วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วาทกรรมบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ







วาทกรรมญะฮมียะฮบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ
มะซอและ สาอุ
มะซอและ สาอุ ชัดเจนว่า วะฮาบี มุญัซซิมะห์ เอาคำพูดของฟิรฺ ที่แอบอ้างและเข้าใจ ว่านบีมูซากล่าวแบบนั้น 55555
ถูกใจ · 18 ชม.
มะซอและ สาอุ
มะซอและ สาอุ 5555+
เอาคำพูดของฟิรเอานฺ ที่แอบอ้างว่า นบี มูซากล่าว มาเป็นอากีดะห์ ฮ้าาาาาาา
@@@@@@@@@@@
ชี้แจง
ขอความข้างต้นแสดงถึงการเย้ยหยันอะกีดะฮสะลัฟ แสดงถึงการบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟแบบนั่งเทียน -นะอูซุบิลละฮ
มาดูหลักฐานต่อไปนี้ที่แสดงบอกว่า ญะฮมียะฮ มะซอและ สาอุ โกหกบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ
อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا أَيُّهَا الْمَلأُ مَا عَلِمْتُ لَكُمْ مِنْ إِلَهٍ غَيْرِي فَأَوْقِدْ لِي يَا هَامَانُ عَلَى الطِّينِ فَاجْعَلْ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَطَّلِعُ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ مِنَ الْكَاذِبِينَ
�และฟาโรห์กล่าวว่า โอ้ปวงบริวารเอ๋ย ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากตัวฉัน โอ้ฮามาน (ชื่อตำแหน่งจากตัวแทนฟาโรห์) เอ๋ย จงเผาดินให้ฉันด้วย แล้วสร้างโครงสร้างที่สูงระฟ้า เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา (โมเสส) และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ� (อัลกิศ็อศ : ๓๘)
อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا
และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37)
...........
มาดูคำอธิบายของปราชญยุคสะลัฟดังนี้
1.อัลหาริษ อัลมุหาสิบีย์(ฺฮ.ศ 243) ปราชญยุคสะลัฟ อธิบายว่า
وإني لأظنه كاذبا فيما قال لي إنه في السماء، فطَلَبَه حيث قال له موسى مع الظن منه بموسى عليه السلام أنه كاذب، ولو أن موسى عليه السلام أخبره أنه في كل مكان بذاته لطلبَه في الأرض أو في بيته وبدنه ولم يتعز ببنيان الصرح
และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก ในสิ่งที่เขา(มูซา)กล่าวแก่ฉัน(ฟาโรห์) ว่า แท้จริงพระองค์ อยู่บนฟ้า แล้วเขาก็หาพระองค์ โดยที่มูซาได้กล่าวแก่เขา ทั้งๆที่เขาแน่ใจว่ามูซาอะลัยฮิสสลาม เป็นผู้โกหก และถ้ามูซา อะลัยฮิสสลาม บอกเชา ว่า พระองค์อยู่ในทุกสถานที ด้วยซาตของพระองค์ แน่นอน เขาก็หาพระองค์ในแผ่นดิน หรือในบ้านของเขา และในร่างของเขา และเขา(ฟาโรห์)ก็จะไม่สนับสนุนให้สร้างหอสูงหรอก - ดู ฟะฮมุอัลกุรอ่านวะมะอานีฮี ของ อัลมุหาสิบีย์ หน้า 352
..........................
สรุปจากคำอธิบายของอัลมุหาสิบีย์คือ
1. นบีมูซา กล่าวกับฟาโรห์ว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า เขาจึงหาพระเจ้ามูซา(อ.) ทั้งๆเขาเชื่อว่า มูซาโกหก 
2. ถ้านบีมูซา บอกว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง แน่นอนฟาโรห์ก็จะหาพระเจ้า บนแผ่นดิน ,ในบ้าน ในร่างกายเขา เขาจะไม่ส่งเสริมให้สร้างหอคอยสูงหรอก
นี่คือ อะกีดะฮสะลัฟ ยืนยันว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า แต่นาย มะซอและ สาอุ ใช้วาจาเย้ยหยันว่า เป็นความเชื่อของกาเฟร ของมุญัสสิมะฮ -นะอูซุบิลละฮ
2. อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏฏอ็บรีย์ (ฮ.ศ 310)ปราชญะสะลัฟอธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37
3. อับดุลบัร – ฮ.ศ368- 463 (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) ปราชญที่เกิดทันปราชญยุคสะลัฟ กล่าวว่า
فَدَلَّ على أن موسى عليه السلام كان يقول: إلهي في السماء، وفرعون يظنه كاذبا
และและแสดงบอกว่า แท้จริงมูซา อะลัยฮิสสลาม เขากล่าวว่า พระเจ้าของฉัน อยู่บนฟากฟ้า และฟาโรห์ เข้าใจว่าเขา(มูซา) เป็นผู้โกหก – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 133
@@@
จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่่า ปราชญสะลัฟยืนยันว่า ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม บอกฟาโรห์ว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า แต่ฟาโรห์กล่าวหาว่านบีมูซาโกหก
แต่ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ อย่างนาย มะซอและ สาอุ กลับเยาะเย้ยแล้วบอกว่าเป็นอะกีดะฮกาเฟร -วัลอิยาซูบิลละฮ
ขอย้ำว่า นาย มะซอและ สาอุ บิดเบือน และอ้างเท็จ ด้วยอีกสักหลักฐานคือ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
يعني: أظن موسى كاذبا أن إلهه في السماء، ولو لم يكن موسى عليه السلام يدعوه إلى إله في السماء لما قال هذا؛
หมายความว่า แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ว่า พระเจ้าของเขาอยู่บนฟ้า และถ้ามูซา อะลัยฮิสสลาม ไม่เรียกร้องเขา(ฟาโรห์) ไปสู่พระเจ้าที่อยู่บนฟ้า แน่นอนเขา(ฟาโรห์)จะไม่กล่าวแบบนี้ -ดู กิตาบอัลอะรัช 2/17
นาย มะซอและ สาอุ จอมโกหกครับ มาสาบานสักประโยคไหม ว่า อะกีดะฮพระเจ้าอยู่บนฟ้าคืออะกีดะฮกาเฟร ตามที่ท่านอ้าง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/11/59

