลิดดิยานะฮ หน้า 106 บทที่ 5 ฉบับตรวจทานโดย ดร.เฟากียะฮ (ดูสำเนาที่แนนบมา)
.................ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
จะเห็นได้ว่า แม้แต่อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ อิหม่ามอาชาอิเราะฮ ได้เอาอายะฮนี้มาเป็นหลักฐานแสดงการอยู่บนฟ้าของอัลลอฮ แต่...อาชาอิเราะฮจอมปลอม กลับหาว่าเป็นเรื่องโกหกและกล่าวหาผมว่า "หลอกลวงผู้คน"-นะอูซุบิลละฮ นี่หรือมุสลิม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/9/60

การตีความสิฟัตอัลอิสติวาอฺว่าหมายถึงการปกครองคือแนวคิดมุอตะซิละฮ ภาค 3





การตีความสิฟัตอัลอิสติวาอฺว่าหมายถึงการปกครองคือแนวคิดมุอตะซิละฮ ภาค 3
วะฮาบีกลุ่มชนที่บิดอะห์ด้านอะกีดะห์
เมื่อวานนี้ เวลา 1:41 น.
คุณจะตามตาเวาะสัน #วะบีสะเดา หรือ จะตามปราชน์แห่งโลกอิสลาม
ด้านล่างนี้
เครดิตโดย : ท่าน อัลจูนัยดี อัซซาฟีอี ...
👉👉 แล้วใครบ้างจากบันดา อูลามะ (นักปราชญ์) ที่แปล "อิสตีวะ" คือปกครอง ? เรามาดูกันนะ ครับ...
 เราจะเรียงตามลำดับ จากยุคสาลัฟ จนถึงยุคฺฮ.ศ 900.(อีมาม ซายูตี) โดยไม่ขาดช่วงขาดตอนกันนะครับ...