เขาโกหกว่าฟาโรห์มีอะกีดะฮพระเจ้าอยู่บนฟ้า








เขาโกหกว่าฟาโรห์มีอะกีดะฮพระเจ้าอยู่บนฟ้า
ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 172
ท่าน อาจารย์ ผู้เขียนอ้างอายะฮต่อไปนี้คือ
يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى
โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา (ฆอฟีร 36-37)
แล้วท่านอาจารย์สรุปว่า "การพรรณาคุณลักษณะของอัลลอฮด้วยคุณลักษณะที่พระองค์อยู่บนฟ้า (แบบฟิรเอานฺโดยพรรณาว่า พระองค์ทรงอยู่บนฟ้าด้วยซาตของพระองค์ในเชิงรูปธรรม)นั้น เป็นศาสนาของฟิรเอานฺและบรรดาวงศ์วานของพวกเขาจากพวกการเฟร 
@@@@
ขอชี้แจงว่า
ขอให้ผู้อ่านผู้มีหัวใจต้องการแสวงหาความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ มาศึกษาข้อเท็จจริงต่อไปนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า ใครจริง ใครเท็จ ความหายนะจะประสบกับผู้กล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ
ขอเรียนให้ผู้อ่านทราบว่า
หนึ่งในรากฐานศาสนาหรืออะกีดะฮ ของอิสลามทุกยุคทุกสมัยคือ เชื่อว่า พระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า
ผมคงจะไม่จำเป็นต้องนำหลักฐานซ้ำซาก แต่ของยืนยันว่า คนที่อ้างว่า อะกีดะฮฟาโรห์คือ เชื่อว่าพระเจ้าอยู่บนฟ้าคือ การโกหก
มาดูคำอธิบายของ ปราชญ์ที่อาชาอิเราะฮยกย่องเช่น 
1.อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ ผู้นำมัซฮับอาชาอิเราะฮ ได้อธิบายอายะฮข้างต้นว่า 
وقال الله حكاية عن فرعون: {{ يا هامان ابن لي صرحا لعلي أبلغ الأسباب .أسباب السموات فأطلع إلى إله موسى وإني لأظنه كاذبا} كذّب موسى عليه السلام في قوله : إن الله عزوجل فوق السموات
และอัลลอฮ ได้เล่าเรื่องราว เกี่ยวกับฟาโรห์ ว่า(และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก ) เขาปฏิเสธ มูซา(อะลัยฮิสสลาม)ในคำพูดของเขาที่ว่า แท้จริง อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้า -หน้า 106 บทที่ 5 ตรวจทานโดย ดร.เฟากียะฮ
.............
คำว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) อบูหะซัน อธิบายว่า " เขาปฏิเสธ มูซา(อะลัยฮิสสลาม) ในคำพูดของเขาที่ว่า แท้จริง อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้า
อบูมุหัมหมัด อับดุลลอฮ บิน ยูซูบ อัลญุวัยนีย์ (ร.ฮ) บิดาอิหม่ามอัลหะเราะมัย เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 438 กล่าวว่า
وهذا يدل على أن موسى أخبره بأن ربه تعالى فوق السماء ، ولهذا قال : { وإني لأظنه كاذبا}
และนี่คือ แสดงบอกว่า แท้จริงมูซา บอกเขา(ฟาโรห์)ว่า พระเจ้าของเขา ผู้ทรงสูงส่ง อยู่เหนือฟากฟ้า และเพราะเหตนี้เขา(ฟาโรห)กล่าวว่า (ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) - ดู ริสาละฮ อิษบาตอัลอิสติวาอฺวัลเฟากียะฮ หน้า 33
อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์ ปราชญมัซฮับชาฟิอี อีกท่าน อธิบายว่า
قوله {وإني لأظنه كاذبا} يعني في قوله: إن في السماء إلهًا، وعلماء الأمة وأعيان الأئمة من السلف رحمهم الله لم يختلفوا في أن الله تعالى على عرشه، وعرشه فوق سماواته
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ) หมายถึง ในคำพูดของเขา(มูซา)ที่ว่า แท้จริงมีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า) และบรรดาอุลามมาอฺแห่งอุมมะฮ และบรรดา ประชาชนแห่งอุมมะฮจากชาวสะลัฟ (ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขา) พวกเขาไม่ได้เห็นต่างกัน เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์- อะกิดะฮสะลัฟวะอัศหาบุลหะดิษ หน้า 176
..........
ข้างต้น พอเพียงแล้วที่จะยืนยันว่า การอ้างว่า พระองค์ทรงอยู่บนฟ้าด้วยซาตของพระองค์ในเชิงรูปธรรม)นั้น เป็นศาสนาของฟิรเอานฺและบรรดาวงศ์วานของพวกเขาจากพวกการเฟร " คือ การโกหกบิดเบือนอัลกุรอ่าน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/11/59

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้ตรรกญะฮมียะฮเกี่ยวกับหะดิษอัลนุซูล









การใช้ตรรกอ้างในสิ่งที่ไม่มีในอัลกุรอ่านตามแนวคิดญะฮมียะฮ
แนวทาง อุลามาอ์
14 ชม. · 
อัลอะกีดะห์ .. อัลอัชอะรียะห์ .. !!
ท่านอีหม่ามบัยฎอวีย์(รฮ.)ได้กล่าวว่า :
وقال البيضاوي : ( لما ثبت بالقواطع أنه سبحانه منزه عن الجسمية والتحيز ، امتنع عليه النزول على معنى الانتقال من موضع إلى موضع أخفض منه ) ... شرح الزرقاني على موطأ الإمام مالك ، في الصحيفة 44 ، دار الحديث القاهرة سنة 1427 هـ.
"เมื่อได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แท้จริงอัลเลาะห์(ซบ.)ทรงบริสุทธิ์จากการเป็นเรือนร่างและการยึดเอาสถานที่ ก็ถือเป็นที่ต้องห้ามที่จะเข้าใจเอาว่า การลงของอัลเลาะห์นั้น อยู่ในความหมายของการเคลื่อนย้ายจากสถานที่หนึ่ง ไปสู่สถานที่ที่ต่ำกว่า"
(จากหนังสือ อธิบายหะดีษมู่วัตเตาะอ์ อีหม่ามมาลิก ของ ท่านซุรกอนีย์ ในหน้าที่ 44 สำนักพิมภ์ ดารุ้ลหะดีษ)
เครดิต : # Rofikee Muhammad #
วัลลอฮุอะลัม.
@@@@@@@
ชี้แจง
ขอชี้แจงดังนี้
1.คำว่า รูปร่างเกี่ยวกับอัลลอฮ ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮกล่าวไว้ ไม่ว่าในเชิงปฏิเสธ(อัลนัฟ)และในการยืนยัน(อิษบาต) ตกลงคำนี้เอามาจากใหน เป็นการอธิบายคุณลักษณะอัลลอฮเกินจากสิ่งที่อัลลอฮบอก
2.คำว่า อาศัยสถานที่ ไม่ปรากฏว่า ใครบอกว่าอัลลอฮอาศัยมัคลูคเป็นสถานที่
3.ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวเองว่า
يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الْآخِرُ فَيَقُولُ مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
"พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่งยิ่ง จะลงมายังฟากฟ้าของดุนยาในทุกๆ คืนในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน และจะมีดำรัสว่า ผู้ใดที่วิงวอนข้า ข้าจะตอบรับเขา ผู้ใดที่ขอข้า ข้าจะให้เขา ผู้ใดที่ขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะอภัยให้เขา" – รายงานโดย บุคอรี ,มุสลิม และคนอื่นๆ
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة
และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง 
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
การที่ Rofikee Muhammad นำคำพูดปราชญอ้างว่า ห้ามที่จะเข้าใจเอาว่า การลงของอัลเลาะห์นั้น อยู่ในความหมายของการเคลื่อนย้ายจากสถานที่หนึ่ง ไปสู่สถานที่ที่ต่ำกว่า
......
ขอบอกว่า ข้างต้นคือ การมโนคิดเอาอัลลอฮมาเปรียบกับมัคลูค จึงถามว่า แล้ว คำว่า ทรงได้ยิน ,ทรงเห็น .ทรงพูด ,ทรงรู้ ฯลฯ ลักษณะแบบนี้มัคลูคก็มีไม่ใช่หรือ แสดงว่า คุณลักษณะอัลลอฮเหมือนมัคลูคอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่จบที่คำสอนอัลลอฮที่ว่า
﴿لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ ﴾
ความว่า "ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น" (ซูเราะฮฺ อัชชูรอ : 11)
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ฮ.ศ 238) กล่าวว่า
سألني ابن طاهر عن حديث النبي صلى الله عليه وسلم ـ يعني في النزول ـ فقلت له : «النزول بلا كيف.»
อิบนุฏอฮีรได้ถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับหะดิษอัลนุซูล(หะดิษเกี่ยวกับการเสด็จลงมาของอัลลอฮ) แล้วข้าพเจ้าตอบว่า การเสด็จลงมา โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร - ดู อัลอัสมาอฺวัสสิฟาต ของอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ 2/377
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ ปราชญสะลัฟอีกท่าน กล่าวว่า
وَقَدْ قَالَ غَيْرُ وَاحِدٍ مِنْ أَهْلِ الْعِلْمِ فِى هَذَا الْحَدِيثِ وَمَا يُشْبِهُ هَذَا مِنَ الرِّوَايَاتِ مِنَ الصِّفَاتِ وَنُزُولِ الرَّبِّ تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا، قَالُوا: قَدْ تَثْبُتُ الرِّوَايَاتُ فِى هَذَا، وَيُؤْمَنُ بِهَا، وَلاَ يُتَوَهَّمُ، وَلاَ يُقَالُ: كَيْفَ هَكَذَا رُوِىَ عَنْ مَالِكٍ وَسُفْيَانَ بْنِ عُيَيْنَةَ وَعَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْمُبَارَكِ أَنَّهُمْ قَالُوا فِى هَذِهِ الأَحَادِيثِ: "أَمِرُّوهَا بِلاَ كَيْف." وَهَكَذَا قَوْلُ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ
และแท้จริง นักวิชาการจำนวนมาก ได้กล่าว เกี่ยวกับหะดิษนี้ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับหะดิษนี้ จากบรรดารายงาน เกี่ยวกับบรรดาสิฟาต และการเสด็จลงมา ของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ และผู้ทรงสูงส่ง สู่ฟากฟ้าดุนยา ทุกคืน ,พวกเขากล่าวว่า “แท้จริงบรรดารายงานในหะดิษนี้ มีความแน่นอน (หมายถึงเป็นความจริง) และถูกศรัทธาด้วยมัน และ มันจะไม่ถูกจินตนาการ(ว่าเป็นอย่างไร) และจะไม่ถูกกล่าวว่า เป็นอย่างไร ,นี้คือ ที่ถูกรายงานจาก มาลิก,ซูฟยาน บิน อุยัยนะฮ และอับดุลลอฮ บิน อัลมุบารอ็ก แท้จริงพวกเขา กล่าวเกี่ยวกับหะดิษเหล่านี้ว่า “ ปล่อยมัน ให้ผ่านไป โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร “ และนี้คือ คำพูด(ทัศนะ)ของคำพูดนักวิชาการ จากอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ - ดูสุนันอัตติรมิซีย เล่ม 3 อธิบายหะดิษหมายเลข 662 
@@@
เพราะฉะนั้น การมานั่งสมมุติฐานคิดเอาเองว่า ไม่ลงจากที่สูงลงต่ำ หรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะไม่จบที่คำสอน แต่คิดนอกกรอบเกินจากที่นบี ศอ็ลฯ ได้พรรณคุณลักษณะของอัลลอฮไว้ และการอ้างว่าการอิษบาตหะดิษเหล่านี้ คือการตัชบีฮ คือแนวคิดพวกญะฮมียะฮครับ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/11/59

ทัศนะไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับพาคนให้โง่จริงหรือ







ทัศนะไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับพาคนให้โง่จริงหรือ
ไม่เอา วะบี
24 กรกฎาคม
นาย Asan Binabdullah หรือ ตาเวาะสะบิเดา นักวิชาเก๊บนเฟสบุคของกลุ่มวะบีคณะใหม่ในอิสลาม
บอกว่าไม่จำเป็นต้องสังกัดมัสหับ และพยายามชักจูงคนโง่ๆให้งมงายไปกับมัน
อย่างแรกเลย ตาเวาะคนนี้คือมุจตะฮิดหรือมุก็อลลิด ???
ถ้าเป็นมุจตะฮิดมุตลักที่สามารถวินิจฉัยกุรอ่านหะดิสด้วยกับกออีดะห์ในทุกๆสาขาวิชาอะลัต และจดจำหะดิสนับแสนพร้อมสายสะนัด
ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าตาเวาะจะไม่เอามัสหับ เฉกเช่น อิหม่ามชาฟีอี อิหม่ามมาลิก อิหม่ามอะบุหะนีฟะห์ อิหม่ามฮัมบะลี เหล่านี้เค้าไม่สังกัดกันและกันทั้งสิ้น เขาวินิจฉัยหลักฐานทั้งหมดด้วยตัวเองเลย แล้วตาเวาะสะบิเดามันอยู่ในระดับนี้เหรอ???
@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นแนวคิดตะอัศศุบมัซฮับ จนแยกไม่ออกว่า ศาสนามีบัญญัติให้ตามใคร ความจริงแล้ว ไม่มีแม้แต่อักษรเดียว ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮ และคำสอนอิหม่ามทั้งสี่ว่า มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับ หรือ คนอาวามที่ไม่อยู่ในระดับมุจญตะฮิด ต้องสังกัดมัซฮับ มีแต่คนที่ตะอัซซุบมาซฮับเท่านั้น กำหนดกฏเกณฑ์นี้ขึ้นมา
การตามมัซฮับเป็นข้อผ่อนปรนสำหรับคนที่ไม่สามารถหาหลักฐานด้วยตนเองได้เท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นการบังคับตลอดเวลาและทุกคน เพราะเขาจะต้องเรียนรู้ศาสนา ซึ่งเป็นข้อบังคับเหนือมุสลิมทุกคนที่จะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนา ว่าอัลลอฮตาอาลา และรอซูล ศอ็ลฯ ได้สั่งให้เขาทำอะไร และห้ามเรื่องอะไรบ้าง ไม่ใช่นั่งปิดตาเชื่อตามทุกเรื่องโดยไม่ศึกษาข้อเท็จจริง ว่าที่ตนตามนั้น มาจากใหน
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
قَدْ ثَبَتَ بِالْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ وَالْإِجْمَاعِ أَنَّ اللَّهَ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى فَرَضَ عَلَى الْخَلْقِ طَاعَتَهُ وَطَاعَةَ رَسُولِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَمْ يُوجِبْ عَلَى هَذِهِ الْأُمَّةِ طَاعَةَ أَحَدٍ بِعَيْنِهِ فِي كُلِّ مَا يَأْمُرُ بِهِ وَيَنْهَى عَنْهُ إلَّا رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ حَتَّى كَانَ صِدِّيقُ الْأُمَّةِ وَأَفْضَلُهَا بَعْدَ نَبِيِّهَا يَقُولُ : أَطِيعُونِي مَا أَطَعْت اللَّهَ فَإِذَا عَصَيْت اللَّهَ فَلَا طَاعَةَ لِي عَلَيْكُمْ .
แท้จริง ได้ยืนยันด้วยอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน),อัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺว่า อัลลฮ(ซ.บ) ได้ กำหนดข้อบังคับแก่มนุษย์ ให้เชื่อฟังพระองค์และศาสนทูตของพระองค์(ศอ็ลฯ) และ ไม่ได้บังคับแก่อุมมะฮนี้ ว่าจำเป็นจะต้อง เชื่อหังคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ ในทุกสิ่งที่เขาสั่ง ด้วยมันและที่เขาห้ามจากมัน นอกจาก รซูลุลลอฮ ศอัลฯเท่านั้น แม้กระทั่ง ผู้สัจจะแห่งอุมมะฮ(หมายถึงอบูบักร์)และผู้ที่ประเสริฐแห่งมัน รองจากนบีแห่งอุมมะฮ เขาจะกล่าวว่า “ พวกท่านจงเชื่อฟังข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อฟังอัลลอฮ ดังนั้น เมื่อใด ข้าพเจ้าฝ่าฝืนอัลลอฮ ก็ไม่จำเป็นพวกท่านจะต้องเชื่อฟังข้าพเจ้า – ดูมัจมัวะฟาตาวา เล่ม 20 หน้า 210
.........
สรุปคือ อัลลอฮ ตาอาลา ไม่ได้กำหนดข้อบังคับให้เชื่อฟังคนใดเป็นการเฉพาะ ยกเว้น ท่านนบี ศอ็ลฯ หรือแม้แต่ท่านอบูบักร์ ยังสั่งให้เชื่อฟังอัลลอฮ ให้เชื่อฟังท่านในสิ่งที่ท่านเชื่อฟังอัลลอฮ 
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
اخْتَلَفَ الْمُجَوِّزُونَ لِلتَّقْلِيدِ ، هَلْ يَجِبُ عَلَى الْعَامِّيِّ الْتِزَامُ مَذْهَبٍ مُعَيَّنٍ فِي كُلِّ وَاقِعَةٍ ؟ فَقَالَ جَمَاعَةٌ مِنْهُمْ يَلْزَمُهُ : وَرَجَّحَهُ إِلْكِيَا .
บรรดาผู้ที่อนุญาตให้ตักลิดได้ ได้เห็นต่างกัน ว่า จำเป็นแก่คนทั่วไป(คนอาวาม)จะต้องยึดมัซฮับใดๆเป็นการเฉพาะในทุกๆประเด็นที่เกิดขึ้นหรือไม่ ? แล้วคณะหนึ่งจากพวกเขา ว่าจำเป็นต้องสังกัดมัน และ อิลกิยาได้ให้น้ำหนักมัน (หมายถึงให้น้ำหนักทัศนะที่ว่าจำเป็น)
وَقَالَ آخَرُونَ : لَا يَلْزَمُهُ ، وَرَجَّحَهُ ابْنُ بَرْهَانَ وَالنَّوَوِيُّ .
وَاسْتَدَلُّوا بِأَنَّ الصَّحَابَةَ - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ - لَمْ يُنْكِرُوا عَلَى الْعَامَّةِ تَقْلِيدَ بَعْضِهِمْ فِي بَعْضِ الْمَسَائِلِ ، وَبَعْضِهِمْ فِي الْبَعْضِ الْآخَرِ .
และคณะอื่นๆ ได้กล่าวว่า ไม่จำเป็นแก่มัน(หมายถึงไม่จำเป็นสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะ) และ อิบนุบัรฮานและอันนะวาวีย์ ให้น้ำหนักมัน(หมายถึงให้น้ำหนักทัศนะที่กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับแก่คนอาวาม) และพวกเขาอ้างหลักฐานที่ว่า บรรดาเศาะฮาบะฮ (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้คัดค้าน แก่คนอาวาม ที่ปฏิบัติตาม บางส่วนของพวกเขา ในบางส่วนของประเด็นต่างๆ และ ปฏิบัติตามบางส่วนของพวกเขา(หมายถึงตามอีกคน) ในบางส่วนของประเด็นอิ่น – ดู อิรชาดุลฟุหูล ของอิหม่ามเชากานีย์ เล่ม 2 หน้า 772 หรือพิมพ์รวมเล่ม หน้า 1105-1106
...................
สรุปคือ อิบนุบัรฮานและอิหม่ามนะวาวีย์ ได้ให้น้ำหนักทัศนะที่ว่า ไม่จำเป็นแก่คนอาวามจะต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ โดยอ้างหลักฐาน ว่า เหล่าหาบะฮ(ร.ฎ) ไม่ได้คัดค้าน คนที่ตามคนหนึ่งในประเด็นหนึ่งและตามคนอื่นในอีกประเด็นหนึ่ง
เพราะฉะนั้นจึงถามนายนั่งเทียน หรือผู้มีนามปลอมว่า ไม่เอาวะฮบี ว่า
1.มีบัญญัติข้อใดในอิสลามที่บัญญัติว่าคนอาวามต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งตนใดเป็นการเฉพาะ
2. ผมบอกว่าการสังมัซฮับ ไม่เป็นวาญิบ คุณก็กล่าวหาว่า ชักจูงให้คนโง่ แล้วอิหม่ามนาวาวีย์ มีทัศนะว่า ไม่วาญิบเช่นกัน ตกลงอิหม่ามนาวาวีย์ชักจูงให้คนโง่ด้วยหรือไม่ ? 
3. คุณใช้นัฟซุและอคติตัดสินคนอื่นโดยไม่อ่านตำราใช่หรือไม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/11/59