👉 1- ท่าน อิบนู มูบารอก.
(เป็นลูกศิษย์ ของท่าน ฮูมัยด์ อัตตาบีอี , และ ท่านฮูมัยด์ เป็นลูกศิษย ์ของท่านอานัส บินมาลิก อัสสอฮาบัต , และท่านอานัส เป็นลูกศิษย์ ของท่านนาบี(ช.ล) , ทั้งหมด เป็น รอวี ของท่าน บูคอรี. )
เสียชีวิต ในปี ฮ.ศ 237. (ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาـ.) ในหนังสือ ของท่าน( غريب القرءان وتفسيره )
ما نصه : ◇ الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى◇ : استوى : استولى اهـ .
แปล : . ผู้สงเมตตา นั้น (สงปกครอง) เหนืออารัส
@@@@@
ชี้แจง
ผมได้ตัดข้อความขยะบางส่วนของ ผู้ใช้เพจที่ใช้นามแฝงโดยไม่กล้าใช้ชื่อจริงว่า” วะฮาบีกลุ่มชนที่บิดอะห์ด้านอะกีดะห์” ดูชื่อก็รู้ว่า ชัยฏอนสั่งมา
เขาอ้างอิบนุ อัลมุบารอ็ก ว่า ตีความ อิสติวา ว่า หมายถึง อิสเตาลา (ปกครอง) บอกชื่อหนังสือ ไม่บอกเล่ม และหน้า ไม่แนบสำเนา คงจะอ้างตามเขามาอีกที
อิบนุอัลมุบารอ็ก ที่ นาย” วะฮาบีกลุ่มชนที่บิดอะห์ด้านอะกีดะห์ อ้างถึงคือ
أَبُو عَبْدِ اللَّهِ مُحَمَّدُ بْنُ الْعَبَّاسِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي مُحَمَّدٍ يَحْيَى بْنُ الْمُبَارَكِ الْيَزِيدِيُّ الْبَغْدَادِيُّ
อบูอับดิลละฮ มุหัมหมัด บิน อัลอับบาส บิน มุหัมหมัด บิน อบีมุหัมหมัด ยะหยา บิน อัลมุบารอ็ก อัลยะซีดีย อัลบัฆดาดีย บ้างก็เรียกสั้นๆว่า อับดุลลอฮ บิน ยะหยา บิน อัลมุบารอ็ก อัลยะซีดีย์ เสียชีวิตปีฮ.ศ 237
ท่านผู้นี้ มีการวิจารณ์ว่าเกี่ยวข้องกับแนวคิดมุอตะซิละฮ ขอให้ไปศึกษา หนังสือ มะนาฮิญุลลุฆวียีน ฟีตักรีริลอะกีดะฮ ดร.มุหัมหมัด ชัยค์ อะลียู มุหัมหมัด หน้า 449 หัวข้อ
الباب الثاني : سياق من كان على منهج المعتزلة أو اتهم بشيء من مبادئهم على الترتيب الزمني
ในขณะที่ อิบนุอัลมุบารอ็ก อีกท่านหนึ่งคือ
อับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็กอัลมัรวะซีย์ (ฮ.ศ 118-181) ปราชญ์สะลัฟผู้นี้ ยืนยันในกาอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน
قَالَ : حَدَّثَنِي عَلِيُّ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ شَقِيقٍ ، قَالَ : قُلْتُ : لِابْنِ الْمُبَارَكِ : كَيْفَ نَعْرِفُ رَبَّنَا ؟ قَالَ : فِي السَّمَاءِ السَّابِعَةِ عَلَى عَرْشِهِ ، وَلَا نَقُولُ كَمَا تَقُولُ الْجَهْمِيَّةُ : إِنَّهُ هَاهُنَا وَهَاهُنَا
เขา(มุหัมหมัด บิน ฮานิ อัฏฏีอีย์ อัลอัษรอม) กล่าวว่า อาลี บิน หะซัน บิน ชะกีก กล่าวว่า “ “ข้าพเจ้าได้กล่าวกับอับดุลลอฮ บิน อัล-มุบาร็อก ว่า เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของเราได้อย่างไร?” อิบนุล มุบาร็อก ตอบว่า “พระเจ้าของเราอยู่บนชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ เราจะไม่กล่าวเช่นที่พวกญะฮฺมียะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮทรงอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี (หมายถึง บนหน้าแผ่นดิน”) – อิษบาตรสิฟัตอัลอุลูว์ ของอิบนุกุดามะฮอัลมุกอ็ดดิสีย์ หะดิษหมายเลข 70 เรือง أَقْوَالُ الأَئِمَّةِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ
.......
อย่างไรก็ตามการตีความ คำว่า
على العرش استوى เป็น على العرش استولى (ทรงปกครองเหนือบัลลังค์ )นั้น เป็นความหมายที่ไม่ถูกต้อง
1.อิบนุญะรีร อธิบายว่า
وَأَمَّا قَوْلُهُ : ( ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ ) فَإِنَّهُ يَعْنِي : عَلَا عَلَيْهِ
และสำหรับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (หลังจากนั้นพระองค์ทรงอิสตะวา บนบัลลังก์ ) แท้จริง ความหมายคือ อยู่สูง เหนือมัน - ตัฟสีรอัฏเฎาะบะรีย์ 16/326
2.บะชีร บิน อุมัร อัซซะฮรอนีย(ฮ.ศ 207) ปราชญ์ยุคสะลัฟ กล่าวว่า
سمعت غير واحد من المفسرين يقول :{الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى}: ارتفع.
ข้าพเจ้าได้ยินนักตัฟสีร(นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน)หลายคน พวกเขากล่าวว่า(พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอิสตะวา บนอะรัช ) หมายถึง ทรงอยู่สูง (เหนืออะรัช ) -
مسند إسحاق بن راهويه (ت. 238 هـ) كما في اتحاف الخيرة المهرة للبوصيري (ج1 ص186)، والمطالب العالية لابن حجر (ج12 ص570)، فالإسناد صحيح؛ ورواها اللالكائي في شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة بسنده عن إسحاق بن راهويه (ج3 ص396
3.อบุลอับบาส ษะอลับ (ฮ.ศ 291) ปราชญ์ทางภาษา กล่าวว่า
{استوى على العرش}: علا
ทรงอิสตะวา บน บัลลังค์ หมายถึง อยู่สูง
شرح أصول اعتقاد أهل السنة للالكائي (ج3 ص399) وسنده صحيح.
อัสสะอดีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وتارة تكون بمعنى "علا "و "ارتفع "وذلك إذا عديت بـ "على "كما في قوله تعالى: { ثم استوى على العرش
และบางครั้งมัน (อิสตะวา) มีความหมายว่า علا (อยู่สูง) ارتفع (ขึ้นสูง) และดังกล่าวนั้น เมือถูกให้เป็นสกรรมกริยา ด้วยคำว่า على เช่น ในคำตรัสของอัลลอฮตาอาลาที่ว่า(พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอยู่เหนือบัลลังค์ – ตัฟสีรอัสสะอดีย์ เล่ม 1 หน้า 48
อัรซัรกอนีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
مقيد بـ "على" مثل قوله: لتستووا على ظهوره » [الزخرف: آية ١٣] وهذا معناه العلو والارتفاع والاعتدال بإجماع أهل اللغة
(คำว่า อิสตะวา) ถูกจำกัดด้วย คำว่า (อะลา) เช่น คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(เพื่อพวกเจ้าจักได้ขี่บนหลังมัน หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ระลึกถึงความโปรดปรานแห่งองค์อภิบาลของเจ้าเมื่อพวกเจ้าขึ้นขี่มัน –อัซซุครุฟ/๑๓ –และนี่ ความหมายของมัน คือ อัลอุลูว์วัลอิรติฟาอฺ (การอยู่สูง)และอัลเอียะติดาล (ความเท่าเทียมกัน) ด้วยมติของนักภาษาศาสตร์ – ดู มะนาฮิลุลอุรฟาน ฟี อุลูมิลกุรอ่าน หน้า 752
........
ส่วน การให้ความหมาย อิสตาวา (استوى ) เป็น استولى (ปกครอง หรือยึดครอง) นั้นไม่ถูกต้อง เพราะคำนี้ ใช้กับ การมีอำนาจปกครอง หลังจากที่ไม่มีอำนาจ ซึ่งยอมเป็นไปไม่ได้สำหรับอัลลอฮ –
أَنَّ الِاسْتِيلَاءَ مَعْنَاهُ حُصُولُ الْغَلَبَةِ بَعْدَ الْعَجْزِ وَذَلِكَ فِي حَقِّ اللَّهِ تَعَالَى مُحَالٌ .
แท้จริง อัลอิสติลาอฺ ความหมายของมันคือ การมีชัย หลังจากที่อ่อนแอ และดังกล่าวนั้น เป็นไปไม่ได้ใน สิทธิแห่งอัลลอฮ ตาอาลา – อัลมุฟัสสิรูน บัยนัตตะวีลวัลอิษบาตร ของ ชัยค์ มุหัมหมัด บิน อับดุรเราะหมานอัลมัฆรอวีย์ หน้า 927
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/9/60
ปล .เนื้อหายาวไป แต่ขอความกรุณาอ่านให้จบ