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อิสติวาอฺเป็นที่รู้กัน หมายความว่าอย่างไร






อิสติวาอฺเป็นที่รู้กัน หมายความว่าอย่างไร


Bainalhaq Walbatin อิมามมาลิกบอกแค่เพียงว่า อิสติวาอ์เป็นที่รู้กัน(คือถูกกล่าวไว้ในกุรอาน) ท่านอิมามไม่ได้บอกว่า อิสติวาอ์คืออิสตะกอร่อหรือยูลุซ
๑๑๑๑๑
ชี้แจง
แกนนำ อาชาอิเราะฮอีกท่านคือ Bainalhaq Walbatin อ้างว่า อิมามมาลิกบอกแค่เพียงว่า อิสติวาอ์เป็นที่รู้กัน(คือถูกกล่าวไว้ในกุรอาน) ท่านอิมามไม่ได้บอกว่า อิสติวาอ์คืออิสตะกอร่อหรือยูลุซ.

@@@@@@..
ขอชี้แจงดังนี้
คุณ Bainalhaq Walbatin อ้างตามความเห็นตนเองโดยการใช้การเดาสุ่ม ไม่ได้ศึกษาตำรา เพราะความหมายคำพูดอิหม่ามมาลีก นักวิชาการอธิบายดังนี้
อิหม่ามมาลิก (ร.ฮ) กล่าวว่า
الاستواء معلوم، والكيف مجهول، والإيمان به واجب، والسؤال عنه بدعة
การอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน ,รูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน ,การศรัทธา ด้วยมันนั้น เป็นวาญิบ และการถามเกี่ยวกับมันนั้น เป็นบิดอะฮ
...........
คำว่า “อัลอิสติวาอฺ เป็นที่รู้กัน หมายถึง ความหมายในทางภาษาเป็นที่รู้กัน 
1.อบูบักร์ อิบนุอัลอะเราะบีย์ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 543)
ท่านได้อธิบายหะดิษสิฟัตในสุนันติรมิซีย์ว่า
ومذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى، ولذلك قال للذي سأله: "الاستواء معلوم، والكيفية مجهولة
และแนวทางของมาลิก (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) แท้จริงทุกหะดิษจากมัน(จากหะดิษที่ระบุเกี่ยวกับสิฟาต) ความหมาย เป็นที่รู้กัน และเพราะดังกล่าว เขาได้กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขาว่า " อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน –ดู อาริเฎาะตุลอะฮวะซีย์ ชัรหอัตติมิซีย เล่ม 3 หน้า 166
2.อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَلَمْ يُنْكِرْ أَحَدٌ مِنَ السَّلَفِ الصَّالِحِ أَنَّهُ اسْتَوَى عَلَى عَرْشِهِ حَقِيقَةً. وَخُصَّ الْعَرْشُ بِذَلِكَ لِأَنَّهُ أَعْظَمُ مَخْلُوقَاتِهِ، وَإِنَّمَا جَهِلُوا كَيْفِيَّةَ الِاسْتِوَاءِ فَإِنَّهُ لَا تُعْلَمُ حَقِيقَتُهُ. قَالَ مَالِكٌ رَحِمَهُ اللَّهُ: الِاسْتِوَاءُ مَعْلُومٌ- يَعْنِي فِي اللُّغَة – وَالْكَيْفَ مَجْهُولٌ، وَالسُّؤَالُ عَنْ هَذَا بِدْعَةٌ
และไม่มีคนใดจากชาวสะลัฟผู้ทรงธรรมคัดค้านว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะฮฺ ทรงอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์จริงๆ และได้ถูกกล่าวเจาะจงถึงเรื่องการอยู่เหนือบัลลังก์เป็นการเฉพาะ เพราะมันเป็นสิ่งถูกสร้างที่ใหญ่ที่สุด และแท้จริง พวกเขา(สะลัฟ) ไม่รู้วิธีการของการอยู่เหนือบัลลังก์ เพราะการอยู่เหนือบัลลังก์นั้นไม่สามารถรับรู้ถึงสภาวะที่แท้จริงของมันได้ ท่านอิมามมาลิก (ขออัลเลาะฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า-การอยู่(อิสติวาอฺ)เหนือบัลลังก์นั้นเป็นที่รู้กัน – หมายถึงในเชิงภาษา (ความหมาย) – และวิธีการ (รูปแบบหรือสภาวะที่แท้จริง) เป็นอย่างไรนั้นไม่สามารถรับรู้ได้ และการถามถึงเรื่องนี้เป็นอุตริกรรม - ญามิอุลอะฮฺกามุลกุรอาน. ดร.อับดุลลอฮ บิน อับดุลมุหซินอัตตุรกีย์, ตรวจทาน เล่ม 9 หน้า 239
............
จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า คำว่า อิสติวาอฺ ในทางภาษา นั้นเป็นที่รู้กัน ส่วนที่อ้างว่า อิหม่ามมาลิกไม่ได้บอกว่า แปลว่า สถิต(استقر ) และ สูง( علا )นั้น ไม่จำเป็น เพราะความหมายอิสติวาอฺก็เป็นที่รู้กันอยู่ในภาษาอาหรับ ดังที่อิหม่ามกุรฏุบีย์กล่าวว่า
وَالِاسْتِوَاءُ فِي كَلَامِ الْعَرَبِ هُوَ الْعُلُوُّ وَالِاسْتِقْرَارُ
และคำว่า”อิสติวาอฺ ในคำพูดอาหรับนั้น คือ สูง และการสถิต- ดู ตัฟสีรญามิอุลอะหกาม เล่ม 9 หน้า 239
………………………
เพราะฉะนั้น การเจาะความหมายคำว่า استقر (สถิต) ก็ไม่แปลกอะไร เนื่องจากมีปราชญ์ชาวสะลัฟได้เจาะจงความหมายนี้เช่นกัน แม้สะลัฟคนอื่นจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็มีอะกีดะฮเดียวกันคือ การยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ส่วนคนที่มีใจอคติ และยึดติดอยู่กับแนวคิดอะฮลุลกาลาม จะนำหลักฐานมากองเท่าภูเขา เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี โดยอ้างว่า เป็นหลักฐานวะฮบีย์ -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๒๓/๑๑/๕๙