สำเนาหนังสือ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษอ้างคนหมู่มาก


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษอ้างคนหมู่มาก
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
เมื่อวานนี้ เวลา 6:57 น.
ถ้าแนวทางวาฮาบีที่ช่องจานดำแพร่เชื้ออยู่
ไม่ว่าช่องtvmuslim , yateemtv(สายสลาฟี่)
หรือช่องwhite chanel(สายอิควาน)
เป็นแนวทางที่ถูกต้องจริงๆ
อุลามาอ์ฟาตอนีรุ่นก่อนๆคงเอามาแพร่มานานแล้วแหล่ะ
แต่มิได้เป็นเช่นนั้นเลย กลับกัน พวกเขากลับแต่งตำราบอกมาล่วงหน้าแล้ว ว่าอีกหน่อยลูกหลานจะได้เห็นแนวทางนี้
ซึ่งก้อเป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย คนที่ไร้พื้นฐานอันแน่นแฟ้นก้อได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของคนกลุ่มนี้อย่างง่ายดาย
ความแตกแยกอย่างรุนแรงก้อได้ประจักษ์มาแล้วในบางหมู่บ้าน มัสยิดจะมีสองหลัง อันเป็นการขัดหลักชัรอีย์อย่างมิต้องสงสัย
นาอูซุบิลลาฮ
จากอิบนุอุมัร ท่านนบีกล่าวว่า
عليكم بالجماعة
วายิบบนสูเจ้าต้องอยู่กับชนกลุ่มใหญ่
นบีกล่าวอีกว่า
لا تجمع امتي على الضلالة
ประชาชาตของฉันจะไม่รวมกันบนความหลงผิด
-อัตเตาะบารอนี-
นี่คือวจนะที่ชัดเจน ไร้ข้อกังขาใดๆ
ซึ่งชนกลุ่มใหญ่จากประชาชาตินี้เกือบทั้งหมด ต่างก้อยึดกุรอ่านหะดิสเข้าใจมัน ผ่านอุลามาอ์จากสี่มัสหับ
@@@
บุคคลนามแฝงข้างต้น อาศัยชื่อปลอมเที่ยวใช้ตรรกและความคิดเห็นชงเรื่องศาสนา มอมเมาคนอาวามอยู่เป็นประจำ และนี้ก็อ้างคนหมู่มากโดยการนำหะดิษมาชงแล้วโจมตีช่องทีวีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำชิริกและบิดอะฮ
ดังนั้นขอชี้แจงว่า
ที่นบี ศอลฯ บอกว่า
فليلزم الجماعة
จงยึดมั่นญะมาอะฮ
หะดิษข้างต้น เต็มๆคือ
عَلَيْكُمْ بِالْجَماَعَةِ وَ إِيَّاكُمْ وَ الْفُرْقَةَ فَاِنَّ الشَّيْطَانَ مَعَ الْوَاحِدِ وَ هُوَ مِنَ الْاِثْنَيْنِ اَبْعَدُ , مَنْ اَرَادَ بُحْبُحَةَ الْجَنَّةِ فَلْيَلْزِمِ الْجَمَاعَةَ
หน้าที่พวกท่านจะต้องยึดหมู่คณะ และพวกท่านพึงห่างใกลความแตกแยก เพราะแท้จริงชัยฏอน อยู่ร่วมกับ ผู้ที่โดดเดี่ยว และมันห่างใกลยิ่งจากคนสองคน ,ผู้ใด ต้องการความสุขแห่งสวรรค์ เขาจงยึดมั่นในหมูคณะ- รายงานโดย อัตติรมิซีย์และคนอื่นๆ
คำว่า “อัลญะมาอะฮ”ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง คนหมู่มากคือ มาตรฐานของความถูกต้อง แต่หมายถึงหมู่คณะที่ อยู่บนความถูกต้อง
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة
ถ้าท่านถามพวกโง่เขลา เกี่ยวกับคำว่า “อัสสะวาดุลอะอฺซ็อม” พวกเขาก็จะตอบว่า “คือ หมู่คณะของผู้คนทั่วไป” โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ)นั้นคือ ผู้รู้ที่ยึดมั่นในร่องรอย(สุนนะฮ)ของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่าน ดังนัน ผู้ใด อยู่พร้อมกับเขาและเจริญรอยตามเขา เขาก็คือ อัลญะมาอะฮ” - รายงานโดยอบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239
อบูชามะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
حَيْثُ جَاءَ الْاَمْرُ بِلُزُوْمِ الْجَمَاعَةَ , فَالْمُرَادُ بِهِ لُزُوْمُ الْحَقِّ وَ اِتْبَاعُهُ , وَ اِنْ كَانَ الْمُتَمَسِّكُ بِالْحَقِّ قَلِيْلاً , وَالْمُخَالِفُ لَهُ كَثِيْرًا لِأَنَّ الْحَقَّ الَّذِىْ كَانَتْ عَلَيْهِ الْجَمَاعَةُ الاُوْلَى مِنَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمَ وَ اَصْحَابِهِ وَ لاَ يَنْظُرُ اِلَى كَثْرَةِ أَ هْلِ الْبَاطِلِ بَعْدَهُمْ
โดยที่คำสั่งให้ยึดมั่นหมูคณะ(อัลญะมาอะฮ) ความมุ่งหมายด้วยมันคือ ยึดมั่นความถูกต้อง และการปฏิบัติตามความถูกต้อง แม้ว่า ผู้ที่ยึดถือความถูกต้องจะมีจำนวนน้อย และผู้ที่ขัดแย้งกับความถูกต้อง มีจำนวนมากก็ตาม เพราะสัจธรรม(ความถูกต้อง/ความจริง)นั้นคือ(แนวทาง) ที่หมู่คณะยุคแรก จากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาสาวกของนบี ยืนหยัดอยู่บนมัน และเขาจะไม่พิจารณาดู จำนวนมากของผู้ที่ไม่ถูกต้องยุคหลังจากพวกเขา – อัลบาอิษ อะลา อิงการิลบิดอิ หน้า 19ในภาพอาจจะมี ข้อความ
..........
คำว่า "อัลญะมาอะฮ" หมายถึงหมู่คณะที่ยึดความถูกต้อง เจริญรอยตามตามแนวทางคนยุคแรก(สะลัฟ) ที่มาจากท่านนบี ศอ็ลฯและเหล่าเศาะฮาบะฮ(ร.ฎ) ไม่ใช่พิจารณาที่จำนวนคนหมู่มากที่อยู่บนความเท็จ
อัลลอฮ(ซ.บ) สอนให้สร้างเอกภาพบนคำสอนศาสนา ไม่ใช่ความเห็นของคนหมู่มาก
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللهِ جَمِيعًا وَلاَ تَفَرَّقُوْا
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
อิบนุญะรีรอธิบายว่า
وَتَمَسَّكُوا بِدِينِ اللَّهِ الَّذِي أَمَرَكُمْ بِهِ
และพวกเจ้าจงยึดถือศาสนาอัลลอฮ ซึ่ง พระองค์ได้สั่งพวกเจ้าด้วยมัน
- ย้ำ ศาสนาที่อัลลอฮ สั่งไม่ใช่ศาสนาที่มนุษย์คิดขึ้น
ท่านอิบนุญะรีร กล่าวว่า
وَالِاجْتِمَاعِ عَلَى كَلِمَةِ الْحَقِّ ، وَالتَّسْلِيمِ لِأَمْرِ اللَّهِ
และการรวมตัวกันบนถ้อยคำแห่งความจริง และยอมรับคำบัญชาของอัลลอฮ –ดูตัฟสีรอัฏอ็บรีย์ เลม 7 หน้า 71
@@@
เพราะฉะนั้น ขอย้ำว่า ปริมาณ ต้องควบคู่กับคุณภาพ และ ความถูกต้องไม่ได้วัดที่จำนวนคนมากเสมอไป และจำนวนคนหมู่มากที่อยู่บนการทำชิริกและบิดอะฮ มันแค่ฟ้องน้ำ ที่ไร้คุณภาพ และไร้ประโยชน์
อัลฟุฎัยลฺ บิน อิยาฎ กล่าวว่า
الزمْ طريقَ الهدَى ، ولا يضرُّكَ قلَّةُ السالكين ، وإياك وطرقَ الضلالة ، ولا تغترَّ بكثرة الهالكين
จงยึดมั่นหนทางที่เป็นทางนำ และ บรรดาผู้ดำเนินตามมีจำนวนน้อย ก็ไม่ให้โทษแก่ท่าน และพึงระวัง หนทางที่หลงผิด และ อย่าหลงเชื่อ ด้วยจำนวนมากของ บรรดาผู้ที่หายนะ
". انتهى وينظر: "الأذكار" للنووي صـ221، "الاعتصام "للشاطبى (1 / 83).
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/9/60

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

เมื่อปราชญ์แห่งดินแดนมาลายูแปลอายาตสิฟาต








เมื่อปราชญ์แห่งดินแดนมาลายูแปลอายาตสิฟาต


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



ชัยค์ อับดุลกอเดร อันมันดีลีย์ ปราชญ์ชาวอินโดนิเซีย ที่มีชื่อเสียงและได้ทำการสอนศาสนาอยู่ที่นครมักกะฮในอดีต โดยบรรดาโต๊ะครูในอดีตในเมืองไทย ได้ไปเรียนกับท่านผู้นี้หลายคน และกลับมาตั้งปอเนาะ ชัยค์แปลอายาตที่เกี่ยวกับคุณลักษณะอัลลอฮ เป็นภาษามาลายู แต่..แปลก มีคนที่อ้างว่ายึดแนวอาชาอิเราะฮ บางกลุ่ม ในปัจจุบัน กล่าวหาคนที่แปลความหมายอายาตสิฟาต ว่า พวกมุญัสสิมะฮ หรือ พวกให้รูปร่างแก่อัลลอฮ (ดูสำเนาหนังสือชัยค์อับดุลกอเดร์ข้างล่าง)
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/9/60

ดุอาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเจาะจงใช้ในวันสิ้นปีและเริ่มปีใหม่



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ดุอาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเจาะจงใช้ในวันสิ้นปีและเริ่มปีใหม่
Cinta Yang Suci
ได้แชร์โพสต์ของ Dun Ya Semen Tara
เมื่อวานนี้ เวลา 5:31 น. ·
Dun Ya Semen Tara ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ
19 กันยายน เวลา 16:16 น. ·
#อย่าลืม#พลาดแล้วพลาดเลย#ปีหนึงมีครั้งเดียว= อ่านดุอาสิ้นปีและดุอาปีใหม่ของอิสลาม
)ดุอาสิ้นปีอ่านวันพุธที่ 20/9/60 หลังละหมาดอัสรี
)ดุอาต้อนรับปีใหม่ 1439 هجرية อ่านวันพุธที่20/9/60
หลังละหมาดมัฆริบ
(مالم خميس)
ช่วยกันบอกต่อๆกันและชวนลูกหลานมาอ่สนดุอาร่วมกัน.
ขอให้ทุกท่านได้ความคุ้มครองจากอัลลอฮ์.
امين.
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ชี้แจง
มีการแชร์ อ่านดุอาสิ้นปีและดุอาปีใหม่ของอิสลาม กันแพร่หลาย ทั้งที่ดุอานั้น ไม่มีในสุนนะฮ ไม่ปรากฏดุอาตามสุนนะฮเจาะจงให้อ่านในวาระ สิ้นปี และต้นปีฮิจญเราะฮเลย
ชัยค์ อัลลามะฮบักรฺ บิน อับดุลลอฮ อบูเซด (ฮ.ศ 1365 -1429) กล่าวว่า
لا يثبت في الشرع شيء من ذكر أو دعاء لأول العام وهو أول يوم أو ليلة شهر محرّم، وقد أحدث الناس فيه من الدعاء والذكر والذكريات وتبادل التهاني وصوم أول يوم من السنة وإحياء ليلة أول يوم من محرم بالصلاة والذكر والدعاء وصوم آخر يوم من السنة إلى غير ذلك مما لا دليل عليه
ไม่มีสิ่งใดๆ ยืนยันแน่นอนใน ศาสนบัญญัติ เกี่ยว กับซิกรฺและดุอา ของการเริ่มต้นของวัน หรือ คืน ของเดือนมุหัรรอม และแท้จริง บรรดาผู้คนได้ ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในมัน เช่น ดุอา ,ซิกริลละฮ ,การกล่าวรำลึก ,การอวยพรกันและกัน ,การถือศีลอดวันแรกของปี ,การอดนอนเพื่อทำอิบาดะฮ วันแรกของเดือนมุหัรรอม ด้วยการละหมาด,การซิกริลละฮ,การดุอา และการถือศีลอด วันสุดท้ายของปี จนกระทั่งอิบาดะฮอื่นๆจากดังกล่าวนั้น จากสิ่งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันบนมัน - ดูตัศเฮียะอัดดุอา หน้า 107
.....
การกำหนดดุอาขึ้นมา เจาะจงในโอกาสเริ่มต้นปีฮิจญเราะฮ หรือสิ้นปี ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน เลย ไม่ปรากฏในอัสสุนนะฮ แต่เป็นบิดอะฮที่ถูกอุตริขึ้นมา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/9/60