การตีความอิสติวาอฺ เป็นอำนาจการปกครองคือ อะกีดะฮมุอตะซิละฮ





การตีความอิสติวาอฺ เป็นอำนาจการปกครองคือ อะกีดะฮมุอตะซิละฮ

อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์


 อิมามอัซซัจจ๊าจ ปรมาจารย์ด้านภาษาอาหรับในยุคสะลัฟ บอกว่า บรรดาอุละมาอ์ภาษาอาหรับในยุคของท่านนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ความหมายของ อิสตะวา คือ อิสเตาลา"
แต่อุละมาอ์มุญัสสิมะห์มันดันทุรัง จะใช้ อิสตะก๊รร่อ เพื่อให้สอดคล้องกับอะกีดะห์ของพวกยิว พวกกาเฟร
……………..

ชี้แจง
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้อ้างว่า อิหม่ามอัซซัจญาจญ ว่าตีความ คำว่า อิสติวาอ์ ว่า คือ อิสเตาลา หรือ อำนาจปกครอง หรือที่ปรมาจารย์อาชาอิเราะฮเมื่องท่านท่านหนึ่ง เคยแปลว่า ปกครองโดยไม่แย่งชิง การอ้างของ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์  คงจะเอาหลักฐานมาจากข้อเขียนของ อ.อารีฟีน ในหนังสือ ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 75-76 
อาจารย์อารีฟีน ได้อ้างว่า อิหม่ามอัซซัจญาจญฺ ปราชญ์ยุคสะลัฟได้ตัฟสีร คำว่า "อิสติวาอฺ ว่าหมายถึง การปกครองโดยไม่แย่งชิง" โดยอ้างข้อความต่อไปนี้ 
فَقَالَ: (عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى) ، وَقَالُوْا مَعْنَى (اِسْتَوَى) : اِسْتَوْلَى , وَاللَّهُ أَعْلَمُ 
อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า “พระองค์ทรงอิสตะวาเหนือบัลลังก์ และพวกเขากล่าวว่า ความหมาย อิสตะวา คือ อิสเตาลา(ปกครองโดยไม่มีการแย่งชิง)วัลลอฮุอะลัม” 
………
@@@@@@
ขอชี้แจงว่า
ข้างต้น ไม่ใช่ทัศนะของของ อิหม่ามอัซซัจญาจญ์ เพราะท่านได้ใช้คำพูด ว่า พวกเขากล่าวว่า “ ความหมาย(อิสติวาอฺ) คือ การครอบครอง 
คำว่า พวกเขากล่าวว่า “ เป็นสำนวนอ่อน (ศิเฆาะฮอัตตัมรีฎ) ซึ่งเป็นไปได้ว่า เป็นการรายงานจาก กลุ่มมุอตะซิละฮ 
ความหมายคำว่า “อิสเตาลา اِسْتَوْلَى “ปกครองโดยไม่แย่งชิง (ดังที่อารีฟีนแปล) เพราะความหมายนี้ไม่ใช่ความหมายในทัศนะสะลัฟแต่เป็นความหมายตามทัศนะ “มุฮตะซิละฮ”
ดังที เช็คอับดุลกอเดร อัลญัยลานีย์ว่า

ولا على معنى العلو والرفعة كما قالت الأشعرية ، ولا معنى الاستيلاء والغلبة كما قالت المعتزلة ،

และมันก็ไม่ได้หมายความว่า อุลูวว์ (ความสูงส่ง) ดังที่พวกอัชอะรียะฮฺ(อะชาอิเราะฮฺ)ได้กล่าวไว้ และมันก็ไม่ได้แปลว่า อิสติลาอ์ (การพิชิต) หรือ ฆอลาบะฮฺ (การสถาปนาอำนาจ) ดังที่พวกมุอฺตะสิละฮฺได้กล่าวแต่อย่างใด - เชคอับดุลกอดีรญีลานี หนังสือ ฆุนยะตุตตอลิบีน เล่ม 1 หน้า 73 
อบูมันศูร อัลบัฆดาดีย์ กล่าวว่า

 زعمتِ المعتزلةُ أن استوى بمعنى استولى مستدلين بقول الشاعر: (قد استوى بشر على العراق) وهذا تأويل باطل
 
พวกมุอฺตะซิละฮ เข้าใจว่า คำว่า "อิสตะวา" มีความหมายว่า "ครอบครอง" โดยพวกเขาอ้างหลักฐานคำกล่าวของนักกวีที่ว่า "บะชีรได้ครอบครองอิรัก" นี่คือ การตีความที่ไม่ถูกต้อง" * อุศูลุดดีน หน้า 112 
......... เพราะฉะนั้นที่อ้างว่าการตึความ"อิสติวาอ"ว่า "ความหมายครอบครองโดยไม่แย่งชิงนั้น ไม่ใช่ทัศนะของอิหม่ามอัซซัจญาจญ์ แต่ท่านบอกว่า พวกเขากล่าว ซึ่งไม่ระบุว่าใคร

อิบนุอับดุรบัร(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า



وقولهم استوى: أي استولى لا معنى له لأنه غير ظاهر في اللغة، ومعنى الاستيلاء في اللغة: المغالبة والله لا يغالبه ولا يعلوه أحد
 