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

เมื่ออิหม่ามอัล-เฆาะซาลีถอนตัวจากแนวคิดอะฮลุลกาลาม


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เมื่ออิหม่ามอัล-เฆาะซาลีถอนตัวจากแนวคิดอะฮลุลกาลาม
ได้มีหลักฐานจากคำพูดของนักวิชาการว่า อิหม่ามอบูหามีด อัลเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ) ได้กลับตัวจากแนวคิดอะฮลุลกาลามสู่อะกีดะฮสะลัฟ
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَأَبُو حَامِدٍ إنَّمَا ذَمَّ التَّأْوِيلَ فِي آخِرِ عُمْرِهِ وَصَنَّفَ ” إلْجَامَ الْعَوَامِّ عَنْ عِلْمِ الْكَلَامِ
และอบูหามีด ความจริงเขาได้ตำหนิ การตีความ(ตะวี้ล) ในบั้นปลายอายุของเขา และเขาได้เรียบเรียงหนังสือ "อิลญามุล อะวาม อัน อิลมิลกาลาม - ดู มัจญมัวะฟะตะวาอิบนุตัยมียะฮ 17/357
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَكَذَلِكَ الْغَزَالِيُّ رَحِمَهُ اللَّهُ ، انْتَهَى آخِرُ أَمْرِهِ إِلَى الْوَقْفِ وَالْحَيْرَةِ فِي الْمَسَائِلِ الْكَلَامِيَّةِ ، ثُمَّ أَعْرَضَ عَنْ تِلْكَ الطُّرُقِ وَأَقْبَلَ عَلَى أَحَادِيثِ الرَّسُولِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَمَاتَ وَالْبُخَارِيُّ عَلَى صَدْرِهِ .
และทำนองเดียวกันนั้น อัลเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ) สุดท้ายกิจการของเขา (คือในบั้นปลายชีวิต)นำไปสู่การหยุด และ ความสับสนวุ่นวายใจ(คือเจอทางตัน) ในบรรดาประเด็นเกี่ยวกับกาลามียะฮ หลังจากนั้น เขาได้ผินหลังให้ จากบรรดาแนวทางดังกล่าว (แนวทางปรัชญาและวิภาษวิทยา)และมุ่งสู่ บรรดาหะดิษรอซูล ศฮ็ลฯ แล้วเขาได้เสียชีวิต โดยที่เศาะเฮียะบุคอรี อยู่บนอกของเขา - ชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ หน้า 244
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) หลังจากที่ท่านได้ กล่าวถึง ความปราดเปรืองของ อัลเฆาะซาลี ในด้านปรัชญา และวิชากาลาม และวิธีการดำเนินชีวิตตามแนวทางซุฟี เพือให้บรรลุ เป็นอะฮลุลกัชฟฺ แต่ในที่สุด ท่านก็กลับมาสู่แนวทางของนักหะดิษ
وَإِنْ كَانَ بَعْدَ ذَلِكَ رَجَعَ إلَى طَرِيقَةِ أَهْلِ الْحَدِيثِ وَصَنَّفَ ” إلْجَامَ الْعَوَامِّ عَنْ عِلْمِ الْكَلَامِ ” .
และปรากฏว่า หลังจากดังกล่าวนั้น เขา(อบูหะหมีดอัลเฆาะซาลี) ได้กลับสู่ แนวทางนักหะดิษ และเขาได้เรียบเรียงหนังสือ "อิลญามุลอะวาม อันอิลมิลกาลาม " - มัจญมัวะฟะตะวาอิบนุตัยมียะฮ 4/72
อิหม่ามบัดรุดดีน อัรซัรกะชีย์ ปราชญมัซฮับชาฟิอี กล่าวว่า
وهو كِتَابُ إلْجَامِ الْعَوَامّ عن عِلْمِ الْكَلَامِ وهو آخِرُ تَصَانِيفِ الْغَزَالِيِّ مُطْلَقًا أو آخِرُ تَصَانِيفِهِ في أُصُولِ الدِّينِ حَثَّ فيه على مَذْهَبِ السَّلَفِ وَمَنْ تَبِعَهُمْ
และมันคือ หนังสือ อิลญามุลอะวาม อันอิลมิลกาลาม และมันคือ งานเขียนสุดท้ายของอัลเฆาะซาลีย์ โดยรวม หรือ งานเขียนสุดท้ายของเขาใน เรื่องอุศูลุดดีน (เรื่องอะกีดะฮ) ในหนังสือนั้น ส่งเสริม ให้อยู่บนแนวทางสะลัฟและบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา - อัลบะหรุลมุฮีฏ เล่ม 3 หน้า 440ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ได้ระบุว่า อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) ได้ห้ามยุ่งเกียวกับวิชากาลาม แล้วได้กล่าวเกี่ยวกับอิหม่ามเฆาะซาลีว่า
وقد صنف الغزالي رحمه الله في آخر أمره كتابه المشهور الذى سماة الجام العوام عن علم الكلام
และ อัลเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ) ในบั้นปลายชีวิตของเขา เขาได้เรียบเรียง หนังสือของเขา ที่เป็นที่แพร่หลาย ทีถูกชื่อว่า " "อิลญามุลอะวาม อันอิลมิลกาลาม "
..................
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า อิหม่ามเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ) ได้กลับตัวจาก แนวทางวิชาปรัชญาและวิชากาลาม ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้ตรรกทางปัญญาอธิบายคุณลักษณะอัลลอฮ ไปสู่แนวทางสะลัฟ อะฮลุลหะดิษ แต่..ยังมีนักตรรกนิยม บางส่วนยังจะเอาคำพูดของท่านผู้นี้มาอ้างรับรองตรรกของตน ในการตีความอายาตสิฟาตกันอยู่
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
14/9/60