พวกเขา(พวกมุอฺตะซิละฮ)กล่าวว่า คำว่า "อิสตะวา" หมายถึง อิสเตาลา( การปกครอง หรือ เข้ายึดครอง) ซึ่งไม่ใช่ความหมายของมัน เพราะไม่ปรากฏในหลักภาษา และ ความหมายคำว่า "อิสติลาอฺ"ในทางภาษา หมายถึง การมีชัย ทั้งๆที่อัลลอฮ ไม่มีคนใดต่อสู้กับพระองค์ และไม่มีคนใดชัยชนะพระองค์ได้ - อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 131 
อิหม่ามอัลบัฆวีย์(ฮ.ศ)กล่าวว่า 


 
وَأَوَّلَتِ الْمُعْتَزِلَةُ الِاسْتِوَاءَ بِالِاسْتِيلَاءِ
 


และมุอตะซิละฮ ได้ตีความ คำว่า อิสติวาอฺ ด้วยคำว่า "การปกครอง - ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ 3/236 อรรถาธิบายซูเราฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ 54 
....... 
สรุปว่า การติความคำว่า อิสตะวา เป็น อิสเตาลา ที่ แปลว่า การปกครองโดยไม่แย่งชิงนั้น คือ อะกีดะฮมุอตะซิละฮ และคุณ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้ยึดตามแนวมุอตะซิละฮ ไม่ใช่อะกีดะฮอาชาอิเราะฮตามแนวอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย
والله أعلم بالصواب 
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/11/59
ปล. โปรดติดตามตอนต่อไปอินชาอัลลอฮ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ญาฮิลียะฮคืออะไร










ญาฮิลียะฮคืออะไร
อัลลอฮตาอาลาได้ประทานอัลอิสลามลงมา พร้อมกับส่งศาสดามุหัมหมัด ศอ็ลฯ ในสังคมที่เต็มไปด้วยสภาพของความเป็นญาฮีลียะฮ ไร้อารยธรรม ซึ่งเป็นยุคมืด ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค์ การปองร้ายและการต่อต้านอย่างป่าเถือนของมนุษย์ที่ยังไม่ได้กล่าวสองคำปฏิญานว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮและมุหัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ" ซึ่งไม่แปลกนัก
แต่ในปัจจุบัน คุณที่ปากกล่าวสองคำปฏิญานแล้ว แต่กลับใช้ความป่าเถือนต่อต้านการเผยแพร่ศาสนา ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ปัจจุบัน วิธีป่าเถือนได้พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี ที่เจริญแล้ว แต่ใจคนยังล้าหลังและยังคงเป็นสภาพญาฮิลียะฮอยู่
الجاهلية
لغة: مأخوذة من الفعل (جهل)، والجهل معناه: خلاف العلم.
يقول الراغب: الجهل على ثلاثة أضرب: الأول: خلو النفس من العلم، الثانى: اعتقاد الشىء بخلاف ما هو عليه، الثالث: فعل الشىء بخلاف ما حقه أن يفعل
ญาฮิลียะฮ
ในทางภาษา เอามาจากคำกริยา (ญะฮะละ) และคำว่า ญะฮลุ(อวิชา/ความโง่เขลา) ความหมายของมันคือ ตรงข้ามกับคำว่า อัลอิลมฺุ(ความรู้)
อัรรอฆิบ กล่าวว่า คำว่า ญะฮลุ แบ่งออกเป็น 3 ปรเภทคือ
1. บุคคลที่ปราศจากความรู้
2. การยึดมั่นสิ่งใด ที่ขัดแย้ง(ไม่ตรง)กับข้อเท็จจริง
3. การกระทำสิ่งใด ที่ขัดแย้ง(ไม่ตรง)กับสิ่งที่เขาควรจะทำ -
ดู معجم مفردات ألفاظ القرآن الكريم ص100 - دار الكتاب العربى تحقيق نديم مرعشلى.
คนเราไม่ว่าจะอ่านหนังสือได้ และมีหนังสือกองท่วมหัว แต่ถ้าเชื่อ และปฏิบัติ ไม่ตรงกับความจริง เขาก็คือ คนโง่เขลาหรืออวิชา(ญาฮิล)
อิบนุอะษีร (ร.ฮ) กล่าวถึงความหมายญาฮิลียะฮว่า
هي الحال التي كانت العرب عليها قبل الإسلام من الجهل بالله ورسله وشرائع الدين والمفاخرة بالأنساب والكبر والتجبر وغير ذلك
คือสภาพที่ชาวอาหรับอยู่บนมัน ก่อนอิสลาม จาก สภาพการไม่รู้ เกี่ยวกับอัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ ,บรรดาบทบัญญัติของศาสนา ,การโอ้อวดเรื่องชาติตระกูล ,การยิ่งยะโส,การใช้อำนาจบังคับ/หรือข่มเหง และอื่นจากนั้น -
النهاية لابن الأثير1/176) .
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
فإن من لم يعلم الحق فهو جاهلاً جهلاً بسيطا ، فإن اعتقد خلافه فهو جاهلاً جهل مركباً ، فإن قال خلاف الحق عالماً بالحق أو غير عالم فهو جاهل أيضاً ،
เพราะแท้จริง ผู้ที่ไม่รู้ความจริง เขาคือ คนญาฮิล(คนโง่เขลา) เป็นญะฮีลบะสีฏ(หมายถึงไม่รู้จักอะไรเลย) แล้วถ้าเขาเชื่อต่างกับความจริง เขาคือผู้ที่โง่เขา เป็นการญะฮิลมุรอ็กกับ(หมายถึงเชื่อมั่นในสิ่งที่ไม่ตรงกับความจริง) แล้วถ้าเขา พูด ขัดแย้งกับความจริง โดยที่เขารู้ความจริง หรือ ปราศจากความรู้ เขาก็คือคนโง่เขลา(ญาฮิล)เช่นกัน -ดู اقتضاء الصراط المستقيم ( 1/225- 227) تحقيق الدكتور ناصر العقل . 
@@@@@
ความรู้ที่แท้จริง ในเรื่องศาสนา ไม่ได้วัดกันที่ปริญญา และการอ่านออกเขียนได้ แต่ จะวัดกันที่ ความเชื่อและการกระทำว่าตรงตามความจริงตามบทบัญญัติศาสนาหรือไม่ต่างหาก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/11/59

อายาตเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮจัดเจน ไม่ต้องตีความ




อายาตเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮจัดเจน ไม่ต้องตีความ
ถ้าบรรดาอายาตสิฟาต หรืออายะฮอัลกุรอ่าน เป็นสิ่งที่คลุมเครือ จำเป็นต้องตีความ(ตะวีล) คนแรกที่ตีความ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานแก่อุมมะฮคือนบี ศอ็ลฯ แต่เพราะอัลกุรอ่านั้นชัดเจนแล้วโดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮชัดเจนเพราะเป็นเรื่องสำคัญ และอัลลอฮ ได้ให้ข้อสรุปมาแล้วคือไม่ว่าสิฟัตใดๆเกี่ยวกับอัลลอฮ ให้บ่าวของพระองค์ระลึกอยู่เสมอว่า
ليس كمثله شىء، وهو السميع البصير 
“พระองค์ไม่มีสิ่งใดที่เหมือน เหมือนกับพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินยิ่งและทรงเห็นยิ่ง”
ไม่มีแม้สักอักษรเดียวจากอัลกุรอ่านและไม่มีสักอักษรเดียวจากอัสสุนนะฮ สั่งให้ตีความอายาตสิฟาต
อิบนุกอ็ยยิม(ร.ฮ)กล่าวว่า
نَازَعَ النَّاسُ فِي كَثِيرٍ مِنَ الْأَحْكَامِ وَلَمْ يَتَنَازَعُوا فِي آيَاتِ الصِّفَاتِ وَأَخْبَارِهَا فِي مَوْضِعٍ وَاحِدٍ بَلِ اتَّفَقَ الصَّحَابَةُ وَالتَّابِعُونَ عَلَى إِقْرَارِهَا وَإِمْرَارِهَا مَعَ فَهْمِ مَعَانِيهَا وَإِثْبَاتِ حَقَائِقِهَا
บรรดาผู้คน ขัดแย้งกันในส่วนมากจากบรรกาหุกุมต่างๆ และพวกเขาไม่ขัดแย้งกัน ในบรรดาอายาตสิฟาต และบรรดาการบอกเล่าของมัน(หมายถึงหะดิษสิฟาต) อยู่ในที่เดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าเศาะหาบะฮ และบรรดาตาบิอูน เห็นฟ้องกัน บนการยอมรับมัน และปล่อยมัน ให้ผ่านไป พร้อมกับเข้าใจบรรดาความหมายของมัน และยืนยัน ความหมายจริงของมัน ,- ดูมุคตะศอรอัศเศาะวาอิกอัลมุรสะละฮ /15 และกิตาบอัลอะรัช 1/190 - 
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ได้รายงานคำพูดอัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 319-388) ปราชญ์ยุคสะลัฟว่า
فأما ما سألت عنه من الكلام في الصفات وما جاء منها في الكتاب والسنن الصحيحة فإن مذهب السلف إثباتها وإجراؤها على ظاهرها ونفي الكيفية والتشبيه عنها وكذا نقل الإتفاق عن السلف في هذا الحافظ أبو بكر الخطيب ثم الحافظ أبو القاسم التيمي الأصبهاني وغيرهم
และสำหรับสิ่งที่ท่านถามเกี่ยวกับมัน จากการพูดในบรรดาสิฟาต(คุณลักษณะอัลลอฮ) และสิ่งที่มีมาจากมัน ในคัมภีร(อัลกุรอ่าน)และบรรดาสุนนะฮที่เศาะเฮียะ แท้จริง มัซฮับสะลัฟ คือ การยืนยันมัน(บรรดาสิฟาต) บนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธการถามถึงรูปแบบว่าเป็นอย่างไร และปฏิเสธการเปรียบเทียบการคล้ายคลึง (กับมัคลูค) (อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า )และดังกล่าวนั้น คือการเห็นฟ้องจากสะลัฟ ในเรื่องนี้ ที่รายงานโดย อัลหาฟิซ อบูบักร์ อัลเคาะฏีบ ต่อมา อัลหาฟิซ อบูลกอซิม อัตตัยมีย์ อัลอัศบะฮานีย์ และคนอื่นจากเขา - อัลอะลูว์ ลิลอะลียิลฆอฟฟาร 1/ 236
@@@@@
ขอให้ใช้หลักคิดง่ายๆคือ สิ่งที่ศาสนาสอนให้เป็นหลักความเชื่อนั้น ต้องรู้ความหมายในสิ่งที่เชื่อและ มันเป็นไปไม่ได้ที่ให้เชื่อสิ่งที่ห้ามไม่ให้รู้ความหมายในสิ่งที่เป็นหลักความเชื่อ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/11/59


วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตรรกวิบัติ 2







ตรรกวิบัติ 2
อัชฮารีย์ บินชาฟีอีย์ 
การขึ้นหรือลง หรือการเคลื่อนย้ายไปมา จากบนสู่ล่าง หรือมุ่งไปยังทิศทาง มันย่อมเป็นลักษณะของเหล่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น คือ การใช้ตรรกและเหตุผลทางปัญญา คิด และสรุปเอง ทำไมหรือ คุณรู้มากกว่าท่านนบี ศอ็ลฯ ผู้รับวะฮยูจากอัลลอฮหรือ?
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ: مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา 
رواه البخاري (1145) و (6321) و(7494)، ومسلم (758
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า 
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة
และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง 
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
อบูนัศรุสสัจญซีย์(ฮ.ศ 444) กล่าวว่า
"أئمتنا كسفيان الثوري ومالك وحماد بن سلمة وحماد بن زيد وسفيان بن عيينة والفضيل وابن المبارك وأحمد وإسحاق متفقون على أن الله سبحانه بذاته فوق العرش وعلمه بكل مكان وأنه ينزل إلى السماء الدنيا وأنه يغضب ويرضى ويتكلم بما شاء
อิหม่ามของเรา เช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ ,มาลิก,หัมมาด บุตร สะละมะฮ ,หัมมาด บุตร ซัยดฺ,สุฟยาน บุตร อุญัยนะฮ ,อัลฟะฎีล,อิบนุ้ลมุบารอ็ก,อะหมัดและอิสหาก พวกเขาเห็นฟ้องกันว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนอะรัช ,ความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสถานที่ ,แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ,พระองค์ทรงกริ้ว,ทรงพอพระทัยและทรงพูด ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ "
المختصرالعلو ص 266وينظر سير أعلام النبلاء17/656 
...................
ท่านนบี สอ็ลฯ ได้บอกไว้และ สะลัฟเขาเชื่อตามที่นบีบอกโดยไม่ถามหรืออธิบายรูปแบบว่าเป็นอย่างไร แค่มีคนใช้ตรรกทางปัญญาปฏิเสธ นะอูซุบิลละอ ไม่รู้หรือว่าอัลลอฮทรงกระทำในส่ิงที่ทรงประสงค์
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/11/59