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมแบบแนวคิดญะฮมียะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมแบบแนวคิดญะฮมียะฮ
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
1 ชม.
วาฮาบืปฎิเสธซีฟัต 20 คืออากีดะหลงทางเข้าใจยัง สิ่งที่จำเป็นต้องเอี๊ยะติกอดก็คือ ต้องเอี๊ยะติกอดและรู้ในบรรดาสิ่งที่เป็นวายิบ (วายิบต้องมี) ที่พระองค์ตลอดจนสิ่งที่เป็นมุสตาฮิ้ล และฮะโรสที่พระองค์อีกทั้งจำเป็นต้องเอี๊ยะติกอดว่า ไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งบนฟ้าและแผ่นดินเสมอเหมือนพระองค์ พระองค์ไม่ได้อยู่ในสิ่งใด มิได้อยู่นอกสิ่งใด มิได้อยู่ข้างบน มิได้อยู่ข้างล่าง มิได้อยู่ทางซ้าย มิได้อยู่ทางขวา มิได้อยู่ข้างหน้า มิได้อยู่ข้างหลัง ไม่อาจสัมผัสได้ แต่พระองค์คลอบคลุมทุกสิ่งในโลก มิได้มีสถานที่ มิได้มีเวลา ทั้งอดีตและปัจจุบันและอนาคต หากแต่พระองค์ทรงคลอบคลุม เวลาทั้งหมด พระองค์มิได้ติดต่อ พระองค์มิได้แยก และนี้คือความหมายที่ท่านนะบี ศ้อลฯ กล่าวว่า العجزعن الادراك فهوادراكการที่ไม่สามารถรับรู้ได้นั้น คือรู้
@@@
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นแนวคิดกลุ่มญะฮมียะฮ ที่ปฏิเสธคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ด้วยซาตเหลือบรรดามัคลูค
คุณนามแฝง ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน บอกว่า
"พระองค์ไม่ได้อยู่ในสิ่งใด มิได้อยู่นอกสิ่งใด มิได้อยู่ข้างบน มิได้อยู่ข้างล่าง มิได้อยู่ทางซ้าย มิได้อยู่ทางขวา มิได้อยู่ข้างหน้า มิได้อยู่ข้างหลัง"
.....
เป็นวาทกรรมแนวคิดญะฮมียะฮที่ปฏิเสธ การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
ดังที่ อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ระบุว่า
หัมมาด บิน เซด (ฮ.ศ 179)ปราชญสะลัฟกล่าวว่า
إنما يدورون ، على أن يقولوا : ليس في السماء إله إله " . يعني : الجهمية
ความจริงพวกเขา ยังคงวนเวียนอยู่บน การกล่าวว่า บนฟ้า ไม่มีพระเจ้า บนฟ้าไม่มีพระเจ้า หมายถึงพวกญะฮมียะฮ
แล้วอิหม่ามอัซซะฮะบียกล่าวถึงทัศนะของท่านเองว่า
قلت : مقالة السلف ، وأئمة السنة ، بل والصحابة ، والله ورسوله والمؤمنين : أن الله في السماء ، وأن الله على العرش ، وأن الله فوق سماواته
ข้าพเจ้า กล่าวว่า "คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือแท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้าของพระองค์ -ดูอัลอุลูว์ ลิลอะลียิลฆอฟาร หน้า 142ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
: حَدَّثَنِي أَبُو الْحَسَنِ بْنُ الْعَطَّارِ ، قَالَ : سَمِعْتُ مُحَمَّدَ بْنَ مُصْعَبٍ الْعَابِدُ ، يَقُولُ : " مَنْ زَعَمَ أَنَّكَ لا تَتَكَلَّمُ ، وَلا تُرَى فِي الآخِرَةِ ، فَقَدْ كَفَرَ بِوَجْهِكَ ، وَلا يَعْرِفُكَ ، أَشْهَدُ أَنَّكَ فَوْقَ الْعَرْشِ ، فَوْقَ سَبْعِ سَمَوَاتٍ ، أَنْ لَيْسَ كَمَا يَقُولُ أَعْدَاءُ اللَّهِ الزَّنَادِقَةُ عَلَيْهِمْ لَعْنَةُ اللَّهِ
อบูลหะซัน บิน อัฏฏอ็ร ได้เล่าข้าพเจ้า โดยเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน มุหัมหมัด บิน มุศอับ อัลอาบิด (ฮ.ศ 228) กล่าวว่า " ผู้ใดอ้างว่า แท้จริงพระองค์ท่าน ไม่พูด, ไม่ถูกเห็นในวันอาคีเราะฮ แน่นอน เขาปฏิเสธศรัทธา(กุฟุร) ด้วยพระพักต์ของพระองค์ท่าน และเขา(อ้างว่า)ไม่รู้จักพระองค์ท่าน ,ข้าพเจ้าขอปฏิญานว่า แท้จริงพระองค์ท่าน อยู่เหนือบัลลังค์(อะรัช) เหนือเจ็ดชั้นฟ้า ,แท้จริง พระองค์ไม่ได้เป็นดังเช่นสิ่งที่ศัตรูของอัลลอฮ ,อัซซะนาดิเกาะฮ (อะลัยฮิมละอนะตุลลอฮ)ได้กล่าวไว้ -ดู อัสสุนนะฮ ของ อับดุลลอฮ บิน อะหมัด หน้า 1/ 34ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ดูเพิ่มเติม
[تاريخ بغداد 4/ 334]) قال: سمعت محمد بن مصعب العابد يقول: وذكره. ورواه الدارقطني في كتابه "الصفات" (ص72-73) بسنده عن محمد بن مخلد العطار (ثقة مأمون [سؤالات حمزة للدارقطني ص81]) عن أبي الحسن العطار؛ والنجاد في "الرد على من يقول القرآن مخلوق" (ص71) بسنده؛ والخطيب في "تاريخ (بغداد) مدينة السلام" (ج4 ص452).
.............
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/9/60

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

การยืนยันของสะลัฟในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

การยืนยันของสะลัฟในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
ทัศนะอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล (ฮ.ศ 164-241)
قال يوسف بن موسى القطان : قيل لأبي عبد الله أحمد بن حنبل: الله عز و جل فوق السماء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه في كل مكان؟
قال: « نعم على العرش وعلمه لا يخلو منه مكان
ยูซูฟ บิน มูซา อัลกอ็ฏฏอน กล่าวว่า "ได้ถูกกล่าวแก่ อบีอับดุลลอฮ ,อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือ ชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช ของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ,พลังอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ใช่ไหมครับ ? เขา(อะหมัด) กล่าวตอบว่า "ครับ อยู่บน อะรัช และ ความรอบรู้ของพระองค์นั้น ไ่มีสถานที่ใด ซ่อนเร้นจากพระองค์ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
شرح اعتقاد أهل السنة للالكائي (3 / 402)؛ ورواه الخلال في كتابه "السنة" عن شيخه يوسف بن موسى القطان عن الإمام أحمد، كما في كتابي الحافظ الذهبي "العرش" (ج2 ص247) و"العلو للعلي الغفار" (ص176)، قال: رواه الخلال عن يوسف. فسنده صحيح
.......................
คำว่า "อยู่เหนือชั้นฟ้าที่เจ็ด บน อะรัช แยกจากมัคลูค " เป็นการยืนยันการอยู่เบื้องสูงเหนือมัคลูคและแยกจากมัคลูค ไม่ใช่อาศัยมัคลูคเป็นสถานที่
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/9/60

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

นบีเคาะฎีรมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันจริงหรือ




นบีเคาะฎีรมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันจริงหรือ
มีโต๊ะครูสายฏอรีกัตท่านหนึ่ง ได้อ้างหลักฐานว่านบี เคาะฎีร (อ.) ยังคงมีชีวิตอยู่ โดยอ้างหลักฐานดังนี้
####และได้ยืนยันโดยอีหม่ามบัดรุดดีน อัลอัยนีย์ ใน ชาเราะห์ ศอเฮี้ยะห์ บุคอรีย์ ของท่านว่า :
ورآه عمر بن عبدالعزيز وإبراهيم ابن أدهم وبِشْرٌ الحافي ومعروف الكرخي وسري السقطي والجنيد وإبراهيم الخواص وغيرهم، رضي الله عنهم، وفيه دلائل و حجج تدل على حياته...
“ และมีผู้พบเห็นท่านนบีคิฎิร - อะลัยฮิสสลาม - หลายท่านด้วยกัน เช่น ( มีรายงานที่ศอเฮี้ยะห์จาก) ท่านอุมัร บิน อับดุลอะซีซ , ท่านอิบรอฮีม บิน อัดฮัม , ท่านบิชร์ อัลฮาฟีย์ , ท่านมะรูฟ อัลกัรคีย์ , ท่านซิรรีย์ อัสสะกอฏีย์ , ท่านญุนัยด์ , ท่านอิบรอฮีม อัลคอวาศ และท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน - รอฎิยัลลอฮุอันฮุม - และดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการมีชีวิตอยู่ของท่าน ”
[ หนังสือ อุมดะตุลกอรีย์ ชัรห์ ศอเฮี้ยะห์ อัลบุคอรีย์ เล่มที่ 13 หน้า 38 ]###
..............
ขอชี้แจงแบบไม่หมกเม็ดว่า
ความจริง ในตำราเล่มนี้กล่าวต่อไปอีก แต่ท่านครูผู้นี้ นี้ไม่เอามานำเสนอคือ ชัยค์บัดรุดดีน อัลอัยนีย์ ได้กล่าวต่อจากนั้นว่า

وَقَالَ الْبُخَارِيُّ وَإِبْرَاهِيمُ الْحَرْبِيُّ وَابْنُ الْجَوْزِيِّ وَأَبُو الْحُسَيْنِ الْمُنَادِي: إِنَّهُ مَاتَ وَاحْتَجُّوا بِقَوْلِهِ تَعَالَى: وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْد
และอัลบุคอรี ,อิบรอฮีมอัลหัรบีย์,อิบนุเญาซีย์ และอบูลหุซัยนฺ อัลมุนาดีย์ ได้กล่าวว่า "แท้จริงเขา(นบีเคาะฎีร)ได้เสียชีวิตแล้ว และพวกเขาอ้างหลักฐาน ด้วยคำตรัสของอัลลอฮตาอาลาที่ว่า "และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน" - หนังสือ อุมดะตุลกอรีย์ ชัรห์ ศอเฮี้ยะห์ อัลบุคอรีย์ เล่มที่ 13 หน้า 38
และเรื่องนี้อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้ยืนยันเช่นกันคือ
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)
. وَسُئِلَ " الْبُخَارِيُّ " عَنْ الْخَضِرِ وَإِلْيَاسَ : هَلْ هُمَا فِي الْأَحْيَاءِ ؟ فَقَالَ : كَيْفَ يَكُونُ هَذَا وَقَدْ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { لَا يَبْقَى عَلَى رَأْسِ مِائَةِ سَنَةٍ مِمَّنْ هُوَ عَلَى وَجْهِ الْأَرْضِ أَحَدٌ } " ؟ وَقَالَ أَبُو الْفَرَجِ ابْنُ الْجَوْزِيِّ : قَوْله تَعَالَى { وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ } وَلَيْسَ هُمَا فِي الْأَحْيَاءِ وَاَللَّهُ أَعْلَمُ .
อิหม่ามบุคอรี ถูกถามเกี่ยวกับ อัลเคาะฎีร และอิลยาส ว่าทั้งสองมีชีวิตอยู่หรือไม่? เขากล่าวว่า “มันจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และแท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ช่วงปลายของหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ จะไม่มีคนใดมีชีวิตอยู่ จากผู้ที่อยู่บนหน้าแผ่นดิน (ในขณะนี้) ) และอบู อัลฟัรญิ อิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวว่า คำตรัสอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน ) และ เขาทั้งสอง(หมายถึงนบีเคาะฎีรและนบีอิลยาส) ใม่ได้มีชีวิตอยู่ –วัลลฮุอะลัม – มัจญมัวฟะตาว่า เล่ม 4 หน้า 337
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
والصواب الذي عليه المحققون أنه لم يدرك الإسلام ولو كان موجوداً في زمن النبي لوجب عليه أن يؤمن به ويجاهد معه كما أوجب الله ذلك عليه وعلى غيره
และทัศนะที่ถูกต้อง ที่บรรดานักวิชาการที่ได้รับการรับรอง ได้มีทัศนะบนมัน แท้จริง เขา(นบีเคาะฎีร) ไม่ได้พบอิสลาม(หมายถึงอิสลามที่นบีมุหัมหมัดนำมา) ถ้าเขามีชีวิต อยู่ในสมัยนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แน่นอนวาญิบเหนือเขาจะต้องศรัทธาต่อ นบี และร่วมทำการต่อสู้พร้อมกับนบี ดังที่อัลลอฮได้กำหนดให้เป็นวาญิบแก่เขา และผู้อื่น(หมายถึงนบีอื่นๆหากเขามีชีวิตอยู่จริง) – มัจญมัวฟะตาว่า เล่ม 27หน้า 100- 101
กล่าวคือ ถ้านบีเคาะฎีร มีชีวิตอยู่จริง ทำไมเขาไม่มาปฏิบัติตามชะรีอัตนบีและร่วมทำสงครามศาสนากับท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
أن الخضر لو كان حيّاً إلى زمن النبي صلى الله عليه وآله وسلم لكان من أتباعه ، ولنصره وقاتل معه لأنه مبعوث إلى جميع الثقلين الإنس والجن …
แท้จริงอัลเคาะฎีร หากเขามีชีวิตอยู่ จนถึงสมัยนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แน่นอน เขาเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ปฏิบัติตามนบี และช่วยเหลือท่านนบี และร่วมทำสงคราม พร้อมกับท่านนบี เพราะ แท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกแต่งตั้ง ไปยังบรรดา มนุษย์และญิน – ดูตัฟสีร อัฎวาอุลบะยาน เล่ม 4 หน้า 183
@@@@
แล้วสมัยนบี มุหัมหมัด ศอ็ลฯ หากนบีเคาฎีร อะลัยฮิสสลาม มีชีวิตอยู่จริง เขาอยู่ใหนหรือ ทำไมไม่ปรากฏกายร่วมทำสงครามปกป้องศาสนาร่วมกับบรรดามุสลิม
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ أَفَإِنْ مِتَّ فَهُمُ الْخَالِدُونَ ( 34 )
และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน หากเจ้าตายไปพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ยงคงต่อไปกระนั้นหรือ- อัลอัมบิยาอฺ/34
อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อธิบายว่า
وَقَدِ اسْتَدَلَّ بِهَذِهِ الْآيَةِ الْكَرِيمَةِ مَنْ ذَهَبَ مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى أَنَّ الْخَضِرَ ، عَلَيْهِ السَّلَامُ ، مَاتَ وَلَيْسَ بِحَيٍّ إِلَى الْآنِ; لِأَنَّهُ بَشَرٌ ، سَوَاءٌ كَانَ وَلِيًّا أَوْ نِبِيًّا أَوْ رَسُولًا وَقَدْ قَالَ تَعَالَى : ( وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ )
บรรดานักวิชาการ(อุลามาอฺ)ที่มีทัศนะว่า แท้จริงอัลเคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม ได้เสียชีวิตแล้ว ได้อ้างหลักฐานจากอายะฮอันทรงเกียรตินี้ และเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน เพราะแท้จริง เขาคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ไม่ว่า เขาจะเป็น วะลี หรือ เป็นนบี หรือเป็นรอซูล ก็ตาม และแท้จริง อัลลอฮ ตะอาลา ตรัสว่า (และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน) – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 5 หน้า 342
อิบนุกะษีร(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
وَأَمَّا الَّذِينَ ذَهَبُوا إِلَى أَنَّهُ قَدْ مَاتَ ، وَمِنْهُمُ الْبُخَارِيُّ ، وَإِبْرَاهِيمُ الْحَرْبِيُّ ، وَأَبُو الْحُسَيْنِ ابْنُ الْمُنَادِي ، وَالشَّيْخُ أَبُو الْفَرَجِ بْنُ الْجَوْزِيِّ ، وَقَدِ انْتَصَرَ لِذَلِكَ وَأَلَّفَ فِيهِ كِتَابًا سَمَّاهُ : " عُجَالَةَ الْمُنْتَظَرِ فِي شَرْحِ حَالَةِ الْخَضِرِ " فَيَحْتَجُّ لَهُمْ بِأَشْيَاءَ كَثِيرَةٍ; مِنْهَا ، قَوْلُهُ تَعَالَى : وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ [ الْأَنْبِيَاءِ : 34 ] . فَالْخَضِرُ ، إِنْ كَانَ بَشَرًا ، فَقَدْ دَخَلَ فِي هَذَا الْعُمُومِ لَا مَحَالَةَ ، وَلَا يَجُوزُ تَخْصِيصُهُ مِنْهُ إِلَّا بِدَلِيلٍ صَحِيحٍ ،
สำหรับ บรรดาผู้ที่ มีทัศนะว่า แท้จริงเขา(เคาะฎีร) เสียชีวิตแล้ว และส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือ อัลบุคอรี , อิบรอฮีม อัลหัรบีย์ ,อบูหุสัยนฺ บิน อัลมะนาดีย์ และเช็คอบูลฟัรญิ บิน อัลเญาซีย์ และเขาได้สนับสนุนทัศนะดังกล่าว และได้เรียบเรียงหนังสือ ชื่อว่า “ อิญาละฮอันมุนตะซอรฺ ฟี ฃัร ฮิ หาละติลเคาะฎิรฺ แล้วเขาได้อ้างหลักฐานแก่พวกเขาหลายสิ่งมากมาย ส่วนหนึ่งจากมันคือ คำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน” –อัลอัมบิยาอฺ /34 ดังนั้น หากอัลเคาะฎีร เป็นมนุษย์ เขาก็เข้าอยู่ในความหมายโดยรวมนี้ (ความหมายกว้างๆของอายะฮนี้) อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่อนุญาตให้เจาะจงเขาจากมัน นอกจากด้วยหลักฐานที่ถูกต้อง(เศาะเฮียะ) – ดู อัลบิดายะฮ วัลนิฮายะฮ เล่ม 1 หน้า 336ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
........
ณ ตอนนี้ไม่มีหะดิษเศาะเฮียะสักบทที่ยืนยันการมีชีวิตอยู่ของท่านนบีเคาะฎีร มีแต่ความเห็น ที่กลุ่มฏอรีกัตเอามาเป็นหลักฐาน
จากอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่า:
صَلَّى بِنَا النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - الْعِشَاءَ فِى آخِرِ حَيَاتِهِ ، فَلَمَّا سَلَّمَ قَامَ فَقَالَ ; أَرَأَيْتَكُمْ لَيْلَتَكُمْ هَذِهِ ، فَإِنَّ رَأْسَ مِائَةِ سَنَةٍ مِنْهَا لاَ يَبْقَى مِمَّنْ هُوَ عَلَى ظَهْرِ الأَرْضِ أَحَدٌ; . متفق عليه
ความว่า : “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้นำพวกเราละหมาดอิชาอฺในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน และหลังจากท่านให้สลาม ท่านก็ได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “พวกท่านสังเกตุดูคืนนี้ของพวกท่านหรือเปล่า ? เพราะเมื่อครบหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ไป คงไม่มีผู้ใดที่อยู่บนโลกในวันนี้หลงเหลืออีกแล้ว” [มุตตะฟัก อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ตามสำนวนนี้ หมายเลข 116 และมุสลิม หมายเลข 2537]
@@@@@
คำว่า “เพราะเมื่อครบหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ไป คงไม่มีผู้ใดที่อยู่บนโลกในวันนี้หลงเหลืออีกแล้ว”
ข้างต้นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า นบี เคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม ก็เสียชีวิตแล้ว เพราะถ้าสมมุติว่า นบี เคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม” มีชีวิตอยู่ในสมัยนบีมุหมัด ก็คงไม่หลงเหลือให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน เพราะเวลาผ่านมาแล้ว หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปี
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/9/60